> อ่านกี่รอบก็ไม่เบื่อ
> เหมือนนิทานราชสีห์กับหนูแต่ซึ้งและอินมากกว่า
>
>
>
>
>
> 'อย่าหนีนะ เด็กขี้ขโมย'
>
> เสียงผู้หญิงวัยกลางคนคนหนึ่งตะโกนลั่นพร้อมกับมีเด็กคนหนึ่งกับผู้หญิงอีก คนหนึ่งวิ่งผ่านฉันกับแม่ที่กำลังซื้อเนื้อหมูในตลาดไปอย่างรวดเร็วทั้งแม่ และฉันหันไปดูทันเห็นหน้าผู้หญิงคนนั้นแค่แวบเดียว
>
> แม่ถามฉันว่า 'อ้าว นั่นป้าร้านขายของไม่ใช่ เหรอ' 'ใช่จ้ะแม่
> แกวิ่งไล่ใครกัน ละ'
>
> ป้าคนนั้นชื่อว่า 'ป้าหนอม' เป็นแม่ค้าขายของชำสารพัดอย่าง
> ในตัวตลาดในอำเภอที่ฉันอยู่ มีฐานะจัดว่าดีกว่าแม่ค้าคนอื่นๆ
> ในละแวกเดียวกัน และเป็นที่รู้จักกันว่าแกเป็นคนที่ขี้เหนียวอย่าง ร้ายกาจ
> แถมปากจัดที่สุดในตลาดอีกด้วย ใครต่อราคาของมากเกินไป หรือถามราคาแล้วไม่ซื้อ
> ป้าแกจะโวยวายชนิดต้องรีบเผ่นออกจากร้านแทบไม่ทันทีเดียว
> เสียงเอะอะดังมากขึ้น ฉันหันไปมอง
> ป้าหนอมจับข้อมือเด็กผู้ชายคนหนึ่งอายุประมาณ 12-13 ขวบ
> ไล่เลี่ยกับฉันซึ่งกำลังดิ้นรนอยู่ และป้าแกกำลังจะลงไม้ลงมือ
>
> แม่จึงเดินเข้าไปถาม 'พี่หนอม มีไรหรอคะ'
> 'ก็เด็กเวรนี่นะสิ มันมา ทำทีขอซื้อยาแก้ปวดกับยาธาตุ พอฉันหยิบส่งให้
> มันก็วิ่งหนีมาเลย เงินก็ไม่จ่าย'
> พูดจบป้าหนอมก็ตบหัวเด็กคนนั้นอย่างแรงหนึ่งที
> และคงจะมีตามมาอีกหลายทีแน่ถ้าแม่ฉันไม่ห้ามไว้ 'ตายแล้วพี่หนอม
> อย่าถึงกับลงไม้ลงมือกันเลยนะ แล้วนี่จะทำไงต่อ'
>
> แม่รีบตัดบทเพราะเห็นว่าเรื่องราวชักจะไปกันใหญ่
> 'เรียกตำรวจมาเอามันไปเข้าคุกนะสิ เสีย นิสัย พ่อแม่ไม่สั่งสอน
> ยังเด็กตัวแค่นี้ก็ริจะเป็นขโมยซะแล้ว ต่อไปก็คงต้องปล้นเขากินหละ'
> ฉันสะกิดแม่ทันทีพร้อมกับมองพลางส่ายหัวน้อยๆ ทำนองว่าอย่าไปยุ่งดีกว่า
> แม่มองฉันแล้วมองเด็กคนนั้น ซึ่งท่าทางเหมือนกำลังจะร้องไห้
> แม่นิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วหันไปพูดกับป้าหนอมว่า
> 'อย่าให้ถึงอย่างนั้นเลยนะพี่หนอมเด็ก มันคงอย ากซื้อยาแต่ไม่มีเงินนะ
> เอาเป็นว่าฉันจ่ายให้ละกันนะ กี่บาทกันละ'
>
> ในที่สุดเรื่องก็จบลง โดยการที่แม่ยอมจ่ายเงินค่ายาแก้ปวดกับยาธาตุ
> แล้วแม่ก็จูงเด็กคนนั้นออกมาจากตลาด แต่ป้าหนอมยังไม่วายเตือนแม่
> 'ใจดีกับเด็กขี้ขโมยแบบนี้ ระวังจะ เสียใจทีหลังนะเธอ'
>
> แม่ไม่ได้ตอบอะไร แต่พอเดินห่างจาก ร้านพอสมควรแล้วก็ถามว่า
> 'ทำไมหนูขโมยของป้าเขาละ' เด็กคนนั้นเงยหน้าที่เต็มไปด้วยน้ำตาขึ้นมองแม่
> แล้วตอบสะอึกสะอื้นว่า 'แม่ผมปวดท้องมากเลยครับ แล้วแม่ก็ไม่มีเงินไปหาหมอ
> ผมก็เลยต้อง...'
>
> แม่มองหน้าเด็กคนนั้นอยู่ครู่หนึ่ง
> แล้วยื่นผลไม้ที่ซื้อมาให้เด็กคนนั้นถุงหนึ่ง แล้วบอกว่า
> 'ทีหลังอย่าขโมยของใครนะ ถ้าไม่มีเงินมาขอเงินน้าไปซื้อก็ได้นะ
> น้าชื่อสมพรเปิดร้านเย็บผ้าอยู่ใกล้ๆ นี่เอง ถามคนแถวนี้ก็ได้
> รู้จักน้าแทบทุกคนเลยแหละ เอ้า...เอาส้มไปฝากคุณแม่ซิ
> คนป่วยนะต้องกินผลไม้มากๆ จะได้ หายไวๆ รู้มั้ย' แม่เสริมพร้อมกับยิ้ม
> เด็กคนนั้นอึ้งอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะรับส้มพร้อมกับพูดขอบคุณแม่แล้วเดินจากไป
> หลังจากนั้นพอกลับมาถึงบ้าน ฉันก็ถามแม่ทันที 'ทำไมแม่ต้องช่วยเด็กคน
> นั้นด้วยละ รู้จักกันหรอจ้ะ'
>
> แม่ยิ้ ม แล้วตอบฉันว่า 'ไม่รู้จักหรอก แต่แม่เห็นเด็กคนนั้น
> รับจ้างหาบขนมขายอยู่แถวบ้านเราน่ะลูก แต่แกคงจำแม่ไม่ได้หรอก
> แม่ซื้อขนมแกอยู่ไม่กี่ครั้งเอง'
> 'แต่นั่นก็ไม่ใช่เหตุผลที่จะต้องช่วยเหลือเขาถ้าเขา เป็นขโมยนี่แม่'
> ฉันถามต่อ
>
> แม่มองหน้าฉันแล้วพูดว่า 'แม่เชื่อว่าเด็
> กที่เคยหาเงินด้วยตัวเองมาก่อนตั้งแต่อายุเท่าๆ กับลูก
> จะต้องเป็นเด็กที่มีความรับผิดชอบ รู้คุณค่าของเงินทุกบาททุกสตางค์ว่า
> กว่าจะได้มามันเหนื่อยยากขนาดไหน และคนที่มีความรับผิดชอบนะ
> จะไม่มีทางขโมยของใครนอกจากจะจำเป็นจริงๆ
> เมื่อเขาไม่มีทางอื่นให้เลือกแล้วเท่านั้น'
>
> ฉันฟังแล้วก็ถามแม่ต่อว่า 'แล้วต่อไปถ้าเขามาขอเงินแม่ไปซื้อยาอีก
> แม่จะให้เขารึเปล่า' 'ให้สิลูกถ้ามันไม่มากไม่มายอะไร'
> 'แล้วแม่ไม่เสียดายเงินหรอ บ้านเราก็ไม่ได้ร่ำรวยเหมือนบ้านป้าหนอมเขานะ แม่'
> 'ถึงแม่จะไม่มีเงินทองมากนัก แต่การที่ได้ช่วยเหลือคนที่กำลังลำบากน่ะ
> มันทำให้แม่มีความสุข แล้วยังได้บุญอีกด้วยนะ แค่นี้แม่ก็พอใจแล้ว
> ไม่อยากได้อะไรตอบแทนหรอก'
>
> แล้วแม่ก็พูดต่ออีกว่า 'จำไว้นะลูก คน เรานะ
> ต้องรู้จักให้อภัยและให้โอกาสคนอื่นแก้ตัวเสมอ
> อย่างเด็กคนนั้น..แม่มั่นใจว่าแกทำไปเพราะรักคุณแม่ของแกจริงๆ
> แม่ถึงช่วยแกเอาไว้'
>
> แล้วแม่ก็พูดต่อว่า 'ลูกอาจจะบอกว่าขโมยเป็นสิ่งที่ผิด ใช่...แม่ไม่เถียง
> แต่บางครั้งคนเราก็ต้องมองด้านอื่นๆบ้าง อย่าคิดแต่เรื่องทรัพย์สินเงินทอง
> ตอนนี้ลูกอา จจะยังฟังไม่เข้าใจ แต่แม่เชื่อว่าสักวันลูกจะเข้าใจเองแหละ'
>
> หลังจากนั้น ฉันกับแม่ก็หันไปคุยเรื่องอื่นๆ กันต่อ
> ฉันเองไม่เคยคิดเรื่องนี้อีกเลย จนเหตุการณ์หนึ่งเกิดขึ้น ทำให้ฉันต้องย้อน
> กลับมาคิดถึงเรื่องนี้อีกครั้งทั้งน้ำตาว่า
> คำพูดของแม่ในครั้งนี้ถูกต้องที่สุดจริงๆ
>
> หลังจากนั้นฉันเรียนจบระดับปริญญาตรีจากสถาบันราชภัฏแห่งหนึ่งในตัวจังหวัด
> แล้วฉันก็ได้งานทำในโรงงานแห่งหนึ่งในตัวจังหวัดนั้นเอง เงินเดือนก็พอประมาณ
> สามารถเลี้ยงดูแม่ได้โดยไม่ขัดสนนัก ฉันก็เลยขอร้องให้แม่หยุดรับจ้างเย็บผ้า
> เพราะอยากให้แม่พักผ่อนบ้างหลังจากทำงานหนักมาเกือบ 20 ปี เพื่อส่งฉันเรียน
>
> แม่ยอมปิดร้านแต่ก็ยังรับงานเล็กๆ น้อยๆ ของเพื่อนบ้านมาทำบ้างโดยไม่คิดเงิน
> แม่บอกว่าถ้าไม่ได้ทำอะไรเลยจะรู้สึกเบื่อ ฉันก็เลยต้องยอมตามใจแม่
>
> ฉันทำงานอยู่ประมาณ 2-3 ปี แม่ก็เริ่มรู้สึกไม่สบาย เริ่มจากปวดหัวบ่อยขึ้น
> ช่วงแรกๆ ไม่กี่วันก็หาย หลังจากนั้นก็เริ่มเป็นนานขึ้น เรื่อยๆ
> ฉันบอกให้แม่ไปหาหมอ แล้วฉันก็พาแม่ไปหาหม อในเมือง
>
> หมอบอกว่าไม่เป็นอะไรมาก แค่ทำงานหนักมากเกินไป
> หมอให้ยามาชุดหนึ่งพร้อมกำชับให้พักผ่อนมากๆ จะได้หายเร็วๆ
> หลังจากกินยาตามที่หมอสั่ง อาการปวดหัวของแม่ก็หายไป ฉันเริ่มสบายใจขึ้น
> แต่หลังจากไปหาหมอได้ประมาณหนึ่งเดือน แม่ก็เริ่มกลับมาปวดหัวอีก
> คราวนี้เป็นหนักมากกว่าครั้งที่แล้ว ยาที่เคยกินแล้วได้ผลมาก่อนก็ไม่ได้ผลเลย
> ฉันกังวลใจมาก พอถามหมอ หมอก็บอกว่าต้องไปตรวจที่โรงพยาบาลในกรุงเทพฯ
> เพราะว่าเครื่องไม้เครื่องมือพร้อมกว่าโรงพยาบาลต่างจังหวัด
> หลังจากนั้นฉันรีบพาแม ่ไปกรุงเทพฯ ทันที ไปยังโรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่ง
> หลังจากหมอตรวจแล้วบอกว่ามีเนื้องอกในสมองต้องผ่าตัดโดยด่วน
>
> หากปล่อยทิ้งไว้อาจไปทับเส้นประสาททำให้เป็นอัมพาตได้
> หรือถ้าผ่าตัดไม่ทันก็อาจ ร้ายแรงถึงขั้นเสียชีวิต
> ฉันตกใจมากขอให้หมอผ่าตัดให้ทันที
> แต่หมอบอกว่าโรงพยาบาลที่มีหมอผ่าตัดสมองที่มีความพร้อมที่จะผ่าตัดเนื้องอกในสมอง
> เป็นอีกโรงพยาบาลหนึ่งซึ่งมีชื่อเสียงมากกว่า
> ดังนั้นหมอจึงต้องส่งตัวคนไข้ไปยังโรงพยาบาลนั้น ฉันก็ตกลง
>
> หลังจากถูกส่งตัวมายังโรงพยาบาลดังกล่าวแล้ว แม่ก็
> ถูกส่งตัวเข้าห้องผ่าตัดทันที ขณะที่ฉันรออย่างกังวลใจอยู่ด้านนอก
> ทั้งเรื่องอาการป่วยของแม่
> และจากคำพูดของหมอที่ทิ้งท้ายไว้ก่อนส่งตัวแม่มาที่โรงพยาบาลแห่งนี้
> หมอบอกให้ทำใจไว้บ้าง เพราะการผ่าตัดสมองเป็นการผ่าตัดที่เสี่ยงมาก
> โอกาสที่คนไข้จะเสียชีวิตมีมาก
>
> แม้การผ่าตัดจะประสบความสำเร็จก็ตาม อีกเรื่องก็คือ
> ค่าใช้จ่ายในการผ่าตัดสมองค่อนข้างสูงเป็นหลักแสนบาท
> เมื่อรวมกับค่ายาระหว่างพักฟื้น คิดแล้วน่าจะต้องใช้เงินราวๆ ห้าแสนบาท
> ฉันได้ยินแล้วแทบลมจับ ฉันจะไปหาเงินห้ าแสนบาทมาจากไหน
> ลำพังเงินเก็บของฉันกับแม่ยังมีไม่ถึงห้าหมื่นบาทเลย
> แต่ยังไงฉันก็ต้องรักษาแม่ให้หาย ส่วนเรื่องเงินไว้คิดทีหลัง
>
> หลังการผ่าตัดเสร็จสิ้นลง เป็นโชคดีของแม่ที่การผ่าตัดประสบผลสำเร็จ
> และไม่มีอาการแทรกซ้อนใดๆ
> ทางโรงพยาบาลบอกให้พักฟื้นประมาณหนึ่งเดือนก็สามารถไปพักฟื้นที่บ้านได้
> ทางโรงพยาบาลแจ้งรายการค่าใช้จ่ายทั้งหมดมาให้ฉัน
> ปรากฏว่าเป็นเงินจำนวนไม่ถึงหนึ่งพันบาท เป็นค่าติดต่อประสานงานเท่านั้น
>
> ฉันแปลกใจมาก จึงสอบถามกับนางพยาบาล
> นางพยาบาลบอกว่าคุณหมอที่เป็นคนผ่าตัดและเป็นเจ้าของไข้บอกไม่ให้คิดเงินกับฉันและแม่โดยที่ทางโรงพยาบาลก็ไม่ทราบสาเหตุ
> ฉันจึงขอพบคุณหมอคนนั้นเพื่อขอบคุณ นางพยาบาลบอกว่าหลัง
> จากเสร็จคุณหมอก็ถูกส่งตัวไปต่างประเทศทันทีเพื่อศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับการผ่าตัดสมองที่อเมริกาแต่คุณหมอได้ฝาก
> จดหมายไว้ให้ฉันกับแม่โดยกำชับกับทางโรงพยาบาลให้ฝากให้ฉันพร้อมกับใบเสร็จค่าใช้จ่ายอื่นๆ
> ของทางโรงพยาบาลในวันที่แม่สามารถออกจากโรงพยาบาลได้
>
> เมื่อกลับถึงบ้า น ฉันกับแม่ก็เปิดอ่านจดหมายของคุณหมอคนนั้น
> เมื่ออ่านจบทั้งฉันและแม่ก็ร้องไห้ออกมาพร้อมกัน เนื้อความในจดหมายมีดังนี้
>
> ข้าพเจ้านายแพทย์เดชา ทองวิจิตร แพทย์ผู้ผ่าตัด นางสมพร ภู่จันทร์
> ขอสรุปค่าใช้จ่ายในการผ่าตัดทั้งหมดดังนี้ ค่าผ่าตัด 0 บาท
> ค่ายาทั้งหมด 0 บาท
> ค่าใช้จ่ายอื่นที่เหลือ 0 บาท
> รวมเป็นเงินทั้งหมด 0 บาท
> ป.ล. ค่าใช้จ่ายทั้งหมดได้รับแล้วเมื่อยี่สิบปีก่อนด้วยยาแก้ปวด ยาธาตุ
> ส้มหนึ่งถุง ขอให้สุขภาพแข็งแรงไปอีกนานๆ นะครับคุณน้า
นายแพทย์เดชา ทองวิจิตร