History of Area 51
LSVคลังสมองออนไลน์ "ปีที่21"
เมษายน 25, 2024, 07:30:10 AM *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
   หน้าแรก   ช่วยเหลือ เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก  
หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: History of Area 51  (อ่าน 2922 ครั้ง)
EMOSECTION
Full Member
member
**

คะแนน20
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 453


เรียนให้รู้ ดูให้จำ ทำให้เป็น


อีเมล์
« เมื่อ: ธันวาคม 22, 2007, 08:25:07 PM »

 Sad
สถานที่ทดลองอาวุธลับสุดยอด เทตโนโลยีอันทันสมัย การติดต่อกับสิ่งมีชีวิตทรงปัญญานอกพิภพ ที่ถูกปกปิดโดยรัฐบาลสหรัฐ


รัฐบาลสหรัฐเคยปฏิเสธการมีตัวตนของพื้นที่ 51 พวกเขาพยายามที่จะปิดบังอะไรไว้ หรือว่ามันคือฐานทัพของมนุษย์ต่างดาว ถ้าหากมีคนถามว่า พื้นที่บริเวณใดในสหรัฐ เป็นพื้นที่ที่ลึกลับที่สุด เราคงจะได้รับคำตอบว่า มันคือพื้นที่ 51 หรือ Area 51 นั่นก็อาจจะเป็นเพราะมีคนจำนวนมาก อ้างว่าได้เห็นวัตถุบินลึกลับหรือ UFO (Unidentified Flying Object)  บินอยู่เหนือบริเวณนั้นบ่อยครั้งจนหลายคนสงสัยว่าบริเวณพื้นที่ 51 น่าจะเป็นฐานทัพหรือกองบัญชาการของวัตถุบินลึกลับ

เช้าวันทำงาน ทุก ๆ เช้าของวันทำงานจะมีคนอย่างน้อย 500 คนผ่านเข้าไปยังประตูทางขึ้นเครื่องบินที่มีการรักษาความปลอดภัยอย่างเข้มงวดซึ่งอยู่ทางปีกด้านทิศตะวันตกเฉียงเหนือของสนามบินแมคคาร์แรน ในลาสเวกัส เจ้าของพื้นที่ที่เป็นเขตหวงห้ามส่วนนี้คือ บริษัทอีจีแอนด์จี (EG&G - Edgerton, Germesausen and Grier)
ผู้คนเหล่านั้นต้องบอกรหัสผ่าน "เจเน็ท" (Janet) ตามด้วยเลขประจำตัว สาม หลักก่อนที่จะผ่านเข้าไปขึ้นเครื่องโบอิ้ง 747-200s ที่ไม่มีเครื่องหมายใด ๆ ระบุว่าเป็นเครื่องบินของใคร สายการบินนี้ออกบินทุก ๆ ครึ่งชั่วโมง โดยมีจุดหมายอยู่ที่ทะเลสาบกรูม (Groom Lake) สถานที่ลึกลับที่หน่วยราชการของสหรัฐปฏิเสธการมีตัวตนของมันเมื่อหลายปีก่อน


เขตทดลองเครื่องบินลับ พื้นที่ 51 หรือที่รู้จักกันในอีกชื่อหนึ่งว่าทะเลสาบกรูม นั้นอยู่ห่างจากลาสเวกัสไปทางตอนเหนือราว 90 ไมล์อันที่จริงแล้ว พื้นที่ 51 เคยเป็นที่ตั้งของฐานทัพทหารแห่งหนึ่ง ของสหรัฐที่สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1955 โดยมีวัตถุประสงค์ เพื่อใช้ทดสอบเครื่องบินจารกรรม U2


นับแต่นั้นมา ก็มีการใช้พื้นที่ 51 เป็นสถานที่ทดสอบ เครื่องบินจารกรรม เช่น เจ้าวิหคทมิฬ (Blackbird SR71)
 
Blackbird SR71

เครื่องบินขับไล่ลองหน F117 Stealth Fighter
 
F117 Stealth

เครื่องบินทิ้งระเบิดล่องหน B2 Stealth Bomber
 
B2 Stealth Bomber

อีกทั้งยังถูกใช้เป็นสถานที่ วิจัยโครงการลับออรอร่า (Aurora Project)
เครื่องบินรบเหล่านี้จะถูกทำการทดสอบสมรรถภาพที่บริเวณทะเลสาบกรูม เมื่อพวกเขาทดสอบเครื่องบินรบจนเป็นที่พอใจแล้วจึง ค่อยประกาศต่อสาธารนชนให้ทราบว่า บัดนี้กองทัพได้สร้างเขี้ยวเล็บอันใหม่ขึ้นมา

 

ประวัติพื้นที่ 51

เดือนมีนาคม ปี 1955 เคลลี่ จอห์นสัน (Kelly Johnson) ผู้ออกแบบเครื่องบินจารกรรม U2 ได้รับมอบหมายจาก CIA ให้ออกแบบเครื่องบิน U2 นอกจากนี้แล้วเขายังได้รับมอบหมายให้หาสถานที่เพื่อใช้ทดสอบเจ้า U2 นี้ด้วย
เคลลี่ได้ส่งเจ้าหน้าที่ โทนี่ เลอวิเอร์ (Tony LeVier) นักบินที่จะทำการทดสอบเครื่อง U2 กับดอร์ซี่ เคมเมเรอร์ (Dorsey Kammerer) ไปสำรวจพื้นที่ล้างกลางทะเลทรายทางตอนใต้ของรัฐแคลิฟอร์เนีย เนวาด้า และอริโซน่า 2 สัปดาห์ต่อมาโทนี่กลับมาส่งรายงาน เคลลี่ดูรายงานเปรียบเทียบสถานที่ทั้ง 3 แห่งแล้วก็ตัดสินใจเลือกพื้นที่บริเวณทะเลสาบกรูมในรัฐเนวาด้า
ทะเลสาบกรูม มีชื่อเรียกอีกมากมายนับตั้งแต่มีการก่อสร้างฐานทัพขึ้น เคลลี่เรียกมันว่า Paradise Ranch - ทุ่งหญ้าสวรรค์ แต่หลังจากมีการทดสอบเครื่องบิน U2 ในเดือน กรกฏาคม ปี 1955 แล้วมันกลับถูกเรียกสั้น ๆ ว่า เรนช์ (Ranch - ทุ่งหญ้า) ในความเป็นจริงแล้วฐานทัพ(ลับ) แห่งนี้มีชื่อเรียกอย่างเป็นทางการว่า วอร์เตอร์ทาวน์สตรีบ (watertown Strip) ตามชื่อเมืองหนึ่งที่อยู่ทางตอนเหนือของรัฐนิวยอร์ก ซึ่งเป็นบ้านเกิดของแอลแลน ดูลเลส (Allen Dulles) ผู้อำนวยการ ซีไอเอสมัยนั้น

ที่มาของชื่อพื้นที่ 51

เดือนมิถุนายน ปี 1958 คณะกรรมาธิการพลังงานปรมาณู (Atomic Energy Commission - AEC) ได้เข้ามาใช้พื้นที่บริเวณทะเลสาบกรูมร่วมกับกองทัพสหรัฐ เพื่อทำการทดลองโครงการลับ ๆ บางอย่าง พวกเขาเรียกสถานีทดลองนี้ว่าสถานีทดลองเนวาด้า (Nevada Test Site) คณะกรรมาธิการ ได้แบ่งพื้นที่ออกเป็นส่วน ๆ แล้วกำหนดหมายเลขให้แต่ละส่วน บริเวณส่วนที่เป็นฐานทัพนั้นได้หมายเลข 51

นับตั้งแต่นั้นมาทุกครั้งที่ฮอลลีวู้ดสร้างภาพยนต์ที่เกี่ยวข้องกับโครงการลับของสหรัฐ จึงมักจะอ้างถึงทะเลสาบกรูม แต่พวกเขาจะเรียกมันสั้น ๆ ว่า พื้นที่ 51 ตามที่คณะกรรมาธิการพลังงานปรมาณูใช้เรียก ถึงแม้ว่าการทดลองลับของ AEC จะเสร็จสิ้นไปตั้งแต่ปี 1970 แล้วก็ตาม
ในปี 1970 กองทัพอากาศสหรัฐได้เข้ามายึดพื้นที่นี้อย่างถาวร เพื่อใช้เป็นสถานที่ทดลองเครื่องบินรบรุ่นใหม่ ๆ ตลอดไปจนถึงการทดลองเครื่องบินมิค21 และอาวุธทันสมัยอื่น ๆ ของรัสเซีย ที่ทางสหรัฐยึดมาได้เมื่อปี 1967
ปี 1975 พื้นที่ 51 ได้ถูกกำหนดให้เป็นหนึ่งในเขตจำลองการรบทางอากาศ ภายใต้รหัส "ธงแดง" (Red Flag) คราวนี้พื้นที่ 51จึงถูกเรียกสั้น ๆ ในชื่อใหม่ว่า "จตุรัสแดง" (Red Square) แต่ชื่อกึ่งเป็นทางการนั้นคือ "แดนในฝัน" (Dreamland) และในช่วงทศวรรษ 1970 ก็ได้มีการทดลองโครงการด้านอวกาศและการทดลองเครื่องบินที่ทันสมัยที่สุดคือ "แทคอินบลู" (Tacit Blue)
 
Tacit Blue


ขยายอาณาเขต ฐานทัพทะเลสาบกรูมถูกขยายอาณาเขตออกไปอีกในช่วงทศวรรษ 1980 มีการสร้างสนามบินเพิ่มเติม อาคารเก็บเครื่องบินถูกสร้างบนลานบินเพื่อให้ง่ายต่อการเก็บซ่อนจากสายตาของดาวเทียมจารกรรมที่มีอยู่มากมาย อุปกรณ์สื่อสาร เรดาร์และจานดาวเทียมได้รับการติดตั้ง ตึกราม อาคาร โกดังหลายแห่งถูกสร้างขึ้นมาใหม่บนทะเลสาบกรูม คาดว่ามันถูกใช้เป็นกองบัญชาการของศูนย์ทดลองเครื่องบินรบของกองทัพที่ถูกเรียกว่า ดีแทชเมนต์3 (Detachment3)

แม้ว่าจะมีการเพิ่มการรักษาความปลอดภัยแต่ก็ยังไม่วายถูกแอบลักลอบถ่ายภาพเนื่องจากพื้นที่รอบ ๆ ทะเลสาบ กรูม เป็นภูเขา ในปี 1984 กองทัพสหรัฐต้องขยายเขตหวงห้ามออกไปอีกโดยหวังว่า จะเป็นการกันไม่ให้มีใครสามารถมองเข้ไปยังในบริเวณฐานทัพได้ แต่ก็ยังมีจุดที่สามารถใข้เป็นที่สอดแนมได้อีก 2 แห่ง ห่างจะทะเลสาบกรูมไปทางตอนใต้ราว 12 ไมล์ คือที่บริเวณไวท์ไซด์ พีก (White Side Peak) กับ ฟรีดอมริด์จ (Freedom Ridge) เพื่อป้องกันไม่ให้มีคนอาศัยสถานที่ทั้งสองแห่งสอดแนมได้อีก ในปี 1995 กองทัพจึงได้ประกาศให้เขตดังกล่าวเป็นเขตหวงห้ามด้วย

แต่เขตหวงห้ามนั้นได้แต่เพียงแค่ติดป้ายเตือนเท่านั้นไม่มีการล้อมรั้วแต่อย่างใด เพราะพื้นที่เขตหวงห้ามนั้นกินอาณาเขตกว้างใหญ่เกินกว่าที่จะล้อมรั้วได้ แต่ก็มีการจัดเวรยามโดยใช้หน่วยรักษาความปลอดภัยนิรนามที่พกอาวุธสุดจะทันสมัย อีกทั้งยังมีการติดตั้งเครื่องมือตรวจจับการเคลื่อนไหวที่ทันสมัยที่สุดเท่าที่เคยมีมา เพราะมันสามารถแยกแยะได้ว่าผู้ที่บุกรุกเข้ามาเป็นมนุษย์หรือสัตว์ หน่วยลาดตะเวนนิรนามนี้เรียกว่า แคมโมดูดส์ (Cammo Dudes) ซึ่งมีหน่วนสนับสนุนทางอากาศที่ใช้เฮลิคอปอเตอร์ Silkorsky MH-60G Pave Hawk คอยให้การสนับสนุนทางอากาศ
 
Silkorsky MH-60G Pave Hawk


โครงการลับต่าง ๆ ที่ใช้พื้นที่ 51เป็นสถานี้ทดลองนั้นค่อย ๆ ทยอยจบลงเช่น การทดลองเครื่องบินจารกรรมแทคอิทบลูเสร็จสิ้นเมื่อปี 1985 การทดลองเครื่องบินยิงขีปนาวุธ แอดวานซ์ครูซ (Advances Cruise Missile - ACM)
 
Advances Cruise Missile

ถูกยกเลิกในปี 1992 การทดลองขีปนาวุธสแตนด์ออฟแอทแทค (Stand-Off Attack Missile) ถูกยกเลิกในปี 1994 แต่ถึงกระนั้นกองทัพอากาศสหรัฐก็ยังคงตั้งศูนย์ปฏิบัติการ

 

ความลับในพื้นที่ 51 เป็นไปได้ว่ากองทัพอากาศยังคงมีภารกิจอื่น ๆ ที่ไม่เป็นที่เปิดเผยในปี 1989 สถานีโทรทัศน์ลาสเวกัสได้ถ่ายทอดการให้สัมภาษณ์ รอเบิร์ท ลาซาร์ (Robert Lazar)
 
Robert Lazar


ผู้ที่อ้างว่าเขาเคยทำงานในพื้นที่ 51
รอเบิร์ท กล่าวว่า เขาได้รับมอบหมายให้ทำการศึกษาวิศวกรรมยานอวกาศของมนุษย์ต่างดาว ในพื้นที่ 51 มียานอวกาศรูปทรงกลมคล้ายจานจำนวน 9 ลำบินขึ้นลงในเขตหวงห้าม บริเวณที่ชื่อ S4 หรือที่มีชื่อที่รู้จักกันโดยทั่วไปว่าบริเวณทะเลสาบปาปูส (Papoose Lake) ซึ่งอยู่ห่างจากทะเลสาบกรูมไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ราว 10 ไมล์
เรื่องราวของรอเบิร์ทเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์เป็นอย่างมาก มันทำให้เรื่องราวเกี่ยวกับวัตถุบินลึกลับที่ผู้คนสงสัยเริ่มปะติดปะต่อขึ้นเป็นรูปเป็นร่าง ยานบินรูปทรงกลมอาจเป็นการทดลองระบบต้านแรงโน้มถ่วงโลกแน่นอน เทคโนโลยีที่น่าทึ่งเช่นนี้ต้องถูกปกปิดเป็นความลับสุดยอด
นอกจากนี้ยังมีการทดลองเครื่องบินจารกรรมที่มีความเร็วกว่าเสียง 5 เท่า โดยใช้พลังขับเคลื่อนชนิดใหม่ เช่น พอล์ส เดโทเนชั่น เวฟเอนจิน (Pulse Detonation Wave Engine) และเครื่องบินความเร็วสูงที่ขับเคลื่อนด้วยพลังไฮโครเจน การทดลองเครื่องบินที่มีความเร็วกว่าเสียงหลายเท่าหรือที่เรียกว่า ยานไฮมัค(High-Mach Vehicle)
 
  High-Mach Vehicle

โดยสร้างเครื่องบินที่มีลักษณะเป็นลูกผสมระหว่างเครื่องบิน A12 กับ D21 หรือที่เรียกกันว่า ซูเปอร์วอลคารี (Super Valkarie) ซึ่งมีคนจำนวนมากที่เคยไปด้อม ๆ มอง ๆ แถวพื้นที่ 51 เคยเห็นมันถูกทดสอบ


ยานอวกาศจากต่างดาว จากคำกล่าวอ้างของรอเบิร์ท S4 เป็นสถานที่ใช้สำหรับศึกษา วิจัยวัตถุบินลึกลับภายใต้ชื่อโครงการมูนดัส (Moondust) บรรดาสิ่งก่อสร้างทั้งหลายถูกอำพรางอยู่ภายใต้พื้นทรายเพื่อหลบเลี่ยงดาวเทียมจารกรรมของรัสเซีย
รอเบิร์ททำงานในห้องทดลองร่วมกับนักวิทยาศาสตร์อีกคนหนึ่งชื่อ แบร์รี่ คาสติลลิโอ (Barry Castillio) นักวิจัยแต่ละกลุ่มจะถูกแยก ทำงานในส่วนต่าง ๆ พวกเขาถูกจำกัดให้มีเพื่อนร่วมงานเพียงแค่ไม่กี่คน แบร์รี่เป็นเพื่อนร่วมงานเพียงคนเดียวที่ช่วยรอเบิร์ทศึกษา ค้นคว้าเรื่องการขับเคลื่อนของยานอวกาศ
 
วันแรกที่รอเบิร์ทเดินทางมาถึง S4 เขาถูกนำตัวไปที่ห้องพยาบาลเพื่อทำการตรวจผิวหนัง เขาถูกทาด้วยสารหลายชนิดตามจุดต่าง ๆ บนแขน วันต่อมาก็มีเจ้าหน้าที่มาตรวจเช็คผิวหนังของเขาเกิดพุพองหรือมีอาการแพ้หรือไม่
ไม่เพียงแค่นั้น เขายังถูกสั่งให้ดื่มสารบางชนิดที่ทำให้ร่างกายของเขามีภูมิคุ้มกันสูงขึ้น สารนี้จะช่วยป้องกันเขาจากสิ่งแปลกปลอมที่อาจได้รับจากการสัมผัสวัตถุที่มาจากต่างดาว
สารที่รอเบิร์ทดื่มนั้นมีกลิ่นเหมือนกับกลิ่นต้นสนและในคืนนั้นหลังจากที่เขาได้ดื่มสารสร้างภูมิคุ้มกันเข้าไป เขาก็เกิดอาการเป็นตะคริวที่ท้องน้อย ไม่ต้องสงสัยเลยว่า มันเป็นผลข้างเคียงมาจากสารสร้างภูมิคุ้มกันนั้น ต่อมารอเบิร์ทถูกแนะนำให้รู้จักกับ เรนี่ (Rene) ซึ่งเขาก็ไม่รู้ว่าเรนี่เป็นใครมีหน้าที่อะไรใน S4
เจ้าหน้าที่ ที่ทำงานอยู่ในส่วนของ S4 นั้นมีอยู่แค่เพียง 22 คนเท่านั้น หัวหน้าของรอเบิร์ทชื่อ เดนนิส มาริอานี (Dennis Mariani)
เขารู้จักเดนนิสตอนที่ไปสัมภาษณ์งานที่บริษัทอีจีแอนด์จี ซึ่งตอนนั้นยังมีสำนักงานอยู่ที่สนามบินแมคคาร์เรน ในลาสเวกัส แต่ปัจจุบันได้ย้ายมาอยู่ที่ฐานทัพอากาศเนลลิส
(Nellis Air Force Base)
 
ศึกษาข้อมูล ในวันแรก ๆ มีเจ้าหน้าที่พารอเบิร์ทไปที่ห้องเล็ก ๆ ที่มีเพียงโต๊ะ และเก้าอี้กับแฟ้มเอกสารกว่า 100 แฟ้ม ข้อความภายในแฟ้มล้วนเป็นข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับมนุษย์ต่างดาวและเทคโนโลยีของมนุษย์ต่างดาว เขาใช้เวลาวันละครึ่งชั่วโมงในการศึกษาข้อมูลในแฟ้มเหล่านั้น
ข้อมูลในแฟ้มเหล่านั้นดูเหมือนจะเป็นบทสรุปให้กับเหล่านักวิทยาศาสตร์ที่มาทำงานใน S4 ว่างานที่พวกเขาได้รับมอบหมายให้ทำนั้นเกี่ยวข้องกับสิ่งมีชีวิตต่างพิภพ รอเบิร์ทได้เห็นการทดสอบการบินของยานบินรูปทรงประหลาดและยิ่งตกใจมากขึ้นเมื่อในรายงานระบุว่า มีการติดต่อกับมนุษย์ต่างดาวมานานกว่าหมื่นล้านปีแล้ว!!!!


โครงการที่รอเบิร์ททำอยู่นั้นเป็นส่วนย่อยของโครงการใหญ่ เขารับผิดชอบเรื่องการค้นคว้าการขับเคลื่อนของยานอวกาศต่างดาวและบทบาทของแรงโน้มถ่วงเพื่อใช้เป็น สื่อในการขับเคลื่อนภายใต้ชื่อโครงการ กาลิเลโอ (Project Galileo)

โดยปรกติแล้วเจ้าหน้าที่แต่ละส่วนจะไม่ได้รับอนุญาตให้มีการติดต่อพูดคุยกับเจ้าหน้าที่ส่วนอื่น ๆ แต่ในกรณีของรอเบิร์ทนั้นเขาต้องอาศัยความรู้ในแขนงอื่นด้วยจึงทำให้เขาได้รับอนุญาตเป็นกรณีพิเศษให้ทำการทดลองร่วมกับนักวิทยาศาสตร์กลุ่มอื่น



หลากหลายโครงการ โครงการไซด์คิก (Project Sidekick) เป็นหนึ่งในสองโครงการที่รอเบิร์ทได้รับอนุญาตให้รู้ข้อมูลได้บางส่วน มันเป็นการศึกษาค้นคว้าเรื่องอาวุธแสง (Beam Weapon)
 
ที่จะถูกติดตั้งบนเครื่องบินรบ อาวุธลำแสงนี้ต้องอาศัยความรู้เรื่องแรงโน้มถ่วงและการรวมแสงให้เป็นลำ อาวุธชนิดนี้มีอำนาจการทำลายล้างที่สูงมาก
โครงการลุกกิ้งกลาส (Project Looking Glass) เป็นการศึกษาเรื่องกำกายภาพของการมองเห็นและผลกระทบต่อเวลาและอวกาศในการสร้างแรงโน้มถ่วงจำลอง และเชื่อกันว่าโครงการนี้ต้องอาศัยความรู้ทางด้านแรงโน้มถ่วงและการควบคุมมัน
การทดลองในโครงการกาลิเลโอ ประสบความสำเร็จเป็นที่น่าพอใจ รอเบิร์ทได้เห็นรายงานและหลักฐานต่าง ๆ ที่พิสูจน์ถึงความถูกต้องของมัน ซึ่งทำให้เชื่อว่าโครงการอื่น ๆ ที่ทำใน S4 นั้นก็ประสบความสำเร็จเช่นเดียวกัน แต่รอเบิร์ทก็ปฏิเสธที่จะถือเอากรรมสิทธิ์เหนือความสำเร็จนั้น เขากล่าวว่ารายงานการวิจัยที่เขาทำขึ้นเป็นแค่ตัวอักษรและรูปภาพบนแผ่นกระดาษเท่านั้น
ไม่ว่าการทดลองที่พื้นที่ 51 จะเป็นอะไรก็ตาม ก็ยังมีผู้คนที่อยากรู้อยากเห็นเป็นจำนวนมาก ได้พยายามสอดแนมเข้าไปใกล้ เพื่อบันทึกภาพ ซึ่งภาพส่วนใหญ่ก็ใช้เป็นหลักฐานยืนยันได้ดีว่ามีการทดลองเครื่องบินหรือวัตถุบินได้บางชนิดที่พวกเขาไม่เคยพบเห็นมันมาก่อน


บันทึกการเข้า

สิ่งที่ดีที่สุด คือการให้ แต่สิ่งที่เป็นไปไม่ได้ คือการเห็นแก่ตัว
(ปัญหาทุกอย่าง มีทางแก้เสมอ อยู่ที่เราจะแก้มันด้วยวิธีใหน แต่สุดปัญญาทน สุดท้ายต้อง วิชามาร)

EMOSECTION
Full Member
member
**

คะแนน20
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 453


เรียนให้รู้ ดูให้จำ ทำให้เป็น


อีเมล์
« ตอบ #1 เมื่อ: ธันวาคม 22, 2007, 08:33:05 PM »

 Sad  แก้ใขให้แล้วนะครับ ดูได้แล้วทีนี้
บันทึกการเข้า

สิ่งที่ดีที่สุด คือการให้ แต่สิ่งที่เป็นไปไม่ได้ คือการเห็นแก่ตัว
(ปัญหาทุกอย่าง มีทางแก้เสมอ อยู่ที่เราจะแก้มันด้วยวิธีใหน แต่สุดปัญญาทน สุดท้ายต้อง วิชามาร)
หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1 RC2 | SMF © 2001-2006, Lewis Media

lsv2555Please follow the new website at https://www.pohchae.com

Valid CSS!