พระพุทธศาสนา คือความจริง
หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: พระพุทธศาสนา คือความจริง  (อ่าน 1908 ครั้ง)
b.chaiyasith
แก้ปัญหาไม่ตกคุยกันเวลางานline:chiabmillion
.กลุ่มผู้มีน้ำใจงาม.
member
*

คะแนน650
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3004


ไม้ดีไม่ลอยน้ำมาไกล


อีเมล์
« เมื่อ: กันยายน 24, 2009, 10:00:12 AM »


ได้มีผู้กล่าวพุธทศาสนาไม่ใช่ปรัชฐา พุทธศาสนาไม่ใช่ลัทธิสำหรับเชื่ออย่างงมงายแต่พุทธศาสนาเป็นเรื่องจริงของธรรมชาติหรือเป็นวิทยาศาสตร์ที่พิสูจน์ได้ โดยพิสูจน์ด้วยตนเองจึงจะเข้าใจหลักธรรมที่พระองค์ทรงตรัสรู้

ในครั้งพุทธกาลได้มีธรรมนิยายเล่าว่าครั้งหนึ่ง ณ เมืองสาวัตถี  ได้มีพราหมณ์ชื่อสังคารวะ  ผู้มีความเชื่อถือว่าบุคคลจะบริสุทธิ์ได้ด้วยการอาบน้ำในแม่น้ำคงคาวันละ สามครั้งคือ เช้า กลางวัน และเย็น โดยมีความเชื่อว่าบาปใดที่ได้กระทำไว้ในยามราตรี  ปาบนั้นจะชำระได้ด้วยการอาบน้ำในเวลาเช้า ในเวลากลางวันอาบน้ำเพื่อล้างบาปที่ทำตั้งแต่เช้าจนเที่ยง  และอาบน้ำในเวลาเย็นเพื่อล้างบาปอันจะเกิดขึ้นในเวลาหลังเที่ยง  น้ำที่จะอาบนั้นจะต้องเป็นน้ำจากแม่น้ำคงคา  โดยถือว่าเป็นแม่น้ำจากสววรค์ ผ่านเศียรพระสิวะผู้เป็นเจ้ามาแล้ว  นอกจากนี้ยังสามารถบำบัดโรคภัยไข้เจ็บได้อีกด้วย  และมื่ออาบน้ำจากแม่น้ำคงคาทุกวันเมื่อตายแล้วย่อมไปสู่สวรรค์ได้สถิตย์อยู่ กับพระผู้เป็นเจ้าด้วยเหตุนี้จึงเป็นของธรรมดาที่จะเห็นโยคีและผู้บำเพ็ญพรต นิกายต่างๆ ฝั่งแม่น้ำคงคาตอนเหนือแถบภูเขาหิมาลัย   ทรมานตนอยู่ด้วยวิธีแปลกๆ ตามแค่ตนจะเห็นอย่างไหนดี   และเข้าถึงพระผู้เป็นเจ้าได้เช่น  นอนบนหนามยืนยกขาเดียวอ้าปากกินลม  บูชาไฟ  และบูชาพระอาทิตย์  ซึ่งก็มีอยู่ไม่น้อยที่บำเพ็ญจิตจนบรรลุฌานขั้นต่างๆ

      ครั้งหนึ่งพระอานนท์ได้พบสังคารวะพราหมณ์และเห็นว่าสังคารวะพราหมณ์มีจริยปฏิบัติที่น่าเลื่อมใส  จึงมากราบทูลพระพุทธเจ้าให้เสด็จไปโปรดสังคารวะพราหมณ์  ซึ่งพระองค์ได้เสด็จไปเยี่ยมพราหมณ์นั้น  และได้ตรัสถามพรามหณ์ว่า “พราหมณ์  ขณะนี้ท่านยังอาบน้ำดำเกล้าที่แม่น้ำคงคาวันละสามครั้งอยู่หรือ”

         พราหมณ์ตอบว่า  “ยังอาบอยู่พระเจ้าข้า”
         พระพุทธองค์ได้ตรัสถามเหตุผล  และพราหมณ์ได้ตอบตามที่ตนเองเชื่อว่าน้ำในแม่น้ำคงคานั้นสามารถชำระบาปมลทินได้จริงๆ
         พระองค์ได้ถามอีกว่า “บาปมลทินนั้นอยู่ที่กายหรืออยู่ที่ใจ”
         พราหมณ์ตอบว่า  “อยู่ที่ใจสิพระเจ้าข้า”
         พระพุทธองค์จึงได้กล่าวว่า “เมื่อบาปอยู่ที่ใจแล้วการอาบนน้ำชำระล่างกายนั้นจะสามารถซึมซาบลงไปล้างใจได้หรือ”
         พราหมณ์ตอบว่า  “น้ำนั้นเป็นน้ำศักดิ์สิทธิ์ซึ่งสามารถชำระล้างใจได้”
         พระพุทธองค์ทรงตรัสกับพราหมณ์ว่า  “ความเชื่อสามารถเปลี่ยนแปลงช้อเท็จจริงซึ่งมีอยู่ที่ตัวมันอยู่แล้วให้เป็นอย่างอื่นตามที่เราเชื่อหรือ”
         พราหมณ์คิดแล้วตอบว่า  “เป็นไปไม่ได้เลย  ความเชื่อไม่สามารถบิดเบือนความจริงได้  ความจริงเป็นของคงตัวอยู่ตลอดเวลาไม่ว่าใครจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ตาม”


พระพุทธองค์ทรงตรัสต่อไปว่า  “เป็นอันว่าท่านยอมรับว่าความเชื่อไม่อาจไปบิดเบือนความจริงได้  ก้การที่ท่านเชื่อว่าน้ำในแม่น้ำคงคาสามารถล้างบาปมลทินได้นั้น  มันจะเป็นจริงอย่างที่เชื่อหรืออุปมาเหมือนบุรุษที่หลงทางในป่าและบ่ายหน้าไปทางทิศหนึ่ง  ซึ่งตนเข้าใจว่าเป็นทิศตะวันออกแต่ความจริงเป็นทิศตะวันตก  ความเชื่อของเขาไม่อาจไปเปลี่ยนทิศตะวันตกให้เป็นทิศตะวันออกได้ฉันใด  ความเชื่อของพราหมณ์เป็นอันมากที่เชื่อว่าแม่น้ำคงคาเป็นแม่น้ำศักดิ์สิทธิสามารถล้างบาปได้ก็ไม่อาจทำให้แม่น้ำนั้นล้างบาปได้จริง  เปรียบเหมือนบุรุษผู้หนึ่งที่มีหม้อทองแดงอยู่ใบหนึ่งมันเปื้อนเปรอะด้วยสิ่งปฏิกูลทั้งภายในและภายนอก  แต่บุรุษได้ทำการล้างภายนอกเท่านั้นหาได้ล้างภายในไม่  ท่านดิดว่าสิ่งปฏิกูลภายในจะหมดไปด้วยหรือ  ซึ่งเป็นไปไม่ได้ที่ภายในจะหมดซึ่งสิ่งปฏิกูล  บุรุษนั้นจึงเหนื่อยแรงเปล่าไม่สามารถทำให้หม้อนั้นสะอาดได้  ดูก่อนพราหมณ์ เราได้กล่าวว่า  การทำกายทุจริต  วจีทุจริต  และมโนทุจริตว่าเป็นสิ่งทำให้จิตใจสกปรก  และสามารถชำระล้างได้ด้วยธรรม  คือการทำกายสุจริต  วจีสุจริต  และมโนสุจริต มิใช่ด้วย   การอาบน้ำธรรมดา  น้ำดื่มของบุคคลผู้มีกายสุจริต วจีสุจริต และมโนสุจริต ย่อมเป็นน้ำศักดิ์สิทธิ์ไปในตัวแล้ว  มีศีลเป็นท่าลง  เป็นที่ที่ผู้รู้นิยมอาบกัน  อาบแล้วสามารถข้ามฝั่งได้โดยตัวไม่เปียกเถิด”


         พราหมณ์ได้ยินดังนั้นก็แจ่มแจ้งในหลักคำสอนของพระองค์  แล้วปฏิญาณตนเป็นอุบาสกถึงพระพุทธเจ้า  พร้อมทั้งพระธรรมและพระสงฆ์  ตั้งแต่นั้นจวบจนสิ้นลมหายใจ

     เราจะเห็นได้ว่า  พระพุทธองค์ได้ทรงตรัสสอนธรรมะแก่สังคารวะพราหมณ์ด้วยความจริง  ซึ่งสังคารวะพราหมณ์ได้ทำการตริตรองแล้วเห็นถึงความจริงที่พระพุทธเจ้าได้ทรงแสดง   จนเข้าใจว่าความเชื่อที่ตนมีอยู่นั้น   เป็นเพียงความเชื่อที่ไม่มีใครพิสูจน์ได้ว่าเป็นความจริงหรือไม่ประการใด  แต่หากสังคารวะพราหมณ์เชื่อตามที่พระพุทธเจ้าทรงแสดง  ซึ่งมีเหตุผลเป็นเพียงความจริงสามารถพิสูจน์ได้โดยกระทำการใดๆ ด้วยกายสุจริต วจีสุทริต และมโนสุจริต  นั้นย่อมเป็นความจริงที่ว่าด้วยผลของการกระทำนั้น  จะไม่ก่อให้เกิดบาปใดๆ ขึ้น  และเป็นการตัดซึ่งกิเลสมัวเมาจิต  ทำให้จิตใจบริสุทธิ์ สามารถดับทุกข์อันจะเกิดจากกิเลสตัณา  อุปทานต่งๆ ได้ซึ่งตัวการกระทำ  หรือกรรมนั่นหละที่จะเป็นตัวชี้วัดว่าใรดีหรือไม่ดีบริสุทธิ์ ดังที่พระพุทธองค์ตรัสไว้ว่า “กมฺมํ  สตฺเต  วิภชติ  ทํ  หีนปฺปณตตาย.  กรรมย่มจำแนกัตว์โลกให้เลรือดี” ดังนี้

        ดังนั้นพระพุทธาสนาจึงเป็นความจิรงที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้และนำมาเผยแพร่แก่เวไนยสัตว์  ความจริงนั้นย่อมมีเพียงหนึ่งเดียว ไม่สามารถมีการโต้แย้ง  หากว่าพระพุทธศาสนาเป็นเพียงปรัชญาความเชื่อ หรือจิตวิทยาย่อมมีผู้รู้หลายคน   ซึ่งแต่ละย่อมมีแนวคิดต่างๆ กันไป  โดยไม่สามารถสรุปได้ว่าแนวคิดของผู้รู้ท่านใดเป็นความรู้ที่ถูกต้อง  ซึ่งขึ้นกับความพอของผู้เชื่อเพียงเท่านั้นเอง  ขอให้ท่านจงพิจารณาด้วยปัญญาเถิด

ขอบคุณข้อมูลจากจุลสารก๊าซไลน์ ภายใต้ความร่วมมือของ ปตท.กับวิชาการดอทคอม
ที่มา : จุลสารก๊าซไลน์



บันทึกการเข้า

"CHIAB"
มนุษย์เราแต่ละคน  ต่างไม่รู้ว่ามาจากไหน  ไม่มีใครรู้จักกันมาก่อนเลย  แล้ววันหนึ่งก็มาพบหน้ากัน  สมมุติเป็นพ่อ  เป็นแม่  เป็นเมีย  เป็นสามี  เป็นลูก  อยู่ร่วมกัน  ใช้ชีวิตร่วมกัน และแล้ววันหนึ่ง  ก็แยกย้ายด้วยการ  "ตายจาก"  กันไปสู่  ณ  ที่ซึ่งไม่มีใครได้ตามพบ  คืนสู่ความเป็นผู้ไม่รู้ว่ามาจากไหน  ไปไหน  และคืนสู่ความเป็น  "คนแปลกหน้า"  ซึ่งกันและกันอนันกาลอีกครั้งหนึ่ง...และอีกครั้งหนึ่ง!?
ขอขอบคุณ คุณเปลว สีเงิน ที่ให้ข้อคิดดีๆ

หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป: