ครั้งหนึ่งในชีวิตของ พนม ช่อจันทร์
LSVคลังสมองออนไลน์ "ปีที่21"
เมษายน 29, 2024, 07:23:33 AM *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
   หน้าแรก   ช่วยเหลือ เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก  
หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: ครั้งหนึ่งในชีวิตของ พนม ช่อจันทร์  (อ่าน 194 ครั้ง)
eskimo_bkk-LSV team♥
.กลุ่มผู้มีน้ำใจงาม..
member
*

คะแนน1883
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 13256


ไม่แล่เนื้อเถือหนังพวก


อีเมล์
« เมื่อ: มกราคม 07, 2024, 08:43:19 AM »



"... วิธีที่เราสามารถทำเพื่อในหลวงได้ดีที่สุด ก็คือทำความดี
เป็นความดีอะไรก็ได้ ไม่จำเป็นต้องยิ่งใหญ่
หรืออยู่ใกล้ชิดท่าน 
ผมว่านี่เป็นวิธีที่ง่ายแล้วก็ดีที่สุดแล้ว ..."
.
พนม ช่อจันทร์ เป็นเพียงแค่ชายแก่ธรรมดาๆ
ฐานะยากจนแห่ง
บ้านเขาเต่า
อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์

ที่ซุกหัวนอนของเขาเป็นเพียงบ้านไม้เก่าคร่ำ
สภาพไม่ต่างอะไรจากบ้านเศษไม้ผุพังในชุมชนแออัด
ใครเลยจะนึกว่าชายแก่ผู้มีอาชีพเป็นชาวประมงพื้นบ้าน
และรับจ้างเก็บเศษเหล็กไปวันๆอย่างเขา
จะมีโอกาสได้รับใช้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
.
เขาหลับตานึกย้อนเวลากลับไปเมื่อร่วม ๕๐ ปี ก่อน
เมื่อครั้งที่พนมยังเป็นนักเรียน ชั้น ป.๔ บ้านเขาเต่า
เป็นชุมชนเล็กๆของชาวประมง และชาวบ้านยากจน
แต่กลับโชคดีกว่าชุมชนใด
เนื่องเพราะในหลวงมักจะเสด็จฯ มาเป็นการส่วนพระองค์อยู่เนืองๆ
และทุกครั้งจะทรงขับรถยนต์พระที่นั่งมาเพียงลำพังพระองค์เอง
และไม่มีหมายกำหนดการใดๆ
.
สภาพเส้นทางที่ทุรกันดารเป็นหลุมเป็นบ่อ
บ่อยครั้งทีเดียวที่รถยนต์พระที่นั่งจะตกหลุม
ติดหล่ม บนเส้นทางที่เรียกว่า ทุ่งตะกาด
.
"ในสมัยก่อนตอนที่ยังไม่สร้างอ่างเก็บน้ำทุ่งตะกาด
มันจะเป็นที่ดินกว้างๆ และที่ดินบางส่วนเป็นขี้เลน
ผมรู้จักทางดี เพราะว่าต้องมาช่วยพ่อแม่เลี้ยงวัวที่นี่บ่อย"
.
พนมเป็นนักเรียนโข่ง ตกซ้ำชั้นอยู่หลายปี
เมื่อตอนที่อยู่ ป.๔ เขามีอายุ ๑๖ ปีแล้ว
เพื่อนร่วมห้องจบไปแล้วหลายต่อหลายรุ่น
แต่พนมยังอยู่ที่เดิม และมัก
จะขาดเรียนอยู่เป็นประจำ
.
"เราเป็นเด็กโข่ง เรียนไม่เก่งซ้ำชั้นเพื่อนอยู่หลายปี
จำได้ว่าตอนอยู่ ป.๔ เพื่อนคนอื่น
เขายังเด็กๆ กันอยู่เลย
แต่เรานี่โตเป็นหนุ่ม อายุสิบห้าสิบหกแล้ว"
.
ด้วยความที่พรสวรรค์ทางสติปัญญาไม่เอื้ออำนวย
ที่สิงสถิตของเด็กชายพนมจึงมักอยู่ตามหัวนา
มีฝูงวัวเป็นเพื่อนแก้เหงาในแต่ละวัน
.
วันนั้นก็เช่นเดียวกันเด็กชายไม่ยอมไปโรงเรียน
แต่กำลังออกไปเลี้ยงวัวในทุ่ง
เหตุการณ์ครั้งสำคัญในชีวิตก็เกิดขึ้นกับเด็กไม่รักดีอย่างเขา
และเรื่องราวนั้นก็ประทับอยู่ในความทรงจำของเขาจวบจนทุกวันนี้
.
"จำได้ว่าวันนั้นเกเรียน ไม่ยอมไปโรงเรียนตั้งแต่เช้า
จะว่าไปมันก็เป็นอย่างนี้อยู่บ่อยๆ
ผมเอาวัวออกมากินหญ้าแถวทุ่งตะกาดเหมือนทุกวัน
กับเพื่อนอีกสองคนคือ นายรินทร์ วิไลรัตน์ กับ
ท่านเจ้าอาวาสวัดเขาเต่า หลวงพ่อฮ้อ แสงพลอย
ตอนนี้สองคนนี้เสียชีวิตไปแล้วทั้งคู่
.
"ระหว่างที่กำลังเลี้ยงวัว และเล่นสนุกกันตามประสา
ก็เหลือบไปเห็นรถจี๊ปสีเขียวคันหนึ่ง
กำลังติดหล่มอยู่ในขี้เลน
ผมกับเพื่อนๆ ก็เลยวิ่งเข้าไปช่วย"
ตามประสาคนบ้านนอก
เด็กชายทั้งสามวิ่งตื๋อลุยโคลนลงไปช่วยเข็นรถ
.
"เราไม่รู้หรอกว่าคนที่อยู่ในรถนั้นเป็นใคร
รู้แต่ว่าเห็นคนเดือดร้อน
เราก็ช่วยกันทั้งสามคนนั้นแหละ"
.
เด็กเลี้ยงวัวสามคนทั้งเข็นทั้งดันออกแรงกันเจียนตาย
เวลาผ่านไปร่วมชั่วโมง แต่อนิจจา
ล้อรถก็ไม่มีทีท่าว่าจะพ้นจากหล่ม
หนำซ้ำยิ่งเร่ง ล้อก็ยิ่งจมหล่มลึกไปทุกที
.
"เรารุนกันอยู่ร่วมชั่วโมงกลางแดดเปรี้ยงๆ
แต่ยิ่งรุนยิ่งเร่งเครื่องไปเท่าไหร่
ล้อรถก็ยิ่งจมลึกเข้าไปอีก
สุดท้ายเราสามคนก็หมดแรง
จึงตัดสินใจหยุดพักเอาดื้อๆ"
.
ท่ามกลางบรรยากาศกลางทุ่งอันร้อนระอุ
เด็กเลี้ยงวัวเหงื่อโซมสามคนยืนพักเอาแรง
ไม่สนใจแม้กระทั่งว่าตรงที่นั่งคนขับนั้นเป็นผู้ใด
ทว่าไม่นานก็มีเสียงเสียงหนึ่ง
ที่ทำให้ทั้งสามต้องหันมามองแทบจะพร้อมกัน
.
"อยู่ดีๆ ท่านก็ทรงยื่นแบงก์ใบละหนึ่งบาทมาให้
แล้วตรัสถามว่า 'หนูเคยเห็นคนนี้ที่ไหน'
ผมก็ตอบว่า 'เคยเห็นแต่ในแบงก์ แต่ไม่เคยเห็นตัวจริง'
ท่านเลยทรงถามกลับมาอีกว่า
'เหมือนเราไหม' ผมก็บอกไปว่า
'เหมือนครับ'
.
"คือผมยังไม่รู้หรอกว่าเป็นในหลวง
ก็ตอบไปตามความเห็นของเราในตอนนั้น
แต่พอสักพักพระองค์ท่านก็ทรงถอดพระมาลา
พวกเราสามคนนี่อึ้งเลย เข่าอ่อนทรุดนั่งกลางเลน
กราบพระองค์ท่านทั้งสามคน พระองค์ท่านก็ตรัสว่า
'ลุกขึ้นลุกขึ้นเถิด อย่านั่งเลยมันเลอะ'
เราก็เลยลุกขึ้นทันทีตามพระบัญชา"
.
สิ่งที่ไม่คาดฝันของเด็กเลี้ยงวัวสามคน คือ
การได้รับโอกาสรับใช้ในหลวง
แต่แม้ว่าจะไม่ประสบความสำเร็จ
แต่ก็ตราตรึงอยู่ในใจของทั้งสาม
.
จากนั้นพระองค์ท่านก็ทรงเห็นว่าเกินกำลัง
จึงทรงพระอักษรสั่งความใส่แผ่นกระดาษ
แล้วทรงมอบให้พนมนำไปส่งให้กับครูแล
ที่โรงเรียนเทศบาลบ้านเขาเต่า
เด็กชายรับเก็บใส่กระเป๋ากางเกงขาดๆ
แล้วออกวิ่งตื๋อไปในทันที
.
ทว่าก่อนที่พระราชสาส์นสำคัญ
จากองค์ในหลวงจะตกถึงมือครูแล
เด็กชายก็ต้องชดใช้ความผิดที่หนีเรียนเสียก่อน
.
"พอเราไปถึงโรงเรียน ยังไม่ทันได้พูดอะไร
ไม่ทันได้ยื่นจดหมาย
ครูแลแกก็สั่งให้ไปหักกิ่งสะแกมาให้หนึ่งกิ่ง
แล้วผมก็ต้องยืนกอดอก
รับไม้เรียวที่ห้องพักครูโทษฐานที่หนีเรียน"
โดนหวดอย่างจังไป ๓ ที
.
"จำได้เลยว่ามันเจ็บมาก
ครูแลแกเป็นคนมือหนัก เป็นที่รู้กันทั่ว
โดนตีแล้วเราก็คราง
แล้วก็รอจนหายเจ็บพักหนึ่งก่อน
จะยื่นจดหมายสำคัญให้ครู
พอครูแกได้เห็นจดหมายก็สั่งการเกณฑ์เด็กโตๆไปสิบกว่าคนให้ไปช่วยกัน"
ในที่สุดรถยนต์พระที่นั่งก็ขึ้นจากหล่มจนได้
.
"พระองค์ทรงตรัส 'ขอบใจมากๆ'"
เสียงนั้นยังก้องกังวานในใจของเด็กชายมาจนแก่ชรา
แม้จะต้องแลกมาด้วยแนวเลือดซิบจากกิ่งสะแก
แต่พนมบอกว่ายิ่งกว่านี้ก็ยอม
.
ชายชรายากจนไม่มีภาพถ่าย
ไม่มีหลักฐานใดๆ มายืนยันถึงเหตุการณ์
อันแสนพิเศษในความทรงจำของเขา
ไม่มีวัตถุอันใดที่หลงเหลือจากอดีตวันนั้น
เขามีแค่เพียงรอยยิ้มอย่างปลาบปลื้ม
และคราบน้ำตาบนดวงหน้าชรา
มันเป็นน้ำตาแห่งความซาบซึ้ง
เมื่อได้นึกถึงเหตุการณ์ในวันเก่า


อาทิตย์ 7 มกราคม 2567


บันทึกการเข้า

หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1 RC2 | SMF © 2001-2006, Lewis Media

lsv2555Please follow the new website at https://www.pohchae.com

Valid CSS!