กระทู้ธรรม

กระทู้ธรรม

<< < (8/48) > >>

kittanan_2589:
อัปปมาณา ธัมมา

วันหนึ่ง เราได้รำพึงถึงอดีตในครั้งฆราวาส เพราะเราได้ยินคนเขาพูดถึงเรื่องที่ว่า คนเราเวลามีความรักกัน วันไหนก็ตาม ถึงไม่ได้เห็นหน้าคนรัก ขอให้ได้เห็นหลังคาบ้านสาวก็ยังดี เราก็เลยนึกถึงตัวเราว่า ในอดีตนั้น ของเราไม่ต้องได้เห็นหน้าบ้านสาวหรอกนะ ให้แค่เห็นปากซอยบ้านของผู้หญิงที่เรารักก็พอใจแล้ว พอมาถึงตรงนี้ มันก็เกิดปัญญาเห็นแจ้งลุกโพลงขึ้นมา ทำให้เข้าใจสภาพของอุปาทานว่าเป็นอย่างไร

หมายความว่า บุคคลผู้โง่มาก อุปาทานมันก็ยึดมั่นขยายวงยิ่งกว้างมากขึ้น ยิ่งขึ้นทุกที เมื่อความโง่น้อยลง อุปาทานมันก็ยึดในขอบเขตที่เล็กลง ปากซอยที่คนอื่นเห็นแล้วไม่รู้สึกอะไร แต่เวลาเราเห็นเกิดรู้สึกสดชื่น เพราะอุปาทานมาสมมุติขอบเขตให้ว่านี่เป็นปากซอยของบ้านคนที่เราชอบ นี่ถ้าเราโง่น้อยลง ขอบเขตมันต้องลดลงแค่ว่า เห็นปากซอยของบ้านเขายังไม่ตื่นเต้นต้องเห็นบ้านเขาจึงตื่นเต้น และถ้าเราโง่น้อยลงอีก เราต้องมายึดแค่กายเขาไม่สนใจบ้านเขา และถ้าเราโง่น้อยลงอีก เราต้องมาเห็นว่ากายก็ไม่ใช่ของเขาเป็นเพียงดิน น้ำ ไฟ ลม ของโลก และมายึดแค่ใจเขาว่าเขาเป็นคนใจดี มีความเรียบร้อยเป็นกุลสตรี มีคุณธรรม แต่ถ้าหากเราโง่น้อยลงไปอีก ก็จะต้องเห็นว่า แม้ใจเขาก็ไม่เที่ยง เป็นสังขารธรรมที่เกิดจากการปรุงแต่ง เป็นอนัตตา ไม่มีตัวตน ก็จะถึงสุญญตาความว่าง ไม่รู้จะยึดเอาอะไรอีกแล้ว คือต้องขาดอุปาทานอย่างสิ้นเชิงไปในสิ่งนั้น

kittanan_2589:
ฉะนั้นเมี่อคิดมาถึงข้อนี้แล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกที่คนทั้งหลายหลง จึงไม่มีอยู่จริง เป็นเพียงขอบเขตโดยสมมุติที่อุปาทานมันใส่มาให้เท่านั้น คนโง่มากขอบเขตก็ใหญ่มาก ต้องยึดมากทุกข์มากเดือดร้อนมาก ซึ่งก็เป็นเพียงถูกอวิชชา โมหะ อุปาทาน มันมาหลอกให้หลงเข้าไปยึดถือเท่านั้น ไม่มีอะไร

ฉะนั้นถ้าหากเราจะละอวิชชาจริง ๆ แล้ว จะต้องเพิกขอบเขต เขตแดนที่อวิชชา โมหะ อุปาทาน มันสมมุติมาให้ โดยทำลายให้แตกให้หมด โดยที่สุดแม้แต่ขันธ์ ๕ คือ กาย ใจ นี้ ก็ต้องถูกเพิกขอบเขต เขตแดนความยึดมั่น ถือมั่น เป็นตัวกูของกูออกให้สิ้นเชิง จึงจะพ้นจากความเดือดร้อนจากการถูกอุปาทานจูงจมูก ให้ไปเดือดร้อนได้อย่างสิ้นเชิงทีเดียว สภาวะธรรมทั้งหลายจึงจะเข้าสู่โลกุตตระ เป็นอัปปมาณา ธัมมา ไร้เขต ไร้แดน ที่ต้องยึดถือ ที่ต้องแบ่งแยกอย่างสิ้นเชิงเลย

สมกับกลอนของพระราชปริยัติสุธี (สอิ้ง สิรินนฺโท) วัดดอนเจดีย์ อ.ดอนเจดีย์ จ.สุพรรณบุรี ที่ว่า

อาณาจักรของใจไร้ขอบเขต
อุปาทานเป็นเหตุแบ่งเขตขันธ์
จึงตื่นเต้นหวาดกลัวอยู่ทั่วกัน
ไม่ยึดมั่น ทุกข์ภัย ก็ไม่มี

kittanan_2589:
อาดีให้เป็น
โดยหลวงปู่ครูบาชัยยะวงศา วัดพระพุทธบาทห้วยต้ม


หลวงพ่อมักมีญาติโยมจำนวนมากไปกราบไปไหว้ที่วัดอยู่มิได้ขาดจนหลวงพ่อแทบไม่มีเวลาพักผ่อน
หลวงปู่เล่าว่า “ใคร ๆ ได้ยินว่าหลวงปู่ดี อยากจะมาเอาดีอย่างหลวงปู่ ขอพระห้อยคอ ขอรดน้ำมนต์ เป่าหัว มาเอาของดีแต่เอาไม่ถูก ถูกไม่จริง”
เหมือนอย่างที่หลวงปู่บุดดา ถาวโร ท่านพูดว่า “ในโลกนี้เขาจะเอาวัตถุ ธรรมะไม่เอา ไม่เหมือนพระอริยะเจ้า ท่านเอาแต่ธรรมะ”
หลวงปู่จึงเมตตาสอนว่า “ขอของไปไม่เท่าเอาคุณงามความดีไปใช้ เอาความดีไปดีกว่าเอาพระรอด พระคงไป พระรอด พระคงยังนอกใจได้ เอาคุณงามความดีไว้ มันประจำอยู่ในตัว”

kittanan_2589:
สิ่งที่น่ากลัวที่สุด

บุคคลผู้อิ่มอาหารอย่างมาก ไม่ว่าใครจะนำอาหารไม่ว่าชนิดดีชนิดแพงแค่ไหนมาล่อก็ไม่สนใจ ส่วนบุคคลผู้หิวอาหารอยู่นั้น แม้แต่เห็นข้าวคลุกน้ำปลาก็ยังตาลุก น้ำลายสอเสียแล้ว ฉะนั้นเมื่อมาคิดดังนี้ ก็จะเข้าใจได้ว่า บุคคลผู้มีจิตอิ่มแล้ว ไม่ว่าใครจะเอาอะไรมาล่อลวงก็ไม่สนใจ เพราะจิตอิ่มแล้ว จึงไม่มีสิ่งใดมาเป็นมารได้ ส่วนบุคคลผู้มีจิตหิวอยู่ ไม่ว่าสิ่งใดมาผ่านหน้า ก็เข้าไปติดเข้าไปยึดทันที ทุกสิ่งทุกอย่างที่ผ่านหน้า จึงเป็นมารแก่บุคคลผู้มีจิตหิว

ฉะนั้น มารของเราก็คือจิตเรา ที่ยังหิวอยู่
สิ่งที่น่ากลัวที่สุดคือใจของเราเอง

วันที่ ๓๐ สิงหาคม พ.ศ.๒๕๓๖

    * เวลาปัญหาเกิดขึ้น อย่าคิดว่าโลกให้เราน้อยเกินไป ให้คิดว่าเราหวังจากโลกมากเกินไป
    * สิ่งใดก็ตาม แม้จะเป็นสิ่งที่ดีงามที่สุด แต่ถ้าเราไปยึดละก็ จะถูกกัดทันที ไม่ใช่สิ่งนั้นเป็นผู้กัด แต่การที่ไปยึดนั้น เป็นการตั้งจิตไว้ผิด การตั้งจิตไว้ผิดนั้นเอง จะกัดจิตเองอย่างไม่มีชิ้นดี
    * ติดในความดี กับติดในความสวย ก็โง่พอกัน
    * ราตรีนี้สั้นนัก ชีวิตคนมิใช่ยั่งยืนยาวไกล


วันที่ ๑๓ กันยายน พ.ศ.๒๕๓๖

หากการยอมตัวเป็นผู้แพ้ ช่วยให้คนอื่นมีความสุขได้ ก็ไม่ควรปฏิเสธเลย

วันที่ ๑๐ ตุลาคม พ.ศ.๒๕๓๖

kittanan_2589:
เธอเหงา

ผู้ไม่มีธรรมะ ถึงจะอยู่ท่ามกลางหมู่ญาติพี่น้อง ก็ยังรู้สึกว้าเหว่ เพราะว่าจิตยังหิว ยังหาตัวเองไม่เจอ หาเจอแต่คนอื่น หาตัวเองไม่เจอ ก็เลยต้องว้าเหว่เงียบเหงาอยู่ท่ามกลางวงล้อมของหมู่ชน หรือต้องว้าเหว่เงียบเหงาอยู่ในอ้อมกอดของหมู่ชน

ส่วนผู้มีธรรมนั้น สามารถอยู่เป็นสุขได้ เพราะจิตไม่หิว จิตไม่หวังต้องการให้ใครมาเติมให้เต็ม เพราะค้นเข้าไปหาตัวเอง ไปพบตัวเอง ฉะนั้นผู้มีธรรมะจึงรู้สึกอบอุ่นอยู่ท่ามกลางความโดดเดี่ยวเดียวดาย

ช่างน่าสงสารคนโง่ ที่รู้จักแต่การไปหาผู้อื่น ไม่รู้จักเข้ามาหาตัวเอง
เธอเหงา เพราะจิตเธอยังหิว
เธอว้าเหว่ เพราะคิดแต่จะไปหาคนอื่น ไม่รู้จักเข้าหาตัวเอง

วันที่ ๒๔ กันยายน พ.ศ.๒๕๓๖

นำร่อง

[0] ดัชนีข้อความ

[#] หน้าถัดไป

[*] หน้าที่แล้ว