15 ข้อเตือนใจ เมื่อเป็นไมเกรน
LSVคลังสมองออนไลน์ "ปีที่21"
เมษายน 28, 2024, 03:55:33 AM *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
   หน้าแรก   ช่วยเหลือ เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก  
หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: 15 ข้อเตือนใจ เมื่อเป็นไมเกรน  (อ่าน 1614 ครั้ง)
samee
member
*

คะแนน5
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 140



อีเมล์
« เมื่อ: กุมภาพันธ์ 28, 2009, 10:50:11 PM »


1. อย่าคิดว่าไมเกรนเป็นแค่อาการปวดหัวธรรมดา
คนที่เป็นไมเกรนจะปวดหัวรุนแรง และมักปวดหัวข้างเดียว ถ้าหากไม่ไดรับการรัษาโดยทันที คุณอาจจะต้องทรมานปวดหัวต่อไปอีกถึง 4 ชั่วโมง นานถึง 3 วันติดกัน นอกจากนี้อาจะมีอาการวิงเวียนศีรษะ คลื่นไส้ แพ้แสงในลักษณะเห็นแสงแบบดาวระยิบระยับ หรือมักได้กลิ่นแปลกๆที่ไม่เหมือนกับคนอื่น หากยังละเลยปล่อยทิ้งไว้โดยไม่ไปพบแพทย์ แน่นอนว่าอาการของคุณก็จะแย่ลงเรื่อยๆ

2. อย่าเก่งด้วยการเป็นหมอรักษาตัวเอง
หลายคนพยายามที่จะรักษาอาการปวดหัวด้วยตัวเองซึ่งถือว่าผิดมหันต์ หากเข้าข่ายเป็นไมเกรน ยาพาราเซตามอน 2 เม็ดคงไม่พอ แต่การเพิ่มปริมาณยาให้มากขึ้น อาจะทำให้คุณติดยาในเวลาต่อมา เพราะบางคนอาจทานยาถึง 16 วันใน 1 เดือน หรือมากกว่า 180 วันใน 1 ปี ด้วยเหตุนี้ ผู้ที่เป็นไมเกรนจำนวนหนึ่งยังคงมีอาการปวดหัวอยู่ เนื่องจากทานยาแก้ปวดมากเกินไปนั่นเอง

3. อย่าทานยาแก้ปวดต่างชนิดในวันเดียวกัน
หากคุณปวดหัวแล้วไม่ได้ปรึกษาแพทย์ก็อย่าทานยาแก้ปวดหัวที่ต่างชนิดกันบ่อยๆ เพราะอาจจะทำให้มีอาการแย่ลงยิ่งกว่าเดิม ไม่เพียงแค่นั้นยังทำให้แพทย์สันนิษฐานไม่ได้ หากเกิดอาการแพ้ยาขึ้น นอกจากนี้อย่าทานยาตอนท้องว่างเพราะอาจทำให้กระเพาะเกิดการระคายเคือง ทางที่ดีแล้วควรทานอาหารรองท้องก่อนเล็กน้อย แล้วค่อยทานยาเพื่อให้การดูดซึมยาเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ

4. ไม่ควรทานยาช้าเกินไป
เมื่อใดก็ตามที่รู้สึกปวดหัว ไม่ควรเพิกเฉย แต่ควรสังเกตอาการเริ่มแรกให้ดีเพื่อที่จะได้หายามาทานให้ทันท่วงที เพราะหากช้าเกินไป เพียงแค่เราสัมผัสผมก็อาจทำให้ปวดหัวได้ ถ้าถึงตอนนั้นยาตัวใดก็ไม่สามารถระงับอาการปวดได้ สัญญาณที่เตือนว่าคุณอาจจะเป็นไมเกรนคือ อารมณ์เปลี่ยนแปลงบ่อย เฉื่อยชา โมโหง่าย อยากอาหารบางอย่างเช่น ของหวานๆและออกอาการหาวแต่ไม่ได้ง่วงนอน

5. หากปวดมากกว่า 3 ครั้งต่อเดือน ยาแก้ปวดก็ช่วยไม่ได้แล้ว
หากคุณมีอาการอย่างนี้บ่อยๆ การบำบัดด้วยวิธีธรรมชาติบางทีก็น่าลองดู เช่น อาจจะจ๊อกกิ้ง ว่ายน้ำหรือขี่จักรยาน ถ้าไม่ถนัดกีฬาที่กล่าวมา ก็อาจจะเล่นกีฬาชนิดไหนก็ได้ที่คุณชอบ เพียงแต่ขอให้เป็นการเคลื่อนไหวเบาๆ เพียงแค่วันละ 15 นาทีก็เพียงพอ แต่ถ้าแค่คิดก็เหนื่อยแล้ว ลองเปลี่ยนวิธีเป็นเดินในห้างสรรพสินค้าดูก็ได้ค่ะ แต่ก็มีบางคนที่จะต้องทานยาทุกวัน ถึงแม้ว่าจะไม่ปวดหัวก็ตาม ตัวยาเหล่านี้แตกต่างจากยาแก้ปวดทั่วไปคือ ช่วยบรรเทาอาการปวดหัวโดยทำให้ระบบทางเดินโลหิตและระบบประสาททำงานเป็นปกติ

6. หาสาเหตุให้ได้ว่าทำไมเราจึงปวดหัว
สาเหตุที่ทำให้ปวดหัวมีมากมาย แต่ละคนก็ปวดหัวด้วยสาเหตุที่แตกต่างกันไป เพราะฉะนั้นควรหาสาเหตุให้ได้ว่าทำไมเราจึงปวดหัว เมื่อรู้แล้วจะได้หลีกเลี่ยงไม่ทำอย่างนั้น และพร้อมที่จะเผชิญกับมัน

7. อย่าเปลี่ยนกิจวัตรบ่อยๆ
การนอนมากหรือน้อยกว่าปกติ การทานอาหารมากเกินไปหรือน้อยเกินไป ล้วนเป็นสาเหตุที่อาจทำให้ปวดหัวได้ การที่ทำกิจวัตรต่างๆไม่ต่อเนื่องกันนี้เสี่ยงต่อการปวดหัวโดยเฉพาะกับคนที่เป็น "ไมเกรนช่วงสุดสัปดาห์" ซึ่งไม่ควรเปลี่ยนกิจวัตรประจำวันช่วงเสาร์ -อาทิตย์มากนัก และอย่าได้ประเมินค่าการเปลี่ยนแปลงกิจวัตรต่างๆเหล่านี้ต่ำเกินไป โดยเฉพาะยิ่งถ้าหากคุณเพิ่งฟื้นไข้ คุณจะต้องทานยาที่ถูกต้องและพกยาติดตัวไว้เสมอเผื่อว่าเกิดปวดหัวขึ้นมากะทันหัน ถ้าเป็นไปได้ควรหลีกเลี่ยงการทำกิจกรรมที่อาจทำให้ปวดหัวได้

8. อย่าคิดว่าการปวดหัวเป็นผลข้างเคียงจากการมีประจำเดือน
การที่คุณปวดหัวทุกครั้งในช่วงที่มีประจำเดือนหรือช่วง 2 วันแรกก่อนมีประจำเดือน ถึงจะแสดงว่าคุณเป็น "ไมเกรนในช่วงมีประจำเดือน" ซึ่งเกิดจาการที่ฮอร์โมนเอสโตรเจนในร่างกายลดต่ำลง ทำให้ปวดหัวนานกว่าเดิม มากกว่าเดิม และรักษายากยิ่งกว่าเดิม ในกรณีนี้ไม่ควรเพิกเฉยต่ออาการดังกล่าวแต่ควรปรึกษาแพทย์เพื่อตรวจดูอาการให้แน่ใจ

9. ยาที่ใช้รักษาโรคอื่น อาจทำให้ปวดหัวได้
ยาที่แพทย์สั่งให้ทานเพื่อรักษาโรคอื่นที่เป็นอยู่ อาจมีผลข้างเคียงทำให้เราปวดหัวมากยิ่งขึ้นก็เป็นได้ ในกรณีนี้ลองให้แพทย์สั่งยาตัวอื่นที่รักษาโรคนั้นๆได้และไม่ก่อให้เกิดผลข้างเคียงใดๆมาทานแทน

10. อย่าพยายามเอาชนะโรคไมเกรนสุดสัปดาห์
บางคนมักปวดหัวในช่วงสุดสัปดาห์เนื่องจากการพักผ่อนมากเกินไป การพักผ่อนนี้นี้ก็เป็นผลมาจากความเครียดสะสมที่เกิดขึ้นตลอดวันทำงานที่ผ่านมา ทางที่ดีเราควรหลีกเลี่ยงเรื่องเครียดต่างๆ แล้วหากิจกรรมอื่นทำ เช่น ปลูกต้นไม้ เล่นกับสุนัข

11. อย่าหยุดทานยาคุมกำเนิดเพียงเพราะว่าปวดหัว
สำหรับผู้หญิงบางคนถ้าทานยาคุม ไมเกรนจะกำเริบมากขึ้น ในกรณีนี้ให้นำยาไปให้สูตินารีแพทย์ดู เผื่อว่าแพทย์จะสั่งยาคุมตัวอื่นที่เหมาะกับเราให้เราลองทานดูได้ อย่างไรก็ตามหญิงสาวที่เป็นไมเกรน และทานยาคุมกำเนิดด้วยนั้นจะต้องไม่สูบบุหรี่เป็นอันขาด เพราะจะเสี่ยงต่อการที่เลือดแข็งตัวผิดปกติได้

12. หากคุณอยู่ในช่วงวัยทอง อย่าทำการบำบัดฮอร์โมน
การบำบัดฮอร์โมน อาจยิ่งทำให้อาการปวดหัวแย่ลง หากจำเป็นจริงๆให้แพทย์สั่งยาที่จะช่วยคงสมดุลของระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนในร่างกายที่เหมาะกับเราให้ดีกว่า

13. อย่าทานยาแก้ปวดในขณะที่ตั้งครรภ์อยู่
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วง 3 เดือนแรกที่ตั้งครรภ์ เพราะยาแก้ปวดบางตัวอาจจะทำให้แท้งลูก หรือทำให้ลูกที่อยู่ในครรภ์พิการได้ ดังนั้น เพื่อให้แน่ใจว่าทานยาได้หรือไม่ ควรปรึกษาแพทย์เสียก่อน

14. อย่ารักษาแต่อาการปวดหัว อาการแทรกซ้อนอื่นๆก็ต้องรักษาด้วย
โดยปกติไมเกรนอาจก่อนให้เกิดอาการแทรกซ้อนอื่นๆด้วย เช่น วิงเวียนและคลื่นไส้อาเจียน ในกรณีนี้ให้ทานยาแก้วิงเวียน ซึ่งจะทำให้กระเพาะอาหารซึมซับยาได้ดีขึ้นและทำให้หายปวดหัวได้ ส่วนอาการแทรกซ้อนอีกอย่างก็คือ คลื่นไส้อาเจียน ควรไปพบแพทย์เพื่อสั่งยาให้

15. ไม่ได้มีแต่ตัวยาที่ช่วยแก้ปวดหัว
หากคุณได้รับความทุกข์ทรมานจากการปวดหัวอยู่บ่อยๆ ยังมีทางเลือกอื่นที่จะรักษาอาการปวดหัวได้อย่างมีประสิทธิภาพ ที่ผู้เชี่ยวชาญพิเศษแนะนำนั่นก็คือ ไบโอฟีตแบ็ก (Biofeedback) คือกรรมวิธีการรักษาผู้ที่ป่วยเป็นโรคไมเกรนหรือโรคเครียดที่มีประสิทธิภาพวิธีหนึ่ง นอกจากนี้ยังช่วยรักษาผู้ที่เป็นแผลเรื้อรัง ระบบขับถ่ายไม่ดี ความดันเลือดสูง กลั้นปัสสาวะไม่อยู่ ฯลฯ เทรนนิ่งออโตเจโน (Training Augogeno) คือการควบคุมตัวเองเพื่อให้ร่างกายและจิตใจผ่อนคลาย เหมาะกับคนที่ชอบวิตกกังวล เป็นไมเกรน มีความเครียดสูง หรือเป็นโรคหอบหืด และการฝังเข็ม วิธีการเหล่านี้ต่างก็ได้รับการยืนยันว่าช่วยลดอาการปวดหัวได้

Tips
1. หากคุณคิดว่าตัวเองเป็นไมเกรนแน่นอนแล้ว คุณควรจะหาชาสมุนไพรเก๊กฮวยดื่ม ซึ่งจะช่วยบรรเทาอาการปวดไมเกรนได้
2. หากใครกำลังใช้ยารักษาไมเกรนยี่ห้อ Avamigram, Cafergot, Degran, Poligot-CF และ Polygot ควรจะต้องรู้ว่าห้ามทานเกิน 6 เม็ดต่อวัน หรือ 10 เม็ดต่อสัปดาห์ หากต้องการให้ได้ผลควรนอนพักผ่อนในห้องที่มืด เงียบ และอุณหภูมิที่เหมาะสม แต่หากมีอาการข้างเคียง เช่น ขาไม่มีแรง เจ็บหน้าอก แขน คอ ไหล่หรือปวดท้อง ปลายมือเท้าชา และรู้สึกเย็นซ่า รีบหยุดยาแล้วไปพบแพทย์ทันที
 
 วิธีป้องกันตนเองจากไมเกรน มีดังนี้

- หลีกเลี่ยงสถานที่ที่ร้อนและแออัด โดยเฉพาะงานนิทรรศการต่าง ๆ ที่ผู้คนหนาแน่น อากาศหายใจไม่เพียงพอ ทำให้วิงเวียนศีรษะได้ง่าย หรือหลังจากการเผชิญกับอากาศร้อนภายนอก และเดินเข้าภายในอาคารที่อากาศเย็นทันที อาจทำให้เกิดอาการปวดหัวแปลบขึ้นมา ในกรณีที่ต้องขับรถในช่วงแดดส่องจัด ควรสวมแว่นตากันแดด ป้องกันแสงสะท้อนเข้าตา และหากรู้สึกว่าไมเกรนกำลังคุกคาม รีบหาที่นั่งพักหลับตาสักครู่ ใช้ผ้าเย็นประคบหน้าผากหรือต้นคอ จะบรรเทาอาการได้

- รับประทานอาหารครบทุกมื้อ โดยเฉพาะอาหารมื้อเช้าซึ่งร่างกายต้องการมากที่สุด หลังจากท้องว่างเป็นระยะเวลากว่า 7-8 ชั่วโมง หากปล่อยให้ท้องว่าง น้ำตาลในเลือดจะลดต่ำลง อาจทำให้อาการไมเกรนกำเริบได้

- นอนพักผ่อนให้เพียงพอหรือประยุกต์ท่าโยคะที่เรียกว่า ท่าศพ เพื่อการผ่อนคลายกล้ามเนื้ออย่างเต็มที่ เริ่มจากการปิดไฟในห้องให้มืดและเงียบสนิท นอนหงายบนฟูกหรือพื้นราบ หงายมือวางข้างลำตัว หายใจเข้าและออกลึก ๆ อย่างสม่ำเสมอ หากทำได้ 10 นาที ร่างกายจะรู้สึกปลอดโปร่งมากขึ้น

- ออกกำลังกายสม่ำเสมอ ช่วยให้อาการปวดไมเกรนดีขึ้น เพราะร่างกายจะหลั่งสารเอ็นดอร์ฟิน ช่วยบรรเทาความเครียดและปรับอารมณ์ให้เป็นปกติ แต่ถ้าหากมีอาการไมเกรนอยู่ก่อนก็ไม่ควรออกกำลังกาย เพราะจะยิ่งทำให้อาการรุนแรงมากขึ้น

รู้อย่างนี้แล้ว ก็ลองนำวิธีที่แนะนำไปปฏิบัติตามกันได้ จะได้ห่างไกลจากไมเกรน.



บันทึกการเข้า

ถาวร-LSVteam
.กลุ่มผู้มีน้ำใจงาม.
member
*

คะแนน955
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 7987



อีเมล์
« ตอบ #1 เมื่อ: มีนาคม 01, 2009, 01:07:36 PM »

เป็นแล้วควรหาหมอดีกว่าจะได้รู้ต้นเหตุ ระบบสายตาก็มีผลเช่นกัน
บันทึกการเข้า

ยังสร้างความฉิบหายให้ประเทศไทยไมพอกันอีกหรือ 
 ผู้ใดคิดร้ายให้ร้ายพระองค์ มันจงพินาจฉิบหายในเวลาอันใกล้
หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1 RC2 | SMF © 2001-2006, Lewis Media

lsv2555Please follow the new website at https://www.pohchae.com

Valid CSS!