คนญี่ปุ่นเขาเลี้ยงลูกกันอย่างไร........................
LSVคลังสมองออนไลน์ "ปีที่21"
มีนาคม 29, 2024, 05:50:00 PM *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
   หน้าแรก   ช่วยเหลือ เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก  
หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: คนญี่ปุ่นเขาเลี้ยงลูกกันอย่างไร........................  (อ่าน 2197 ครั้ง)
BenQ
member
*

คะแนน214
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4790


อีเมล์
« เมื่อ: มกราคม 27, 2007, 09:02:29 PM »

คนญี่ปุ่นเขาเลี้ยงลูกกันอย่างไร
ประเทศมหัศจรรย์

รู้สึกแปลกใจและทึ่งเหมือนผมไหมครับ... เวลาเราพูดถึงประเทศมหัศจรรย์ประเทศหนึ่งซึ่งเป็นประเทศที่แพ้สงครามโลกครั้งที่ 2 อย่างยับเยิน โดนระเบิดปรมาณูถึง 2 ลูก บ้านเมืองและเศรษฐกิจพังพินาศ แต่ปัจจุบันประเทศนี้กลายเป็นประเทศพัฒนาแล้ว และเป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจที่มีรายได้ประชาชาติ (GDP) สูงเป็นอันดับ 2 ของโลก เป็นรองแต่เพียงประเทศสหรัฐอเมริกาเท่านั้น ทราบแล้วใช่ไหมครับว่าประเทศนั้นคือประเทศญี่ปุ่นนั่นเอง ผมเคยสนใจเก็บข้อมูลเรื่องนี้มานานแล้วครับว่าคนญี่ปุ่นนั้นเขาเลี้ยงลูกอย่างไร หรือเขามีลักษณะพิเศษต่างจากชนชาติอื่นอย่างไร ทำไมใช้เวลาเพียง 20-30 ปี ฟื้นฟูและพัฒนาประเทศได้รวดเร็วขนาดนี้ ทุกวันนี้เราก็ขับรถญี่ปุ่น เครึ่องใช้ไฟฟ้า อุปกรณ์อีเลคทรอนิค คอมพิวเตอร์มือถือ กล้องดิจิตอลก็ของญี่ปุ่น ร้านอาหารญี่ปุ่นก็ขายดี ร้านขนมญี่ปุ่นก็ขายดี เด็กๆ ของเราก็ติดภาพยนตร์หรือการ์ตูนญี่ปุ่นกันงอมแงม ญี่ปุ่นมีอะไรดีเกี่ยวข้องกับเชื้อชาติ วัฒนธรรม ความเชื่อ การเลี้ยงดู และระเบียบวินัยหรือไม่ เป็นเรื่องที่น่าสนใจ เหตุผลที่ผมต้องมานำเรื่องนี้มาพูดคุยก็เพราะมีแรงจูงใจครับ คือเมื่อไม่นานมานี้ผมได้มีโอกาสดูแลเด็กญี่ปุ่นคนหนึ่งที่โรงพยาบาลเอกชน เด็กคนนี้เป็นออทิสติกครับ ค่อนข้างซนอยู่ไม่นิ่ง เขาเดินเข้าไปที่อ่างน้ำล้างมือของห้องตรวจโรค ปิดฝาระบายน้ำแล้วเปิดน้ำเล่นจนเกือบล้น พอดีคุณแม่ชาวญี่ปุ่นเหลือบไปเห็นเข้า เธอมีท่าทีตกใจและเกรงใจผมมากรีบพูดขอโทษ "sorry ...sorry ..sorry" (นึกภาพท่าทาง เวลาเราเห็นคนญี่ปุ่นขอโทษในโทรทัศน์ประกอบไปด้วย) ลักษณะที่แสดงออกบ่งบอกความเกรงใจเดือดร้อนเป็นอย่างยิ่งเกินกว่าชนชาติ (ดูเหมือนโอเวอร์ก็ว่าได้) แต่เขาไม่ได้แกล้งทำครับ เพราะตรงกับที่พยาบาลและเจ้าหน้าที่ที่โรงพยาบาลบอกเล่าว่าคนไข้ชาวญี่ปุ่นส่วนใหญ่น่ารักคือจะมีระเบียบวินัยดีมาก เวลานัดหมายก็มักมาตรงเวลา ถ้าจะผิดนัดหรือติดธุระก็จะโทรศัพท์มาเลื่อนล่วงหน้าพร้อมกับขอโทษ (ปกติเจ้าหน้าที่ต้องเป็นฝ่ายโทรศัพท์ไปตาม)

วินัยของคนในชาติ

วินัยของคนในชาติสะท้อนออกมาผ่านวินัยจราจร ใครเคยไปประเทศญี่ปุ่นคงเห็นความมีวินัยของคนญี่ปุ่นที่เข้าแถวรอขึ้นรถไฟใต้ดินตรงเส้น ถ้าเราไปออกนอกแถวที่เข้าคิว (เป็นเส้นด้านข้างไม่ใช่ล้ำเข้าเส้นอันตรายหน้าแถวนะครับ) เราจะถูกเจ้าหน้าที่เข้ามาเตือนให้อยู่ตรงแถวทันที ทุกคนเข้าแถวตรงเป๊ะ วินัยจราจรบนถนนดี เยื่ยม ไฟเขียวไฟแดงและทางม้าลายของเขาศักดิ์สิทธิมาก (เช่นเดียวกับประเทศสิงคโปร์) ถ้าใครเคยไป เวลาจะข้ามทางม้าลาย สี่แยกจะเห็นว่าแค่ไฟ เหลืองเท่านั้น ทุกอย่างสงบนิ่ง คือรถจอดสนิท ต่างจากบ้านเราข้ามทางม้าลาย แท้ๆ รถบางคันวิ่งมาไม่ยั้งแถมยังเปิดไฟสูงบีบแตรไล่ (ถ้าจะข้ามถนนก็ต้องวัดดวงวัดใจคนขับกันหน่อย) หรือไฟเหลืองก็ หมายถึงให้เหยียบคันเร่งรีบไปเพื่อให้พ้นไฟแดง ใครหยุดที่ไฟเหลืองอาจถูกคนที่นั่งข้างๆ ต่อว่าว่า "หยุดทำไม จะบ้าหรือเปล่า ทำไมไม่รีบไป" ดังนั้นวินัยของคนในชาติเป็นเรื่องดีแน่ไม่ต้องสงสัย เพราะทำให้คนเราอยู่ร่วมกันในสังคมได้อย่างมีความสงบสุข นอกจากนี้เราคง เคยได้ยินกิตติศัพท์ของคนญี่ปุ่นในเรื่องการเอาจริงเอาจัง ความรับผิดชอบ และความจงรักภักดีต่อองค์กรและประเทศชาติสูงมาก ซึ่งมีส่วนทำให้พัฒนาประเทศได้รวดเร็ว

ลักษณะพิเศษของครอบครัวญี่ปุ่น

เราคงเคยได้ยินกันมาแล้วว่าครอบครัวญี่ปุ่นนั้นสามีเป็นใหญ่คล้ายสังคมจีน ผู้ชายนั้นมักมีภาระงานมาก และคนญี่ปุ่นก็เป็นคนเอาจริงเอาจังกับงานมาก หลังเลิกงานแล้วก็จะต้องออกไปสังสรรกับลูกค้าจนดึกดื่น ดังนั้น ผู้หญิงจึงมีหน้าที่หลักในการดูแลบ้าน สามีและลูก เป็นเรื่องแปลกที่ผู้หญิงญี่ปุ่นส่วนใหญ่เองก็ยอมรับสภาพนี้ด้วยความเต็มใจ เคยดูสารคดี เป็นเรื่องของแม่บ้านชาว ญี่ปุ่น ซึ่งมี การศึกษาสูงเป็นเภสัชกร เธอจะทำงานเพียงแค่ช่วงเวลาบ่าย 3-4 ชั่วโมงเท่านั้น ที่เหลือเธอเอาเวลามาทำ หน้าที่เป็นแม่บ้านหมดอย่างเต็มใจ และตั้งอกตั้งใจ

แผ่นดินไหว พายุไต้ฝุ่น และพ่อ

แผ่นดินไหว พายุไต้ฝุ่น และพ่อเป็น 3 สิ่งที่เด็กญี่ปุ่นกลัวที่สุด สุภาษิตโบราณของชาวญี่ปุ่นคงพอจะสะท้อนหน้าที่สำคัญของพ่อได้ ถึงแม้พ่อจะไม่ค่อยมีเวลาให้ลูก แต่ทำหน้าที่สำคัญในการควบคุมกฎเกณฑ์ระเบียบวินัยของลูก ซึ่งน่าจะมาจากสภาพสังคมชาวญี่ปุ่นสมัยโบราณที่ผู้ชายเป็นผู้นำของสังคม พ่อบ้านในฐานะเป็นผู้นำของครอบครัว จึงมีบทบาทอย่างมากในการควบคุม กฏเกณฑ์ ระเบียบวินัยในบ้าน จนทำให้ลูกรู้สึกกลัวในฐานะเป็นภัยอันตรายใกล้ตัวที่สุด (ถ้าทำสิ่งไม่ถูกต้อง)

ความแตกต่างของคนญี่ปุ่นจากชนชาติอื่น

มีงานศึกษาวิจัยที่น่าสนใจมากเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของสังคม และวัฒนธรรมที่มีต่อพฤติกรรมก้าวร้าวของคน (Landau, 1984) และเกี่ยวข้องกับคนเชื้อชาติญี่ปุ่นที่เรากำลังพูดถึงกันอยู่ เขาทำการศึกษาความเครียดที่เกิดขึ้นในสังคมว่าจะสัมพันธ์กับพฤติกรรมก้าวร้าวรุนแรงของคนในสังคมหรือไม่ เขาใช้อัตราของครอบครัวที่มีปัญหาหย่าร้างต่อครอบครัวที่ชีวิตสมรสราบรื่นเป็นตัวบอกถึงความเครียดในสังคม นั่นหมายความว่ายิ่งใน สังคมของประเทศใดมีอัตราที่ว่านี้สูง สภาพครอบครัวย่อมไม่มั่นคง เมื่อคนใน ครอบครัวมีความเครียดก็มีผลทำให้ความเครียดในสังคมสูงตามไปด้วย จากการศึกษานี้พบว่าประเทศใดที่มีสภาพสังคมที่มีความตึงเครียดสูงก็จะมีอัตราของอาชญากรรมและการทำร้ายผู้อื่นสูงตามไปด้วย อธิบายให้ง่ายๆก็คือเมื่อคนเราเครียด ความก้าวร้าวรุนแรงก็จะพุ่งไปสู่คนอื่น (ตัวอย่างเช่น สภาพสังคมของคนอเมริกันที่มีอัตราการหย่าร้างสูงก็จะมีความก้าวร้าวรุนแรงในสังคมสูง) จากทั้งหมด 12 ประเทศที่ทำการศึกษาพบว่ากฏเกณฑ์นี้ เป็นกับทุกประเทศ ยกเว้นอยู่ประเทศเดียวที่ไม่เป็นไปตามกฏเกณฑ์นี้ คือ ประเทศญี่ปุ่น แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าคนญี่ปุ่นไม่ได้รับผลกระทบอะไรเลย เพียงความตึงเครียดในสังคมกลับไปสัมพันธ์กับอัตราการฆ่าตัวตายที่สูงขึ้นแทน พูดง่ายๆ อีกครั้งก็คือเมื่อเกิดความตึงเครียดแล้ว แทนที่ความก้าวร้าวรุนแรงจะพุ่งออกไปโดยการทำร้ายผู้อื่นกลับพุ่งย้อนกลับเข้าหา ตัวเองโดยการฆ่าตัวตายแทน ญี่ปุ่นเป็นประเทศที่อัตราการฆ่าตัวตายสูงมากติดอันดับโลก เราคงเคยได้ยิน ข่าวเกี่ยวกับนักเรียนมัธยมปลายของญี่ปุ่นที่สอบเข้ามหาวิทยาลัยไม่ได้แล้วตัดสินใจฆ่าตัวตาย ซึ่งเป็นอัตราที่สูงมากเมื่อเทียบกับประเทศอื่น เขาอธิบายปรากฎการณ์นี้ว่าเกิดขึ้นเพราะวัฒนธรรมของชนชาติญี่ปุ่นมีความรู้สึกผิดชอบชั่วดีสูงมาก มีความละอายต่อความผิดพลาดและการทำผิดของตน (felling of shame for moral transgression)

ฮาราคีรีและกามิกาเซ่

ลองนึกย้อนถึงประวัติศาสตร์ของชนชาติญี่ปุ่นจะเห็นด้วยกับแนวคิดของงานวิจัยที่ได้กล่าวมาแล้วนั่นคือ เรื่องราวของฮาราคีรีและกามิกาเซ่ ในอดีตเวลาซามูไรซึ่งเป็นนักรบของญี่ปุ่นพ่ายแพ้ต่อศัตรู เขาจะทำพิธีฮาราคีรีโดยการใช้มีดคว้านท้องตัวเองเพื่อฆ่าตัวตาย เพราะละอายต่อความผิดพลาดของตัวเอง ไม่มีหน้า ไม่มีศักดิ์ศรีพอที่จะอยู่ร่วมกับผู้อื่นต่อไป และการทำพิธีนี้ก็จะทำให้ซามูไรได้ตายอย่างสมศักดิ์ศรีและได้รับเกียรติอย่างสูง การฮาราคีรีนี้ไม่เคยพบในชนชาติอื่น ในสงครามโลกครั้งที่ 2 ช่วงที่กองทัพญี่ปุ่นกำลังจะพ่ายแพ้แก่ฝ่ายสัมพันธมิตร ทหารญี่ปุ่นใช้ปฏิบัติการกามิกาเซ่โดยขับเครึ่องบินรบที่สมรรถนะด้อยกว่าพุ่งเข้าชนข้าศึก สร้างความเสียหายให้กองทัพอเมริกันเป็นอย่างมาก เพราะรู้ว่าถ้ารบกันตัวต่อตัวก็แพ้เครื่องบินรบอเมริกันแน่ กามิกาเซ่แสดงออกถึงความกล้าหาญ รักชาติ และเสียสละของคนญี่ปุ่น แต่อย่างไรก็ตามนั่นก็คือรูปแบบหนึ่งของการฆ่าตัวตาย

คติสอนใจในภาพยนตร์ญี่ปุ่น

ใครเคยนั่งดูหนังการ์ตูนกับลูกหรือนึกย้อนไปในวัยเด็ก เด็กผู้ชายทุกวันนี้ดูภาพยนตร์หรือการ์ตูนเรื่องเดียวกับที่คุณพ่อดูเมื่อ 20-30 ปีก่อน เช่น อุลตราแมน ไอ้มดแดง หน้ากากเสือ หนังการ์ตูน ญี่ปุ่นมักมีคติธรรม สอนใจ ให้ต่อสู้อดทน ไม่ย่อท้อ (ถึงแม้ว่าจะเป็นการต่อสู้กับสัตว์ประหลาด) เช่น ช่วงสุดท้ายของแต่ละตอนก็มักจะมีคำพูด ปลุกใจให้ต่อสู้เช่น "สู้เขาต่อไปไอ้มดแดง (เพื่อผดุงคุณธรรม)" นอกจากนี้มักเน้นการยอมลำบาก เสียสละเพื่อส่วนรวม หรือเพื่อเด็กๆ บางเรื่องเน้นความมุมานะ พากเพียร พยายามในการฝึกฝนเช่นภาพยนตร์ชุดที่เกี่ยวกับกีฬา เช่นเคนโด ว่ายน้ำ วอลเลย์บอล เราจะเห็นภาพของตัว ละครญี่ปุ่นซึ่งไม่ย่อท้อต่ออุปสรรค เหตุผลที่ประเทศญี่ปุ่นสร้างภาพยนตร์แบบนี้ก็เพราะมีอยู่ช่วงหนึ่งซึ่งทางญี่ปุ่นต้องการส่งเสริมให้เยาวชนเล่นกีฬาเพื่อแข่งขันในระดับนานาชาติ ซึ่งญี่ปุ่นก็เคยประสบความสำเร็จจนถึงระดับเจ้าเหรียญทองเป็นมหาอำนาจทางกีฬา เช่นการแข่งขันกีฬาเอเชียนเกมส์และกีฬาโอลิมปิค ภาพเหล่านี้สะท้อนวัฒนธรรม และชีวิตของคนญี่ปุ่นได้เป็นอย่างดี และเด็กเองก็ ซึมซับวัฒนธรรมเหล่านี้ผ่านสื่อโทรทัศน์เข้าไปโดยไม่รู้ตัว

ที่พูดคุยกันมาทั้งหมดนี้... ไม่ได้หมายความว่าเป็นญี่ปุ่นแล้วดีไปหมดทุกเรื่อง ดีไปหมดทุกคน แต่กำลังชักชวนคุณพ่อคุณแม่ที่มีลูกมีหลานหันมาควบคุม และสร้างกฏเกณฑ์ระเบียบวินัยให้ลูก ฝึกให้รู้จักรับผิดชอบ และช่วยเหลือตัวเองตามวัย ตลอดจนมีคุณธรรม รู้จักเสียสละเพื่อส่วนรวม เพราะเป็นเรื่องสำคัญไม่เพียงต่อตัวการดำรงชีวิต การเรียน การทำงานของลูกหลานเท่านั้น แต่สำคัญไปถึงการอยู่ร่วมกันในสังคมอย่างมีความสุข ตลอดจนถึงการพัฒนาประเทศชาติของเราเลยทีเดียว.....................


บันทึกการเข้า

หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1 RC2 | SMF © 2001-2006, Lewis Media

lsv2555Please follow the new website at https://www.pohchae.com

Valid CSS!