กระทู้ธรรม

กระทู้ธรรม

<< < (10/48) > >>

kittanan_2589:
จิตก็เสมือนตำราเล่มใหญ่ ที่มีเนื้อหากว้างลึกทุกศาสตร์ ทุกสาขาถูกบรรจุไว้อย่างหนาแน่น แถมยังมีพื้นที่ว่าง ที่จะเขียนไม่มีสิ้นสุด จะอ่านเท่าไหร่ ไม่มีวันจบสิ้น คำว่า “ทำ” ให้ทำที่จิต ให้กายเป็นเครื่องมือ ใช้จิตกระทำได้ ให้เรียนรู้ ให้ระงับ ให้ละวางในจิตดวงนี้ ในตัวเรา มิใช่ในตัวเขา

เราเป็นทั้งผู้สร้างความเจริญรุ่งเรืองของโลก พร้อมกันเป็นผู้ทำลายล้างความเจริญรุ่งเรืองของชีวิต ให้สูญเสียทั้งชีวิตและทรัพย์สินอย่างต่อเนื่องกันมา เกิดสงครามแสวงหาอำนาจ ทำลายล้างเผ่าพันธุ์ของมนุษย์ มาทุกยุคทุกสมัยสืบกันมาจากอดีตจนถึงปัจจุบันก็ยังทำลายกัน เปลี่ยนเฉพาะยุทธวิธีการทำลายเท่านั้น ใช้ยุทธวิธีเครื่องมือในการทำลายล้างที่ทันสมัยรุนแรงมากขึ้น ใช้กลไกเครือข่ายมากขึ้น ใช้อาวุธยุทโธปกรณ์ที่มีประสิทธิภาพในการทำลายมากขึ้นเท่านั้น

ล้วนแต่เกิดจากจิตดวงเดียวนี้ที่มันสั่งการ ที่มันกำหนดทุก ๆ เรื่อง ตามกำลังของตัณหา ความทะยานอยาก ความอหังการ ความใคร่ ความอยากได้ความอยากเป็น ความไม่อยากได้ ความไม่อยากเป็นในตัณหา ๓ ประการ คือ กามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา อันเกิดในจิตเป็นอุปาทานในสัญญา ยึดมั่นถือมั่นในตัณหานั้น จิตไม่สงบ ไม่ละวางมันติดกินใจอยู่ทุกเวลา จิตจึงสร้างอุบาย เพื่อให้ได้มา จึงเป็นความลึกล้ำ จิตจึง

เป็นแหล่งรวมของสรรพวิทยาต่าง ๆ
เป็นแหล่งรวมของดีชั่ว
เป็นแหล่งรวมของสุข ทุกข์

เป็นแหล่งรวมของความฉลาดปราดเปรื่อง
เป็นแหล่งรวมของความรู้ ความไม่รู้
เป็นแหล่งรวมของคุณธรรม ศีลธรรม
เป็นแหล่งรวมของการเพาะปัญญา

เป็นแหล่งรวมของการคิดค้น
เป็นแหล่งรวมของขนบธรรมเนียมประเพณี
เป็นแหล่งรวมของการสร้างเสริม
เป็นแหล่งรวมของสันติธรรม

เป็นแหล่งรวมของการกำหนดชีวิต
เป็นแหล่งรวมของการกำหนดกฎเกณฑ์
เป็นแหล่งรวมของชาติ ภพ ภูมิ
เป็นแหล่งรวมของความเมตตา กรุณา

เป็นแหล่งรวมของแนวคิดปรัชญา
เป็นแหล่งรวมของนักปราชญ์ราชบัณฑิต
เป็นแหล่งรวมของความโง่ ความเก่ง
เป็นแหล่งรวมของความเอารัดเอาเปรียบ

เป็นแหล่งรวมของความโหดร้าย ทารุณ
เป็นแหล่งรวมของความรัก ความชัง
เป็นแหล่งรวมของสันติภาพ สันติสุข
เป็นแหล่งรวมของความโลภ โกรธ หลงฯ

kittanan_2589:
ยังมีอีกมากมายจนเขียนอย่างไรก็ไม่หมด ทุกรายวิชาบรรจุไว้ในจิตทั้งหมด ในแต่ละรายวิชาล้วนมีสาระในตัวเอง เรื่องดี สาระดี เรื่องไม่ดี สาระไม่ดี ทั้งมีทฤษฎีรองรับสาระนั้น ๆ อีกด้วย นี่เป็นเพียงตัวอย่างแห่งคลังความรู้เบื้องต้นเท่านั้น

ทั้งหมดจิตเป็นผู้กำกับพฤติกรรม ตัวเราจึงสมควรพิจารณาอย่างถ่องแท้ เรื่องของจิตจึงมีความยิ่งใหญ่ต่อสถานภาพของโลกและสัตว์โลก ต่อการสร้างหรือทำลายล้าง มีจิตเป็นนาย มีกายเป็นข้ารับใช้ ทำให้เกิดกรรมคือการกระทำ ยิ่งมากคนยิ่งมากเรื่อง เฉพาะเรื่องของเราก็รับไม่ไหวอยู่แล้ว

อันที่แท้จิตดวงนี้มีคุณอนันต์ มีโทษมหันต์ซ่อนอยู่ภายในจิตของทุกคน มีดำมีขาว มีมืดมีสว่าง ในถูกก็มีผิด ในจริงมีเท็จ ในเท็จมีจริง ผสมกลมกลืนอยู่ สุดแท้แต่ใครจะมีภูมิปัญญาอยู่ในทางใด อยู่ในโลกีย์หรืออยู่ในโลกุตระอันเป็นทางคู่ขนาน ทางหนึ่งพบแต่ความทุกข์เดือดร้อนตลอดเวลา อีกทางหนึ่งดับทุกข์พบสุขตลอด เรียกว่าทางแห่งความทุกข์ยากกับทางแห่งความสงบสุข จงเลือกเดินเอาเอง สร้างเอาเอง คิดเอาเอง นึกเอาเอง แสวงหาเอา จะเอาแบบไหน ได้กับตัวเราทั้งสิ้น

จงพิจารณาธรรมในธรรม ธรรมคือธรรมชาติ กิจทั้งมวลในจิตล้วนเป็นธรรมทั้งสิ้น ได้แก่ จิต อารมณ์ ล้วนเป็นธรรมที่บังเกิดในจิต ทั้งดีและร้าย คือการพิจารณาสภาวะแห่งความเป็นจริง ทำให้จิตมีสมาธิ สร้างสติสัมปชัญญะ

อะไรเกิดในจิต สติต้องรู้ สัมปชัญญะต้องพิจารณา ธรรมทั้งหลายซ่อนอยู่ในจิต ความสำเร็จทั้งหลายซ่อนอยู่ในความสำเร็จ ความไม่สำเร็จซ่อนอยู่ในความไม่สำเร็จ ความไม่สำเร็จซ่อนความสำเร็จเอาไว้ตลอดเวลา ค้นให้เจอ หาให้พบ นั่นคือ เราพิจารณาจิตในจิตของตัวเรา และสภาวะธรรมชาติของจิตให้ถ่องแท้

ให้พิจารณาว่ามันเป็นอย่างไร ภาวะของจิตเรานั้นเกิดอะไรขึ้น ค้นหาอกุศลและกุศลที่เกิดอยู่ภายในจิต ค้นให้พบ พิจารณาให้ได้ แล้วสิ่งใดต้องแก้ไข ก็ต้องทำการแก้ไข สิ่งใดไม่ต้องการแก้ไขก็รักษาประพฤติให้ได้ เราชำระจิตของเราให้ได้ อย่าชำระจิตของผู้อื่น จิตใครจิตมัน อย่ามัวห่วงผู้อื่น ให้ห่วงตัวเราเองก่อน แม้จิตของเรายังชำระได้ยากอยู่แล้ว หากเราคิดชำระจิตของผู้อื่นยิ่งยากลำบาก ยิ่งคนหมู่มากยิ่งยากเป็นทวีคูณ

แต่ถ้าทุกคนช่วยกันแก้ ไม่ยากเลยในการจะแก้ไขปัญหาภายในจิต ถ้าทุกคนช่วยกันแก้นิสัยของตนเอง ก็จะเป็นการสร้างชีวิตให้มีรากฐานที่ดี ก็หมายความว่า เราต้องมีความมั่นคงในดวงจิต ความมั่นคงจะมาบังเกิดอยู่ได้ ก็ต่อเมื่อมีสมาธิที่แน่นหนาไม่หวั่นไหว เสมือนบ้านที่มีรากฐานมั่นคง แม้จะมีอะไรมากระทบ บ้านก็ไม่สั่น บ้านก็ไม่คลอน จิตก็เช่นกัน ไม่หวั่นไหว จงสร้างรากฐานของจิตให้มั่นคง ทำทาน ศีล ภาวนา สำรวมกาย วาจา ใจ เจริญสมาธิ ให้บังเกิดสติสัมปชัญญะให้สถิตอยู่ในจิตตลอดเวลา

บุคคลที่ได้ออกปฏิบัติร่วมกันที่สมควรจะเอ่ยนาม
๑. นายอภิรัฐ ปานเทพอินทร์
๒. นายอภิวรรธน์ สงวนงาม
๓. นายบัญญัติ แสงประเสริฐ
๔. นางสาวศศมน ยงยุทธ

สุดท้ายนี้ ขอขอบพระคุณ ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกท่านในการจัดทำหนังสือเล่มนี้ ให้สำเร็จลุล่วงไปด้วยดี เพื่อเป็นธรรมทาน ขออำนาจคุณพระรัตนตรัยและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย จงอภิบาลประทานพรให้ท่านพบสัมมามรรคา เดินตามรอยพระพุทธองค์สู่นิพพาน ขออนุโมทนาผลบุญกุศลนี้โดยถ้วนหน้ากันทุกท่าน เทอญ

(นายฐานุพงศ์ สิรสุขสวัสดิ์)
ผู้ตรวจราชการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา

kittanan_2589:
บทนำ
ธรรมสาสน์บอกกล่าวเตือนสติ


ข้อเขียนของข้าพเจ้าได้เขียนจากประสบการณ์ส่วนตัว มีความมุ่งหมาย ดังนี้

๑. ไม่มีเจตนาจะโอ้อวดหรือแอบอ้าง เพื่อประโยชน์ของตนเองแต่อย่างใดทั้งสิ้น เป็นการแสดงผลของวิบากกรรมเท่านั้น เนื้อหาสาระไม่เกินจากความเป็นจริง มีแต่ขาด เพราะส่วนที่ไม่บังควรก็จะไม่เขียนไว้ จะบอกกล่าวเฉพาะส่วนที่เป็นประโยชน์ที่ได้พบเห็นจริง ได้พิสูจน์แล้ว และสมควรรู้เท่านั้น

๒. ขอให้อ่านคำนำให้จบก่อนจึงอ่านเนื้อความจาก “อัศจรรย์โลกใบนี้” เมื่ออ่านแล้ว “อย่าเชื่อ” อย่างสุดโต่ง (หมดใจ) จะทำให้ลุ่มหลงและอย่า “ไม่เชื่อ” อย่างสุดโต่ง (หมดใจ) จะทำให้ตำหนิติติง กลายเป็นวิบากกรรมและเสียโอกาสในการรับรู้

๓. ขอให้ท่านผู้อ่านใช้วิจารณญาณ พิจารณาอย่างเป็นกลาง เก็บส่วนที่เป็นประโยชน์ ละส่วนที่ไม่เกิดประโยชน์

๔. ขอให้ทำจิตเป็นอิสระมีเสรีภาพเป็นของตนเองก่อนจึงอ่าน แล้วมีความเป็นกลางไม่ปรุงแต่ง หรือมีจิตวิจารณ์ก่อนการพิสูจน์

๕. ข้าพเจ้า “ขอท้า” ทุกท่านที่สงสัยในข้อเขียนนี้ได้ “พิสูจน์” แต่ ให้พิสูจน์ด้วยตนเอง ให้เห็นด้วยตนเอง ให้รู้ด้วยตนเอง ด้วยการตั้งมั่นที่จะรู้ แล้วลงมือเจริญกรรมฐาน ทำให้ศีลบริสุทธิ์ ให้เกิดสมาธิจิตที่เป็น “สัมมาสมาธิ” จนบังเกิดฌาน(ที่ตั้งแห่งความสงบเพื่อการหยั่งรู้) ได้ญาณ(การ หยั่งรู้) แล้วท่านจะพบความจริงที่อยากรู้ ข้อเขียนของข้าพเจ้าเป็นเพียงแนวทาง ให้ผู้อยากรู้ได้พิสูจน์ด้วยตนเองเท่านั้น ท่านอย่ามัวสงสัยอยู่เลย เอาตัวเอาใจเข้าไปสิ จะพบกับความจริง

๖. ข้อเขียนนี้ถือเป็นปัจจัย เพื่อนำไปสู่ข้อเขียนที่ข้าพเจ้ากำลังลงมือบันทึก เรื่องการสร้างฌานหรือคู่มือการสร้างพลังอำนาจจิต เพื่อสร้างพลังอำนาจจิต อันเป็นปัจจัยแห่งความสุขของชีวิต เป็นการบอกกล่าวว่า ทำไมข้าพเจ้าจึงสนใจศึกษาด้วยเหตุผลอะไร มีแรงดลใจมาจากไหน มีผลอย่างไร จากการเจริญกรรมฐาน

๗. ข้อเขียนของข้าพเจ้าไม่ต้องการให้ใครมาหลงงมงาย เพียงแต่บอกกล่าว อย่าหลงผิดคิดว่า โลกใบนี้มีแต่สิ่งที่เรารู้ แต่มีอีกมากที่เราไม่รู้ “ในที่นี้ไม่มีใครเป็นผู้วิเศษ หลักธรรมคำสอนของพระพุทธองค์เท่านั้นเป็นของวิเศษ หากใครปฏิบัติให้เข้าถึงกฎธรรมชาติ” แม้แต่ตัวของข้าพเจ้า ก็เป็นคนธรรมดาคนหนึ่งเหมือนทุก ๆ คน เพียงแต่ได้โคจรไปพบความเร้นลับเพียงบางส่วนบนโลกใบนี้ ยังมีอีกมากที่ยังไม่ได้พบ

เหมือนนักวิทยาศาสตร์กำลังทดลองค้นคว้า ที่พบมีเพียงน้อยนิด ยังมีอีกมากมายที่ต้องค้นต่อ เราอย่ารู้แต่ภาษาโลก เราควรรู้ภาษาใจด้วย ภาษาใจคือภาษาธรรม

๘. อย่าทุกข์กับการอ่านเรื่องราว อย่าหยุดอ่านกลางคัน ฝืนอ่านให้จบ จะพบความจริง พบสุข เมื่อพิจารณาส่วนที่เป็นประโยชน์ นำไปปฏิบัติ ทดลอง แก้ไขภาวะจิตของตนเองด้วยตนเอง ถ้าจะถามว่าจริงหรือ ? ต้องตอบว่าลองดูสิ ! แต่ละประโยคในแต่ละหน้า มีความหมายที่สำคัญ จงพิจารณาให้เข้าใจถ่องแท้ จดจำ นำเป็นแนวทางในการฝึกอบรมจิต

kittanan_2589:
โลกใบนี้

เป็นพิภพที่เป็นแหล่งกำเนิดสัตว์ที่มา เวียนว่ายตายเกิดอยู่ในวัฏฏะ เป็นที่อยู่ของสิ่งมีชีวิตหลายแสนชนิด ที่มีนาม รูป และยังเป็นที่สถิตของนามรูปละเอียด เป็นมิติเร้นลับ บุคคลธรรมดาเข้าไม่ถึง สัมผัสไม่ได้ เรียกว่าพิภพของโอปปาติกะวิญญาณ ซึ่งอยู่ปะปนกันในโลกนี้

เป็นโลกที่ดีที่สุด เป็นสถานที่ก่อให้บังเกิดมหาบุรุษเอกของโลก พระองค์แล้วพระองค์เล่า คือ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทั้งบังเกิดอริยบุคคล อริยสงฆ์เป็นจำนวนมาก บังเกิดนักปราชญ์ราชบัณฑิตอีกเหลือคณานับ พร้อม ๆ กับเกิดคนพาลสันดานหยาบ คนถ่อยทรชนอีกมหาศาลสืบต่อกันมา ไม่มีสิ้นสุด

เป็นดินแดนที่เพาะเมล็ดพันธุ์ของสัตว์โลกทั้งดีชั่วอยู่ปะปนกัน เป็นเครื่องคานอำนาจต่อกัน ตามโอกาสแล้วแต่บุญกุศลของแต่ละบุคคล หรือที่เรียกว่า ตามวิบากกรรม ที่ทำมาแต่อดีตเป็นเครื่องกำหนดวิถีชีวิตของแต่ละบุคคล

ยุคใดมีผู้มีบุญวาสนามาปฏิสนธิ มีอำนาจ บ้านเมืองจะสงบร่มเย็น ทวยราษฏร์มีสันติสุขกันทั่วหน้า การปกครองบ้านเมืองจะอยู่ด้วยคุณธรรม

ยุคใดไม่มีผู้มีบุญวาสนามามีอำนาจ ยุคนั้นจะบังเกิดทุกข์ยากกันทุกหย่อมหญ้า ประชาราษฏร์เศร้าหมอง เต็มไปด้วยความทุกข์ แก่งแย่ง ชิงดีชิงเด่น มีความอำมหิต ประทุษร้ายต่อกัน ก็จะบังเกิดทุกข์ยากเย็นเข็ญใจ อยู่ร่วมกันด้วยความหวาดระแวง หวาดกลัว หาความสงบไม่ได้

สิ่งมีชีวิตแบ่งเป็นสองสถานะ คือ สิ่งมีชีวิตที่มีจิตวิญญาณเข้าครอง ได้แก่ สัตว์มนุษย์ สัตว์เดรัจฉานตัวเล็กตัวน้อย จากมองเห็นจนมองไม่เห็น กับสิ่งมีชีวิตที่ไม่มีจิตวิญญาณเข้าครอง ได้แก่ พืชพันธุ์ธัญญาหารทั้งมวล

โลกใบนี้ จึงสร้างทุกสิ่งทุกอย่างไว้ให้อย่างสมบูรณ์ และสมดุลย์ตามธรรมชาติในตัวของมัน เพื่อให้สัตว์โลกค้นหา ศึกษาค้นคว้า แสวงหาสังคมสันติ อย่างมีอิสระตามวิถีแห่งกรรม

ทุกคนเกิดมามีกรรมเป็นเครื่องพิพากษากำหนด ตามแรงแห่งกรรมจากอดีตในการเวียนว่ายตายเกิด ทุกคนจึงมีความเสมอภาคที่การเกิด แต่ต่างสภาพในการดำรงชีวิต มั่งมี ยากจน แตกต่างกันไป มีสุข มีทุกข์ในการดำรงชีวิต ผิดแผกแตกต่างกันโดยสิ้นเชิงตามวาระของกฎของกรรม

บ้างเกิดเป็นสัตว์ที่ประเสริฐ บ้างเกิดเป็นสัตว์ขั้นต่ำ สัตว์เล็กสัตว์น้อย ล้วนมาเกิดตามคำพิพากษาในกฎแห่งกรรมทั้งสิ้น ไม่ละเว้น เรียกว่ากรรมที่ได้กระทำมาทั้งกุศลและอกุศลมากำหนดสถานภาพ บอกความจริงในกฎของกรรม หรืออาจเรียกได้ว่า กรรมมาบอก กระแสกรรมทำให้เกิดสติสัมปชัญญะ รับรู้แก้ไข สำนึกผิดถูก แสวงหาความจริงแท้ ทรงชี้หนทางแห่งชีวิตที่ประเสริฐแก่สัตว์โลกที่อยู่ในโลกใบนี้มาแต่อดีต ซึ่งยังคงเป็นอมตะปรากฎอยู่จนถึงปัจจุบันและในอนาคต

ผู้ใดปฏิบัติได้ตรงตามธรรมชาติตามคำสอนผู้นั้นจะ พบความจริงแท้แน่นอน ไม่เปลี่ยนแปลง แต่ต้องกระทำด้วยตนเอง มิใช่จากคำบอกเล่า ใช้วิธีเข้าทดลอง พิสูจน์ ค้นหา จึงจะพบ จึงจะเห็นตามความเป็นจริงทุกประการ

kittanan_2589:
ข้าพเจ้าได้ปฏิสนธิมาในโลกใบนี้เช่น เดียวกับคนอื่น ๆ มีนามรูปหรือปฏิสนธิจิตวิญญาณ มีความรู้สึกนึกคิด มีความหิว มีความรู้สึกร้อนหนาว มีความทะยานอยาก มีชีวิตจิตใจ มีความเจ็บ มีความปวด มีความต้องการปัจจัยพื้นฐานเหมือนกับทุก ๆ คน ไม่มีอะไรแตกต่างกัน นอกจากกระแสแห่งกรรม ที่กำหนดให้ดำเนินไปตามที่กรรมกำหนด จึงต้องดำเนินชีวิตที่ทั้งสุขและทุกข์ สมหวัง ผิดหวัง เศร้าโศก เสียใจ ดีใจ ปะปนกันไป เฉกเช่นทุก ๆ คน แต่หนักเบาแตกต่างกันไป

ข้าพเจ้าได้เขียนเรื่องชีวิตของข้าพเจ้า ไม่ใช่โอ้อวด ทะนงตนหรืออวดอ้าง ยกตนข่มผู้อื่นก็หาไม่ เพียงแต่จะบอกกล่าว เตือนตน กันลืมในประสบการณ์ที่ประสบพบเห็นมา ท่านที่ได้อ่าน โปรดทำใจให้เป็นกลาง อย่าเชื่อหรือไม่เชื่อ อย่าตำหนิให้เป็นวิบากกรรม เรื่องนี้บังเกิดเฉพาะตน ทุกคนมีประสบการณ์ที่มีความแตกต่างกัน เหมือนกันเพียงบางส่วน ขอให้ท่านจงใช้สติปัญญาพิจารณาเนื้อความเหล่านี้ ก็อาจจะเกิดประโยชน์กับท่านอยู่บ้าง

อาจทำให้ท่านที่ได้อ่าน เกิดแรงบันดาลใจให้ได้ศึกษาทดลอง เพื่อความกระจ่างสว่างในจิตใจ อาจเป็นเหตุที่ทำให้ค้นพบความจริงในชีวิตของตนเอง ค้นพบตนเอง ข้าพเจ้าได้เขียนขึ้นมาด้วยแรงบันดาลใจจากการรำพึงในจิตสำนึกที่อยากรู้ว่า

“โอ้..เราเป็นใครหนอ? เรามาจากไหนหนอ? มาทำไมหนอ? มาทำอะไรหนอ? มาเพื่ออะไรหนอ? แล้วเราจะไปไหนหนอ? จะไปอย่างไรหนอ?"


โอ้ อนิจจัง! ชีวิตไม่เที่ยงหนอ
โอ้ ทุกขัง! ชีวิตนี้มีแต่ทุกข์หนอ
โอ้ อนัตตา! ชีวิตไม่มีตัว ไม่มีตนหนอ

ข้าพเจ้าขอเน้นไว้ ณ ที่นี้อีกครั้งว่า ท่านที่ได้พบ ได้อ่าน จะโดยจงใจหรือด้วยความบังเอิญ หรือด้วยกระแสอันใดก็ตาม ขอให้ท่านอย่าเชื่อจนสุดโต่ง เพราะจะทำให้ลุ่มหลงในสิ่งที่ท่านมิได้พบเห็น หรืออาจกล่าวได้ว่า ท่านไม่อาจกลับมาจากสถานที่ที่ท่านมิได้ไป ท่านจะไม่รู้จริงแท้ในสิ่งที่ท่านไม่ได้พบเห็นด้วยตนเอง แต่ท่านย่อมจะพบเห็นได้ หากท่านได้ปฏิบัติตามหลักคำสอนของพระพุทธองค์ ทำจิตใจให้เป็นกลาง ลงมือทดลอง ความจริงก็จะค่อย ๆ ปรากฏ

หากท่านปฏิเสธตั้งแต่ต้น ท่านจะเสียโอกาสอันงามที่จะได้พบความจริงทั้งมวล และทำให้ชีวิตนี้ ท่านจะมีแต่ “วิจิกิจฉา” คือ ความลังเลสงสัยอยู่เป็นเนืองนิตย์ตลอดไป และท่านจงอย่าได้ปฏิเสธจนสุดโต่ง เพราะจะทำให้ท่านไม่ได้คิดศึกษาทดลอง ได้เพียงแต่คิดว่าไม่จริง ๆ งมงาย ๆ แล้ว ตำหนิติติงจนเกิดวิบากกรรมเป็นอกุศลวิบาก เป็นโทษ มีความขัดแย้งในจิต เป็นทุกข์กับสิ่งที่ไม่สมควรนำมาเป็นทุกข์

เมื่อสงสัย บัณฑิตย่อมต้องศึกษา ค้นคว้าหาความจริง ตามแนวทางที่ถูกต้อง ทดลองด้วยการเอาชีวิตทั้งชีวิต คือ เอาทั้งกายและใจเข้าทดลองเสียก่อน ถ้าทำไม่ได้จริง ๆ จึงค่อยปฏิเสธ ข้าพเจ้าจะเขียนเฉพาะที่ข้าพเจ้าพบเห็น และแม่ผู้ให้กำเนิดได้บอกเล่าบางส่วนเท่านั้น นอกจากนั้น มาจากประสบการณ์ของผู้อื่นที่ท่านได้บอกเล่า ตามที่ท่านทั้งหลายได้ศึกษา แต่ไม่ได้เขียนไว้ อาจ จะตรงกันหรือขัดแย้งกัน ย่อมเป็นสาระของแต่ละประสบการณ์ ย่อมไม่ถูก ย่อมไม่ผิด ขอท่านจงใช้ปัญญาพิจารณาเอาเองเถิด เพียงแต่ขอให้ท่านที่ได้อ่านแล้ว ยังคงประโยชน์ค้นหาความจริงเอาเองด้วยตัวของตัวเอง เท่านี้ก็เพียงพอต่อเจตนาของข้าพเจ้าแล้ว

นำร่อง

[0] ดัชนีข้อความ

[#] หน้าถัดไป

[*] หน้าที่แล้ว