กำหนดชีวิตตามรอยพระบาท เส้นทางของพุทธองค์
หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: กำหนดชีวิตตามรอยพระบาท เส้นทางของพุทธองค์  (อ่าน 1727 ครั้ง)
แวมไพร์-LSVteam♥
.กลุ่มผู้มีน้ำใจงาม.
member
*

คะแนน912
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3712


..เรียนให้รู้เป็นครูเขา.Learning by doing


« เมื่อ: พฤษภาคม 27, 2008, 10:49:53 AM »



ไม่มีใครข่มได้
"ตถาคตเคยเป็นมนุษย์ในชาติ กาลก่อน เป็นผู้ถือปฏิบัติมั่นคงในกุศล ธรรม ไม่ถดถอยในการปฏิบัติทั้งกาย วาจา ใจอันสุจริต ไม่ถดถอยในการทำ ทาน รักษาศีล ไม่ถดถอยในการปฏิบัติดี แก่บิดามารดา สมณะพราหมณ์ ได้ถด ถอยในการเคารพผู้ใหญ่ในสกุลในธรรม อันเป็นกุศลชั้นสูง ฯ


ด้วยผลแห่งบุญที่เราได้กระทำ สั่งสมไว้นั้น ต่อเมื่อเราได้เป็นพระพุทธ เจ้าแล้ว ย่อมไม่มีเหล่าข้าศึกภายใน คือ ราคะ โมหะ โทสะ หรือศัตรูภายนอก คือ สมณะพราหมณ์ เทวดา มาร พรหม หรือใคร ๆ ในโลกนี้จะพึงข่มเรา ได้เลย"

เป็นที่รักยิ่ง
"ตถาคตเคยเกิดเป็นมนุษย์ในชาติกาลก่อน ไม่เคยเลยที่จะ ถลึงตาดูใคร ๆ ไม่ค้อนตาดู ไม่ชำเลืองตาดู เป็นผู้ซื่อตรง มีใจตรง เป็นปกติ แลดูใครก็ดูตรง ๆ ดูด้วยดวงตาอันเป็นที่รักอยู่

ด้วยผลแห่งบุญที่เราได้กระทำสั่งสมไว้นั้น ต่อเมื่อเราได้เป็น พระพุทธเจ้าแล้ว เราจึงได้รับผลบุญนั้น คือ เป็นผู้ที่มหาชนเห็นแล้วรัก เป็นที่รัก ที่เคารพ ที่พอใจของภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา เทวดา มนุษย์ อสูร นาค และคนธรรพ์"

อายุยืน
"ตถาคตเคยเกิดเป็นมนุษย์ในชาติกาลก่อน เป็นผู้ละเว้นปาณา ติบาต (ไม่เบียดเบียนชีวิตคนและสัตว์) เว้นขาดจากปาณาติบาตแล้ว วางทัณฑะ (ไม่ลงโทษ) วางศาตราแล้ว มีความละอาย มีความกรุณา หวังประโยชน์แก่สัตว์ทั้งปวงอยู่
ด้วยผลแห่งบุญที่เราได้กระทำสั่งสมไว้นั้น ต่อเมื่อเราได้เป็น พระพุทธเจ้าแล้ว เราจึงได้รับผลบุญนั้นคือ มีอายุยืนนาน ไม่มีข้าศึก ศัตรูใด แม้สมณพราหมณ์ เทวดา พรหม มาร ใคร ๆ ในโลกนี้ จะสามารถปลงชีวิตเราให้ตกร่วงไปได้เลย"


โรคน้อย
"ตถาคตเคยเกิดเป็นมนุษย์ในชาติกาลก่อน ได้เป็นผู้ไม่เบียด เบียนสัตว์ด้วยฝ่ามือ ด้วยก้อนหิน ด้วยท่อนไม้ แม้ด้วยศัตรา (ของ มีคม) ใด ๆ เลย
ด้วยผลแห่งบุญที่เราได้กระทำสั่งสมไว้นั้น ต่อเมื่อเราได้เป็น พระพุทธเจ้าแล้ว เราจึงได้รับผลบุญนั้นคือ มีโรคน้อย มีความลำบาก น้อย สมบูรณ์ด้วยธาตุไฟย่อยอาหารได้ดี ทั้งไม่เย็นนัก ไม่ร้อนนัก ปานกลางพอดี เหมาะควรแก่ความเพียร"

บริวารสะอาด
"ตถาคตเคยเกิดเป็นมนุษย์ในชาติกาลก่อน เป็นผู้ละมิจฉา อาชีพ (อาชีพที่ชั่วบาป) กระทำการเลี้ยงชีวิตอยู่ด้วยสัมมาอาชีพ (อาชีพที่ดีเป็นบุญ) เว้นขาดจากการโกงด้วยตาชั่ง โกงด้วยของปลอม โกงด้วยเครื่องตวงวัด โกงด้วยการรับสินบน เว้นขาดจากการหลอก ลวงและการตลบตะแลง เว้นขาดจากการตัด ฆ่า จองจำ ตี ชิง ปล้น และกรรโชกผู้อื่น
ด้วยผลแห่งบุญที่เราได้กระทำสั่งสมไว้นั้น ต่อเมื่อเราได้เป็น พระพุทธเจ้าแล้ว เราจึงได้รับผลบุญนั้นคือ มีบริวารผู้สะอาดจาก กิเลสเป็นจำนวนมาก ทั้งที่เป็นภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา เทวดา มนุษย์ อสูร นาค คนธรรพ์"

ผู้นำของมหาชน
"ตถาคตเคยเกิดเป็น มนุษย์ในชาติกาลก่อน เคยเป็น หัวหน้าของมหาชนผู้ใฝ่ธรรมใน กุศลทั้งหลาย เป็นประธาน ด้วยกายสุจริต วาจาสุจริต ใจ สุจริต เป็นผู้นำในการถือศีล บำเพ็ญทาน ในการปฏิบัติดีแก่ มารดาบิดา สมณพราหมณ์ ใน ความเคารพต่อผู้ใหญ่ในสกุล และเป็นผู้นำให้เคารพในธรรม ที่เป็นกุศลชั้นสูงยิ่ง ๆ ขึ้นไป
ด้วยผลแห่งบุญที่เราได้กระทำสั่งสมไว้นั้น ต่อเมื่อเราได้เป็น พระพุทธเจ้าแล้ว เราจึงได้รับผลบุญนั้นคือ ได้เป็นผู้นำของมหาชนโดย ธรรม ได้เป็นผู้ที่มหาชนคล้อยตาม ไม่ว่าจะเป็นภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา เทวดา มนุษย์ อสูร นาค และคนธรรมพ์"

มหาชนทำตาม
"ตถาคตเคยเกิดเป็นมนุษย์ในชาติกาลก่อน ได้ประพฤติละ การพูดเท็จ เว้นขาดจากการพูดเท็จ พูดแต่ความจริง ดำรงความสัตย์ มีถ้อยคำเป็นหลักฐานอันควรเชื่อถือ ไม่กล่าวคำลวงโลกใด ๆ
ด้วยผลแห่งบุญที่เราได้กระทำสั่งสมไว้นั้น ต่อเมื่อเราได้เป็น พระพุทธเจ้าแล้ว เราจึงได้รับผลบุญนั้นคือ ตถาคตเป็นที่ประพฤติตาม ของมหาชนทั้งหลาย ทั้งที่เป็นภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา เทวดา มนุษย์ อสูร นาค คนธรรมพ์"


บริวารสามัคคี
"ตถาคตเคยเกิดเป็นมนุษย์ในชาติกาลก่อน ได้เว้นขาดจากคำ ส่อเสียด คือฟังความจากข้างนี้แล้ว ไม่ไปบอกข้างโน้น หรือฟังความ จากข้างโน้นแล้ว ก็ไม่มาบอกข้างนี้ เพื่อพวกเขาจะได้ไม่แตกร้าวกัน แต่จะพูดสมานคนที่แตกร้าวกันแล้วบ้าง จะส่งเสริมคนที่สามัคคีกัน แล้วบ้าง ชอบหมู่คนผู้สามัคคีกัน ยินดีในหมู่คนผู้สามัคคีกัน เพลิด เพลินในหมู่คนที่สามัคคีกัน กล่าวแต่คำที่ทำให้หมู่คนสามัคคีกันเท่านั้น
ด้วยผลแห่งบุญที่เราได้กระทำสั่งสมไว้นั้น ต่อเมื่อเราได้เป็น พระพุทธเจ้าแล้ว เราจึงได้รับผลบุญนั้นคือ มีบริษัทไม่แตกแยกกัน สามัคคีกัน ไม่ว่าจะเป็นภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา เทวดา มนุษย์ อสูร นาค คนธรรพ์"

เชื่อถือในวาจา
"ตถาคตเคยเกิดเป็นมนุษย์ในชาติกาลก่อน ในภพนั้น ๆ เราได้ ละคำหยาบ เว้นขาดจากคำหยาบ กล่าวแต่คำที่ไม่มีโทษที่ไพเราะหู ชวนให้รักจับใจ อันเป็นคำของชาวเมือง ซึ่งคนส่วนมากรักใคร่พอใจ ยิ่งนัก
ด้วยผลแห่งบุญที่เราได้กระทำสั่งสมไว้นั้น ต่อเมื่อเราได้เป็น พระพุทธเจ้าแล้ว เราจึงได้รับผลบุญนั้นคือ วาจาของตถาคตเป็นที่รัก เป็นที่เชื่อถือของมหาชนทั้งหลาย ทั้งภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา เทวดา มนุษย์ อสูร นาค คนธรรมพ์"

ศัตรูกำจัดไม่ได้
"ตถาคตเคยเกิดเป็น มนุษย์ในชาติกาลก่อน ได้เคย ประพฤติละคำเพ้อเจ้อ เว้น ขาดจากคำเพ้อเจ้อ มุ่งพูดให้ ถูกเวลา พุดแต่คำที่เป็นจริง พูดมีเนื้อหาสาระ พูดอิงธรรมะ พูดอิงวินัย พูดแต่คำที่มีหลัก ฐาน มีที่อ้าง มีที่กำหนดอัน ประกอบด้วยประโยชน์ในเวลา ที่เหมาะควร
ด้วยผลแห่งบุญที่เราได้กระทำสั่งสมไว้นั้น ต่อเมื่อเราได้เป็น พระพุทธเจ้าแล้ว เราจึงได้รับผลบุญนั้นคือ ไม่มีข้าศึกศัตรูภายใน พระพุทธเจ้าแล้ว เราจึงได้รับผลบุญอันนั้นคือ ไม่มีข้าศึกศัตรูภายใน ทั้งราคะ โทสะ โมหะ ที่จะกำจัดเราได้ หรือแม้ศัตรูภายนอกทั้งที่ เป็นสมณะ พราหมณ์ เทวดา มาร พรหม ใคร ๆ ในโลกนี้ ไม่อาจ กำจัดเราได้เลย"

มั่งคั่งร่ำรวย
"ตถาคตเคยเกิดเป็น มนุษย์ในชาติกาลก่อน ได้ใส่ใจ มหาชนที่ควรสงเคราะห์ รู้จัก ผู้ที่มีฐานะเท่าเทียมกันและฐานะ ที่ต่างกัน รู้จักว่าผู้มีฐานะเยี่ยงนี้ ควรช่วยเหลือย่างนี้ รู้จักว่า ผู้มีฐานะพิเศษเยี่ยงนั้น ควร สักการะอย่างนั้น แล้วก็ลงมือ ทำกิจช่วยเหลือเป็นประโยชน์ แก่บุคคลเหล่านั้น
ด้วยผลแห่งบุญที่เราได้กระทำสั่งสมไว้นั้น ต่อเมื่อเราได้เป็น พระพุทธเจ้าแล้ว เราจึงได้รับผลบุญนั้นคือ เป็นผู้มั่งคั่งร่ำรวย มีทรัพย์ มาก มีสมบัติมาก ทรัพย์ของเราก็คือศรัทธา ศีล ความละอายที่ทำ บาป ความเกรงกลัวที่ทำบาป สุตะ (ฟังธรรม) จาระ (เสียสละแบ่ง ปัน) ปัญญา เหล่านี้เป็นอริยทรัพย์ของเรา"
ผิวทอง, ผ้าเนื้อดี

บริโภคของปราณีต
"ตถาคตเคยเกิดเป็นมนุษย์ในชาติกาลก่อน เป็นผู้ไม่มีความ โกรธ ไม่มีความแค้นใจ แม้จะถูกคนหมู่มากด่าว่าเอาก็ไม่ขัดใจ ไม่ โกรธ ไม่ปองร้าย ไม่จองเวร ไม่ทำโกรธ ไม่ทำแค้นเคือง และไม่ทำ เสียใจให้ปรากฏ อีกทั้งเรายังเป็นผู้ให้เครื่องลาดมีเนื้อละเอียดอ่อน ให้ผ้านุ่งห่มเนื้อละเอียด ได้ทำตนเป็นผู้ให้ของที่ควรเคี้ยว ของที่ควร บริโภคอันปราณีต มีรสอร่อย ให้น้ำที่น่าดื่มแก่คนทั้งหลาย
ด้วยผลแห่งบุญที่เราได้กระทำสั่งสมไว้นั้น ต่อเมื่อเราได้เป็น พระพุทธเจ้าแล้ว เราจึงได้รับผลบุญนั้นคือ มีผิวพรรณงามดั่งทองคำ ได้เครื่องลาดที่มีเนื้อละเอียดอ่อน ได้ผ้านุ่งห่มอย่างดีที่มีเนื้อละเอียด ได้ของที่ควรเคี้ยว ได้ของที่ควรบริโภคอันปราณีตมีรสอร่อย และได้ น้ำที่ควรซดควรดื่ม"

บริวารมาก
"ตถาคตเคยเกิดเป็นมนุษย์ในชาติกาลก่อน ได้เป็นผู้นำความ สุขมาให้แก่ชนเป็นจำนวนมาก บรรเทาภัยคือความหวาดกลัวและ หวาดเสียว จัดการรักษาปกครองป้องกันโดยธรรม ทั้งทำทานพร้อม ด้วยวัตถุเป็นอันมากไว้
ด้วยผลแห่งบุญที่เราได้กระทำสั่งสมไว้นั้น ต่อเมื่อเราได้เป็น พระพุทธเจ้าแล้ว เราจึงได้รับผลบุญนั้นคือ มีบริวารมาก ทั้งที่เป็นภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา เทวดา มนุษย์ อสูร นาค คนธรรพ์"

บริวารช่วยเหลือ
"ตถาคตเคยเกิดเป็นมนุษย์ในชาติกาลก่อน เป็นผู้สงเคราะห์ ประชาชนด้วยสังคหวัตถุ ๔ คือ มีการให้ทาน การกล่าวคำเป็นที่รัก การประพฤติให้เป็นประโยชน์ และการทำตัวให้เข้าใจกัน
ด้วยผลแห่งบุญที่เราได้กระทำสั่งสมไว้นั้น ต่อเมื่อเราได้เป็น พระพุทธเจ้าแล้ว เราจึงได้รับผลบุญนั้นคือ มีบริวารช่วยเหลือเป็น อย่างดี ทั้งที่เป็นภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา เทวดา มนุษย์ อสูร นาค คนธรรพ์"


ได้ปัจจัยเร็วพลัน
"ตถาคตเคยเกิดเป็นมนุษย์ในชาติกาลก่อน ภพนั้นเราตั้งใจ สอนเรื่องศิลปะ วิชชา จรณะ (ข้อที่ควรประพฤติ) และเรื่องของ กรรม ด้วยการทำในใจว่าทำอย่างไรชนทั้งหลายจะพึงรู้เรื่องเหล่านี้ ได้รวดเร็ว จะพึงสำเร็จผลได้เร็วไว ไม่ต้องทุกข์ลำบากนาน
ด้วยผลแห่งบุญที่เราได้กระทำสั่งสมไว้นั้น ต่อเมื่อเราได้เป็น พระพุทธเจ้าแล้ว เราจึงได้รับผลบุญนั้นคือ ได้รับจีวรหรือผ้าห่ม อันสมควรแก่พุทธบริษัท ๔ โดยพลัน ได้บริขาร (เครื่องใช้สอย) อัน สมควรแก่สมณะเร็วไว"

สิ้นความเสื่อม
"ตถาคตเคยเกิดเป็น มนุษย์ในชาติกาลก่อนนั้น ได้ เป็นผู้หวังประโยชน์ให้เกิดแก่ ประชาชนเป็นอันมาก ด้วยการ ทำในใจว่าทำอย่างไรหนอผู้คน ทั้งหลายจะพึงเจริญด้วยศรัทธา เจริญด้วยศีล เจริญด้วยการ ฟังธรรม เจริญด้วยการเรียนรู้ เจริญด้วยการเสียสละแบ่งปัน เจริญด้วยธรรม เจริญด้วย ปัญญา แม้แต่เจริญด้วยทรัพย์ เจริญด้วยนาและสวน เจริญ ด้วยบุตรและภรรยา เจริญ ด้วยทาสและกรรมกร เจริญ ด้วยญาติ เจริญด้วยมิตร เจริญด้วยพวกพ้องทั้งหลาย
ด้วยผลแห่งบุญที่เราได้กระทำสั่งสมไว้นั้น ต่อเมื่อเราได้เป็น พระพุทธเจ้าแล้ว เราจึงได้รับผลบุญนั้นคือ ไม่มีความดีใด ๆ เสื่อมเป็น ธรรมดา ไม่เสื่อมจากศรัทธา ไม่เสื่อมจากศีล ไม่เสื่อมจากการฟัง ธรรม ไม่เสื่อมจากการเสียสละแบ่งปัน ไม่เสื่อมจากปัญญา ไม่เสื่อม จากอริยทรัพย์ทั้งปวง"

เลิศด้วยปัญญา
"ตถาคตเคยเกิดเป็นมนุษย์ที่เข้าหาสมณะหรือพราหมณ์ แล้วซัก ถามว่าข้าแต่ท่านผู้เจริญ กรรมส่วนกุศลเป็นอย่างไร ? กรรมส่วน อกุศลเป็นอย่างไร ? กรรมที่มีโทษเป็นอย่างไร ? กรรมที่ไม่มีโทษเป็น อย่างไร ? กรรมอันใดที่ข้าพเจ้ากระทำแล้วไม่เป็นไปเพื่อประโยชน์ แต่ จะเป็นไปเพื่อทุกข์ตลอดกาลนาน ? กรรมอันใดที่ข้าพเจ้ากระทำแล้ว เป็นไปเพื่อประโยชน์ เป็นไปเพื่อสุขตลอดกาลนาน ?
ด้วยผลแห่งบุญที่เราได้กระทำสั่งสมไว้นั้น ต่อเมื่อเราได้เป็น พระพุทธเจ้าแล้ว เราจึงได้รับผลบุญนั้นคือ เป็นผู้มีปัญญามาก มีปัญญากว้างขวาง มีปัญญาร่าเริง มีปัญญาว่องไว มีปัญญาเฉียบ แหลม และมีปัญญาทำลายกิเลส โดยไม่มีสรรพสัตว์ใดในโลกนี้จะมี ปัญญาเสมอเรา หรือมีปัญญาประเสริฐไปกว่าเราได้เลย"

เลิศกว่าใคร ๆ ในโลก
"ตถาคตเคยเกิดเป็นมนุษย์ในชาติกาลก่อน ภพนั้นเราเป็นผู้ กล่าวถ้อยคำวาจาประกอบด้วยอรรถ (มีสาระ) ประกอบด้วยธรรม แนะนำประชาชนเป็นอันมาก เรายกย่องบูชาธรรมเป็นปกติ เป็นผู้นำ เอาประโยชน์และความสุขมาให้แก่สัตว์โลกทั้งหลาย
ด้วยผลแห่งบุญที่เราได้กระทำสั่งสมไว้นั้น ต่อเมื่อเราได้เป็น พระพุทธเจ้าแล้ว เราจึงได้รับผลบุญนั้นคือ เป็นผู้ประเสริฐ เลิศ ยอด เป็นประธานสูงสุด ดีกว่าสรรพสัตว์ใด ๆ ในโลก"


บันทึกการเข้า

หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป: