แก่นตะวัน หรือ แห้วบัวตอง
LSVคลังสมองออนไลน์ "ปีที่21"
เมษายน 20, 2024, 06:22:05 AM *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
   หน้าแรก   ช่วยเหลือ เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก  
หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: แก่นตะวัน หรือ แห้วบัวตอง  (อ่าน 940 ครั้ง)
eskimo_bkk-LSV team♥
.กลุ่มผู้มีน้ำใจงาม..
member
*

คะแนน1883
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 13229


ไม่แล่เนื้อเถือหนังพวก


อีเมล์
« เมื่อ: มีนาคม 21, 2022, 08:27:12 AM »


-----------------------------------------------------
แก่นตะวัน หรือ แห้วบัวตอง
แก่นตะวัน หรือ ทานตะวันหัว (ชื่อเรียกอย่างเป็นทางการ)
หรือที่เป็นชื่อเรียกภาษาไทยว่า "แห้วบัวตอง"

แก่นตะวัน ภาษาอังกฤษ Jerusalem artichoke (เจรูซาเล็ม อาร์ติโช้ก),
Sunchoke (ซันโช้ก), Sunroot, Earth apple, Topinambour

แก่นตะวัน ชื่อวิทยาศาสตร์ Helianthus tuberosus L.
จัดอยู่ในวงศ์ทานตะวัน (ASTERACEAE หรือ COMPOSITAE)
มีถิ่นกำเนิดดั้งเดิมในทวีปอเมริกาเหนือ
และต่อมาภายหลังจึงแพร่หลาย
ไปยังสหรัฐอเมริกาและทางยุโรป

สมุนไพรแก่นตะวัน กับความเป็นมาในบ้านเรา
ได้มีการนำต้นแก่นตะวันเข้ามาปลูกเมื่อปี พ.ศ.2539
 ต่อมา รศ.ดร.สนั่น จอกลอย อาจารย์คณะเกษตรศาสตร์
มหาวิทยาลัยขอนแก่น ก็ได้นำสายพันธุ์แก่นตะวัน
เข้ามาทดลองปลูกจำนวน 24 สายพันธุ์
และทำให้เกิดการวิจัยและพัฒนาสายพันธุ์มาเรื่อย ๆ
จนพบว่า สายพันธุ์ KKU Ac 008
สามารถให้ผลผลิตของหัวสดถึงไร่ละ 2-3 ตัน
ภายหลังจึงได้มีการเปลี่ยนชื่อใหม่เป็น "แก่นตะวัน" (สนั่น, 2549)

แก่นตะวันสมุนไพร ที่กำลังเป็นที่นิยมอย่างแพร่หลาย
และเป็นที่ต้องการของตลาดทั่วโลก
เนื่องจากเป็นพืชที่มีประโยชน์สารพัด
เพราะในหัวแก่นตะวันจะมีสารสำคัญชนิดหนึ่ง
นั่นก็คือ อินนูลิน (Inulin) ซึ่งเป็นน้ำตาลเชิงซ้อน
มีโมเลกุลของน้ำตาลต่อกันเป็นห่วงโซ่มากกว่า 10 โมเลกุล
ด้วยลักษณะที่โดดเด่นของสารชนิดนี้
มันจึงกลายเป็นอาหารที่มีเส้นใยสูง
และจะไม่ถูกย่อยในกระเพาะอาหารและลำไส้ของเรา
จึงเท่ากับว่าสารอินนูลินเดินทาง
ผ่านกระเพาะอาหารและลำไส้ของเราไปเฉย ๆ
แถมยังไม่มีแคลอรีแต่อย่างใด
มันจึงเหลือไปถึงลำไส้ใหญ่
แล้วกลายเป็นอาหารของแบคทีเรียในกลุ่มที่มีประโยชน์
(แบคทีเรียมีทั้งกลุ่มมีประโยชน์และไม่มีประโยชน์)
ทำให้แบคทีเรียกลุ่มที่มีประโยชน์เกิดการแบ่งตัวมากขึ้น
ทำให้แบคทีเรียในกลุ่มที่เป็นอันตรายต่อร่างกายลดน้อยลง

เมื่อร่างกายไม่สามารถย่อยได้
แก่นตะวันจึงเป็นสารเส้นใยอย่างเดียวที่ไม่ให้แคลอรี่
สารเส้นใยดังกล่าวจึงช่วยทำให้อยู่ท้องได้นาน
กินอาหารได้น้อยลง กินแล้วไม่อ้วน จึงช่วยลดน้ำหนักไปได้ในตัว
และยังช่วยดูดซับน้ำมันและน้ำตาลที่เราอาจรับประทานเกินออกไป
จึงสามารถช่วยป้องกันโรคไขมันในเส้นเลือดสูงได้อีกด้วย


โดยมีผลงานวิจัยที่น่าสนใจดังนี้

    หนูทดลองที่กินอาหารผสมกับสารอินนูลินเป็นระยะเวลา 3 สัปดาห์
    พบว่าน้ำหนักตัวของหนูจะน้อยลงกว่าหนูปกติที่ไม่ได้รับอินนูลินมากถึง 30%
    ผู้ที่มีระดับคอเลสเตอรอลและไตรกลีเซอไรด์สูง
    หากได้รับอินนูลินเข้าไปเป็นประจำ
    จะช่วยทำให้ไขมันในเลือดลดลง (งานวิจัยของคอเซ 2000)
    ผู้ที่ได้รับสารอินนูลินจะมีโอกาสเป็นโรคเบาหวาน
    น้อยกว่าคนที่กินน้ำตาลมากถึง 40%
    จึงแสดงให้เห็นว่าการรับประทานแก่นตะวันเป็นประจำ
    จะช่วยป้องกันโรคเบาหวานได้เป็นอย่างดี (ฮาตะ 1983)

ลักษณะของแก่นตะวัน

    ต้นแก่นตะวัน หรือ พืชแก่นตะวัน จัดเป็นพืชล้มลุก
มีหัวสะสมอาหาร ลักษณะเป็นตะปุ่มตะป่ำ ผิวไม่เรียบ
คล้ายหัวขิงอวบและหัวข่า แต่มีหลากหลายสี เช่น สีเหลือง สีขาว สีแดง และสีม่วง
แต่โดยทั่วไปแล้วเปลือกจะมีสีน้ำตาลอ่อน
เนื้อในมีสีขาว เนื้อกรอบคล้ายแห้วดิบ
การเจริญเติบโตของแก่นตะวันจะมีอยู่ 2 ช่วง
ช่วงแรกนับตั้งแต่ตอนปลูกจนถึงออกดอกครั้งแรก
แก่นตะวันจะสะสมอาหารในใบและลำต้น
หรือที่เรียกว่าหัวแก่นตะวันหรือว่านแก่นตะวัน
และช่วงที่สองหลังจากดอกแรกบานจนถึงระยะเก็บเกี่ยว
ใบจะหลุดร่วง อาหารสะสมที่ใบก็จะถูกส่งไปที่หัว
ซึ่งหัวสามารถนำมารับประทานได้

สรรพคุณของแก่นตะวัน

    ชาวอินเดียนแดงปลูกต้นแก่นตะวันไว้รับประทานหัว
โดยมีสรรพคุณช่วยทำให้เจริญอาหาร
    ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้กับร่างกาย ช่วยลดการติดเชื้อ
เพราะสารอินนูลินจะช่วยลดปริมาณของแบคทีเรีย
ที่ทำให้เกิดโรคในระบบทางเดินอาหาร อย่างเชื้อ อี.โคไล (E.Coli)
และโคลิฟอร์ม (Coliforms) และในขณะเดียวกันยังไปช่วย
เพิ่มการทำงานของแบคทีเรียกลุ่มที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย
ให้เจริญเติบโตดีขึ้นอีกด้วย เช่น บิฟิโดแบคทีเรีย (Bifidobacteria)
และแลคโตบาซิลัส (Lactobacillus)
ช่วยป้องกันอาการภูมิแพ้ การแพ้อาหาร โดยเฉพาะในเด็ก

    แก่นตะวันลดความอ้วน ช่วยลดน้ำหนักและความอ้วน
ภายในหัวจะมีน้ำประมาณ 80% และมีคาร์โบไฮเดรตประมาณ 18%
ซึ่งคาร์โบไฮเดรตส่วนใหญ่จะเป็นอินนูลิน (Inulin)
ซึ่งอินนูลินเป็นสารเยื่อใยอาหารที่ให้ความหวานได้
แต่จะไม่ถูกย่อยในกระเพาะและลำไส้เล็ก
จึงสามารถอยู่ในระบบทางเดินอาหารได้นาน
จึงช่วยทำให้ไม่รู้สึกหิว ทำให้รับประทานอาหารได้น้อย
สามารถช่วยควบคุมพลังงานที่ได้รับต่อวันได้เป็นอย่างดี
จึงช่วยลดความอ้วนและป้องกันโรคเบาหวานไปด้วยในตัว
ซึ่งมีงานวิจัยพบว่าหนูที่ได้รับสารนี้เป็นเวลา 3 สัปดาห์
น้ำหนักตัวของมันจะลดลงมากกว่าหนูปกติถึง 30%
โดย ดร.ครรชิต จุดประสงค์ นักวิชาการประจำสถาบันโภชนาการ
มหาวิทยาลัยมหิดล ยังระบุด้วยว่าแก่นตะวันสามารถช่วยลดความอ้วนได้ดีกว่า
พืชลดความอ้วนชนิดอื่น ๆ ที่คนไทยรู้จักกันดี
เมื่อนำมาเปรียบเทียบกัน อย่างเช่น
หญ้าหมาน้อย หัวบุก และเม็ดแมงลัก เป็นต้น

    ช่วยในการควบคุมน้ำหนัก เนื่องจากแก่นตะวัน
มีสารประกอบเชิงซ้อนกลุ่มคาร์โบไฮเดรต
ที่ให้พลังงานต่ำกว่าคาร์โบไฮเดรตทั่วไป
มีลักษณะคล้ายแป้ง แต่มีคุณสมบัติในการรักษาสมดุล
ของสารอาหารที่รับประทาน โดยสามารถรับประทานได้มากขึ้น
แต่ยังช่วยรักษาระดับพลังงานให้คงที่ได้
ทำให้รู้สึกอิ่มนาน ซึ่งไม่เหมือนกับแป้งทั่วไป
ที่ร่างกายย่อยสลายแล้วถูกดูดซึมเข้าไปสะสมเป็นไขมันแล้วทำให้อ้วน
จึงเป็นอีกหนึ่งทางเลือกสำหรับผู้ที่กำลังประสบปัญหาภาวะน้ำหนักเกิน

    ช่วยป้องกันไขมันในเลือดสูง เพราะเส้นใยของแก่นตะวัน
จะช่วยดูดซับน้ำมันและน้ำตาลที่เรารับประทานเกินไว้
ไม่ว่าจะเป็นคอเลสเตอรอล ไตรกลีเซอไรด์
หรือไขมันเลวที่เรารับประทานเข้าไปทิ้งออกทางอุจจาระ
และยังมีงานวิจัยที่ระบุว่าผู้ที่มีระดับคอเลสเตอรอลและไตรกลีเซอไดร์สูง
หากได้รับอินนูลินเป็นประจำก็จะช่วยทำให้ไขมันในเส้นเลือดลดลงได้

    ช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจและโรคหลอดเลือดได้เป็นอย่างดี
เนื่องจากเส้นใยของแก่นตะวันเป็นตัวช่วยดูดซับไขมัน
ที่เป็นโทษต่อร่างกายและเป็นสาเหตุ
ของการเกิดโรคดังกล่าวทิ้งออกทางอุจจาระ

    ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดและป้องกันโรคเบาหวานได้เป็นอย่างดี
เนื่องจากแก่นตะวันมีแคลอรีต่ำ ไม่ส่งผลกระทบต่อระดับน้ำตาลในเลือด
แม้จะรับประทานในปริมาณมาก
จึงเหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ป่วยเบาหวาน
หากรับประทานอย่างต่อเนื่องเป็นประจำ
จะช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดได้ โดยมีงานวิจัยที่ระบุว่า
ผู้ที่ได้รับสารอินนูลินเป็นประจำจะมีโอกาส
เป็นโรคเบาหวานน้อยกว่าคนที่กินน้ำตาลมากถึง 40%


    ช่วยป้องกันมะเร็งลำไส้ใหญ่ ช่วยในการทำงานของลำไส้ให้เป็นปกติ
และช่วยบำรุงสุขภาพของลำไส้ใหญ่ได้เป็นอย่างดี
เพราะผู้ที่ได้รับสารอินนูลินเป็นประจำ จะทำให้ลำไส้ใหญ่
มีแบคทีเรียที่มีประโยชน์ต่อร่างกายเพิ่มมากขึ้น
และมีปริมาณของแบคทีเรียที่เป็นอันตรายต่อร่างกาย
หรือแบคทีเรียที่เป็นตัวก่อโรคลดลง
ทำให้แบคทีเรียที่เป็นสาเหตุของการเกิดแก๊สกลิ่นเหม็นในร่างกายลดลง
หรือแบคทีเรียที่กินซากเนื้อสัตว์
ตัวสร้างสารก่อมะเร็งในลำไส้ใหญ่
อย่างอีโคไลก็ลดน้อยลงด้วยเช่นกัน

    ช่วยกระตุ้นการดูดซึมของแร่ธาตุหลายชนิด
ช่วยปรับสภาพของลำไส้ให้เหมาะสมต่อการดูดซึม
แร่ธาตุบางชนิดที่ไม่สามารถดูดซึมได้ในลำไส้เล็ก
และช่วยให้ลำไส้ใหญ่สามารถ
ดูดซึมแร่ธาตุที่มีประโยชน์ต่อร่างกายได้เพิ่มมากขึ้น
โดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วยดูดซึมธาตุแคลเซียม
ได้มากถึงร้อยละ 20% รวมไปถึงธาตุเหล็ก ฯลฯ

    ช่วยในการทำงานของระบบขับถ่าย
ช่วยในการขับถ่าย ช่วยทำความสะอาดลำไส้
ช่วยเก็บกวาดของเสียในระบบทางเดินอาหารได้เป็นอย่างดี
แก้อาการท้องผูกได้ เนื่องจากทำให้อุจจาระมีกากใยมากขึ้น
และยังช่วยลดกลิ่นเหม็นของอุจจาระได้อีกด้วย

    สมุนไพรแก่นตะวันมีสรรพคุณ
    ช่วยลดอาการจุกเสียดแน่นท้อง แก้อาการท้องเสีย
    ช่วยกระตุ้นการหลั่งของน้ำดี
    มีสรรพคุณช่วยในการขับปัสสาวะ
    ช่วยป้องกันสารพิษอย่างโลหะหนัก เช่น สารตะกั่ว

คำแนะนำ : แม้จะมีข้อดีอยู่หลายประการ แต่ก็ยังมีข้อเสียอยู่บ้าง
เนื่องจากแก่นตะวันมีคุณสมบัติของเส้นใยอาหารสูง
การรับประทานสารสกัดในปริมาณที่มากเกินไป
อาจทำให้เกิดผลข้างเคียงได้ เช่น มีอาการไม่สบายท้อง
จุกเสียดแน่นท้อง ท้องเสีย ท้องอืดท้องเฟ้อ
หรือมีอาการคลื่นไส้ เป็นต้น ซึ่งอาการดังกล่าวจะพบได้น้อย
และไม่มีผลกระทบต่อผู้รับประทานมากนัก
หากคุณรับประทานสารสกัดดังกล่าวในปริมาณที่เหมาะสม
หรือเลือกรับประทานแก่นตะวันสดในรูปของอาหาร
ก็จะยังช่วยคงคุณค่าของสารอาหารและเส้นใย
ไว้อย่างครบถ้วนอีกด้วย ดังนั้นการเลือกรับประทานแบบสด ๆ
จึงมีประโยชน์ต่อร่างกายมากที่สุด
ประโยชน์ของแก่นตะวัน

    แก่นตะวันมีประโยชน์อย่างไร ?
หัวแก่นตะวันจัดเป็นอาหารที่ดีและมีประโยชน์อย่างมาก
สำหรับผู้ที่รักสุขภาพ เพราะเป็นอาหารเสริมสุขภาพอย่างหนึ่ง
เนื่องจากในหัวของแก่นตะวันนั้นอุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุต่าง ๆ มากมาย
ซึ่งล้วนแล้วแต่มีประโยชน์ต่อร่างกายทั้งสิ้น
เช่น มีวิตามินบีรวม แคลเซียม ธาตุเหล็กที่สูง เป็นต้น
    ช่วยลดกลิ่นปากจากเชื้อแบคทีเรีย
    เนื่องจากแก่นตะวันมีดอกที่สวยงาม
จึงมีการเพาะปลูกไว้เป็นไม้ประดับ ปลูกเป็นพืชเพื่อการท่องเที่ยว
เพื่อเป็นที่พักผ่อนหย่อนใจได้
เพราะมีความสวยงามไม่แพ้ทุ่งบัวตองหรือทุ่งทานตะวันเลยทีเดียว

    หัวใช้รับประทานสด ๆ เป็นผัก ซึ่งหัวสดจะมีรสชาติคล้าย ๆ กับแห้ว
หรือนำมาประกอบอาหารทั้งคาวและหวาน
ทำเป็นขนม ใช้ต้มรับประทาน หรือนำไปผัดหรือใช้ยำก็ได้เช่นกัน
    หัวแก่นตะวันสามารถนำมาใช้เป็นอาหารแทนมันฝรั่งได้
    เพราะมีเนื้อสัมผัสเช่นเดียวกัน
    เพียงแต่ว่ามีรสหวานกว่า
    จึงเหมาะสำหรับใส่ในสลัดผักต่าง ๆ

    หัวแก่นตะวันสามารถนำมาทำเป็นผง
คือเอาหัวมาตัดเป็นชิ้นเล็ก ๆ นำมาตากแดดให้แห้งแล้วอบ
เมื่ออบเสร็จก็นำมาป่นเป็นผงเล็ก ๆ ซึ่งผงดังกล่าว
สามารถนำไปผสมกับแป้งต่าง ๆ เป็นผลิตภัณฑ์ได้ เช่น
ขนมปัง ขาไก่ คุกกี้ เป็นต้น จะช่วยทำให้มีรสชาติที่ดีและมีกลิ่นหอม
แถมยังคงปริมาณของอินนูลินไว้ได้อีกด้วย
    มีการนำหัวแก่นตะวันมาสกัดเอาสารอินนูลิน
ใช้ผสมในผลิตภัณฑ์นมผงเด็ก โดยจะมีสารอินนูลิน
ผสมอยู่ด้วยราว 1-2% ซึ่งหลาย ๆ คนอาจจะไม่ได้สังเกต

    หัวแก่นตะวันใช้เป็นวัตถุดิบในการแปรรูปเป็นสุราและเอทานอลได้
    ซึ่งในประเทศเยอรมัน รัฐบาเดิน-เวือร์ทเทมแบร์ก
    จะมีการใช้หัวแก่นตะวันในการผลิตสุรา
    กันมากกว่า 90% ซึ่งสุราชนิดนี้ก็คือ Topi หรือ Rossler
    ลำต้นแก่นตะวันก็สามารถนำไปหมักทำเป็นเอทานอลได้เหมือนกัน

    ลำต้นและใบของแก่นตะวันสามารถนำมาใช้เป็นอาหารสัตว์ได้
และยังมีสารอาหารที่ช่วยในการย่อย
ได้หมดมากกว่าถั่วอัลฟัลฟา (แต่จะมีโปรตีนน้อยกว่า)

    หัวใช้เป็นอาหารเสริมในสัตว์เลี้ยงได้
เพราะมีผลต่อการเจริญเติบโต ทำให้สัตว์เลี้ยงมีสุขภาพแข็งแรง
ช่วยลดจุลินทรีย์ที่เป็นโทษในระบบทางเดินอาหาร
ช่วยลดกลิ่นเหม็นของมูลสัตว์ ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้สัตว์เลี้ยง
จึงช่วยลดการใช้ยาปฏิชีวนะไปด้วยในตัว
จึงมีการนำมาใช้เป็นสมุนไพรของสัตว์เลี้ยง
    การเสริมสารสกัดอินนูลินลงไปในอาหารของสัตว์ เช่น
สุนัข สุกร ไก่ จะช่วยลดปริมาณของแอมโมเนีย
ในระบบทางเดินอาหารและในสิ่งขับถ่ายได้
จึงทำให้ลดปริมาณของสารที่ทำให้เกิดกลิ่นเหม็นในสิ่งขับถ่าย
ทำให้กลิ่นเหม็นของอุจจาระลดลงอย่างมากจนถึงไม่มีกลิ่นเลย

    ในเชิงอุตสาหกรรม มีการใช้หัวแก่นตะวันมาเป็นวัตถุดิบ
ในการสกัดเป็นน้ำตาลอินนูลิน (Inulin) เพราะสามารถพบได้
ในพืชชนิดนี้มากถึง 16-39% และยังมีการใช้อินนูลินเพื่อผลิตเป็นน้ำตาล
เชื่อมฟรุกโตสเข้มข้น หรือสารให้ความหวานในอุตสาหกรรมอาหาร

    แก่นตะวันเป็นพืชที่ให้พลังงานสูง หัวสด 1 ตัน
สามารถใช้ผลิตเป็นเอทานอลบริสุทธ์ 99.5% ได้มากถึง 100 ลิตร
สามารถใช้เป็นพลังงานทดแทนด้วยการนำไป
ใช้ผสมกับน้ำมันเบนซิน ใช้ผลิตแก๊สโซฮอล์ได้อีกด้วย
    แก่นตะวันเป็นพืชเศรษฐกิจที่กำลังได้รับความนิยม
เพราะสามารถนำไปแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ได้หลากหลาย
ผลิตภัณฑ์แก่นตะวัน เช่น แก่นตะวันแบบบรรจุถุง แก่นตะวันบดผง
แก่นตะวันอบแห้ง ชาแก่นตะวัน
ว่านแก่นตะวันแคปซูล สบู่แก่นตะวัน เป็นต้น

คุณค่าทางโภชนาการของแก่นตะวันดิบ ต่อ 100 กรัม

    พลังงาน 73 กิโลแคลอรี
    คาร์โบไฮเดรต 17.44 กรัม
    น้ำตาล 9.6 กรัม
    เส้นใย 1.6 กรัม
    ไขมัน 0.01 กรัม
    โปรตีน 2 กรัม
    วิตามินบี 1 0.2 มิลลิกรัม 17%
    วิตามินบี 2 0.06 มิลลิกรัม 5%
    วิตามินบี 3 1.3 มิลลิกรัม 9%
    วิตามินบี 5 0.397 มิลลิกรัม 8%
    วิตามินบี 6 0.077 มิลลิกรัม 6%
    วิตามินบี 9 13 ไมโครกรัม 3%
    วิตามินซี 4 มิลลิกรัม 5%
    ธาตุแคลเซียม 14 มิลลิกรัม 1%
    ธาตุเหล็ก 3.4 มิลลิกรัม 26%
    ธาตุแมกนีเซียม 17 มิลลิกรัม 5%
    ธาตุฟอสฟอรัส 78 มิลลิกรัม 11%
    ธาตุโพแทสเซียม 429 มิลลิกรัม 9%

% ร้อยละของปริมาณแนะนำที่ร่างกายต้องการ
ในแต่ละวันสำหรับผู้ใหญ่
(ข้อมูลจาก : USDA Nutrient database)

วิธีกินแก่นตะวัน

    แก่นตะวันสามารถรับประทานได้ทั้งแบบปอกเปลือก
และไม่ปอกเปลือก แต่การรับประทานทั้งเปลือกก็ควรล้างให้สะอาดก่อน
เนื่องจากมีแง่งเยอะ อาจจะมีเศษดินติดอยู่
หรือจะแช่น้ำไว้สักพักเพื่อให้ดินอ่อนตัวก่อนนำมาล้างก็ได้
ถ้าจะให้ดีก็ใช้แปรงสีฟันเล็ก ๆ นำมาขัดอีกรอบเพื่อความสะอาด

    สำหรับวิธีการปอกเปลือกแก่นตะวัน
ก็ใช้วิธีเดียวกันกับการปอกเปลือกมะม่วง
โดยใช้มีดสองคมขนาดเล็ก (ด้ามสีส้มที่เราคุ้นเคยกันดี)
ในการปอกเปลือก ถ้ามีแง่งก็ให้ใช้มีดตัดออกมาก่อนแล้วค่อยปอก

    สำหรับผู้ที่ยังไม่เคยรับประทาน
    ควรรับประทานในปริมาณที่ไม่มากก่อนในช่วงแรก
    หรือรับประทานสดครั้งละ 1 ขีด เพื่อให้ร่างกายได้ปรับสภาพก่อน

    สำหรับการเก็บรักษา สำหรับแก่นตะวันแบบปอกเปลือก
ก็ให้เก็บไว้ในกล่องพลาสติกที่ปิดฝามิดชิดไม่ให้อากาศเข้า
หรือจะใส่ถุงซิป กล่องพลาสติกก็ได้
แล้วนำไปแช่ในตู้เย็นช่องธรรมดา
ก็จะช่วยทำให้คงความสดและไม่ทำให้เหี่ยวเร็ว
    แก่นตะวันที่ไม่ปอกเปลือก
สามารถเก็บไว้ในตู้เย็นได้นานถึง 10 สัปดาห์
หรือมากกว่าถ้าไม่มีเชื้อรา แต่หากเก็บไว้นานสี
อาจจะเปลี่ยนหรือเหี่ยวทำให้ดูไม่น่ารับประทาน
ยิ่งเก็บไว้นานคุณภาพก็ยิ่งน้อยลง
การรับประทานแบบสดใหม่จึงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด
    การใช้หัวแก่นตะวันในการประกอบอาหาร
อาจพบว่าสีของหัวเปลี่ยนจากสีขาวเป็นสีดำคล้ำ
สาเหตุอาจมาจากการปอกเปลือกทิ้งไว้นาน
ดังนั้นเมื่อปอกเปลือกหรือหั่นเสร็จแล้ว
ให้เก็บแช่ทิ้งไว้ในน้ำเปล่าก่อนที่
จะนำไปประกอบอาหาร
จะช่วยป้องกันปัญหาดังกล่าวได้

แหล่งอ้างอิง : คณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น
(รองศาสตราจารย์ ดร.สนั่น จอกลอย),
สถาบันวิจัยและพัฒนาแห่งมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์,
สถาบันโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล (ดร.ครรชิต จุดประสงค์),
สถาบันค้นคว้าและพัฒนาระบบนิเวศเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์,
นิตยสารธรรมลีลา ฉบับที่ 132,
นิตยสารขวัญเรือน ฉบับ 849 (พญ.ลลิตา ธีระสิริ)

เรียบเรียงข้อมูลโดยเว็บไซต์เมดไทย (Medthai)

แก่นตะวันสดมีจำหน่ายที่ห้างแม็คโคร ทุกสาขา  ทั่วประเทศ

อยู่แผนกผักสดที่ควบคุมอุณภูมิ

โค๊ด:
https://medthai.com/%E0%B9%81%E0%B8%81%E0%B9%88%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%99/

 ping!


บันทึกการเข้า

ช่างเล็ก(LSV)
Administrator
member
*

คะแนน1346
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 18649


คิดดี ทำดี ชีวิตมีแต่สุข


อีเมล์
« ตอบ #1 เมื่อ: มีนาคม 22, 2022, 10:23:27 AM »

 Lips Sealed Cool
บันทึกการเข้า
หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1 RC2 | SMF © 2001-2006, Lewis Media

lsv2555Please follow the new website at https://www.pohchae.com

Valid CSS!