พระอรหันต์ที่ถูกลืม เคล็ดลับสู่ความสำเร็จ สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พฺรหฺมรํสี)
หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: พระอรหันต์ที่ถูกลืม เคล็ดลับสู่ความสำเร็จ สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พฺรหฺมรํสี)  (อ่าน 6271 ครั้ง)
ntt♥
กลุ่มสนับสนุนLSV+มีน้ำใจ
member
****

คะแนน287
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 848



อีเมล์
« เมื่อ: สิงหาคม 20, 2008, 08:11:02 PM »

สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พฺรหฺมรํสี)  วัดระฆังโฆสิตารามวรมหาวิหาร


บันทึกการเข้า

ntt♥
กลุ่มสนับสนุนLSV+มีน้ำใจ
member
****

คะแนน287
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 848



อีเมล์
« ตอบ #1 เมื่อ: สิงหาคม 20, 2008, 08:15:39 PM »

                                                               
                                          พระอรหันต์ที่ถูกลืม

สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหฺมรํสี )

         พระอรหันต์เป็นผู้ประเสริฐ  คนเราทั้งหลายพยายามค้นหาพระผู้ประเสริฐเพียงหวังที่จะยึดท่าน  เกาะผ้าเหลืองท่าน  เกาะหลังของท่าน  เพื่อให้ท่านพาไปสู่ความสุขแม้ว่าท่านจะอยู่ห่างไกลลึกลับอยู่ในป่าเขาไกลสุดขอบฟ้า  คนเราก็ยังอุตสาห์ดั้นดันดิ้นรนไปหา  เพียงหวังที่จะได้ทำบุญกับพระอรหันต์  เพราะคนเราทั้งหลายเชื่อว่าการที่ได้ทำบุญกับพระอรหันต์ถือว่าเป็นลาภอันประเสริฐ  ด้วยเหตุนี้ทุกคนจึงมุ่งเสาะแสวงหาแต่พระอรหันต์ 
         แต่ความจริงแล้วทุกคนมีพระอรหันต์อยู่ใกล้ตัว  แต่เรากลับมองไม่เห็นเหมือนใกล้เกลือกินด่าง  อันน้ำใจของพ่อแม่ที่มีต่อลูก  มีแต่ความบริสุทธิ์ไม่คิดหวังสิ่งใดตอบแทน  เช่นเดียวกับน้ำใจของพระอรหันต์ที่มีจิตใจอ่อนโยน  มีน้ำใจเอื้อเฟื้อให้เพื่อนมนุษย์พ้นความทุกข์  ความลำบาก  เป็นน้ำใจที่บริสุทธิ์  พ่อแม่จึงเปรียบเสมือนพระอรหันต์ของลูก  ท่านมีน้ำใจบริสุทธิ์ต่อลูกมากมายนัก
         ขอให้พวกโยมจงหลับตา  แล้วค่อยๆระลึกถึงพระคุณของพ่อแม่  ท่านเลี้ยงดูเรามาตั้งแต่อยู่ในท้องของท่าน  ทนทุกข์ทรมานร่วมเก้าเดือนสิบเดือนบ้าง  จะกินจะนอนจะเดินก็เฝ้าระวังรักษาดูแลไม่เคยปริปากบ่นสักนิด  มีแต่ความรักทะนุถนอม  แม้ว่าลูกจะเกิดออกมาแล้วพิกลพิการ หูหนวก ตาบอด  ท่านก็ยังรักสงสาร  เพราะท่านคิดเสมอว่านี้เป็นสายเลือด  ถือว่าเป็นลูกไม่เคยคิดรังเกียจทอดทิ้ง  แต่ท่านกลับจะรักและสงสารมากยิ่งขึ้น  เมื่อตอนที่เราเป็นเด็กเล็กๆ เราเคยหยิก เคยข่วน ทุบ ตี เตะ ต่อย กัด  หรือด่าทอพ่อแม่ต่างๆนานา ด้วยความไร้เดียงสา  ท่านก็ไม่เคยโกรธเคียง กลับยิ้มร่าชอบอกชอบใจเพิ่มความรักความเอ็นดูให้เสียอีก
         ครั้นเมื่อเราเติบใหญ่  ท่านก็ให้ความรู้สอนให้เรารู้จักผิดชอบชั่วดี  แต่บางครั้งด้วยความโกรธ ความหลง  เราก็เคยเอ็ดท่าน ด่าทอ ทุบตีท่าน  แทนที่พ่อแม่จะโกรธถือโทษเอาผิดต่อเรา  ท่านกลับยอมนิ่งเฉยยอมที่จะทนรับทุกข์เพียงฝ่ายเดียว  ยอมเสียน้ำตา  ยอมเอาร่างกายรองรับมือรับเท้าและปากของเรา  สำหรับลูกแล้วพ่อแม่เสียสละให้ได้ทุกอย่าง  ให้อภัยในการกระทำของเราตลอดเวลา  เพราะท่านกลัวว่าเราจะมีบาปกรรมติดตัว  จึงยอมที่จะเจ็บยอมทุกข์เสียเอง  ไม่มีใครในโลกนี้ที่จะรักเรา  และหวังดีต่อเราอย่างจริงจังและจริงใจเหมือนพ่อแม่  ท่านเลี้ยงดูเรามาตั้งแต่เด็กจนเราเติบใหญ่  ทุ่มเทแรงกายแรงใจและกำลังทรัพย์ให้แก่เราอย่างมากมาย  จนไม่อาจประมาณค่าเป็นตัวเงินได้  บางครั้งลูกหลงผิดเป็นคนเลวด้วยเพื่อนพาไปชั่ว  ด้วยอารมณ์แห่งโทสะเป็นคนเมาขาดสติ  ก่อกรรมทำเข็ญสร้างความเดือดร้อนแก่ชาวบ้าน  จนต้องติดคุกตามกฎหมายของบ้านเมือง  แต่ในสายตาของพ่อแม่แล้ว  เมื่อมีภัยมาสู่ลูกท่านก็ยังปกป้องรักษาดูแลช่วยเหลือลูกอย่างเต็มกำลังสุดความสามารถ  ยอมเสียสละทรัพย์สินเงินทองทั้งหมดเพื่อให้ลูกได้พ้นผิด
         พ่อแม่แม้จะเป็นโจร  เป็นคนชั่วในสายตาบุคคลอื่น  แต่สำหรับลูกแล้ว  ท่านเสียสละได้ทุกอย่าง  ไม่ว่าจะเป็นทรัพย์สินเงินทอง  หรือแม้แต่ชีวิตของท่านก็สามารถเสียสละให้ลูกได้  น้ำใจที่มีต่อลูกเช่นนี้เปรียบเท่ากับน้ำใจของพระอรหันต์โดยแท้จริง  พวกโยมลองคิดดูเรามีพระอรหันต์อยู่ใกล้ตัวเราตลอดเวลา  แต่เรากลับมองไม่เห็นลืมท่านเสียได้   คนส่วนมากเมื่อแต่งงานมีครอบครัวมักจะไปปรนนิบัติดูแลแต่สามีหรือภรรยา และลูกของตน โดยลืมดูแลพ่อแม่  การกระทำของลูกที่ทำต่อพ่อแม่เป็นมรดกกรรม  ใครทำกรรมอันใดไว้แก่พ่อแม่  ต้องได้รับผลกรรมนั้นในชาตินี้ทันตาเห็น  ลูกคนใดทำให้พ่อแม่ต้องเสียใจ ๑ ครั้ง  ต่อไปตัวเองจะต้องเสียใจเพราะลูก ๑๐ ครั้ง  ลูกคนใดทำให้พ่อแม่ผิดหวัง ๑ ครั้ง  ต่อไปจะต้องผิดหวังเพราะลูก ๑๐ ครั้ง  ลูกคนใดทำให้พ่อแม่น้ำตาตก ๑ ครั้ง  ต่อไปจะต้องน้ำตาตกเราะลูก ๑๐ ครั้ง   อาตมาเห็นแม่คนหนึ่งมีลูกสองคน  คนโตเวลาเอาอาหารให้แม่จะกระแทกกระทั้นกับแม่จนแม่น้ำตาซึม  ส่วนลูกสาวคนเล็กเข้าไปหาแม่พูดปลอบแม่ คอยป้อนแม่ปรนนิบัติแม่  พี่สาวและน้องสาวต่างมีลูกสาวเหมือนกัน  อาตมาเห็นลูกพี่สาวมีกิริยาแสดงต่อพี่สาวเหมือนกับพี่สาวได้ทำกับแม่และรุนแรงกว่าหลายเท่า  การกระทำต่อบิดามารดาเป็นมรดกกรรม  ใครทำกรรมอันใดต้องได้รับผลกรรมนั้นอย่างแน่นอน  ถ้าโยมเคยทำกรรมที่ไม่ดีต่อพ่อแม่  ขอให้ไปแก้กรรมด้วยการสวดมนต์ภาวนาแผ่เมตตาให้พ่อแม่  แล้วจัดดอกไม้ธูปเทียนไปขอขมาท่าน  ขอพรท่านในด้านที่ดี
         สาธุชนทั้งหลายที่มาฟังธรรมในวันนี้  จงกลับไปดูแลพ่อแม่ผู้เป็นพระอรหันต์ที่ถูกลืม  ในยามที่พ่อแม่ท่านยังมีชีวิตอยู่เราควรจะเลี้ยงดูตอบแทนพระคุณพ่อแม่  โดยการซื้ออาหารที่ท่านชอบ  หาเสื้อผ้าสวยๆให้ท่านสวมใส่  พาท่านไปทำทานเข้าวัดเข้าวา  อะไรก็ตามที่ทำแล้ว ท่านมีความสุขก็ควรทำให้ท่าน  ดูแลความทุกข์สุขและเลี้ยงดูจิตใจท่าน  เชื่อฟังในโอวาทคำเตือนของท่าน  คำพูดคำจาที่จะพูดกับพ่อแม่ต้องระมัดระวัง  เพราะคนแก่นั้นขี้ใจน้อย ต้องรักษาน้ำใจท่านไว้ด้วยคำพูดที่นิ่มหู  ฟังดูแล้วไม่ทำให้ท่านไม่สบายใจ  ไม่ปล่อยให้ท่านอยู่อย่างว้าเหว่คอยเอาใจใส่ปรนนิบัติดูแลท่านอย่างใกล้ชิด  คนส่วนมากมักจะทำบุญให้พ่อแม่ยามที่ท่านตายไปแล้ว  นั่นเป็นการพลาดที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิต  ควรทำบุญให้พ่อแม่เมื่อยังมีชีวิตอยู่  ย่อมได้ชื่อว่าเป็นผู้มีความกตัญญูกตเวที  เป็นบุญที่ให้ผลในชาติปัจจุบัน  ทุกคนต้องการทำบุญกับพระอรหันต์ผู้ประเสริฐ  แต่พระอรหันต์ที่อยู่นอกบ้าน  พวกท่านไม่อาจล่วงรู้ได้ว่าองค์ไหนเป็นพระอรหันต์  แต่พ่อแม่ผู้เป็นพระอรหันต์ของลูกนี่ซิของจริงแท้แน่นอน  ขอให้ทุกคนกับไปทำบุญกับพ่อแม่กันเถิด  อาตมาไม่เคยเห็นผู้ใดที่มีความกตัญญูกตเวทีกับพ่อแม่แล้วพบกับความวิบัติไม่เคยมี  มีแต่จะเจริญรุ่งเรืองแคล้วคลาดปลอดภัยจากอันตรายทั้งหลายทั้งปวง  ตกน้ำไม่ไหล  ตกไฟไม่ไหม้   
นะโยม  เจริญพร........



บันทึกการเข้า
ntt♥
กลุ่มสนับสนุนLSV+มีน้ำใจ
member
****

คะแนน287
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 848



อีเมล์
« ตอบ #2 เมื่อ: สิงหาคม 20, 2008, 08:57:01 PM »

บุญที่ให้ผลในชาติปัจจุบัน 
สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี)

วันนี้อาตมาจะเทศน์เรื่อง “บุญที่ให้ผลในชาติปัจจุบัน” คำว่าบุญ แปลแบบไทยๆ ว่าความดี ความสะอาดแห่งจิต เวลาให้ของแก่พระสงฆ์เรียกว่าทำบุญ ส่วนการทำบุญในพุทธศาสนาเรียกว่าทำบุญ ส่วนการทำบุญในพุทธศาสนามีอยู่ด้วยกันมากมายหลายวิธี แต่ที่มีความสำคัญอย่างยิ่งในธรรมะเรียกว่า บุญกริยาวัตถุ 3 ซึ่งประกอบด้วย ทาน ศีล ภาวนา เคยมีคนถามอาตมาว่าเกิดมาเป็นคนยากจนไร้ทรัพย์จะทำบุญอย่างไร

อาตมาก็ตอบเขาไปว่าการทำบุญ ไม่จำเป็นต้องมีทรัพย์สินเงินทอง ก็สามารถที่จะร่วมทำบุญได้ แถมยังประหยัดอีกด้วยนั่นคือ การรักษาศีลและการเจริญภาวนา ซึ่ง 2 อย่างนี้จะได้อานิสงส์ผลบุญมากกว่าการให้ทานเสียอีกเพียงแต่ญาติโยมมองข้ามกันไป โยมมักจะคิดทำบุญแต่การให้เท่านั้นเพราะว่ามันง่ายดีแต่การรักษาศีลและภาวนา ต้องเสียสละเวลาในการปฏิบัติ จึงรู้สึกว่าทำยากกว่า การทำบุญทุกอย่าง โยมต้องเข้าใจด้วยว่าเพียงแต่เราตั้งใจหรือมีเจตนาที่จะทำบุญเท่านั้น โยมก็ได้กุศลแล้ว แต่บุญที่ได้รับยังเป็นส่วนน้อย ถ้าอยากได้บุญเต็มที่ต้องทำบุญให้ครบ 3 อย่าง

• ทาน คือ การให้ ถ้ามีเงินทองมากก็ทำมาก มีเงินน้อยก็ทำน้อยตามกำลังตนถ้าไม่มีเงินทองใช้แรงกายก็ให้เป็นทานได้

• ศีล พวกท่านทั้งหลายสังเกตหรือไม่ว่าเวลาที่ญาติโยมจะมาทำบุญ ทำไมพระท่านถึงให้พวกญาติโยมรับศีลก่อน เพราะท่านต้องการที่จะทำให้ผู้ให้มีจิตใจที่บริสุทธิ์ เมื่อทำบุญขณะนั้นก็จะได้รับผลเต็มกำลัง จริงอยู่ที่บางคนไม่อาจถือศีลได้ตลอดเวลา อาจเป็นเพราะหน้าที่การงาน ทำให้ต้องผิดศีล แต่เราก็สามารถที่จะถือศีลได้ในขณะที่เรานอนในเวลากลางคืน และถือได้ครบทั้ง 5 ข้อด้วยเพียงแต่เราอาราธนารับศีลทั้ง 5 ด้วยตนเองที่หน้าพระพุทธรูปที่บ้าน ซึ่งถือว่าเป็นการทำบุญที่ง่ายมากได้รับผลเต็มกำลัง ในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ จิตใจเต็มไปด้วยความเมตตากรุณา แต่ถ้าเกิดเราต้องตายในขณะนั้นก็ส่งผลให้เราไปสู่สุคติทันที

• ภาวนาหรือการสวดมนต์ คนส่วนใหญ่มักจะเข้าใจกันว่า การภาวนาสวดมนต์มีประโยชน์น้อย และเสียเวลามาก แต่ความจริงแล้วการสวดมนต์ภาวนา มีประโยชน์อย่างมากมาย เพราะการสวดมนต์ภาวนาเป็นการกล่าวถึงคุณงามความดีของพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ การสวดมนต์ภาวนาด้วยความตั้งใจจนจิตเป็นสมาธิ และใช้สติพิจารณาเกิดเป็นปัญญา เป็นความรู้ความเข้าใจ ประโยชน์สูงสุดของการสวดมนต์ภาวนา ทำให้บรรลุไปสู่พระนิพพาน

“หัวใจของการทำบุญทุกครั้ง” ขอให้ญาติโยมจงแผ่เมตตา และอุทิศส่วนบุญส่วนกุศลทุกครั้งตามนี้

“ข้าพเจ้าขออุทิศส่วนบุญส่วนกุศลนี้ไปให้ทุกรูปทุกนามทั้ง 20 ชั้นพรหมโลก 6 ชั้นเทวะโลก มนุษย์โลก มารโลก ยมโลก อบายภูมิทั้ง 4 มี นรก เปรต อสุรกาย สัตว์เดรัจฉาน และในหมื่นโลกธาตุกับอีกแสนจักรวาลพิภพ ทั้งที่เป็นมนุษย์ อมนุษย์ รูปวิญญาณ อรูปวิญญาณและสรรพสัตว์ทั้งหลาย ทั้งที่เป็นมิตรและศัตรู ตลอดจนเจ้ากรรมนายเวรของข้าพเจ้า ขอให้ทุกรูปทุกนาม จงเป็นสุขเป็นสุขเถิด อย่าได้มีเวรซึ่งกันและกันเลย อย่าได้เบียดเบียนซึ่งกันและกันเลย ขอให้ทุกรูปทุกนาม จงโมทนาในส่วนกุศลนี้ พึงได้รับประโยชน์ความสุขเช่นเดียวกัน ข้าพเจ้าจะพึงได้รับ ณ กาลบัดนี้ด้วยเทอญ”

บุญที่ทำไปจะส่งผลให้ได้รับบุญในชาติปัจจุบันทันที ไม่ต้องรอไปถึงชาติหน้ากันหรอก     ขอเจริญพร
บันทึกการเข้า
ntt♥
กลุ่มสนับสนุนLSV+มีน้ำใจ
member
****

คะแนน287
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 848



อีเมล์
« ตอบ #3 เมื่อ: สิงหาคม 21, 2008, 08:30:39 PM »

อานิสงส์การสวดมนต์
สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) พรหมรังสี


ดังปรากฏในงานของท่านเจ้าพระยาสรรเพชรภักดี จางวางมหาดเล็กในรัชกาลที่ 4 ที่ได้นิมนต์เจ้าประคุณสมเด็จโตมาเทศน์ที่บ้าน
ครั้นพลบค่ำ ท่านเจ้าประคุณสมเด็จโตพร้อมลูกศิษย์ได้เดินทางจากวัดระฆังมายังบ้านของท่านเจ้าพระยาสรรเพชรภักดี ซึ่งในขณะนั้นมีอุบาสก อุบาสิกา นั่งพับเพียบเรียบร้อยกันเป็นจำนวนมาก ด้วยต้องการสดับรับฟังการเทศน์ของท่านเจ้าประคุณ ณ ที่เรือนของท่านเจ้าพระยา

เจ้าประคุณสมเด็จโต ได้ขึ้นนั่งบนธรรมาสน์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว จึงกล่าวบูชาพระรัตนตรัย เมื่อจบแล้ว ท่านจึงเทศน์ “ เรื่อง อานิสงส์ของการสวดมนต์ ”

ท่านเจ้าประคุณสมเด็จโต ได้กล่าวว่ายังมีคนส่วนใหญ่เข้าใจว่า การสวดมนต์มีประโยชน์น้อย และเสียเวลามากหรือฟังไม่รู้เรื่อง ความจริงแล้วการสวดมนต์มีประโยชน์อย่างมากมาย
เพราะการสวดมนต์เป็นการกล่าวถึงคุณงามความดี ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ว่าพระองค์ท่านมีคุณวิเศษอย่างไร พระธรรมคำสอนของพระองค์มีคุณอย่างไร และพระสงฆ์อรหันต์อริยะเจ้ามีคุณเช่นไร

การสวดมนต์ด้วยความตั้งใจจนจิตเป็นสมาธิ แล้วใช้สติพิจารณาจนเกิดปัญญาและความรู้ความเข้าใจ ประโยชน์สูงสุดของการสวดมนต์นั่นคือ จะทำให้ท่านเป็นผล จนสำเร็จเป็นพระอรหันต์

ที่อาตมากล่าวเช่นนี้ มีหลักฐานปรากฏในพระธรรมคำสอนที่กล่าวไว้ว่า โอกาสที่จะบรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์มี 5 โอกาสด้วยกันคือ
• เมื่อฟังธรรม
• เมื่อแสดงธรรม
• เมื่อสาธยายธรรม นั่นคือ การสวดมนต์
• เมื่อตรึกตรองธรรม หรือเพ่งธรรมอยู่ในขณะนั้น
• เมื่อเจริญวิปัสสนาญาณ

การสวดมนต์ในตอนเช้าและในตอนเย็นเป็นประเพณีที่ปฏิบัติกันมา ตั้งแต่สมัยพุทธกาล พระพุทธเจ้าทรงประกาศพระพุทธศาสนาบรรดาพุทธบริษัททั้งหลาย ต่างพากันมาเข้าเฝ้าพระพุทธองค์ โดยแบ่งเวลาเข้าเฝ้าเป็น 2 เวลา นั่นคือ ตอนเช้าเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า เพื่อฟังธรรม ตอนเย็นเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าเพื่อฟังธรรม

การฟังธรรมเป็นการชำระล้างจิตใจ ที่เศร้าหมองให้หมดไปเพื่อสำเร็จสู่มรรคผลพระนิพพาน การสวดมนต์นับเป็นการดีพร้อมซึ่งประกอบไปด้วยองค์ทั้ง 3 นั่น คือ

• กาย มีอาการสงบเรียบร้อยและสำรวม
• ใจ มีความเคารพนบนอบต่อคุณพระรัตนตรัย
• วาจา เป็นการกล่าวถ้อยคำสรรเสริญถึงพระคุณอันประเสริฐ ในพระคุณทั้ง 3 พร้อมเป็นการขอขมา ในการผิดพลาดหากมีและกล่าวสักการะเทิดทูนสิ่งสูงยิ่ง ซึ่งเราเรียกได้ว่าเป็นการสร้างกุศล ซึ่งเป็นมงคลอันสูงสุดที่เดียว

อาตมาภาพ ขอรับรองแก่ท่านทั้งหลายว่า ถ้าหากบุคคลใดได้สวดมนต์เช้าและเย็นไม่ขาดแล้ว บุคคลนั้นย่อมเข้าสู่แดนพระอรหันต์อย่างแน่นอน

การสวดมนต์นี้ ควรสวดมนต์ให้มีเสียงดับพอสมควร ย่อมก่อให้เกิดประโยชน์แก่จิตตน และประโยชน์แก่จิตอื่น

*ที่ว่าประโยชน์แก่จิตตน คือ เสียงในการสวดมนต์จะกลบเสียงภายนอกไม่ให้เข้ามารบกวนจิต ก็จะทำให้เกิดความสงบอยู่กับบทสวดมนต์นั้น ๆ ทำให้เกิดสมาธิและปัญญา เข้ามาในจิตใจของผู้สวด

*ที่ว่าประโยชน์แก่จิตอื่น คือ ผู้ใดที่ได้ยินได้ฟังเสียงสวดมนต์จะพลอย ได้เกิดความรู้เกิดปัญญา มีจิตสงบลึกซึ้งตามไปด้วย ผู้สวดก็เกิดกุศลไปด้วยโดยการให้ทานโดยทางเสียง เหล่าพรหมเทพที่ชอบฟังเสียงในการสวดมนต์ มีอยู่จำนวนมาก
ก็จะมาชุมนุมฟังกันอย่างมากมาย เมื่อมีเหล่าพรหมเทพเข้ามาล้อมรอบตัวของผู้สวดอยู่เช่นนั้น ภัยอันตรายต่าง ๆ ที่ไหนก็ไม่สามารถกล้ำกลายผู้สวดมนต์ได้ตลอดจนอาณาเขตและบริเวณบ้านของผู้ที่สวดมนต์ ย่อมมีเกราะแห่งพรหมเทพและเทวดา ทั้งหลายคุ้มครองภัยอันตราย ได้อย่างดีเยี่ยม

ดูก่อน.. ท่านเจ้าพระยาและอุบาสก อุบาสิกาในที่นี้ การสวดมนต์เป็นการระลึกถึงพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณเมื่อจิตมีที่พึ่งคือ คุณพระรัตนตรัย ความกลัวก็ดี ความสะดุ้งกลัวก็ดี และความขนพองสยองเกล้าก็ดี ภัยอันตรายใด ๆ ก็ดีจะไม่มีแก่ผู้สวดมนต์นั่นแล..

บันทึกการเข้า
ntt♥
กลุ่มสนับสนุนLSV+มีน้ำใจ
member
****

คะแนน287
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 848



อีเมล์
« ตอบ #4 เมื่อ: สิงหาคม 22, 2008, 07:32:18 PM »


         หลวงปู่โต พรหมรังสี
บันทึกการเข้า
b.chaiyasith
แก้ปัญหาไม่ตกคุยกันเวลางานline:chiabmillion
.กลุ่มผู้มีน้ำใจงาม.
member
*

คะแนน650
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3004


ไม้ดีไม่ลอยน้ำมาไกล


อีเมล์
« ตอบ #5 เมื่อ: สิงหาคม 22, 2008, 09:30:50 PM »

ขอขอบคุณท่าน ntt ที่นำสิ่งดีๆเป็นมงคลกับชืวิตมาฝาก เป็นการเตือนใจไม่ให้ลืมพระอรหันต์ที่บ้าน Cheesy
บันทึกการเข้า

"CHIAB"
มนุษย์เราแต่ละคน  ต่างไม่รู้ว่ามาจากไหน  ไม่มีใครรู้จักกันมาก่อนเลย  แล้ววันหนึ่งก็มาพบหน้ากัน  สมมุติเป็นพ่อ  เป็นแม่  เป็นเมีย  เป็นสามี  เป็นลูก  อยู่ร่วมกัน  ใช้ชีวิตร่วมกัน และแล้ววันหนึ่ง  ก็แยกย้ายด้วยการ  "ตายจาก"  กันไปสู่  ณ  ที่ซึ่งไม่มีใครได้ตามพบ  คืนสู่ความเป็นผู้ไม่รู้ว่ามาจากไหน  ไปไหน  และคืนสู่ความเป็น  "คนแปลกหน้า"  ซึ่งกันและกันอนันกาลอีกครั้งหนึ่ง...และอีกครั้งหนึ่ง!?
ขอขอบคุณ คุณเปลว สีเงิน ที่ให้ข้อคิดดีๆ
ntt♥
กลุ่มสนับสนุนLSV+มีน้ำใจ
member
****

คะแนน287
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 848



อีเมล์
« ตอบ #6 เมื่อ: สิงหาคม 23, 2008, 10:13:51 PM »

เคล็ดลับสู่ความสำเร็จ
สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี )

ท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ ( โต ) กล่าวว่า เคล็ดลับสู่ความสำเร็จสุดยอดในทางธรรม คือ จะต้องมีสัจจะอันแน่วแน่ และมีขันติธรรมอันมั่นคง จึงจะฝ่าฟันอุปสรรค บรรลุความสำเร็จได้ อาตมามีกฎอยู่ว่า เช้าตีห้าไม่ว่าฝนจะตก ฟ้าจะร้อง อากาศจะหนาว ต้องตื่นทันที ไม่มีการผัดเวลา แล้วเข้าสรงน้ำ ชำระกายให้สะอาด แล้วจึงได้สวดมนต์และปฏิบัติสมถกรรมฐานหนึ่งชั่วโมง พอหกโมงตรงก็ออกบิณฑบาต เพื่อปฏิบัติตามปฏิปทาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

ฝึกจิตให้ได้ผลต้องตรงต่อเวลา
กลับจากบิณฑบาตแล้ว ก็เอาอาหารตั้งไว้ ตักน้ำใส่ตุ่ม เสร็จแล้วฉันอาหารเช้า โดยปกติอาตมาฉันมื้อเดียวเว้นไว้มีกิจนิมนต์ จึงฉันสองมื้อ สี่โมงเช้าถึงเที่ยง ถ้ามีรายการไปเทศน์ ก็ไปเทศน์ตามที่นัดไว้ วันไหนไม่ติดเทศน์ก็จะปิดประตูกุฏิทันที ไม่ให้ใครๆเข้าไป ในช่วงเวลานั้นเป็นเวลาศึกษาตำรา เวลาบ่ายโมงจึงออกรับแขก บ่ายสามโมงไม่ว่าใครจะมาอาตมาจะให้ออกจากกุฏิไปหมด เพราะถึงเวลาปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน ฉะนั้น จุดสำคัญจงจำไว้ เราจะปฏิบัติเพื่อหลุดพ้น ต้องมีสัจจะเพื่อตน โดยไม่เห็นแก่หน้าใคร ถึงเวลาทำสมาธิต้องทำ ไม่มีการผัดผ่อนใดๆ ทั้งสิน

หลักการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน
1.จะต้องมีสัจจะต่อตนเอง
2.จะต้องไม่คล้อยตามอารมณ์ของมนุษย์
3.พยายามตัดงานในด้านสังคมออก และไม่นัดหมายใครในเวลาปฏิบัติกรรมฐาน ดังนั้นเมื่อจะเป็นนักปฏิบัติธรรมจำเป็นจะต้องมีกฎเกณฑ์ของเรา เพื่อฝึกจิตให้เข้มแข็ง

ทางแห่งความหลุดพ้น
เจ้าประคุณสมเด็จฯ มักจะกล่าวกับสานุศิษย์ทั้งหลายอยู่เสมอว่า ชีวิตมนุษย์อยู่ได้ไม่ถึงหนึ่งร้อยปีก็ต้องตายและถูกหามเข้าป่าช้า ดังนั้น จึงควรประพฤติปฏิบัติอยู่ใน ศีล สมาธิ และปัญญา เพื่อให้หลุดพ้นจากสังสารวัฏ ท่านเปรียบเทียบว่า มนุษย์อาบน้ำ ชำระกายวันละสองครั้ง เพื่อกำจัดเหงื่อไคลสิ่งโสโครกที่เกาะร่างกาย แต่ไม่เคยคิดจะชำระจิตให้สะอาดแม้เพียงนาที ด้วยเหตุนี้ ทำให้จิตใจของมนุษย์ ยุคปัจจุบันเศร้าหมองเคร่งเครียดและดุดัน ก่อให้เกิดปัญหาความพิการในสังคมความแก่งแย่งชิงดีชิงเด่นกัน จนกระทั่งเกิดความขัดแย้ง และกลายเป็นสงครามมนุษย์ฆ่ามนุษย์ด้วยกัน

แต่งใจ
ขอให้ท่านได้พิจารณาไตร่ตรองให้จงดีเถิดว่า ร่างกายของเรานี้ไฉนจึงต้องชำระทุกวันทั้งเช้าและเย็น จะขาดเสียไม่ได้ทั้งที่หมั่นทำความสะอาดอยู่เป็นนิจ แต่ยังมีกลิ่นไม่น่าอภิรมย์ออกมา แม้จะพยายามหาของหอมมาทาทับ ก็ปกปิดกลิ่นนั้นไม่ได้ใจของเราล่ะ ซึ่งเป็นใหญ่กว่าร่างกาย เป็นผู้สั่งบัญชางาน ใ
ห้กายแท้ๆ มีใครเอาใจใส่ชำระสิ่งสกปรกออกบ้าง ตั้งแต่เล็กจนเติบโตเป็นผู้ใหญ่ มันสั่งสมสิ่งไม่ดีไว้มากเพียงใด
หรือว่ามองไม่เห็นจึงไม่มีความจำเป็นที่จะต้อง ทำความสะอาดหรือ?

กรรมลิขิต
เราทั้งหลายเกิดมาเป็นมนุษย์ชาติแล้ว ล้วนแต่มีกรรมผูกพันกันมาทั้งสิ้น ผูกพันในความเป็นมิตรบ้างเป็นศัตรูบ้าง แต่ละชีวิตก็ย่อมที่จะเดินไปตามกรรมวิบากของตนที่ได้กระทำไว้ ทุกชีวิตล้วนมีกรรมเป็นเครื่องลิขิต

อดีตกรรม ถ้ากรรมดี เสวยอยู่
ปัจจุบันกรรม สร้างกรรมชั่ว ย่อมลบล้าง
อดีตกรรม กรรมแห่งอกุศล วิบากตน
ปัจจุบัน สร้างกรรมดี ย่อมผดุง

เรื่องกฎแห่งกรรม ถ้าเป็นชาวพุทธแล้ว เขาถือว่าเป็นกฎแห่งปัจจังตัง ผู้ที่ต้องการรู้ ต้องทำเอง รู้เอง ถึงเอง แล้วจึงจะเข้าใจ

นักบุญ
การทำบุญก็ดี การทำสิ่งใดก็ดี ถ้าเป็นการทำตนให้ละทิฏฐิมานะ ทำเพื่อให้จิตเบิกบาน ย่อมเสวยบุญนั้นในปรภพ มนุษย์ทุกวันนี้ทำแบบมีกิเลส ดังนั้น บางคนนึกว่าเข้าสร้างโบสถ์เป็นหลังๆ แล้วเขาจะไปสวรรค์หรือเปล่า เขาตายไปอาจจะต้องตกนรก เพราะอะไรเล่า เพราะถ้าเขาสร้างด้วยเจตนาไม่บริสุทธิ์ เป็นการทำเพื่อเอาบุญบังหน้าในการเสวยความสุขส่วนตัวก็มี บางคนอาจเรียกได้ว่าหน้าเนื้อใจเสือ คือข้างหน้าเป็นนักบุญ ข้างหลังเป็นนักปล้น

ละความตระหนี่มีสุข
ดังนั้นบุญที่เขาทำนี้ถือว่า ไม่เป็นสุข หากมาจากการก่อกรรม บุญนั้น จึงมีกระแสคลื่นน้อยกว่าบาปที่เขาทำเอาไว้หากมีใครเข้าใจคำว่า บุญ นี้ดีแล้ว การทำบุญนี้จุดแรกในการทำก็เพื่อไม่ให้เรานี้เป็นคนตระหนี่ รู้จักเสียสละเพื่อความสุขของผู้อื่น ธรรมดาเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน เมื่อมีทุกข์ก็ควรจะทุกข์ด้วย เมื่อมีความสุขก็ควรสุขด้วยกัน

อย่าเอาเปรียบเทวดา
ในการทำบุญ สิ่งที่จะได้ก็คือ ระหว่างเราผู้เป็นมนุษย์ เรารู้ว่าสิ่งที่เราทำนี้จะเป็นมงคล ทำให้จิตใจเบิกบานดี นี่คือการเสวยผลแห่งบุญในปัจจุบัน ทีนี้การทำบุญเพื่อจะเอาผลตอบแทนนั้น มนุษย์นี้ออกจะเอาเปรียบเทวดา ทำบุญครั้งใด ก็ปรารถนาเอาวิมานหนึ่งหลังสองหลัง
การทำบุญแบบนี้เรียกว่า ทำเพราะหวังผลตอบแทนด้วยความโลภ บุญนั้นก็ย่อมจะไม่มีผล ท่านอย่าลืมว่า ในโลกวิญญาณเขามีกระแสทิพย์รับทราบในการทำของมนุษย์แต่ละคนเขามีห้องเก็บบุญและบาปแห่งหนึ่ง
อันเป็นที่เก็บบุญและบาปของใครต่อใคร
และของเรื่องราวนั้นๆ กรรมของใครก็จะติดตามความเคลื่อนไหวของตนๆนั้น ไปตลอดระหว่างที่เขายังไม่สิ้นอายุขัย

บุญบริสุทธิ์
การที่สอนให้ทำบุญโดยไม่ปรารถนานั้น ก็เพื่อให้กระแสบุญนั้นบริสุทธิเป็นขั้นที่หนึ่ง จะได้ตามให้ผลทันในปัจจุบันชาติ แต่ถ้าตามไม่ทันในปัจจุบันชาติ ก็ติดตามไปให้เสวยผลในปรภพ คือ เมื่อสิ้นอายุขัยจากโลกมนุษย์ไปแล้ว ฉะนั้น เขาจึงสอนไม่ให้ทำบุญเอาหน้า ทำบุญอย่าหวังผลตอบแทน สิ่งดีที่ท่านทำไปย่อมได้รับสนองดีแน่นอน

สั่งสมบารมี
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สำหรับนักปฏิบัติธรรมแล้ว การทำบุญทำทานย่อมเป็นการส่งเสริมการปฏิบัติจิตให้บรรลุธรรมได้เร็วขึ้น เป็นบารมีอย่างหนึ่ง ในบารมีสิบทัศที่ต้องสั่งสม เพื่อให้สำเร็จมรรคผลนิพพาน

เมตตาบารมี
การทำบุญให้ทานเพียงแต่เรียกว่า ทานบารมี หากบำเพ็ญสมาธิจิตจนได้ญาณบารมี และโดยเฉพาะการบำเพ็ญทุกอย่างนั้น
ถ้าท่านให้โดยไม่มีเจตนาแห่งการให้ ให้สักแต่ว่าให้เขา ท่านก็ย่อมได้กุศลเรียกว่าไม่มากและทัศนคติของอาตมาว่า  การบำเพ็ญเมตตาบารมีในภาวนาบารมีนั้นได้กุศลกรรมกว่าการให้ทาน

แผ่เมตตาจิต
ทุกสิ่งทุกอย่างที่จะสัมฤทธิ์ผลนั้น เกิดจากกรรม 3 อย่าง คือ มโนกรรม เป็นใหญ่ แล้วค่อยแสดงออกมาทางวจีกรรม หรือกายกรรมที่เป็นรูป การบำเพ็ญสมาธิจิตเป็นกุศลดีกว่า เพราะว่า การแผ่เมตตา 1 ครั้ง ได้กุศลมากกว่าสร้างโบสถ์ 1 หลัง ขณะจิตที่แผ่เมตตานั้น จะเกิดอารมณ์แจ่มใส สรรพสัตว์ไม่มีโทษภัย ตัวท่านก็ไม่มีโทษภัย ฉะนั้น เขาจึงว่านามธรรมมีความสำคัญกว่า

อานิสงส์การแผ่เมตตา
ผู้ปฏิบัติธรรมนั้น ต้องรู้จักคำว่า แผ่เมตตา คือต้องเข้าใจว่า ความวิเวกวังเวงแห่งการคิดนึกของเราแต่ละบุคคลนั้น มีกระแสแห่งธาตุไฟผสมอยู่ในจิตและวิญญาณกระจายออกไป เมื่อจิตของเรามีเจตนาบริสุทธิ์ เมื่อจิตของเราเป็นมิตรกับทุกคน เมื่อนั้นเขาก็ย่อมเป็นมิตรกับเรา เสมือนหนึ่งเราให้เขากินอาหาร คนที่กินอาหารนั้นย่อมคิดถึงคุณของเรา หรืออีกนัยหนึ่งว่าเราผูกมิตรกับเขาๆก็ย่อมเป็นมิตรกับเรา แม้แต่คนอันธพาล เราแผ่เมตตาจิตให้ทุกๆวัน สักวันหนึ่งเขาก็ต้องเป็นมิตรกับเราจนได้ เมื่อจิตเรามีเจตนาดีต่อดวงวิญญาณทุกๆดวง ดวงวิญญาณทุกๆดวงย่อมรู้กระแสแห่งจิตของเรา เรียกว่ามนุษย์เรานี้มีกระแสธาตุไฟออกจากสังขาร เพราะเป็นพลังแห่งการนั่งสมาธิจิต วิญญาณจะสงบ ธาตุทั้ง 4 นั้น จะเสมอแล้วจะเปล่งเป็นพลังงานออกไป ฉะนั้น ผู้ที่นั่งสมาธิปฏิบัติอย่างสม่ำเสมอ จิตแน่วแน่แล้ว โรคที่เป็นอยู่มันจะหายไป ถ้าสังขารนั้นไม่ใช่จะพังเต็มทีแล้ว คือไม่ถึงวาระสิ้นอายุขัย หรือว่าสังขารนั้นร่วงโรยเกินไปแล้ว ก็จะรักษาให้มันกระชุ่มกระชวยได้หรือจะให้มันสบายหายเป็นปกติดั่งเดิมได้

ประโยชน์จากการฝึกจิต
ผู้ที่ปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน จนมีสมาธิแน่วแน่ เมื่อจิตนิ่งก็รู้ตน เริ่มพิจารณาตน รู้ตนเองได้ ปัญญาก็เกิดขึ้น ปัญญานี้เรียกว่า ปัญญาภายในจากจิตวิญญาณ ซึ่งเราจะใช้ปัญญานี้ได้แน่นอน เมื่อเกิดมีปัญหาขึ้นในชีวิตตลอดระยะเวลาอันยาวนานข้างหน้า นี่คือประโยชน์ของการฝึกจิตแล้ว คุณของสมาธิยังเป็นพลังป้องกันไม่ให้เกิดโรคภัย เจ็บป่วยได้ กล่าวคือ การบำเพ็ญจิต จนจิตสงบนิ่งแล้ว ระบบต่างๆทางประสาทจะได้รับการพักผ่อน เป็นการปรับธาตุในกายให้เกิดพลังจิตเข้มแข็ง กายเนื้อก็จะแข็งแรงกระชุ่มกระชวยด้วย โลหิตในร่างกายจะหมุนเวียนสะดวกขึ้น ความตึงเครียดตามร่างกายและประสาทต่างๆ จะผ่อนคลายเป็นปกติ โรคต่างๆจะลดน้อยลงโดยเฉพาะผู้ที่ป่วยเป็นโรคความดันโลหิตสูง หายป่วยได้ด้วยการฝึกจิตและเดินจงกรม

บันทึกการเข้า
ntt♥
กลุ่มสนับสนุนLSV+มีน้ำใจ
member
****

คะแนน287
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 848



อีเมล์
« ตอบ #7 เมื่อ: สิงหาคม 24, 2008, 09:01:27 PM »

สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหฺมรํสี)
บันทึกการเข้า
หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป: