การป้องกันและควบคุมโรคความดันโลหิตสูง
LSVคลังสมองออนไลน์ "ปีที่21"
เมษายน 29, 2024, 10:25:43 PM *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
   หน้าแรก   ช่วยเหลือ เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก  
หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: การป้องกันและควบคุมโรคความดันโลหิตสูง  (อ่าน 4074 ครั้ง)
Nattawut-LSV Team
E23IUY
.กลุ่มผู้มีน้ำใจงาม.
member
*

คะแนน808
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3581


อีเมล์
« เมื่อ: มีนาคม 05, 2009, 11:30:28 AM »

การป้องกันและควบคุมโรคความดันโลหิตสูง 

การดำเนินงานเชิงรุกในด้านการป้องกันและควบคุมโรคความดันโลหิตสูง

โรคความดันโลหิตสูงนั้นพบได้ทั่วโลกทั้งในประเทศที่พัฒนาแล้วและประเทศที่กำลังพัฒนา  คาดว่ามีผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงทั้งโลกประมาณ 1,500 ล้านคน ประชากรไทยประมาณ 5 ล้านคนเป็นโรคความดันโลหิตสูง  ในบางประเทศพบโรคความดันโลหิตสูงมากกว่าครึ่งของประชากรที่มีอายุเกิน 60 ปี มีเพียงหนึ่งในสามของผู้ป่วยโรคความดันสูงที่ได้รับการรักษาเท่านั้นที่สามารถควบคุมความดันโลหิตได้
 
จุดประสงค์ของวันความดันโลหิตสูงโลกคือ การถ่ายทอดไปสู่ประชาชนทั่วไปให้ตระหนักถึงความสำคัญของโรคความดันโลหิตสูงและผลแทรกซ้อนที่รุนแรง  รวมถึงการให้ข้อมูลในแง่ของการป้องกัน  การตรวจหาและการรักษา  การจะทำสิ่งเหล่านี้ได้อาศัยความร่วมมือของบุคลากรทางการแพทย์  สื่อมวลชนหน่วยงานอาสาสมัคร  และหน่วยงานของรัฐในแต่ละประเทศ ขั้นแรกของการควบคุมโรคความดันโลหิตสูงก็คือ  การตรวจหาผู้ที่เป็นโรคซึ่งสามารถทำได้โดยตั้งจุดตรวจวัดความดันโลหิตในสถานที่ต่างๆ  ได้แก่   ศูนย์การค้า โรงเรียน  วัด  โบสถ์    สุเหร่า   สมาคม
ความดันโลหิตสูงแห่งประเทศไทย ซึ่งเป็นสมาชิกของ WHI ได้จัดกิจกรรมในประเทศและให้บุคลากรทางการแพทย์และอาสาสมัคร  มีส่วนร่วมในกิจกรรมตรวจหาโรคความดันโลหิตสูงของชุมชนของตน



ผลของการไม่ควบคุมความดันโลหิตสูงให้ดี

ความดันโลหิตสูงสามารถทำให้เกิดภาวะหลอดเลือดสมองแตกหรืออุดตัน  โรคหัวใจขาดเลือด  หัวใจล้มเหลวและไตวายโรคหัวใจและหลอดเลือดเป็นสาเหตุการตายรวมในสหรัฐอเมริการ้อยละ 40  และอาจมากกว่านั้นในบางประเทศความสัมพันธ์ของโรคความดันโลหิตสูงและความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและหลอดเลือดเป็นไปอย่างต่อเนื่องโดยไม่ขึ้นกับปัจจัยเสี่ยงอื่น ความดันโลหิตยิ่งสูง ความเสี่ยงต่อสภาวะหลอดเลือดสมองแตกหรืออุดตัน โรคหัวใจขาดเลือด หัวใจวาย  และโรคไตวาย ก็จะสูงขึ้นด้วย



ท่านควรทราบระดับความดันโลหิตของท่านเอง



ความดันโลหิตสูง  หมายถึงภาวะที่แรงดันของเลือดที่อยู่ในหลอดเลือดมีค่าสูงเกินปกติ  โรความดันโลหิตสูงเป็นโรคที่สามารถคร่าชีวิตคนได้โดยไม่มีอาการใดๆ นำมาก่อนนับได้ว่าเป็น “ฆาตกรเงียบ” ความดันโลหิตที่สูงมากจะก่อให้เกิดความเสียหายต่ออวัยวะสำคัญต่างๆ  เช่น  หัวใจ สมอง  หลอดเลือด หรือไต ทุกคนต้องมีความดันโลหิตอยู่ระดับหนึ่งในหลอดเลือด ในขณะที่หัวใจบีบตัวจะสูบฉีดเลือดผ่านไปทางหลอดเลือดแดงเพื่อนำสารอาหารไปหล่อเลี้ยงร่างกาย  แรงดันของเลือดต่อผนังหลอดเลือดเรียกว่าความดันโลหิต
ความดันตัวบน(systolic blood  pressure) หมายถึงค่าความดันโลหิตที่สูงกว่าซึ่งตรงกับช่วงการบีบตัวของหัวใจ ส่วนความดันตัวล่าง (diastolic blood pressure) หมายถึงค่าความดันโลหิตที่ต่ำกว่าซึ่งจะตรงกับช่วงการคลายตัวของหัวใจ ดังนั้นในกรณีที่หลอดเลือดตีบแคบลงหรืออุดตัน
หัวใจจึงจำเป็นจะต้องบีบตัวให้แรงขึ้นเพื่อส่งเลือดที่ไปหล่อเลี้ยงอวัยวะต่างๆ  ของร่างกายให้ได้คงเดิม ส่งผลให้ความดันโลหิตสูงขึ้น ในกรณีที่ความดันโลหิตของท่านเท่ากับหรือ สูงกว่า 140/90 มิลลิเมตรปรอทอยู่ตลอดเวลาแสดงว่าท่านมีโรคความดันโลหิตสูง



กฏเกณฑ์ทั่วไปในการวัดความดันโลหิต

-  ควรพักอย่างน้อย 5 นาทีก่อนทำการวัด
-  หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่หรือดื่มเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนอย่างน้อย 30 นาทีก่อนทำการวัด
-  นั่งโดยวางเท้าให้ราบอยู่บนพื้น หลังพิงพนักแขนวางลงที่รองแขนให้เหมาะสมกับขนาดของแขน
-  เลือกขนาดของแถบผ้าพันแขนให้เหมาะสมกับขนาดแขน
-  ใช้เครื่องมือที่ผ่านการตรวจสอบมาตรฐาน
-  ควรวัดความดันโลหิตอย่างน้อย 2 ครั้ง (ห่างกันอย่างน้อย 2 นาที) แล้วนำมาหาค่าเฉลี่ยในบางกรณีอาจจำเป็นที่จะต้องวัดความดันโลหิตในท่ายืนและท่านอนหงายตามความจำเป็น



ความดันโลหิตสูงป้องกันได้

การปฏิบัติต่อไปนี้สามารถช่วยป้องกันโรคความดันโลหิตสูงได้
- การลดน้ำหนัก
- การลดปริมาณเกลือในอาหาร
- การงดหรือลดการดื่มสุราหรือแอลกอฮอล์
- การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
 
หากการปรับพฤติกรรมดังกล่าวข้างต้นไม่สามารถป้องกันหรือควบคุมความดันโลหิตให้อยู่ในเกณฑ์ที่ต้องการก็มีความจำเป็นต้องใช้ยา บ่อยครั้งต้องใช้ยามากกว่า 1 ชนิด การควบคุมความดันโลหิต จะมีผลต่อดีสุขภาพอย่างเห็นได้ชัดช่วยลดอัตราตายแล้วยังช่วยลดอัตราการเกิดโรคหัวใจร้อยละ 25 ภาวะหัวใจวายร้อยละ 50 และโรคหลอดเลือดสมองร้อยละ 35 นอกจากการควบคุมความดันโลหิตสูง การควบคุมปัจจัยเสี่ยงอื่นๆ ก็มีความสำคัญเพราะการ
สูบบุหรี่ ระดับคลอเลสเตอรอลที่สูงในเลือดและโรคเบาหวานจะเร่งให้เกิดการทำลายต่อหัวใจและหลอดเลือดจากความดันโลหิตสูง ดังนั้นจึงต้องรักษาและควบคุมปัจจัยเสี่ยงเหล่านี้ด้วย



จำไว้ว่าโรคความดันโลหิตสูงอาจไม่มีอาการแสดงใดๆ ที่ชัดเจน ดังนั้นจึงควรที่ท่านจะต้องรับการตรวจวัดความดันโลหิตอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง การควมคุมความดันโลหิตให้อยู่ในเกณฑ์ที่พึงประสงค์จะเพิ่มอายุยืนยาวให้แก่ชีวิตที่เป็นสุขได้
ขอบคุณข้อมูลดีๆ จาก http://www.vibhavadi.com/web/health_detail.php?id=51 


ท่านสามารถหาข้อมูลของโรคความดันโลหิตสูงได้ที่
www.worldhypertensi onleague.org และ www.thaihypertensio n.org


 


บันทึกการเข้า

Nattawut-LSV Team
E23IUY
.กลุ่มผู้มีน้ำใจงาม.
member
*

คะแนน808
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3581


อีเมล์
« ตอบ #1 เมื่อ: มีนาคม 30, 2009, 09:50:49 AM »

ดื่มชา...ลดความดัน


คนที่ขาย ชาเขียว ชาอูหลง เตรียมเฮได้แล้ว เพราะมีข้อมูลการศึกษาล่าสุดที่ทำในประทเศไต้หวันพบว่าคนที่ดื่มทั้ง ชาเขียว และ ชาอูหลง มีแน้วโน้มมี ความดันโลหิต ลดลงเมื่อเทียบกับคนที่ไม่ได้ดื่ม

อย่างที่พวกเราทราบกันดีว่า โรคความดันโลหิตสูง เป็นอาการเริ่มต้นที่จะนำไปสู่โรคภัยไข้เจ็บมากมาย เช่น โรคหัวใจ อาการเส้นเลือดแตกในสมอง แต่จากการศึกษาที่ทำโดยผู้วิจัยจากมหาวิทยาลัยแห่งชาติ Cheng Kung ในเมือง Tainan ประเทศไต้หวัน พบว่าคนที่ดื่ม ชาเขียว หรือ ชาอูหลง จะมีแน้วโน้มมีความดันโลหิตที่ลดต่ำกว่าคนที่ไม่ได้ดื่ม

ได้มีการค้นพบว่าสารต่างๆ มากมายกว่า 4,000 ชนิดที่มีอยู่ในน้ำ ชา รวมทั้งสารฟลาโวนอยด์จะช่วยป้องกันการเกิดหัวใจล้มเหลว อาการเส้นเลือดแตกในสมอง และอาการไตวาย ทั้งนี้การศึกษานี้ได้ถูกตีพิมพ์ในวารสาร The Archives of Internal Medicine โดย Yi-Ching Yang ซึ่งวารสารดังกล่าวเป็นวารสารที่มีชื่อเสียงที่แพทย์ทั่วโลกต่างให้การยอมรับ

การศึกษานี้ได้ทำการทดลองในอาสาสมัครกว่า 1,500 คนที่ไม่เคยมีอาการของโรคความดันโลหิตสูง ให้ดื่มน้ำ ชา 120-599 ซีซีต่อวัน (4-20 ออนซ์ต่อวัน) เป็นเวลาอย่างน้อย 1 ปี พบว่าสามารถลดความเสี่ยงของการเกิดอาการ โรคความดันโลหิตสูง ได้ถึง 46% เมื่อเทียบกับคนที่ไม่ได้ดื่ม ชา

นอกจากนี้การศึกษานี้ยังระบุอีกว่า หากดื่ม ชา มากกว่า 600 ซีซีต่อวัน ก็จะสามารถลดความเสี่ยงของการเกิดอาการ โรคความดันโลหิตสูง ได้ถึง 65% เมื่อเทียบกับคนที่ไม่ได้ดื่ม ชา

ในจำนวนผู้เข้าร่วมการทดลองพบว่า 40% ของผู้ร่วมการทดลองเป็นที่ดื่ม ชา เป็นประจำ และในจำนวนนี้ส่วนใหญ่ก็เป็นชายที่อายุยังไม่มาก ส่วนใหญ่สูบบุหรี่ ดื่มเหล้า และรับประทานอาหารพวกพืชผักน้อย

 ที่มาของบทความ : www.healthdd.com 

บันทึกการเข้า
หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1 RC2 | SMF © 2001-2006, Lewis Media

lsv2555Please follow the new website at https://www.pohchae.com

Valid CSS!