ความหมาย ชุดสังฆทาน พระพุทธะอิสระกรณีเดินทางไปถวายสังฆทานให้มหาเถรฯ
หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: ความหมาย ชุดสังฆทาน พระพุทธะอิสระกรณีเดินทางไปถวายสังฆทานให้มหาเถรฯ  (อ่าน 2440 ครั้ง)
eskimo_bkk-LSV team♥
.กลุ่มผู้มีน้ำใจงาม..
member
*

คะแนน1883
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 13218


ไม่แล่เนื้อเถือหนังพวก


อีเมล์
« เมื่อ: กุมภาพันธ์ 23, 2015, 05:43:09 AM »

พวกโลกสวย นอกจากจะไม่ช่วยแล้วยังจ้องซ้ำอีก

๒๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๘

สืบเนื่องเรื่องจากสังฆทานชุดใหญ่
ที่ฉันนำไปถวายกรรมการมหาเถรสมาคม ที่วัดปากน้ำ ภาษีเจริญ
มีคนวิพากษ์วิจารณ์ฉันถึงความไม่เหมาะสม ไม่สมควร
เป็นการลบหลู่เหยียดหยาม


ฉันบอกกับพวกคุณๆ เลยว่า ฉันมีเจตนาเช่นนั้นจริงๆ เพราะฉันนอยากรู้ว่า
ระหว่างอวดอุตริมนุสธรรม เสพเมถุน ยักยอกทรัพย์
อย่างนายธัมมชโย มหาเถรยังบอกไม่ผิด
แล้วฉันแค่นำเอาสิ่งที่ฉันเห็นว่า
ถึงเวลาแล้วที่ต้องใช้สิ่งที่ฉันนำไปถวายในสังฆทาน ให้สติยั้งคิดแก่บรรดากรรมการมหาเถรเสียที

อีกทั้งหากมหาเถรสมาคมทุกรูปมีสติปัญญา ดูออก คงจะบอกตัวเองได้ว่า
เครื่องสังฆทานทั้งหมด ฉันต้องการจะสื่อความหมายว่าอย่างไร
ส่วนคนนอกอาจจะมองฉันเถื่อน ถ่อย มีกิริยาไม่อ่อนน้อม ไร้มารยาท ขาดสัมมาคารวะ ก็ไม่เป็นไร
ฉันพร้อมที่จะชั่วในสายตาใครๆ ถ้ากำลังทำประโยชน์แก่ส่วนรวม
ทีนี้ลองมาดูกันว่าทำไมของถวายสังฆทานฉันมันพิลึกพิลั่น พิสดารนัก หากไม่รู้ ฉันจะอธิบายให้ฟัง

- ข้าวเน่า คือความวางเฉย ละเว้น ไม่ปฏิบัติ ต่อหน้าที่ของตนอย่างซื่อตรง ที่จะรักษาพระธรรมวินัย
สุดท้ายอำนาจหน้าที่ที่มี ที่ควรจะให้ประโยชน์ กลับกลายเป็นไร้ประโยชน์
อยู่เพื่อรอวันเน่าอย่างเดียว ดุจดังข้าวสารเน่าๆ อยู่ในถุง ทำได้อย่างดีแค่ใช้เป็นปุ๋ย
อีกทั้งยังสื่อไปถึงบรรดาเจ้าคุณ พระครู สมเด็จ มหาเถรทั้งหลาย
ที่ทุกองค์ล้วนมีลูกศิษย์ลูกหาเป็นใหญ่เป็นโตคับบ้านคับเมือง
แต่กลับไม่เจรจาพูดคุย ขอร้อง หรืออบรมสั่งสอนให้ทำประโยชน์แก่บ้านเมืองกันบ้างเลย
หรือในช่วงเวลาที่ผ่านมา จึงปล่อยให้คุณปูทำข้าวชาวนาที่ใช้เงินภาษีของคนทั้งชาติไปรับจำนำ
เอามาหมักไว้ในโกดังจนเน่าเหม็น เสียหายไปเป็นพันๆ ตัน
หมดเงินไปกับโครงการนี้ ๖ – ๗ แสนล้านบาท
ซึ่งฉันเชื่ออย่างบริสุทธิ์ใจว่า หากบรรดาคุณพระทั้งหลายมีจิตเสียสละ ไม่คิดว่าธุระไม่ใช่
อาทรห่วงใยต่อชาติบ้านเมือง คงจะมีคำพูด คำสอน คำแนะนำดีๆ
ให้แก่บรรดาลูกศิษย์ลูกหาของตนบ้าง ไม่มากก็น้อย บ้านเมืองคงไม่ต้องลำบากถึงเพียงนี้


- ปลากระป๋องบวม เส้นหมี่หมดอายุ ฉันต้องการสื่อให้เจ้ากูทั้งหลายได้รู้ว่า
อย่าคิดว่ามีอำนาจ ตำแหน่งอยู่มั่นคงปลอดภัยแล้ว เห็นหรือไม่ว่า
ขนาดเส้นหมี่ปลากระป๋องเขาผลิตบรรจุใส่หีบห่ออย่างดี
ยังเน่าเสียเลย นับประสาอะไรกับบรรดามหาเถรทั้งหลาย
หากอยู่แล้วไม่ใช้อำนาจที่มีอย่างสร้างสรรค์
เป็นประโยชน์ต่อพระธรรมวินัย สังฆมณฑล ศาสนจักร
แม้จะมีการอารักขาดูแลรักษา เส้นใหญ่ขนาดไหน
สุดท้ายมันก็เน่าจนได้
เช่นนี้เขาเรียกว่า “เน่าใน” ยังไงล่ะพี่น้อง


- ลูกฝักเหี่ยว เพราะสื่อให้บรรดาเจ้ากูทั้งหลายได้รู้ว่า
วันๆ อย่าเอาแต่คอยควักคอยล้วงทรัพย์สินเงินทอง
จากกระเป๋าชาวบ้านเขาอย่างเดียว ให้รู้จักบริจาค แบ่งปัน เสียสละ
ให้แก่ผู้ตกทุกข์ได้ยากทั้งพระและชาวบ้านเขาบ้าง
โดยเฉพาะนักบวชผู้น้อย กรรมการมหาเถรสมาคมควรจะรู้จักบริจาคช่วยเหลือ
สงเคราะห์ เพื่อนักบวชด้วยกันบ้าง ไม่ใช่เอาแต่บอกบุญเรี่ยราย
แต่เงินตนเองไม่คิดจะให้ หรือถ้าให้ก็ให้แบบเศษเงินก้นย่าม
อีกทั้งบรรดาวัดต่างๆ ที่เจ้าคุณสมเด็จทั้งหลายเข้าไปตรวจเยี่ยม
หรือไปรับกิจนิมนต์นะ พวกท่านเป็นผู้ใหญ่ ควรมีจิตใจกว้างขวาง
ต้องรู้จักแบ่งปันด้วยใจเมตตา ไม่ใช่ไปแต่ละวัดก็ไปเอาเงินทองของเขา
ทั้งที่เขาจัดงานก็ต้องการเงิน ต้องการให้ชาวบ้านบริจาค
แต่ท่านนั่งรถคันโตโก้หรู โผล่ไปแค่ครึ่งชั่วโมงโกยมาเสีย ๓ หมื่น ๕ หมื่น ๑ แสน
หากเป็นธรรมกายก็เป็นล้าน (อันนี้ไม่ว่ากัน เพราะเขาลวงจนรวย)
ทำอย่างเจ้าประคุณสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราชบ้างได้ไหม
ที่พระองค์เห็นฉันกำลังสร้างวัด กำลังต้องการทุนทรัพย์
แทนที่พระองค์จะเสด็จมาควักมาล้วงเงินจากฉัน
พระองค์กลับนำเงิน ๓ แสน พร้อมจีวรมาถวาย

ชั่วชีวิตฉันยังไม่เคยเห็นพระผู้ใหญ่ในมหาเถรองค์ไหน
ทำได้ดังพระองค์ นอกจากไม่ทำ ทำไม่ได้แล้ว
ยังคอยแต่ควักแต่ล้วงอย่างเดียว
ไม่เว้นแม้แต่พวกเดียวกันเองและนักบวชบ้านนอกจนๆ


- เสื้อกางเกงเก่ายังไม่ได้ซัก เพื่อแสดงสัญลักษณ์ให้กรรมการมหาเถรได้รู้ว่า
ชีวิต ลมหายใจ ร่างกาย จิตวิญญาณ แม้มันจะเป็นสิ่งสมมุติ
เป็นของที่เราต้องใช้สอยตลอด แต่หากใช้อย่างไม่ระมัดระวัง
ไม่รู้จักรักษาชำระล้าง ซักฟอกตนเองบ้าง
สุดท้ายก็มีสภาพอะไรไม่ต่างจากเสื้อผ้ากางเกงเก่าๆ เน่าๆ ที่ดูไร้ค่า
ฉันล่ะเสียดายที่ท่านทั้งหลายได้ชีวิตนี้มาแล้ว
ไม่ทำประโยชน์ ไม่ให้ประโยชน์ แถมยังมัวเมาประมาทอยู่ในอำนาจวาสนา
ลาภสักการะอย่างลืมตัว จนแยกแยะอะไรไม่ได้ว่า
อะไรถูก อะไรผิด อะไรดี อะไรชั่ว อะไรสกปรก อะไรสะอาด
ถ้าเช่นนั้น ก็ไปนุ่งกางเกงเน่าๆ นั้นเถิด
อย่ามานุ่งห่มผ้ากาสาวพัสตร์ที่บริสุทธิ์สะอาดอยู่เลย


- รองเท้าแตะเก่าสื่อให้รู้ว่า อำนาจวาสนาที่เหยียบยืนอยู่นั้น มันไม่จีรัง
หากมีแล้วไม่รู้จักใช้มันให้ถูกต้อง ซื่อตรง
สุดท้ายพวกท่านทั้งหลายก็มีสภาพไม่ต่างอะไรกับรองเท้าเก่าๆ ที่คนเขาโยนทิ้ง
หรือถึงเวลาแล้วที่อาณาจักรจะโยนมหาเถรสมาคมที่ไม่แยกแยะถูกผิดทิ้งบ้างจะดีไหม
หรือไม่ก็ยกท่านไว้เป็นพระประธาน
แล้วหาคนที่แข็งแรงทั้งทางกาย ทางใจ ทางปัญญา
มีความชำนาญมาช่วยท่านบริหารงาน
เฉพาะด้านให้มีประสิทธิภาพ โปร่งใส ตรงต่อหลักพระธรรมวินัย


- กางเกงในเก่ามีขี้ติด ต้องการจะบอกให้กับท่านทั้งหลายผู้ชอบสร้างภาพให้คนดู ว่า
เป็นผู้สงบเสงี่ยมดูเรียบร้อยสวยงามดุจดังคนที่แต่งหน้า
แต่งตัวเอาไว้คอยรับแขก พร้อมทำกิริยาจริตจะก้านให้ใครๆ ดูว่าเรียบร้อย
สงบเสงี่ยม สวยงาม แต่ข้างในใจนั้นหมักหมม โสโครก ละโมบ รัก โลภ หลง เต็มพุง
เบื้องนอกแต่งกายให้งามซักเท่าไร แต่ข้างในก็เน่าเหม็นมีแต่ขี้อยู่ดีแหละ
พุทธศาสนานี้พระพุทธองค์ทรงให้สะอาดนอก สะอาดใน
ไม่ใช่อยู่แบบเสแสร้ง สร้างภาพให้ดูว่า ข้าเป็นผู้สะอาด ฉลาด สงบ
อย่างที่บรรดานักบวชหลายๆ คนกำลังกระทำอยู่
ไม่เว้นแม้แต่กรรมการมหาเถรสมาคม แต่เรื่องจริงคือ
นั่งนอนทับอาจมโดยไม่รู้สึกตัว บ้านเมืองเรามีแต่พวกเสแสร้ง
สร้างภาพ ผู้ดีจอมปลอม จนทำให้คนเห็นผิด คิดผิด เข้าใจผิด
หลงมัวเมาตกเป็นทาสของพวกสร้างภาพดังธรรมกาย เป็นต้น
เช่นนี้แล้ว มหาเถรยังดูไม่ออกอีกหรือ


- ดอกไม้จันทน์ ฉันต้องการจะบอกกรรมการมหาเถร
เจ้าคุณ พระครู และบรรดาสมเด็จทั้งหลายว่า ตาย น่ะรู้จักไหม
มรณานุสตินะเคยเจริญกันบ้างไหม
เคยฟังเคยอ่านพระราชนิพนธ์ของล้นเกล้ารัชกาลที่ ๖
ที่ทรงให้ไว้บ้างไหมว่า

นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์
สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา


ทีนี้ก็ขึ้นอยู่กับท่านทั้งหลายแล้วว่า ชีวิตที่เหลืออยู่จะทำอะไร ให้อะไร สร้างอะไร
เพื่อประโยชน์ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์และพลโลก

- ธูป ๑ ดอก เทียน ๑ เล่ม ฉันสื่อถึงคำสอนสูงสุดของพระผู้มีพระภาคเจ้า ๒ ข้อ
คำสอนสูงสุดของพระพุทธศาสนา
๑. คือ ปัญญา เพราะมีปัญญาจึงเห็นทุกข์ เห็นเหตุเกิดทุกข์ เห็นทางดับทุกข์ เห็นหลักปฏิบัติให้ทุกข์นี้ดับ
๒. นิพพาน ด้วยเพราะปัญญาที่เห็นสรรพสิ่ง สรรพชีวิตตามความเป็นจริง
จึงรู้ได้ชัดว่าทุกๆ สิ่งไม่มีอะไร ไม่ได้อะไร ไม่เหลืออะไร กูต้องตายแน่ๆ
ขณะยังมีชีวิตอยู่ก็ควรขวนขวายทำในสิ่งที่เป็นประโยชน์ตน
และให้ประโยชน์ท่านจนถึงพร้อมด้วยความไม่ประมาท ไม่ขาดสติ
ไม่ใช่หลงมั่วมัวเมาอย่างที่เป็นอยู่กันทุกวันนี้ วันๆ เอาแต่แสวงหาลาภ ยศ สรรเสริญ สุข
จนหลงลืมไปว่า ทั้งหมดนั้นคือทุกข์ เทียนที่มีแต่ไม่ได้จุด ไม่ให้แสงสว่างได้ฉันใด
คนที่บวชเข้ามาไม่ฝึกฝนศึกษา สั่งสม อบรม เจริญปัญญา
สุดท้ายก็ไม่ต่างอะไรกับเทียนที่ไม่ได้จุด
แม้ธูปจะหอมแต่ก็ใช้ประโยชน์ได้แค่แคบๆ ไม่กว้างไกล หากไม่ได้จุด ฉันใด
การสร้างภาพ ทำให้ผู้คนเขาดูเราว่าดี สุดท้ายก็ได้ประโยชน์สั้นๆ แคบๆ
เฉพาะตนเองชั่วขณะ หาได้ประโยชน์แก่คนหมู่มากไม่
อีกทั้งยังเป็นประโยชน์จอมปลอม
ประโยชน์ของพวกลวงโลก ทุรชนคนชั่วเสียส่วนใหญ่


ฉันเขียนอธิบายความเสียตั้งมากมาย ก็เพื่อให้ท่านทั้งหลายได้รับทราบถึงวิธีคิดของฉัน
ว่าฉันคิดอะไรอยู่ ส่วนเขาจะเข้าใจหรือไม่ พอใจหรือเปล่า ฉันคงไม่สามารถ
สุดแต่สติปัญญาและมุมมองของแต่ละคน โดยเฉพาะพวกโลกสวย
ฉันก็มิได้มุ่งหวังว่าให้มาเข้าใจฉันหรอกนะ แค่ให้รู้ว่า ฉันคิดอะไรอยู่ก็พอแล้ว
เพราะยังมีอีกมากที่พวกคุณคงมิอาจทำความเข้าใจในตัวฉันได้
ไม่เป็นไร อย่าใจร้อน กินปัญญาให้อร่อย ต้องใจเย็นๆ
ต้องรู้ให้จริง คงจะได้ ลุ้น เสียว ขำ ฮา กันต่อไป

อ้อเดี๋ยวก่อน ยังไม่ได้อธิบายเรื่องถวายสากกะเบือเลย
ที่ถวายสากกะเบือเพื่อให้รู้ว่า สากมันตำพริก ตำปู ตำปลา สร้างคุณค่าให้อาหาร
แต่ถ้าถามมันว่าได้เคยลิ้มรสชาติของที่ตำบ้างหรือไม่
เช่นเดียวกัน ผู้ที่บวชเข้ามาได้เป็นพระครู เจ้าคุณ สมเด็จ เกจิอาจารย์
พูดสอนชาวบ้านสารพัด เคยลองถามตัวเองไหมว่า
ทำได้บ้างไหม เคยได้รับรู้รสชาติของพระสัทธรรม
ของพระผู้มีพระภาคเจ้าบ้างไหม
อย่าทำตัวเหมือนสากกะเบือที่ไม่รู้รสพริก

จบแล้วนะจ๊ะ อย่าลืม ไม่ช่วยก็อย่าซ้ำนะจ๊ะ


(โปรดติดตามคำถามตอบเด็ดๆ ที่เกิดขึ้นในวัดปากน้ำ)

พุทธะอิสระ





 ping!

Cr. https://www.facebook.com/buddha.isara/posts/10153087024488446


บันทึกการเข้า

eskimo_bkk-LSV team♥
.กลุ่มผู้มีน้ำใจงาม..
member
*

คะแนน1883
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 13218


ไม่แล่เนื้อเถือหนังพวก


อีเมล์
« ตอบ #1 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 23, 2015, 05:48:18 AM »

บทสนทนาระหว่าง พระพุทธะอิสระ กับ พระพรหมโมลี

โอ้พระเจ้าจอร์จ มันแย่มาก
๒๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๘

- มติมหาเถรถือเป็นใหญ่กว่าพระธรรมวินัยใช่หรือไม่
- พระบัญชา พระลิขิตพระสังฆราช พระสงฆ์ไม่จำเป็นต้องปฏิบัติตามใช่หรือไม่
- ภิกษุผู้ต้องอาบัติปาราชิก ข้อหายักยอกทรัพย์ เมื่อคืนสินทรัพย์แล้วถือว่าพ้นผิด ไม่ต้องอาบัติ ใช่หรือไม่
- เจ้าประคุณสมเด็จพระสังฆราชทรงโจทก์ภิกษุธัมมชโยด้วยอาบัติปาราชิก ด้วยพระลิขิตถึง ๓ ครั้ง ๓ ครา ตามพระวินัย ภิกษุโจทก์ภิกษุอื่นด้วยอาบัติปาราชิกโดยไม่มีมูล เช่นนี้ควรต้องอาบัติสังฆาทิเสส คำถามคือ เมื่อมหาเถรมีมติว่านายธัมมชโยไม่เป็นปาราชิก นั่นก็แสดงว่า ท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระสังฆราช ทรงต้องอาบัติสังฆาทิเสสใช่หรือไม่
- การวินิจฉัยคดีและออกมติของมหาเถรสมาคม ๒ ครั้งมานี้ ถือเป็นบรรทัดฐานใช้ปกครองคณะสงฆ์ต่อไปถูกต้องไหม

เหล่านี้คือคำถามที่ฉันเดินทางไปหาคำตอบจากกรรมการมหาเถรสมาคมในวัดปากน้ำ ซึ่งมี ๓ (คน) ในวัดนี้ แต่กลับเจอแต่เลขาออกมาให้คำตอบ ทีนี้เรามาดูกันว่าท่านเลขา พระพรหมโมลี (สุชาติ ธัมมรตโน) ตอบว่าอย่างไร

เขาตอบข้อที่ ๑ ว่า มติมหาเถรไม่ได้เป็นใหญ่กว่าพระธรรมวินัย แต่เพื่อปกป้องพระธรรมวินัยและสังฆมณฑล (พวกคุณเชื่อไหม)

คำถามที่ ๒ เขาตอบว่า เป็นแค่บันทึกความเห็น ไม่ใช่คำสั่ง
ฉันเลยถามเพิ่มว่า บันทึกความเห็นถึง ๓ ฉบับ เช่นนี้ยังไม่เป็นคำสั่งอีกหรือ ซ้ำพระองค์ยังลงพระนามคำว่า สกลมหาสังฆปรินายก ทั้ง ๓ ฉบับอีก เช่นนี้จะถือว่าเป็นหนังสือบันทึกความเห็น ไม่มีผลได้อย่างไร
เขาตอบว่า แม้จะลงนามสกลมหาสังฆปรินายก ก็ยังไม่เป็นคำสั่ง ยังจัดอยู่ในประเภทหนังสือบันทึกความเห็นอยู่ดี (เอากับเขาสิพี่น้อง)
ฉันเลยถามต่อไปว่า เหตุใดมหาเถรจึงพิจารณาว่าหนังสือพระลิขิตนั้นเป็นหนังสือบันทึกความเห็นเท่านั้น ไม่ใช่คำสั่ง
เขาตอบว่า เพราะมีคำว่า “ถ้า”
โอ้ แม่เจ้า พี่น้องเอ๋ย เพราะคำว่า “ถ้า” นี่เอง พุทธบริษัทจึงเสียท่า เช่นนี้ จึงควรจัดสังฆทานชุดใหญ่อีกซักชุดถวายทั้งคณะ โอเคไหม

ฉันเลยถามคำถามที่ ๓ ว่าภิกษุธัมมชโย ผู้ต้องอาบัติปาราชิกเพราะยักยอกทรัพย์ เมื่อมีผู้ทวงถามแล้วคืนทรัพย์นั้น ทำไมมหาเถรจึงมีมติว่า ธัมมชโยไม่มีเจตนา ไม่ผิด และเขาก็ได้ปฏิบัติตามพระลิขิตของพระสังฆราช จึงถือว่าไม่ต้องอาบัติปาราชิก มหาเถรใช้หลักคิดอะไรมาพิจารณาว่าธัมมชโยไม่ผิด
เขาตอบฉันว่า ใช้คำว่า “ถ้า” ที่มีในพระลิขิต โดยอธิบายเพิ่มเติมว่า ในพระลิขิตใช้คำว่า “ถ้า” ซึ่งมหาเถรนำมาพิจารณาเห็นว่าไม่ได้เป็นคำตัดสิน วินิจฉัย เป็นแค่การแสดงความเห็น
โอ้ มหาแถเอ๋ย มันแถไปเห็นๆ สังฆมณฑลอยู่ได้กันอย่างไรหนอ

ฉันฟังดังนั้นทำให้อ่อนแรงไข้ขึ้น มึนไปพัก พอดีมีบุรุษนิรนามมาช่วยท่านพระพรหมโมลี ท่าจะดูดี แต่พอฉันหันไปถามว่า ถ้าหากมีโจรลักขโมยยักยอกทรัพย์ไป พอเจ้าทุกข์ทวงถาม แล้วนำทรัพย์นั้นมาคืน เช่นนี้ถือว่าไม่ผิด ไม่ต้องรับโทษใช่หรือไม่
บุรุษนิรนามพยายามบ่ายเบี่ยงไม่ตอบ พร้อมทั้งส่งสัญญาณให้ท่านเลขายุติการพูดคุย จะได้ไม่เพลี่ยงพล้ำ
ฉันเห็นกิริยาของบุรุษนิรนามที่จะมาทำลายกระบวนการซักถามให้ยุติลง ฉันจึงกล่าวขึ้นว่า หากคุณมานั่งแล้วตอบปัญหาฉันไม่ได้ ก็ไม่ควรมานั่งให้เสียบรรยากาศ และแล้วชายนิรนามจึงลุกหนีไป

ฉันจึงถามย้ำแก่พระพรหมโมลีว่า มหาเถรสมาคมนำเอาหลักการอะไรมาพิจารณาความผิดของธัมมชโย
ท่านเลขาตอบย้ำว่า มหาเถรสมาคมได้พิจารณาแล้วว่า ธัมมชโยได้คืนทรัพย์สินแก่วัดแล้ว จึงถือว่าท่านได้ทำตามลิขิตเรียบร้อยแล้ว
ฉันจึงแย้งอีกว่า ทำไมมหาเถรสมาคมจึงได้พิจารณาเฉพาะแค่หนังสือเท่านั้น ทำไมไม่นำเอาพฤติกรรมของจำเลยมาประกอบการพิจารณา ว่ามีเจตนาหรือไม่มีเจตนา ด้วยเพราะมหาเถรสมาคมอ้างว่าจำเลยไม่มีเจตนาที่จะยักยอก จึงไม่ผิด

ฉันจึงถามต่อไปว่า พฤติกรรมของจำเลย ยักยอกทรัพย์สินมีมูลค่าเป็นพันๆ ล้าน มีทั้งเงินสดและที่ดิน ด้วยจำนวนทรัพย์มีมหาศาล เป็นไปไม่ได้ที่จะทำครั้งเดียว จำเลยทำการยักยอกหลายครั้ง ต่างกรรมต่างวาระ แล้วจะมาบอกว่า ไม่มีเจตนา (คุณประยุทธ์คุณเชื่อไหม)
ท่านเลขาโต้ว่า การพิจารณามหาเถร ได้นำเอาคำสั่งอัยการมาพิจารณาด้วย เมื่อคดีนี้ไปอยู่ในมือของอัยการ หลังจากอัยการพิจารณาสำนวนแล้ว มีความเห็นสั่งไม่ฟ้อง มหาเถรสมาคมจึงนำเอาคำวินิจฉัยของอัยการมาเป็นองค์ประกอบในการพิจารณา ว่าจำเลยไม่ผิด
(ฉันรู้มาว่า หลังจากมีเจ้าคณะภาค ๑ ที่มาจากวัดพิชัยญาติ เข้ามาควบคุมการพิจารณาคดีของวัดธรรมกายฝ่ายสงฆ์ ฝ่ายอัยการก็มีการเปลี่ยนตัวกะทันหัน จนนำมาซึ่งคำสั่งไม่ฟ้อง แล้วเป็นข้ออ้างของกรรมการมหาเถรออกมีมติอัปยศดังกล่าว)

ฉันจึงถามว่า มหาเถรใช้ผลของคดีทางโลกมาเป็นหลักในการตัดสินอาบัติปาราชิกของพระพุทธศาสนาได้อย่างไร
ท่านเลขาแย้งว่า เป็นระเบียบของกฎนิคหกรรม โดยอ้างว่ากฎนิคหกรรมบัญญัติไว้ว่า หากคดีทางโลกตัดสินว่าสิ้นสุด ทางธรรมถือว่าให้ยุติ ไม่ต้องสอบสวนเอาผิดต่อไป (ดู ดู ดูพี่เขาแถไปสิพี่น้อง)
ฉันฟังแล้วยิ่งเป็นมึน เลยถามย้ำว่า หลักพระธรรมวินัยบอกไว้ชัดว่า ภิกษุประพฤติละเมิดสิกขาบท ลักทรัพย์โดยประกอบด้วยเจตนา ทรัพย์นั้นราคาเกิน ๕ มาสก ต้องอาบัติปาราชิก ขาดจากความเป็นพระ เมื่อทำให้ทรัพย์นั้นพ้นจากฐานที่ตั้ง หากเป็นทรัพย์ที่เคลื่อนที่ไม่ได้ เช่น ที่ดิน เป็นอาบัติต่อเมื่อโอนเป็นของตนสำเร็จ แม้จะโอนคืนเจ้าของเดิมไปอีกครั้ง เมื่อมีผู้จับได้ ภิกษุนั้นก็มิอาจพ้นจากปาราชิกได้ ไม่มีสิกขาบทไหนบอกว่าต้องรอฟังคำวินิจฉัยของอาณาจักรก่อนเลย

ท่านเลขาจึงตัดบทว่า เรื่องนี้มันเกิดขึ้นมาตั้ง ๑๕ – ๑๖ ปีแล้ว เพื่อความสงบของสังฆมณฑล จึงไม่ควรรื้อฟื้นเอามาพูดกันใหม่ จะทำให้สังคมไม่สงบสุข (ดูเขาทำ ดูเขาทำ แสดงว่ามหาแถกมีธงอยู่ในใจแล้วว่า ให้มันจบๆ ไป โดยไม่สนใจ ไม่ใส่ใจ หลักการของพระธรรมวินัย เช่นนี้จึงสมควรถวายสังฆทานชุดใหญ่ทั้งคณะ อีกหลายๆ รอบ)

ฉันจึงถามว่า ตามพระวินัย ภิกษุโจทก์ภิกษุอื่นด้วยอาบัติปาราชิก หากไม่ผิดจริง ภิกษุผู้โจทก์ต้องอาบัติสังฆาทิเสส เช่นนี้มหาเถรจะปรับอาบัติสังฆาทิเสสแก่ท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระสังฆราชด้วยหรือไม่
ท่านเลขาตอบว่า คงไม่ปรับ เพราะพระองค์โจทก์ด้วยความปรารถนาดี มิได้มีเจตนาใส่ร้าย (เอาเข้าไป พระวินัยบัญญัติไว้ หากผู้ถูกโจทก์ไม่ผิดจริง ผู้โจทก์ต้องอาบัติสังฆาทิเสส แล้วเวลานี้ผู้ถูกโจทก์คือนายธัมมชโย ไม่ผิดจริงตามมติมหาเถร แล้วท่านผู้โจทก์ถูกมหาเถรทิ้งของเหม็นเอาไว้ให้ท่านอีก ทั้งที่ท่านทรงสิ้นพระชนม์ไปแล้ว นี่แหละเป็นสาเหตุหนึ่งที่ฉันทนเฉยอยู่ไม่ได้)

ฉันจึงเปลี่ยนไปถามว่า การวินิจฉัยคดีของมหาเถระสมาคมในครั้งนี้ จะถือเป็นบรรทัดฐานในการปกครองคณะสงฆ์ในอนาคตต่อไปใช่ไหม คือถ้าหากผมไปขโมยหรือยักยอกทรัพย์สินของวัดหรือชาวบ้าน เมื่อถูกเจ้าของจับได้ ผมนำมาคืน ถือว่าผมไม่เป็นปาราชิก พ้นผิด ถูกต้องใช่หรือไม่)
ท่านเลขาท่านตอบว่า มันไม่เหมือนกัน จะนำมาเป็นบรรทัดฐานเดียวกันไม่ได้ (อ้าว แล้วจะยังไง ใครรู้ ช่วยตอบที)

ยิ่งถาม ดูท่านยิ่งวนไปวนมา อึดอัดมากอยู่ ฉันจึงถามคำถามสุดท้ายแบบเปิดใจว่า ผมถามท่านจริงๆ เถิดว่า มหาเถรสมาคมเคยเรียกนายธัมมชโยมาสอบบ้างหรือไม่
ท่านเจ้าคุณพระพรหมสุธีเลขาจึงตอบว่า “ไม่เคยเรียกธัมมชโยมาสอบเลย”
ฉันจึงถามต่อว่า แล้วมหาเถรใช้อะไรมาเป็นหลักฐานการพิจารณา
ท่านเลขาตอบว่า ใช้หลักฐานเก่าที่ได้จากการรายงานของเจ้าคณะปกครองเมื่อ ๑๕ ปีที่แล้ว
อุบ๊ะ ปาดโท่ เวรกรรมของพุทธบริษัทไทย นี่หรือมาตรฐานความยุติธรรมขององค์กรปกครองคณะสงฆ์

ยิ่งถาม ยิ่งซัก ยิ่งเห็นความอยุติธรรม ความลำเอียง ความไม่ซื่อตรง ความไม่เอื้อเฟื้อพระธรรมวินัย ความคุ้นเคยกับการละเมิดอาบัติของมหาแถมากขึ้นทุกที จนดูเป็นเรื่องเล็กน้อย ธรรมดา จิ๊บจ๊อยมาก สำหรับพวกเขา

ควรแล้วหรือยัง คุณประยุทธ์ คสช. สนช. สปช. และประชาชนคนรักชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ที่จะลุกขึ้นมาขจัดปัดเป่า ปกป้องสถาบันอันเป็นที่รักยิ่งของพวกเรา งานนี้ใครไม่ทำ เดี๋ยวพุทธะอิสระทำเอง วันจันทร์นี้จะไปยื่นหนังสือแก่ สปช. ท่านเทียนฉาย กีระนันทน์ และคุณบวรศักดิ์ รวมทั้งจะไปพบและยื่นหนังสือให้แก่ท่าน มล.ปนัดดา รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ให้ชงเรื่องเข้าสู่คณะรัฐมนตรีเร่งด่วน ส่วนจะชงเรื่องอะไร โปรดติดตามตอนต่อไป

พุทธะอิสระ




Cr. https://www.facebook.com/buddha.isara/posts/10153087177063446
บันทึกการเข้า
eskimo_bkk-LSV team♥
.กลุ่มผู้มีน้ำใจงาม..
member
*

คะแนน1883
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 13218


ไม่แล่เนื้อเถือหนังพวก


อีเมล์
« ตอบ #2 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 23, 2015, 07:15:54 AM »

แยกพระ-แยกโจร 'คนผ้าเหลือง'

    "พุทธศาสนา" เปรียบดั่ง "แก้วรัตนะ" มีชิ้นเดียวใน ๓ โลก ธุลี-เครื่องทำให้เศร้าหมอง เป็นเพียงสิ่งจรมา
    กรณีธัมมชโย ก็ดี กรณีมหาเถรสมาคมวินิจฉัยว่า ธัมมชโยโกงแล้วคืนถือว่าไม่ผิด ไม่เป็นปาราชิก ก็ดี
    นั่น....เหมือนฝุ่นธุลี ปลิวมาแปดเปื้อน
    เหมือนแมลงวัน สัตว์ที่กินอาจมเป็นวัตร บินมาเกาะแก้วรัตนะ!
    เราทั้งหลายในความเป็นพุทธบริษัทที่ "สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า" ตรัสฝากแก้วรัตนะดวงนี้ไว้ให้ช่วยกันรักษาเป็นสมบัติมนุษยชาติ
    ก็ควรใช้ผ้าสะอาด เช็ด-ปัด ฝุ่นธุลี มีสติ ทะนุถนอม ด้วยมือเบา ระวังมิให้พลาดพลั้ง กระทบกระทั่งถึง "แก้วรัตนะ" กระเทือน
    การขับไล่สัตว์-ด้วง-หนอน และ "แมลงวันหัวเหลือง-หัวโล้น" อันมีมูตรคูถและกองขยะเน่าเป็นที่เกาะอยู่กิน ก็เช่นกัน
    เราอย่าใช้ความรัก ความหวงแหนในแก้วรัตนะ ทำหน้าที่พุทธบริษัทแบบหุนหันพลันแล่น คว้ามีด คว้าไม้ คว้าอะไรได้ ก็ด่าขรม ฟาดเปรี้ยงปร้าง โครมคราม
    แบบนั้น...สัตว์ร้าย ด้วง หนอน แมลงวันหัวเหลือง-หัวโล้น.......
    นอกจาก "ไม่ไป และ ไม่ตาย"!
    แต่ "แก้วรัตนะ" จะแตกกระจายไปก่อน จากการทำหน้าที่ผลีผลาม ขาดสติ ขาดหลักการและขาดความรับผิดชอบเท่าที่ควร
    สรุป คือ อย่าพูด-โพสต์ ข้อความและภาพ ด้วยข้อความและคำหยาบช้า "ด่าพระ"!   
    เพราะ "พระ" ในองค์รวมแห่งความเป็นพุทธบุตรแท้จริง  พระคุณเจ้าจะไม่ทำอะไรเป็นเหตุให้ต้องใช้ถ้อยคำและความรู้สึกด้านลบตอบสนองเช่นนั้น
    แต่ที่ทำเป็นเหตุให้ไม่ชอบใจ โกรธ ต้องด่ากันอยู่เวลานี้  นั่นเป็นพวกอลัชชี-เดียรถีย์ เป็นตาลยอดด้วน เป็นเถนเฒ่าเอาพรรษา อาศัยผ้าธงชัยพระพุทธศาสนาคลุม
    ซึ่งเป็นธรรมดาในแต่ละสังคม-องค์กร-ศาสนา ซึ่งประกอบด้วยชนหมู่มาก มีที่มาหยาบ-ละเอียดต่างกัน ไหลรวมเข้ามาปะปนบ้างเป็นธรรมดา
    ดังนั้น แยกส่วนด้วยจิตใคร่ครวญให้ดี ค่อยทำไปด้วย "แยกแยะ" วัด-พระ-ผ้าเหลือง-ศาสนา-องค์ธรรม-อลัชชี-โจรแฝง และแมลงวันหัวเหลือง-หัวโล้น บนความรับผิดชอบที่ถูก-ที่ควรเถิด
    แม้สมัยพุทธกาล ก็มี-ก็เป็น เช่นนี้!
    ควรต้องเข้าใจ ศีลของพระ ๒๒๗ ข้อ มิใช่พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติขึ้นเอง หากแต่บัญญัติแต่ละข้อในขณะพระองค์ยังมีพระชนม์ชีพอยู่นั่นแหละ
    คือมีคนเข้ามาบวช แล้วทำไม่เหมาะ-ไม่งาม ชาวบ้านต่างตำหนิ ติเตียน ว่าเป็นการกระทำไม่เหมาะภาวะสงฆ์สาวก
    เมื่อความทราบถึงสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า พระองค์ทรงเรียกประชุมสงฆ์ และตรัสไต่ถามเรื่องราวจากพระที่ก่อเหตุ
    ได้ความแล้ว จึงทรงบัญญัติเป็นข้อห้าม เรียกว่า "อาบัติ" พระรูปใดทำอีกต้องถูกปรับอาบัติ ตามความหนัก-เบา
    ส่วนพระรูปที่เป็นต้นเหตุ ถือเป็น "ต้นบัญญัติ" นับจากบัญญัติเป็นข้อห้ามแล้ว ทำอีกต้องอาบัติทันที
    ในเว็บ "มูลนิธิศึกษาและเผยแผ่พระพุทธศาสนา" มีผู้ถาม-ตอบไว้สรุปย่อๆ ดังนี้
    "อาบัติ" คือ การตกไป ตกไปจากความดี
    เป็นโทษ ที่เกิดเพราะความละเมิดในข้อ (พระวินัยบัญญัติ) ที่พระพุทธเจ้าตรัสห้าม
    กล่าวโดยชื่อ อาบัติมี ๗ อย่าง คือ ปาราชิก/สังฆาทิเสส/ถุลลัจจัย/ปาจิตตีย์/ปาฏิเทสนียะ/ทุกกฏ/ทุพภาษิต
    กล่าวโดย โทษมี ๓ สถาน คือ
    ๑.อาบัติอย่างหนัก ทำให้ภิกษุผู้ต้องอาบัตินั้น ขาดจากความเป็นภิกษุ อันหมายถึง "ปาราชิก" ซึ่งเป็นอาบัติที่แก้ไขไม่ได้ เรียกว่า อเตกิจฉา
    ๒.อาบัติอย่างกลาง ทำให้ภิกษุผู้ต้องอาบัตินั้นต้องอยู่กรรม (ปริวาส หรือมานัตโดยประพฤติวัตรอย่างหนึ่งเพื่อทรมานตน อันหมายถึง สังฆาทิเสส)
    ๓.อาบัติอย่างเบา ทำให้ภิกษุผู้ต้องอาบัตินั้น ต้องประจานตนต่อหน้าภิกษุด้วยกัน แล้วจึงจะพ้นโทษนั้นได้   ได้แก่ ถุลลัจจัย ปาจิตตีย์ ปาฏิเทสนียะ ทุกกฏ และทุพภาษิต       
    อาบัติอย่างกลางและอย่างเบานั้น เป็นอาบัติที่ยังแก้ไขได้ เรียกว่า สเตกิจฉา
    ความหมายของอาบัติแต่ละอย่าง
    (๑) อาบัติปาราชิก ผู้พ่ายแพ้ ขาดจากความเป็นภิกษุ
    (๒) อาบัติสังฆาทิเสส ต้องอาศัยสงฆ์ในการออกจากอาบัติ
    (๓) อาบัติถุลลัจจัย อาบัติที่เกิดจากการกระทำที่หยาบคาย
    (๔) อาบัติปาจิตตีย์ อาบัติที่ทำให้ความดีงามตกไป
    (๕) อาบัติปาฏิเทสนียะ อาบัติที่ต้องแสดงคืนกับบุคคลที่ทำให้ต้องอาบัติ
    (๖) อาบัติทุกกฏ อาบัติที่เกิดจากการทำที่ไม่ดีไม่เหมาะสม
    (๗) อาบัติทุพภาษิต อาบัติที่เกิดจากการพูดไม่ดีไม่เหมาะสม
    ครับ...เพียงอยากเสริมเป็นความเข้าใจเล็กๆ น้อยๆ เบื้องต้น เพราะหมู่นี้ เรื่องพระ-เรื่องศาสนาจะฮิต เพื่อการพูด/ฟัง/โพสต์ ที่เหมาะสม ศึกษาไว้หน่อยก็ดี
    กรณีธัมมชโยและมหาเถรสมาคม ไม่ถือเป็น "ต้นบัญญัติ" เพราะสิ่งที่ทำ เคยมีพระนอกรีต-นอกรอยทำมาก่อน แล้วพระพุทธองค์ทรงบัญญัติเป็นข้อไว้กว่า ๒๕๕๘ ปีมาแล้ว
    ห้ามทำ ถ้าทำเป็นอาบัติทันที!
    ฉะนั้น ธัมมชโยยักยอกทรัพย์เป็นของตน แม้คืน ก็ต้องอาบัติขั้นครุกาบัติ คือร้ายแรง ขาดจากความเป็นพระสถานเดียว
    แต่การที่มหาเถร กลับช่วยกันปกปิด-บิดเบือนอาบัติ โดยอ้างว่า "เรื่องนานกว่า ๑๗ ปีแล้ว ยกประโยชน์ให้แมลงวันหัวเหลือง-หัวโล้น เพื่อ 'ความปรองดอง' ไปเถอะ"!
    นั่น...ไม่มีในพุทธบัญญัติ ตั้งกว่า ๒ พันปี ไม่เคยมีใครอัปรีย์อ้างปรองดองลบพระวินัย ก็เพิ่งมี "มหาเถรกลายธรรม" ยุคนี้แหละ ทึกทัก ๑๗ ปี ปรองดอง ล้างอาบัติปาราชิก!
    ก็ขอกราบเรียนพระคุณเจ้า...........
    มหาเถรองค์ใด ช่วยปกปิดอาบัติทั้งอาบัติตัวเอง และอาบัติผู้อื่น เช่น ธัมมชโย รวมทั้งตัดสินอธิกรณ์แบบ "บิดเบือนพระวินัย" อันพระพุทธองค์ตรัสไว้ดีแล้ว
    ล้วนผิดศีล ต้องอาบัติ คือเป็นผู้ตกไปจากความดี  ความข้อนี้ พระคุณเจ้าผู้ประเสริฐทั้งหลาย ทราบ "ด้วยจิตละอาย" รู้อยู่...แต่ก็ยังทำ ใช่ไหมขอรับ?
    วันนี้ ขึ้น ๖ ค่ำ อีก ๙ วัน ก็จะเป็นวัน ขึ้น ๑๕ ค่ำ!
     ขึ้น ๑๕ ค่ำ ปีนี้ สำคัญยิ่ง เพราะตรงกับวันที่ ๔  มีนาคม เป็น "วันมาฆบูชา"
    วันมาฆบูชา คือวันที่สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงแสดงพระธรรมเทศนาอันเป็น "หัวใจพระพุทธศาสนา" คือ "โอวาทปาติโมกข์" ต่อพระสงฆ์ ๑,๒๕๐ รูป ผู้เป็นพระอรหันต์ทั้งสิ้น เป็นครั้งแรก
    พระคุณเจ้าผู้ประเสริฐทั้งหลาย อันมีคณะกรรมการ "มหาเถรสมาคม" ปกครอง โดยสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ วัดปากน้ำ ทำหน้าที่สังฆราชะ
    พระคุณเจ้าทราบใช่ไหมขอรับ....?
    ว่าการทำให้ "สังฆกรรมวิบัติ" ด้วยเจตนา เป็นอกุศลกรรม เท่ากับปิดประตูสวรรค์-นิพพาน และเปิดประตูนรกรับ โดยเฉพาะกับ "พระผู้เป็นเสียเอง"!
    การลงพระอุโบสถ ร่วมฟังพระปาติโมกข์ทุกวันพระ ๑๕  ค่ำ นั่นคือสังฆกรรมอย่างหนึ่ง ห้ามมิให้ผู้มีศีลวิบัติเข้าร่วม
    และคำว่าศีลวิบัติ ไม่เพียงอลัชชีอย่างธัมมชโยเท่านั้น  พระผู้ปกปิดอาบัติ ต่อให้สูงชั้นอภิมหาสมเด็จ ถ้าไม่แสดงอาบัติตามขั้นตอนความผิด หนัก-กลาง-เบา ให้ถูกต้อง-ครบถ้วนก่อน
    ถ้าร่วมสังฆกรรม ก็จะทำให้สังฆกรรมนั้นวิบัติ!
    ดังนั้น วันพระ ๑๕ ค่ำ อันเป็นวันมาฆบูชาที่จะถึงนี้......!
    พระคุณเจ้าผู้ทรงสมณศักดิ์สูงในฐานะ "มหาเถรสมาคม" ผู้มีศีลบริสุทธิ์-บริบูรณ์ครบถ้วนดีแล้วทั้งหลาย
    จงสดับโอวาทปาติโมกข์ สำเหนียกด้วยจิตธรรมเถิด..........
     แล้วน้อมโอวาทปาติโมกข์ ข้อ ๒ อันเป็นบัญญัติตามคำสั่งของ "สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า" เข้ามาเปรียบเทียบ-ใคร่ครวญกับองค์พฤติกรรมความผิดของธัมมชโย ที่พระคุณเจ้าตัดสินไปว่า "ไม่ผิด" นั้น
    ว่า............
    พระพุทธองค์ "ตรัสผิด" ไปจากที่มหาเถรกลายธรรม ทำ เพื่อธัมมชโย
    หรือ....
    มหาเถรกลายธรรม "ทำผิด" ไปจากคำที่พระพุทธองค์ตรัส เพื่อธัมมชโย?
    โย ปน ภิกฺขุ คามา วา อรญฺญา วา อทินฺนํ เถยฺยสงฺขาตํ  อาทิเยยฺย, ยถารูเป อทินฺนาทาเน ราชาโน โจรํ คเหตฺวา หเนยฺยุ วา พนฺเธยฺยํ วา ปพฺพาเชยฺยํ วา, โจโรสิ พาโลสิ มูโฬฺหสิ เถโนสีติ ตถารูปํ ภิกฺขุ อทินฺนํ อาทิยมาโน, อยมฺปิ ปาราชิโก โหติ อสํวาโส.
    คำด่า ต่อให้ โซ่ หวาย ไม่ทำให้ "ผู้มีใจฝึกแล้วประเสริฐ" ระลึกสำนึกรู้ในผิด-ถูก-ชั่ว-ดี ได้
    กับความเป็น "ภิกษุภาวะ" ส่วนมาก จะมีพื้นฐานมาจากการเป็นผู้มีใจฝึกแล้วประเสริฐ
    ฉะนั้น การปฏิบัติจากพุทธบริษัท ด้วยหันหลังให้ เป็นการ "คว่ำบาตร" พระรูปนั้น หมู่คณะนั้น และคำเตือน-คำตำหนิ อันประกอบด้วยธรรม
    จะมีน้ำหนัก ยิ่งกว่า โซ่-แส้-หวาย และคำด่าทอใดๆ
    เพราะคำประกอบด้วยธรรม จะเฆี่ยนตี-โบย "จิตสำนึก" สมณะนั้นๆ ให้ตกนรกหมกไหม้ "ตายทั้งเป็น" ซึ่งมันเป็นความตาย ลึกและทรมานกว่า "นรกขุมที่ ๘" สำหรับพระที่ "ยิ่งยศ-ยิ่งใหญ่"
    แต่...."เหยียบย่ำ-ทำลาย" พุทธธรรมจากโอษฐ์พุทธองค์!


Cr. เปลว สีเงิน http://www.thaipost.net/
บันทึกการเข้า
พรเทพ-LSV team♥
รับติดตั้งจานดาวเทียม ลาดพร้าว บางกะปิ
Senior Member
member
*

คะแนน1453
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 12090

091-091-9196 ID LINE : tv59


เว็บไซต์
« ตอบ #3 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 23, 2015, 09:39:16 AM »

http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9B%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%8A%E0%B8%B4%E0%B8%81

ปาราชิก คือประเภทของโทษที่เกิดจากการล่วงละเมิดสิกขาบทประเภท ครุกาบัติที่เรียกว่า อาบัติปาราชิก

คำศัพท์ว่า ปาราชิกนั้น แปลว่า ยังผู้ต้องพ่าย หมายถึง ผู้ต้องพ่ายแพ้ในตัวเองที่ไม่สามารถปฏิบัติในพระธรรมวินัยที่พระพุทธเจ้าทรงประทานไว้ให้ได้

ปาราชิก มี 4 ข้อ อยู่ใน ศีล 227 ได้แก่

1.เสพเมถุน แม้กับสัตว์เดรัจฉานตัวเมีย (ร่วมสังวาสกับคนหรือสัตว์)
2.ถือเอาทรัพย์ที่เจ้าของไม่ได้ให้ มาเป็นของตน จากบ้านก็ดี จากป่าก็ดี (ขโมย) ได้ราคา 5 มาสก(5 มาสกเท่ากับ 1 บาท)
3.พรากกายมนุษย์จากชีวิต (ฆ่าคน) แสวงหาและใช้เครื่องมือประหารและจ้างวานฆ่าคน หรือพูดพรรณาคุณแห่งความตายให้คนนั้นๆยินดีที่จะตาย(โดยมีเจตนาหวังให้ตาย)
4.กล่าวอวดอุตริมนุสธรรมที่ไม่จริง อันเป็นความเห็นอย่างประเสริฐ อย่างสามารถ น้อมเข้าในตัวว่า ข้าพเจ้ารู้อย่างนี้ ข้าพเจ้าเห็นอย่างนี้ (ไม่รู้จริง แต่โอ้อวดความสามารถของตัวเอง)
อาบัติปาราชิกทั้ง 4 นี้เป็นอาบัติหนักที่เรียกว่า อเตกิจฉา คือไม่สามารถแก้ไขได้เลย

โทษของอาบัติปาราชิก[แก้]
พระภิกษุต้องอาบัติปาราชิกสี่ข้อใดข้อหนึ่ง แม้จะไม่กล่าวลาสิกขาบท ก็ถือว่าขาดจากความเป็นพระภิกษุทันที เมื่อความผิดสำเร็จ เมื่อขาดจากความเป็นพระแล้วก็ถือว่าไม่ใช่พระภิกษุอีกต่อไปไม่สามารถอยู่ร่วมกับภิกษุอื่นหรือคณะหมู่สงฆ์ได้เลย ต้องลาสิกขาบทออกจากเป็นพระภิกษุทันที มิฉะนั้นจะกลายเป็นพวกภิกษุอลัชชี(หน้าด้าน)หลอกหากินกับชาวบ้านด้วยความศรัทธา นอกจากนั้นจะไม่สามารถกลับเข้ามาบวชใหม่ได้เลยตลอดชีวิต แม้จะบวชเข้ามาได้ก็ไม่ใช่พระภิกษุที่ถูกต้องตามพระธรรมวินัย และไม่อาจเจริญในพระธรรมวินัยจนไม่สามารถบรรลุมรรคผลนิพพานใดๆเลยตลอดชีวิต(เพียงชาติที่ยังมีชีวิตอยู่เท่านั้น) เพราะเป็นมูลเฉทคือ ตัดรากเหง้า เปรียบเสมือนคนถูกตัดศีรษะ เป็นตาลยอดด้วน แต่โชดดีที่ไม่ห้ามขึ้นสวรรค์ซึ่งแตกต่างกับอนันตริยกรรมที่ห้ามทั้งสวรรค์และนิพพานเพราะอาบัติปาราชิกนั้นมีไว้สำหรับเพศบรรชิต ถ้าพระภิกษุผู้ต้องอาบัติปาราชิกนั้นสำนึกผิดและลาสิกขาบทออกจากเป็นพระภิกษุแล้วทำบุญกุศลแล้วตายไปก็จะสามารถขึ้นสวรรค์ได้ แต่ถ้ายังดื้อด้านไม่ยอมลาสิกขาบท ตายไปต้องตกนรกที่ลึกที่สุดคือ มหาขุมนรกอเวจี

ตามนี้

บันทึกการเข้า

หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป: