กระทู้ธรรม
หน้า: 1 2 [3] 4 5 6 7 ... 9   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: กระทู้ธรรม  (อ่าน 155462 ครั้ง)
kittanan_2589
.กลุ่มผู้มีน้ำใจงาม.
member
*

คะแนน630
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2363


NightBaron


เว็บไซต์
« ตอบ #58 เมื่อ: ธันวาคม 31, 2010, 07:46:02 AM »

การอพยพถิ่นฐาน

เมื่อเสาหลักของครอบครัวล้มลง ครอบครัวขาดที่พึ่ง ขาดกำลังใจ มีแต่ความเศร้าโศก ทรัพย์ที่เคยมีอยู่ก็หมด ยังคงมีเหลืออยู่บ้าง ก็ต้องแบ่งกันครอบครอง พี่น้องแยกกันไป แม่ย้ายไปอยู่ที่บ้านส้อง ตำบลเวียงสระ อำเภอบ้านนาสาร จังหวัดสุราษฎร์ธานี ได้ไปสร้างบ้านเล็ก ๆ อยู่ในสวนที่เป็นมรดก ห่างตลาดประมาณ ๕ กิโลเมตร

พ่อกับแม่เป็นคนอดทน ขยันขันแข็งหาเลี้ยงลูก ลูกที่โตพอช่วยทำมาหากินได้ ก็ไปเป็นลูกจ้างหาเงินช่วยครอบครัว ณ บ้านหลังนี้ข้าพเจ้าได้ลืมตามองโลกอาศัยอยู่จนอายุ ๓ ขวบ พ่อแม่ก็ย้ายเข้ามาเช่าบ้านอยู่ในตลาดเพื่อสะดวกในการทำมาหากิน พ่อแม่ช่วยกันทำของขายข้างสถานีรถไฟ ขายขนม ข้าวหมูแดง (ใส่กระทงขาย) ไก่ย่าง ขายก๋วยเตี๋ยวเลี้ยงชีพมาตลอดเวลา อายุ ๔ ขวบ วิบากตามมาทันซ้ำเติมครอบครัวอีกครั้ง ไฟไหม้ตลาด บ้านที่เช่าอยู่ถูกไหม้ไปด้วย สิ้นเนื้อประดาตัว ไม่มีอะไรเหลือเป็นครั้งที่สอง

พ่อกับแม่ต้องไปขออาศัยโรงสีข้าวอยู่เป็นห้องเล็ก พอมีที่นอน ๔ คน คือ พ่อ แม่ พี่สาวและข้าพเจ้า ได้รับความทุกข์ทรมานอย่างเหลือล้น เพราะห้องพักเต็มไปด้วยฝุ่นจากรำข้าวในโรงสี ทำให้เกิดอาการคันตามเนื้อตามตัว ได้รับความทุกข์ยากเวทนาเป็นอย่างยิ่ง ส่วนพี่ ๆ แยกกันไปเป็นลูกจ้างในร้านต่าง ๆ
บันทึกการเข้า

kittanan_2589
.กลุ่มผู้มีน้ำใจงาม.
member
*

คะแนน630
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2363


NightBaron


เว็บไซต์
« ตอบ #59 เมื่อ: ธันวาคม 31, 2010, 07:46:32 AM »

ผลกรรมตามสนอง

หากจะไม่เขียนเรื่องนี้ อาจมีผู้สงสัยกฎแห่งกรรมอีก คนที่ก๋งเลี้ยงไว้อุปถัมภ์เหมือนลูกคนหนึ่ง ตอนหลังได้นำพวกมาปล้นทรัพย์ที่ได้จากการขายเหมืองแร่ จนก๋งเสียใจจนถึงกับเสียชีวิตในที่สุด

*ในเดือนต่อมา ได้ประสบเคราะห์กรรมที่ได้กระทำไว้ ได้ขึ้นต้นมะพร้าวเพื่อเก็บลูกมะพร้าว พลาดตกจากต้นมะพร้าวเสียชีวิต ชดใช้กรรมที่ได้กระทำมาเช่นกัน* จะด้วยเหตุผลอันใดขอท่านผู้มีปัญญาได้พิจารณามองหาเหตุผลตามกฎแห่งกรรมดู น่าจะเข้าใจ ผู้ประทุษร้ายต่อผู้มีพระคุณประดุจดังพ่อแม่ ย่อมเป็นบาปหนักหนา

พระพุทธองค์ทรงตรัสสอนไว้ว่า “บุคคลใดประทุษร้ายต่อผู้ไม่ประทุษร้ายตอบ บุคคลนั้นย่อมได้รับโทษทัณฑ์ในปัจจุบัน ๑๐ ประการ” เขาผู้นั้นได้กระทำกรรมชั่วต่อผู้มีพระคุณ จึงได้รับโทษตามกฎที่ได้แสดงผลให้ปรากฏ เพื่อรักษากฎอย่างมั่นคงต่อการกระทำนั้น จึงน่าจะเป็นคติเตือนใจแก่คนรุ่นหลัง

ท่านผู้ได้พบอ่านจะเห็นว่า ข้าพเจ้าไม่ได้เอ่ยชื่อบุคคลใดบุคคลหนึ่งในข้อเขียนนี้ เพื่อไม่ให้เกิดวิบากกรรมต่อกัน จนเป็นเจ้ากรรมนายเวรสืบต่อ ๆ กันไป จนติดภพชาติไปเรื่อย ๆ ไม่มีที่สิ้นสุด ไม่มีอโหสิกรรมต่อกัน ซึ่งเรื่องราวทั้งหมดนี้ ครอบครัวของข้าพเจ้าได้ให้อภัยเป็นอโหสิกรรมแล้ว ทุกคนไม่ผูกติด คิดอาฆาตพยาบาทต่อกันอีกต่อไป

เพียงแต่จะบอกกล่าวว่า บาปบุญคุณโทษนั้นมีจริง ภพต่าง ๆ มีจริง กระแสกรรมมีจริง การเวียนว่ายตายเกิดของสัตว์โลกมีจริง ทุกคนเกิดด้วยแรงแห่งกรรม เรามีกรรมเป็นถิ่นกำเนิด มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ เราเป็นทายาทแห่งกรรม มีกรรมเป็นปัจจัย เป็นพื้นฐานของชีวิต มีกรรมเป็นเครื่องบอกกล่าวถึงผลการกระทำในอดีตของเราที่ได้กระทำอยู่อย่าง นั้น จมอยู่อย่างนั้น หมกมุ่นอยู่อย่างนั้น จึงมีสุข มีทุกข์ มีความสำเร็จ สมหวัง ความผิดหวัง มีฐานะร่ำรวยหรือยากจน มีหน้าที่การงานดี มีผู้เคารพนบน้อม มีหน้ามีตาในสังคม มีสุขภาพสมบูรณ์ ไม่สมบูรณ์ มีพวกพ้องบริวาร ทุกข์ยากอับจน ล้วนแต่กรรมเป็นเครื่องกำหนด มาบอกความจริงทั้งสิ้น

*หากใครมีจิตตื่นสว่าง มีปัญญามองเห็นวัฏฏะสงสาร แก้ไขด้วยการสร้างแต่คุณงามความดี เพิ่มพูนบุญวาสนาบุญญาธิการของตัวเอง ด้วยตนเอง ด้วยความสำนึกละอายเกรงกลัวต่อการกระทำกรรมชั่ว ประพฤติกระทำแต่กรรมดีตลอดที่มีโอกาส ที่มีร่างกายเป็นเครื่องรองรับการกระทำดีนั้น* เมื่อรู้ว่าการกระทำกรรมดีมีคุณ กระทำกรรมชั่วมีโทษ แล้วเราจะกระทำกรรมใด ขอจงพิจารณาให้ถ่องแท้เถิด จงหมั่นขอขมากรรมที่ได้สร้างเอาไว้ ให้อกุศลกรรมนั้น ๆ เป็นอโหสิกรรมอยู่ทุกเมื่อ เพื่อความไม่ประมาทในชีวิต
บันทึกการเข้า
kittanan_2589
.กลุ่มผู้มีน้ำใจงาม.
member
*

คะแนน630
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2363


NightBaron


เว็บไซต์
« ตอบ #60 เมื่อ: ธันวาคม 31, 2010, 07:47:18 AM »

ชีวิตในปฐมวัย

ชีวิตคนเราเป็นสิ่งซ่อนเร้นน่าศึกษาเป็น อย่างยิ่ง เมื่อเกิดมาเป็นสัตว์โลกอันประเสริฐ นับว่าเป็นผู้มีบุญวาสนา ถึงแม้ว่าจะมีสุขบ้าง ทุกข์บ้าง ล้วนแต่เป็นครู เป็นอุปกรณ์ในชีวิตของเรา หรือเรียกตามหลักจิตวิทยาว่าประสบการณ์ของชีวิต

เรามีจิตเป็นเครื่องกำหนดทั้งสุขและทุกข์ จิตที่เข้มแข็งย่อมไม่หวั่นไหวต่อสถานะที่ปรากฏ จิตที่อ่อนแอย่อมหวั่นไหวเป็นทุกข์เป็นสุขตลอด ข้าพเจ้าก็ไม่แตกต่างจากสามัญชนทั้งหลาย ที่ต้องการความสุขสบาย สะดวก มีฐานะ มีหน้ามีตา มีพวกพ้อง ต้องการคำยกย่อง แต่มันย่อมเป็นไปไม่ได้ทั้งหมดแน่นอน แค่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ก็ถือว่ามีบุญวาสนาดีอยู่แล้ว เพราะสามารถสร้างภูมิ ภพชาติที่ดีได้

พระพุทธองค์ทรงตรัสไว้ว่า “ บุคคลทำกรรมใดย่อมได้รับ ผลของกรรมนั้น จะแบ่งกรรมนั้นให้ผู้อื่นมิได้ บุคคลทำกรรมดีย่อมได้รับผลของกรรมดี บุคคลใดทำกรรมชั่วย่อมได้รับผลของกรรมชั่ว และบุคคลใดมีความละอายเกรงกลัวต่อการกระทำกรรมชั่ว ก็เหมือนบุคคลผู้นั้นเดินเข้าป่า รู้ว่าในป่ามีอสรพิษ จะไม่ย่างเท้ากล้ำกรายไปให้อสรพิษนั้นมากัด ตรงกันข้ามบุคคลที่ไม่เกรงกลัวก็เหมือนแมลงเม่าบินเข้ากองไฟ ทั้งที่เห็นพวกบินไปตายในกองไฟ แต่ก็ยังบินเข้าไปตายในกองไฟนั้น"

และพระองค์ยังตรัสไว้ว่า “สิ่งที่บังเกิดได้ยากในโลกนี้มี ๕ ประการ” คือ

๑. การบังเกิดของพระพุทธเจ้าประการหนึ่ง
๒. การได้มาเกิดเป็นมนุษย์ประการหนึ่ง
๓. การได้เกิดเป็นมนุษย์แล้ว ได้พบพระพุทธศาสนาประการหนึ่ง
๔. การได้พบพระพุทธศาสนาแล้ว ได้นับถือพระพุทธศาสนาประการหนึ่ง
๕. การได้นับถือพระพุทธศาสนาแล้ว ได้บวชและปฏิบัติธรรมประการหนึ่ง

ขอให้พึงคิดและพิจารณาอย่างลึกซึ้ง จึงเห็นว่า เราทุกคนมีบุญหนักหนาแล้ว ที่กรรมให้โอกาสมาเกิดเพื่อมาสร้างความดี มาแก้ไขในสิ่งผิดพลาดในอดีต มาแก้ตัว มาใช้หนี้วิบากกรรม แม้เพียงเศษกรรมเพียงเล็กน้อยให้หมดสิ้นไป

เสมือนร่างกายมีบาดแผลเพียงเล็กน้อยอยู่ หากบาดแผลนั้นยังไม่หาย ก็ย่อมมีความเจ็บปวดระคายเคืองเช่นนั้นร่ำไป ฉันใดก็ฉันนั้น เหล็กที่จะแข็งกล้า จะคม ก็ต่อเมื่อนำมาเผาไฟให้ร้อนแดงจนได้ที่ แล้วนำมาทุบตี นำไปเผาใหม่ ทุบใหม่จนได้รูปที่ต้องการ จึงนำไปเผาแล้วชุบให้เหล็กกล้าแข็ง จนนำไปใช้งานตามต้องการ ทุกข์วิบากจะช่วยให้คนเกิด มีจิตใจที่มีความเข้มแข็ง เกิดความแข็งแกร่งเช่นกัน
บันทึกการเข้า
kittanan_2589
.กลุ่มผู้มีน้ำใจงาม.
member
*

คะแนน630
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2363


NightBaron


เว็บไซต์
« ตอบ #61 เมื่อ: ธันวาคม 31, 2010, 07:47:44 AM »

ขอให้ศึกษาประวัติศาสตร์ขององค์พระ โพธิสัตว์ ทุก ๆ พระองค์ล้วนแต่พบชีวิตที่ตกยากลำบาก ใช้หนี้วิบากกรรมเสวยทุกข์ ตกระกำลำบาก มาบำเพ็ญจิตให้เข้มแข็ง อดทนสร้างบารมี แม้พระอริยเจ้าเกือบทุก ๆ พระองค์ จะเกิดในที่ลำบากเป็นส่วนใหญ่ ทุกข์ยากจึงจะแสวงหาหนทางแห่งความสงบ พ้นทุกข์ บำเพ็ญบารมี จนบรรลุธรรมอันวิเศษ

แล้วเราจะไปท้อถอยต่อปัญหาชีวิตทำไม แม้บางพระองค์จะเกิดในครอบครัวที่มีฐานะ ก็ต้องละทิ้งฐานะไปบำเพ็ญเรียนรู้ทุกข์ ไม่มีเว้น

แม่เป็นคนที่น่าสงสาร แม่เป็นคนอดทน ไม่พูด ไม่บ่น ไม่ว่า ไม่กล่าวให้ลูก ๆ ต้องเสียใจ แม่กล้ำกลืนอดทน แม่แอบร้องไห้เพราะไม่มีแม้กระทั่งข้าวให้ลูกกิน ต้องขอยืมข้าวชาวบ้าน ชาวบ้านที่สงสารนำข้าวสารมาให้ครั้งละหนึ่งกระป๋องนม หุงข้าวต้ม ต้องแบ่งกิน ๓ มื้อ ๔ คน กับข้าวก็ไม่มี อยู่กันด้วยความรันทด

แม่ต้องออกไปขายข้าวโพดคั่วตามงานวัดต่าง ๆ ในจังหวัดและจังหวัดใกล้เคียง ทิ้งให้ข้าพเจ้าอยู่กับพ่อเพื่อเรียนหนังสือ พี่ ๆ ต้องแตกฉานซ่านเซ็นไปทำงานตามถนัดเหมือนเด็กทั่วไป บางครั้งข้าพเจ้าก็ตามแม่ไปช่วยขายด้วย ตั้งแต่หัวยังไม่พ้นโต๊ะที่วางขายของ ร้องเรียกคนมาซื้อ แต่น่าประหลาด ทุกครั้งจะขายดี คั่วข้าวโพดใส่ถุงไม่ทัน แต่แม่ไม่ค่อยยอมให้ไปด้วยเพราะต้องขาดเรียน ด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม เมื่ออายุ ๕ ปี ข้าพเจ้าเป็นเด็กซุกซนตามประสาเด็ก แม่ไม่อยู่ ข้าพเจ้าก็ไม่ไปโรงเรียนเช่นกัน เกโรงเรียนว่าอย่างนั้นเถอะ ทั้งพ่อและแม่ก็ไม่รู้
บันทึกการเข้า
kittanan_2589
.กลุ่มผู้มีน้ำใจงาม.
member
*

คะแนน630
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2363


NightBaron


เว็บไซต์
« ตอบ #62 เมื่อ: ธันวาคม 31, 2010, 07:48:09 AM »

ขายของที่สถานีรถไฟ

ด้วยความรู้สึกรักและสงสารแม่ ไปรับซาละเปาไปขายข้างรถไฟที่จอดรับส่งผู้โดยสารใบละ ๕๐ สตางค์ ร้านให้ค่าขายใบละ ๕ สตางค์ ขายดิบขายดี สนุก เพราะเป็นเด็กผู้ชายตัวเล็ก ผู้คนเห็นแล้วอาจเกิดความเมตตาสงสาร ช่วยกันซื้อ ได้เอาเงินมาให้พ่อ พ่อก็ดุ เอาให้แม่เมื่อแม่กลับมาก็ถูกดุ แม่กอดรัดด้วยความสงสาร ปลอบประโลมไม่ให้ทำ

แต่ข้าพเจ้าก็ไม่ฟังแอบหนีไปทำ หนีโรงเรียนตลอดเวลา เช้ามืดก็จะนำเอาน้ำใส่ถังเล็ก ๆ เพื่อนำไปขายข้างขบวนรถไฟที่มาจอดที่สถานี ขบวนรถไฟจะถึงสถานีสว่างพอดี น้ำแช่ดอกมะลิหอมเย็นชื่นใจขายถังละ ๒๕ สตางค์ วันหนึ่งขายได้หลายถัง ได้เงินมาช่วยทางบ้าน

แม้จะอายุยังน้อย แต่ความรักที่มีต่อแม่ ความสงสารแม่ ทำให้ข้าพเจ้า นั้นเกิดความรันทดตามประสาเด็ก แต่ก็มีแม่ในโลกทิพย์คอยเสด็จมาปลอบ อบรม ให้กำลังใจทุก ๆ คืนที่นอน (ท่านไม่ห้ามที่ข้าพเจ้าทำงาน) ท่านจะมาให้นอนหนุนตัก แล้วบอกให้อดทนต่อสู้ อย่าท้อถอย แม่ยังอยู่เคียงข้างลูก คอยคุ้มครองรักษา ดูแลตลอดเวลา ไม่ต้องกลัว เป็นเช่นนี้ทุกคืน ให้ต่อสู้ ให้ทำงานไปทุกครั้ง จิตเป็นสุข อบอุ่นชุ่มชื่นด้วยความเมตตา และกลิ่นหอมจากผิวกายของแม่ท่าน รวมทั้งทั้งประกายตาที่มีความปรานี ตลอดจนใบหน้าที่เต็มไปด้วยความสวยและรอยยิ้มของความเป็นแม่

นอกจากนั้น ยังขายทุกอย่าง เช่น เงาะ ทุเรียน ไข่ต้ม อาจเหลือเชื่อ ตัวเล็กนิดเดียวแต่ทำงานเกินอายุ ต้องรับผิดชอบดูแลตนเอง ถูกฝึกตั้งแต่เล็กจนโตมีการเตรียมการ สร้างความอดทน จะโดยกรรมหรืออะไรก็ตาม ก็ทำให้ข้าพเจ้ามีความแข็งแกร่งในจิตใจมาตั้งแต่เด็ก ๆ
บันทึกการเข้า
kittanan_2589
.กลุ่มผู้มีน้ำใจงาม.
member
*

คะแนน630
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2363


NightBaron


เว็บไซต์
« ตอบ #63 เมื่อ: ธันวาคม 31, 2010, 07:48:38 AM »

จากอ้อมอกแม่ ไปอยู่วัด ๑๙ ปี

พี่สาวซึ่งไปมีครอบครัวอยู่จังหวัด ปัตตานี ได้กลับมาเยี่ยมพ่อและแม่ ได้มาพบเห็นข้าพเจ้าทำแต่งาน ไม่ยอมไปโรงเรียน เห็นว่าไม่เป็นเรื่องแน่ ตอนนั้นอายุประมาณ ๗ ขวบ จึงขอพ่อกับแม่ว่าจะรับตัวไปอยู่และเรียนหนังสือที่ปัตตานี ได้เข้าเรียนชั้นประถมศึกษาที่โรงเรียนวัดตานีนรสโมสร ด้วยความซุกซนจนพี่สาวก็ดูแลไม่ไหว เกเรจนพี่ต้องให้ไปอยู่วัดตานีนรสโมสร

จากนั้นมาชีวิตเริ่มผันผวน พี่สาวได้นำข้าพเจ้าไปฝากให้อยู่วัดกับพระสุรพงษ์ ท่านได้รับข้าพเจ้าให้อยู่กับท่าน ท่านเฝ้าอบรมบ่มนิสัย ทั้งดุและบางครั้งก็ต้องลงโทษหนักด้วยการเฆี่ยนตี ท่านให้ช่วยกันทำงานทุกอย่างภายในวัด เช้าตามท่านไปบิณฑบาต กลับมาจัดที่ให้พระฉัน กินข้าวแล้วไปโรงเรียน (โรงเรียนอยู่ในวัด)

ตอนเย็นหากินกันเองกับเพื่อนเด็กวัด มีอยู่หลายคน อาจารย์ท่านเป็นคนดุแต่ใจดี เวลาโกรธมือคว้าอะไรได้จะขว้างใส่ทันที ท่านมีหวายสำหรับทำโทษเด็กวัดที่ทำผิดกฏระเบียบของวัด ท่านทำโทษแต่ละครั้งเลือดออกซิบ ๆ แล้วใช้น้ำเกลือราด ปวดแสบมากแทบขาดใจ แต่มารู้ภายหลังเพื่อไม่ให้แผลเน่าเปื่อยเป็นหนองนั่นเอง ทุกคนกลัวท่านมาก

ให้ทำงานทุกเย็นก่อนกินข้าว ทำสวนครัวไว้ทำอาหารเย็นกินกัน ปลูกผักทุกอย่างในที่ว่าง ขนทรายไปถมที่ลุ่มทุกวัน กลางคืนเข้ากรรมฐานเป็นกฏของวัด สวดมนต์ ดูหนังสือ ๑ ชั่วโมงแล้วเข้านอน เป็นเช่นนี้ทุกวัน มีเวรถูพื้น ขัดส้วม กวาดลานวัด เป็นกิจอยู่เช่นนี้ เราอยู่กันอย่างมีระเบียบ แบบชีวิตต้องสู้ทั้งเจ็บปวด น้อยใจ รัดทดหดหู่ ในจิตใจต้องต่อสู้กับอำนาจกระแสจิตในทางที่ดี และทางที่ร้ายอย่างสับสน
บันทึกการเข้า
kittanan_2589
.กลุ่มผู้มีน้ำใจงาม.
member
*

คะแนน630
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2363


NightBaron


เว็บไซต์
« ตอบ #64 เมื่อ: ธันวาคม 31, 2010, 07:49:03 AM »

ในช่วงปิดภาคเรียน พวกเราทุกคนจะต้องทำงาน เพื่อหาเงินมาซื้อเสื้อผ้า อาหารเย็น เช่น การรับไสไม้กระดานฝาบ้าน ไม้พื้น ไม้ระแนง ได้ตารางเมตรละ ๒๐ สตางค์ ขี่สามล้อรับจ้าง เป็นคนงานก่อสร้างตึกได้ค่าแรงวันละ ๒๐ บาท พายเรือข้ามฟาก ขายลอตเตอรี่ ส่งหนังสือพิมพ์ตามบ้านตอนเช้า เป็นเด็กเก็บเงินรถประจำทาง เมื่อมีงานประจำปีก็จะต่อยมวยหาเงิน รับซักเสื้อผ้า รับทำความสะอาดบ้าน แบกของในตลาดสด ที่เขียนมาเสียยืดยาว เพื่อให้มองเห็นความลำบาก เป็นเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้นในประสบการณ์ชีวิต

ช่วงที่โตมากขึ้น อาจารย์จะให้กลับเยี่ยมบ้าน ดีใจมาก คิดถึงพ่อแม่ใจจดใจจ่อ ช่วงนี้ฐานะครอบครัวแม่พอจะดีขึ้น แม่ขายข้าวแกง ขายดี ข้าพเจ้ากลับบ้านไปทำขนม ใส่หาบขายที่สถานีรถไฟเช่นเดิม ทำลอดช่องสิงคโปร์ ทับทิม รวมมิตร ใส่กระป๋องนมขาย ได้กำไรพอสมควร กลางคืนจะทำขนมตั้งโต๊ะขาย ทำไข่หวาน ขนมบัวลอย น้ำแข็งไส ตอนเช้าก่อนทำขนมหาบไปขาย จะทอดปาท่องโก๋ขายหน้าร้านกาแฟ ได้กำไรมากในช่วงปิดเทอม ทำงานหาเงินช่วยเหลือแม่ ตอนนั้นเรียนอยู่ชั้นประถมศึกษาปีที่ ๔ อายุประมาณ ๑๑ ปี

แม่ภูมิใจและรักข้าพเจ้ามากควบคู่กับความสงสาร แม้จะห้ามไม่ให้ทำ ข้าพเจ้าก็ไม่ยอมเชื่อฟัง *ตก กลางคืนแม่จะเอาข้าพเจ้ามาสวมกอดด้วยความรัก มองดูจากประกายตาของท่าน ทำให้มีความสุข ในจิตเปี่ยมไปด้วยความอบอุ่น อย่างยากจะหาคำใดมาบรรยายได้*

ท่านที่ได้อ่านอย่าได้สงสัยเลย เป็นเรื่องจริงในปฐมวัยทั้งสิ้น มันเกิดกับชีวิตคน ๆ หนึ่ง ที่ ถูกสร้างให้จิตใจเต็มไปด้วยความอดทนต่อสู้ชีวิต สร้างความแข็งแกร่งในจิตใจ จนประสบความสำเร็จในการพัฒนาจิตให้เข้มแข็ง อดทน อดกลั้น ต่อสู้ กระทำความดีมาตลอด
บันทึกการเข้า
kittanan_2589
.กลุ่มผู้มีน้ำใจงาม.
member
*

คะแนน630
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2363


NightBaron


เว็บไซต์
« ตอบ #65 เมื่อ: ธันวาคม 31, 2010, 07:49:40 AM »

กลัวผี

ผีเป็นทัศนะความเชื่อในจิตสำนึกของเด็ก เกือบทุกคน เป็นความกลัวอย่างขึ้นสมอง อาจารย์ท่านจะกำจัดความกลัว โดยการให้เอาผ้าขาวที่ห่อศพเต็มไปด้วยน้ำเหลือง เหม็นอย่างร้ายกาจมาต้มแล้วซัก ให้เอาไปห่มนอน

เบื้องต้นทำให้บังเกิดความกลัวจนนอนไม่หลับ สะทกสะท้านอยู่เป็นเวลานาน แต่ก็ยังกลัวไม้หวาย (ไม้ที่ใช้ทำโทษเด็กที่ทำผิด) มากกว่า จึงต้องทนทรมานจนจิตค่อยสงบ เมื่อรู้ว่าไม่มีอะไร เพราะกลัวถึงที่สุดแล้ว มันก็จะไม่กลัว

นอกจากแก้ความกลัวด้วยการให้ห่มผ้าห่มศพ ท่านก็ให้ไปนั่ง บนเชิงตะกอนหลังจากเผาศพใหม่ ๆ ความกลัวบังเกิดขึ้นอีกเพราะความเงียบในยามดึก มันวังเวง เยือกเย็นจับจิต กลัวจนเหงื่อแตกทั้ง ๆ ที่อากาศหนาวเย็น จนกระทั่งหายกลัวไปเอง

อุบายเช่นนี้ช่างโหดเหลือเกิน แต่เมื่อผ่านไปได้ เกิดประโยชน์ต่อชีวิตเรา คุ้มค่าต่อการเสี่ยงจากภาวะจิตจะแตก ทำให้เกิดวิกลจริตไป ดีที่จิตใจเข้มแข็ง ทำให้ไม่กลัว ในที่สุดความกลัวผีจางหายไปจากจิตใจโดยสิ้นเชิง
บันทึกการเข้า
kittanan_2589
.กลุ่มผู้มีน้ำใจงาม.
member
*

คะแนน630
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2363


NightBaron


เว็บไซต์
« ตอบ #66 เมื่อ: ธันวาคม 31, 2010, 07:50:19 AM »

กลับมากลัวผีอีกครั้ง

จิตนี้เป็นอนิจจัง ไม่เที่ยงแท้ เพื่อ ให้เป็นเรื่องเดียวกันจึงยกมากล่าวเสียในช่วงนี้ จะได้ไม่ข้ามไปข้ามมา เมื่อครั้งได้พบอาจารย์ทางกรรมฐาน ได้ติดตามไปศึกษาธรรมกับท่านคือ หลวงพ่อริม รัตนมุณี ท่านเป็นพระอริยสงฆ์องค์หนึ่ง ซึ่งข้าพเจ้าจะกล่าวถึงในบทต่อ ๆ ไป

คืนหนึ่งท่านพาข้าพเจ้าไปในป่าช้า วัดป่าสามัคคีระบือธรรม อำเภอบรบือ จังหวัดมหาสารคาม เมื่อพุทธศักราช ๒๕๑๗ ท่านถามว่า "กลัวผีไหม ?" ข้าพเจ้าตอบทันทีด้วยความมั่นใจว่า "ไม่กลัว" ท่านบอก "ดีแล้ว" คืนนั้นท่านพาเดินไปในป่าช้าหลังวัด ที่อยู่ห่างตัวเมืองเป็นที่เงียบสงัด ในเวลาเที่ยงคืนพอดี ท่านบอกให้นั่งบนเนินดินที่เป็นที่ฝังศพผีตายทั้งกลม บอกให้นั่งสงบจิตเจริญกรรมฐานอยู่ที่นี่ อย่าไปไหน หลวงพ่อจะทำธุระด้านโน้น..ประเดี๋ยวจะมา แล้วท่านก็เดินจากไป ความเงียบ อากาศที่หนาวเย็นจับใจ เสียงสัตว์ต่าง ๆ ออกหากิน เดินกระทบใบไม้แห้ง ทำให้ตื่นกลัวอยู่ตลอดเวลา

ความเงียบมันเพิ่มความวังเวงทีละน้อย ๆ ความกลัวค่อย ๆ เพิ่มขึ้นตามลำดับ นึกถึงหลวงพ่อไปไหน ? นี่คือ มโนสำนึกในจิตที่บังเกิดขึ้น แต่ ที่สำคัญกองดินที่นั่งอยู่ มันฟูขึ้นทีละน้อย ๆ ทำให้ยิ่งกลัวมากขึ้น ข่มและบังคับจิตเกือบไม่อยู่ เมื่อคิดว่านี่คือ หลุมฝังศพผีตายทั้งกลม มันยิ่งเพิ่มความน่าหวาดกลัวมากขึ้น แต่ก็พยายามข่มจิตไม่ให้กลัว ช่วงต้นมันดื้อ เอาไม่ลง จึงต้องกำหนดตาย ตัวเรานี้ก็อาศัยซากศพอยู่ไม่เห็นมีอะไร (ร่างกายของเรา) เอาเหตุผลเข้าหักล้างความกลัว จึงค่อย ๆ สงบลงได้บ้าง แล้วค่อย ๆ สงบเกือบสนิท หลวงพ่อริมเดินกลับมาถามว่า "กลัวไหม ?" ตอบว่า "กลัว..แต่หายกลัวแล้ว" ท่านบอก "ดีแล้ว..ไม่มีอะไร รู้จักตัวเองแล้วหรือยัง ? เห็นตัวเองแล้วหรือยัง ?"

"หมายถึง จิตที่มันแสดงออกต่าง ๆ นั่นแหละตัวเรา นอกจากนั้น จิตที่มีความโลภ โกรธ หลง นั่นแหละตัวเรา จำไว้..หากทำลายมันได้ จิตก็จะสงบ สว่าง พบความสุขโดยปราศจากสิ่งผูกพัน ได้เห็นแล้วถึงวิธีบังคับจิต ให้จำเอาไว้ ทำให้ชำนาญ" ธรรมของหลวงพ่อที่สอนนั้นง่าย สั้น เห็นจริง รู้จริง ได้จริง เข้าใจจริง ไม่ต้องอธิบายหากได้ปฏิบัติ และหลวงพ่อบอกว่า “อย่าทำตัวเป็นข้าวสาร ให้ทำตัวเป็นข้าวเปลือก”
บันทึกการเข้า
kittanan_2589
.กลุ่มผู้มีน้ำใจงาม.
member
*

คะแนน630
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2363


NightBaron


เว็บไซต์
« ตอบ #67 เมื่อ: ธันวาคม 31, 2010, 07:50:53 AM »

พบพระอริยสงฆ์ในวัยเด็ก

พ่อท่านคล้ายวาจาสิทธิ์ (เรียกตามภาษาใต้) เทพเจ้าของชาวปักษ์ใต้แห่งวัดสวนขันธ์ แม่ได้พาไปกราบไหว้ขอพรพ่อท่านปีละหลายครั้ง

พ่อท่านเป็นพระปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ ศีลบริสุทธิ์ ทรงด้วยอภิญญาธรรม สามารถรู้เห็นเหตุการณ์ต่าง ๆ ล่วงหน้า ทั้งมีวาจาสิทธิ์ ท่านมีเมตตากับทุกคน ไม่เลือกชั้นวรรณะ ตั้งแต่เด็กจนถึงผู้ชรา ช่วยบำบัดทุกข์ บำรุงสุขให้กับทุกคน มีทุกข์ท่านจะช่วยอย่างเสมอภาคกันทุกคน ทั้งช่วยเหลือชุมชนให้พัฒนา ช่วยพัฒนาวัดต่าง ๆ ให้เจริญรุ่งเรือง ทั้งได้แสดงกฤษดาอภินิหารต่าง ๆ นานา ให้เป็นประจักษ์กับสายตาของทุกคน แสดงความกรุณาอันสมควรแก่กิจของสงฆ์ จิตเต็มเปี่ยมไปด้วยองค์ธรรม

ท่านพูดน้อย กล่าวเฉพาะหลักธรรมที่เป็นประโยชน์ ไม่ใช้คำพูดที่ไม่ดี ให้อภัยกับทุกคน ให้โอกาสกลับตัวเมื่อทำผิด ทุกคนที่ท่านให้คำอบรมจะกลับใจเป็นคนดี สิ่งที่ท่านมอบให้กับทุกคนที่ไปหาคือ น้ำมนต์และชานหมาก ซึ่งเป็นที่ปรารถนาของทุกคน

ที่สำคัญพรอันทรงศักดิ์สิทธิ์จากปากของท่าน สิ่งที่ร้ายจะกลายเป็นดีกับทุกคน ที่ป่วยก็จะหาย ที่ติดขัดก็จะปลอดโปร่ง ที่มีอุปสรรคก็จะผ่านไป ค้าขายไม่ดีก็จะดี คนเกลียดกันก็จะรักกัน คนตกทุกข์ก็จะพ้นทุกข์ คนไม่มีโชคก็จะโชคดีกันทุกคนที่ไปหา บุคคลใดได้พบถือว่าเป็นคนมีวาสนา พ่อท่านมรณภาพเมื่อพุทธศักราช ๒๕๑๒ ร่างกายของท่านยังอยู่จนปัจจุบันแข็งเป็นหิน (สังขารท่านไม่เน่าเปื่อย)
บันทึกการเข้า
kittanan_2589
.กลุ่มผู้มีน้ำใจงาม.
member
*

คะแนน630
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2363


NightBaron


เว็บไซต์
« ตอบ #68 เมื่อ: ธันวาคม 31, 2010, 07:51:23 AM »

ข้าพเจ้าได้รับความรักและเอ็นดูจากพ่อ ท่านเป็นอย่างยิ่ง ท่านมักนำข้าพเจ้าไปนั่งบนตักของท่าน ใช้มือลูบหัว เป่าหัว ลงอักขระให้ เป็นเช่นนี้ทุกครั้งที่แม่พาไปกราบท่าน พร้อมกล่าวให้พรวิเศษอันทรงศักดิ์สิทธิ์

จากวาจาสิทธิ์ที่เลื่องลือไปทั่วประเทศ ใคร ๆ ก็อยากไปกราบขอพรอันวิเศษ ขอชานหมากอันเป็นของวิเศษยิ่งจากมือท่าน จึงเป็นที่เคารพของคนทั้งประเทศ แม้ขัดข้องอันใด บนบานกับท่านก็มักจะได้ผล หากเราตั้งมั่นและเป็นคนดี

ข้าพเจ้าได้ไปกราบท่านตั้งแต่เล็กจนโต ได้ใกล้ชิด นวดแก้เมื่อยให้ท่านเมื่อได้พบ ได้ปรนนิบัติดูแล และกระทำเช่นนี้เสมอ เคารพนับถือท่านเสมือนครูบาอาจารย์องค์แรกของข้าพเจ้า พรที่ท่านให้ไว้ เป็นไปตามที่พ่อท่านได้เปล่งวาจาให้พรทุกประการจนถึงทุกวันนี้ พ่อท่านสถิตอยู่ในใจของข้าพเจ้าตลอดมา

บันทึกการเข้า
kittanan_2589
.กลุ่มผู้มีน้ำใจงาม.
member
*

คะแนน630
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2363


NightBaron


เว็บไซต์
« ตอบ #69 เมื่อ: ธันวาคม 31, 2010, 07:51:55 AM »

ก๋งห่วงใยแม่

หลังจากก๋งเสียชีวิตลง ด้วยจิตที่เป็นห่วงแม่อันเป็นลูกผู้หญิงคนเดียว ทั้งเป็นที่รักดั่งดวงตาดวงใจ วิญญาณของก๋งคงวนเวียนมาหาแม่ มาบอก มาช่วยเหลือแม่ตลอดเวลา ไม่ได้ห่างไกลตัวแม่เลย

แสดงให้เห็นว่า ด้วยผลบุญที่ก๋งได้บำเพ็ญบารมีทานศรัทธาในพระพุทธศาสนา ได้ถวายข้าวพระทุกอาทิตย์ที่กงสีในเหมืองแร่ ทั้ง*เลี้ยงดูผู้คน ทุก ๆ คนในตำบล* มีจิตที่สะอาดบริสุทธิ์ตลอดชีวิต เมื่อก๋งเสียชีวิตแล้ว ดวง วิญญาณของก๋งไม่ได้ไปอบายภูมิ ไม่เป็นสัมภเวสี แต่ไปสู่เทวภูมิ เป็นโอปปาติกะเทพ จึงได้มาหาแม่ คอยช่วยเหลือด้วยความเป็นห่วง ไม่ถูกกักขังอยู่ในอบายภูมิเป็นแน่
ด้วยความเป็นห่วงมาบอกในนิมิต ให้ไปซื้อที่ดิน ที่มีสินแร่ มาให้ตัวเลขเพื่อซื้อหวยใต้ดิน และบอกแม่ว่าจะมาอาศัยอยู่กับเต่า พรุ่งนี้เห็นแล้วให้เลี้ยงเอาไว้ด้วย
บันทึกการเข้า
kittanan_2589
.กลุ่มผู้มีน้ำใจงาม.
member
*

คะแนน630
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2363


NightBaron


เว็บไซต์
« ตอบ #70 เมื่อ: ธันวาคม 31, 2010, 07:52:43 AM »

ในวันรุ่งขึ้นก็มีลูกเต่าเดินเข้ามาใน บ้าน แม่เห็นก็จับเลี้ยงไว้ในกะละมังจนกระทั่งโต จากนั้นมาแม่ก็มีโชคลาภ ค้าขายก็ดี มีชีวิตที่ดีขึ้น สุขสบายขึ้นตามลำดับ ขณะนั้นข้าพเจ้าอายุมากพอสมควร อายุย่างเข้า ๑๕ -๑๖ ปีแล้ว

*แต่ด้วยผลกรรมซ้ำเติมอีกระลอก น้องชายของพี่เขยมาเห็นก็คิดจะขโมยเต่าที่สถิตวิญญาณของก๋งไปฆ่ากิน ก๋งได้มาบอกแม่ว่า ถูกเอาไปขังไว้ ให้แม่รีบไปช่วย แต่แม่ไปช่วยไม่ทัน เต่าถูกเผานำเนื้อไปกินเสียแล้ว


ก๋งบอกว่าต่อไปจะมาไม่ได้แล้ว ให้ดูแลตัวเองให้ดี จะต้องกลับไปภพที่จะจุติแล้ว* ผู้ที่นำเต่าไปกินก็เกิดเจ็บป่วยปางตาย แม่ต้องขอให้ยกโทษจึงจะหายจากการป่วย นับเป็นเรื่องแปลก

แต่เป็นเรื่องจริงในครอบครัว ซึ่งมีเกร็ดสาระอีกมากมาย แต่จะขอละเว้นเอาไว้บ้าง บางเรื่องไม่สมควรเปิดเผย บางเรื่องไม่เป็นประโยชน์ให้เจริญปัญญา จึงไม่ขอเขียนเล่าไว้ในที่นี้ เพียงแต่จะให้รู้ บอกเหตุ การเวียนว่ายของวิญญาณและการปฏิสนธิในภพภูมิ ตามแรงของกระแสกรรมเท่านั้นว่ามีจริง ปรากฏได้ เห็นได้
บันทึกการเข้า
kittanan_2589
.กลุ่มผู้มีน้ำใจงาม.
member
*

คะแนน630
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2363


NightBaron


เว็บไซต์
« ตอบ #71 เมื่อ: ธันวาคม 31, 2010, 07:53:26 AM »


ท่านที่หลงผิดคิดว่า สิ่งที่ยังไม่บังเกิดให้พบเห็นนั้นไม่มี ไม่เป็นอย่างที่ท่านคิด ท่านคิดผิดแล้ว *และจะเป็นตัวบดบังความอยากรู้ โอกาสที่จะได้พบเห็นสิ่งแปลกใหม่ไม่มี จะทำให้จิตใจคับแคบ

อย่างในอดีต วิวัฒนาการความเจริญทางด้านวัตถุยังมีเพียงเล็กน้อย ดั่งตัวอย่างเช่น โทรเลขต้องต่อสาย ใช้มือเคาะตามรหัสสื่อสาร โทรศัพท์สมัยก่อนใช้มือหมุน ทีวีสมัยก่อนมีแต่ภาพสีขาวดำ ต่อมาก็มีเป็นภาพสี

ในปัจจุบันมีวัฒนาการก้าวหน้ากว่าเดิม ได้ค้นพบสิ่งใหม่ ๆ เป็นระบบต่าง ๆ จนกลายเป็นอาชีพ สร้างความร่ำรวยให้แก่ผู้ที่ไม่เชื่อว่าสิ่งต่าง ๆ มีอยู่แค่นั้น จึงทำการค้นคว้าอย่างต่อเนื่อง ค้นพบรายละเอียดลึกลงไป ความลับในธรรมชาติถูกเปิดเผยออกมาอย่างต่อเนื่อง

ปัจจุบันเทคโนโลยีก้าวไกลไปเรื่อย ๆ เพราะความไม่คับแคบ เปิดใจกว้าง ไม่ปิดประตูตัวเอง ความรู้จึงยังไม่จบเท่านี้ ยังมีวิวัฒนาการต่อไปไม่สิ้นสุด ฉันใดก็ฉันนั้น ความอยากรู้จริง อยากเข้าใจจริง อยากค้นพบจริงด้วยตนเอง ก็จะเป็นแรงผลักดัน ให้นำตัวเข้าไปทดลองค้นหาอย่างจริงจัง อย่างเอาเป็นเอาตาย

แล้วท่านก็จะพบ “เหตุ” พบ “ผล” จากการทดลอง โลกของจิตวิญญาณเป็นวิทยาศาสตร์ที่ละเอียดอ่อน ลึกซึ้งกว่าโลกวิทยาศาสตร์ทางวัตถุมากนัก รู้จริง รู้สิ้นสุด รู้หมดจด แต่ โลกของวิทยาศาสตร์ทางวัตถุรู้ไม่จริง เพราะรู้ไม่สิ้นสุด รู้เฉพาะขณะนั้น ที่จริงยังต้องค้นต่อ ๆ ไป ก็จะพบไปสิ่งใหม่ ๆ ไปเรื่อย ๆ บางครั้งค้นจนตายแล้วก็ยังไม่จบ ไม่พบความจริงขั้นสุดท้ายได้ อันเป็นความแตกต่างอย่างมีเหตุผล มีความถ่องแท้ ขอจงทำใจให้กว้างไว้เถิด*
บันทึกการเข้า
kittanan_2589
.กลุ่มผู้มีน้ำใจงาม.
member
*

คะแนน630
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2363


NightBaron


เว็บไซต์
« ตอบ #72 เมื่อ: ธันวาคม 31, 2010, 07:53:58 AM »

อุปนิสัยพื้นฐาน

ข้าพเจ้าตั้งแต่เล็กมีจิตฝักใฝ่ชอบผจญภัย ชอบป่าเขาลำเนาไพร เถื่อนถ้ำที่เร้นลับ ชอบไปค้นหาความจริง ชอบปีนป่ายที่เสี่ยง ๆ อยู่เสมอ ชอบสอดรู้สอดเห็นในสิ่งแปลก ๆ แต่มีจิตใจที่เยือกเย็น มีจิตสำนึกในความกตัญญูกตเวทีต่อผู้มีคุณ เคารพนับถือครูบาอาจารย์ มีจิตใจรักประเทศชาติบ้านเมือง มีความซื่อสัตย์ ไม่คดโกง รักความเป็นธรรม เที่ยงตรง ยึดมั่นอยู่ในคุณธรรม ศีลธรรมตลอดมา

แม้จะซุกซนเกเรตามประสาเด็กวัยรุ่นทั่วไปอยู่บ้างก็ตาม ไม่เคยทำบาป ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต หรือประพฤติชั่ว ยกเว้นไม่เจตนา แม้แต่รับราชการก็มีความซื่อสัตย์สุจริตตลอดมา รักความสงบ ชอบปฏิบัติธรรม ตั้งแต่เด็ก ๆ ไม่ชอบพูดมาก ไม่โกรธเคืองผู้อื่น ให้อภัยผู้อื่นเสมอมา เป็นคนอดกลั้น อดทน ไม่ชอบเรื่องจุกจิกในชีวิต เป็นคนยืดหยุ่นกับชีวิต
บันทึกการเข้า
kittanan_2589
.กลุ่มผู้มีน้ำใจงาม.
member
*

คะแนน630
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2363


NightBaron


เว็บไซต์
« ตอบ #73 เมื่อ: ธันวาคม 31, 2010, 07:54:24 AM »

ระลึกชาติตอนเด็ก

เรื่องการระลึกชาติ เป็นเรื่องที่กล่าวขานกันมานาน เป็นที่กังขาในความเชื่อและความเป็นไปได้ ความเป็นไปไม่ได้ ยังหาจุดลงตัวไม่ได้ เพราะไม่ได้เกิดกับทุกคนและไม่ได้เกิดบ่อย

บางคนเกิดเพราะมีสัญญาจำได้ หมายรู้จากสัญญาเดิมที่ติดตัวมา บางคนเกิดจากการปฏิบัติธรรม นั่งสมาธิจนจิตสงบเกิดรูปฌาน ปรากฏตามนิมิตรู้เห็นย้อนอดีต ในการเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในสังสารวัฏฏะ จนถึงชาติปัจจุบันต่อเชื่อมกับชาติในอดีต ไม่ลืมสัญญาเดิมจึงรู้เห็น

โดยปกติการเวียนว่ายกลับภพกลับชาติ จะลืมสัญญาเดิมหมดสิ้น มาได้สัญญาใหม่ในชาติปัจจุบันที่มีการผัสสะ เกิดสังขารเข้าปรุงสร้างใหม่ ความรู้จึงเกิดจากการได้พบได้เห็น ได้ศึกษาร่ำเรียน การได้พบปะสภาพแวดล้อมใหม่ ๆ สร้างอุปทานยึดมั่นในสัญญาใหม่ ทิ้งสัญญาเดิมในทุกชาติทุกภพโดยสิ้นเชิง และบังเกิดอวิชชา (ความลุ่มหลง) ในภพชาติใหม่

ด้วยความลุ่มหลงในอวิชชา ก็จะพาให้เกิดสังขารปรุงแต่งตามความเห็นของตน ทำให้เกิดวิญญาณ ความรู้สึกต่าง ๆ ในอารมณ์ นามรูปก็จะบังเกิด พร้อมอายตนะเครื่องสัมผัส ก็จะปรากฏเวทนาความสุข ความทุกข์กาย เกิดโสมนัสพึงใจ เกิดโทมนัสไม่พึงใจ เกิดตัณหาความทะยานอยาก เกิดตามอุปาทาน การยึดมั่นถือมั่นในสัญญาใหม่ ติดในสมมุติบัญญัติปรากฏชัดในจิตอย่างแจ่มชัด จึงบังเกิดความเศร้าโศก เสียใจ โศกาอาดูรเข้าครอบงำ

จะเห็นว่าทุกอย่างจะปรากฏขึ้นมาได้ จะต้องมีเหตุปัจจัย จึงจะมีผลให้เห็นอย่างต่อเนื่องไม่ขาดสาย จะเกิด ณ จุดใด กระแสจะวิ่งขึ้นลงจนถึงอวิชชา คือ ความไม่รู้ในกฏเกณฑ์ธรรมชาติ คือ อริยสัจ ๔ ไม่รู้ตามความเป็นจริง

จิตจึงปรุงแต่งไปเรื่อย ๆ ใช้ตัวรู้จากความรู้สึกของตนเองคือ อารมณ์ ได้แก่ ความรู้ในจินตมยปัญญา สุตมยปัญญา เป็นเครื่องมือในการตัดสิน จึงหมดโอกาสที่จะรู้จะเข้าใจ เพราะจิตปฏิเสธแต่เบื้องต้น จึงเกิดความคับแค้น ทำให้เศร้าหมองตลอดการดำรงชีวิต เพราะขาดจิตอันประณีตคือ ภาวนมยปัญญา
บันทึกการเข้า
kittanan_2589
.กลุ่มผู้มีน้ำใจงาม.
member
*

คะแนน630
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2363


NightBaron


เว็บไซต์
« ตอบ #74 เมื่อ: ธันวาคม 31, 2010, 07:54:54 AM »

การระลึกชาติมีจริงหรือไม่นั้น สำหรับตัวข้าพเจ้าแลเห็นว่า มีจริงตามเหตุปัจจัยของการเกิดจึงมีชาติ

เรื่องการระลึกชาตินั้น ข้าพเจ้าได้เกิดเหตุการณ์กับตัวเอง ในขณะที่เป็นเด็กวัดอยู่ ได้อธิบายไว้แล้วในตอนต้นว่า การมาอาศัยอยู่ที่วัด ทุกคนต้องสวดมนต์ ทำกรรมฐาน ฟังการอบรมธรรมเพื่อการดำรงชีวิตจากพระอาจารย์ผู้ให้การอบรม

ขณะที่ได้นั่งสมาธิอยู่นั้น จิตสงบเป็นเอกัคตารมณ์อยู่ในอุเบกขานั้น ได้ปรากฏภาพนิมิตบอกกล่าวถึงการเวียนว่ายตายเกิดมาหลาย ๆ ชาติ ทั้งดำรงอยู่ในโลกมนุษย์ นับชาติไม่ได้ จำไม่หมด และไปใช้กรรมในภพอื่น ๆ ที่ไม่ใช่ภพมนุษย์ แต่เป็นในโลกทิพย์ มีกายละเอียด ทั้งได้เกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานก็มากชาติ

แต่วุฒิภาวะในตอนนั้นไม่ได้สนใจอะไรมาก ช่วงนั้นเอาแต่ซนไปตามประสาเด็ก* คิดว่าฝันไป แต่สัญญาความจำนั้นติดตราตรึงใจ ติดอยู่ในห้วงจิตสำนึก* ได้เก็บภาพโบราณสถาน ภูมิทัศน์รอบ ๆ บ้านนั้น เห็นปราสาทราชวัง เห็นบุคคลในอดีต มีบิดามารดาในอดีต มีชื่อสกุลบุคคลที่เป็นบิดามารดาอันยาวนาน หลายยุคหลายสมัย จนจำไม่หมด

แต่สิ่งที่ปรากฏนั้นเมื่อเจริญวัย มีวุฒิภาวะแล้ว ข้าพเจ้าจึงอยากพิสูจน์ความเป็นจริง ในนิมิตที่ยังจดจำได้ว่า จะจริงแท้ เป็นจริงหรือไม่ อันเป็นจุดเริ่มต้นในการพิสูจน์ความจริงให้บังเกิดขึ้น
บันทึกการเข้า
kittanan_2589
.กลุ่มผู้มีน้ำใจงาม.
member
*

คะแนน630
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2363


NightBaron


เว็บไซต์
« ตอบ #75 เมื่อ: ธันวาคม 31, 2010, 07:55:23 AM »

พุทธศักราช ๒๕๑๘ ในขณะที่รับราชการเป็นครูโทอยู่วิทยาลัยพลศึกษา จังหวัดมหาสารคาม อยู่ใกล้จังหวัดนครพนม นึกได้ว่าเคยเกิดที่นั่น ในอดีตเมื่อพุทธศักราช ๘ ได้เคยร่วมสร้างพระธาตุพนม ที่นั่นเรียกว่าภูขี้เถ้า เป็นที่ตั้งพระธาตุพนมในปัจจุบัน ข้าพเจ้าเกิดที่นั่นและได้สร้างพระธาตุนาคู

เมื่อมีโอกาสได้ไปสักการะพระธาตุพนม ได้สอบถามชาวบ้านว่า "พระธาตุนาคูมีไหมในจังหวัดนี้" เขาตอบว่า "มี อยู่ที่ตำบลนาราชควาย อำเภอเมือง" จึงขอร้องให้พาไปดูหน่อย ต้องขอบคุณคุณลุงคนนั้น ที่ท่านใจดีและพาไป

เป็นทางเข้าไปจากถนนใหญ่เข้าหมู่บ้าน เลยออกไปเป็นทางเกวียน ต้องเดินเข้าไปอีกประมาณ ๕ กิโลเมตร ก็พบสถานที่ตั้ง สภาพแวดล้อมที่พบเห็น สระน้ำก็ดี คูเมืองก็ดี พระธาตุก็ดี อยู่ในสภาพเดิมทุกประการ จากนิมิตที่เห็นยังไม่เปลี่ยนแปลง แม้จะผ่านไปยี่สิบกว่าปีที่เห็นในนิมิต

ต้องขอบอกกล่าวอีกนิด นิมิตที่เห็นนั้น ได้เห็นหญิงชาวบ้านคนหนึ่งอายุประมาณ ๕๐ ปีเศษ ๆ ในตอนนั้นมายืนรอข้าพเจ้าอยู่ก่อนแล้ว และพูดว่า "ทำไมท่านไม่มาเอาสมบัติ ได้มาเฝ้าอยู่นานแล้ว"

เมื่อลงจากรถเข้าไปบริเวณพระธาตุ ผู้หญิงชาวบ้านคนนั้นได้ออกมาต้อนรับ อายุนั้นประมาณ ๗๐ ปีเศษ ๆ มากราบที่เท้า ร้องไห้รำพึงรำพันเป็นภาษาอีสาน พอจับใจความได้ว่า "ทำไมท่านเพิ่งจะมา คิดว่าจะไม่ได้พบกันแล้ว ได้มาเกิดเฝ้าทรัพย์ของท่านอยู่ เอาไปสิ" ข้าพเจ้าถามว่า "ยายเป็นใคร รู้ได้อย่างไรว่าจะมาวันนี้" ยาย ตอบว่า "เป็นข้าเก่า ถูกส่งให้มาเฝ้าทรัพย์ของท่านอยู่ ที่รู้ได้เพราะเมื่อคืนได้ฝันเห็นว่าท่านจะมาในวันนี้ เห็นรถวิ่งเข้ามา จึงรีบมาหา เพราะบ้านของยายอยู่ใกล้ ๆ พระธาตุ ห่างไปประมาณ ๕๐ เมตรเท่านั้น"

ยายขอให้มาเอาสมบัติไปเสีย ตัวยายจะขอกลับแล้ว ข้าพเจ้าได้สนทนาหลายเรื่อง ฟังรู้บ้าง ไม่รู้บ้าง ยายนั่งพับเพียบ พูดจาด้วยความเคารพ ได้บอกกับยายว่า "ไม่เอาสมบัติ ขอไว้ให้เป็นสมบัติแผ่นดิน" ยายร่ำไห้ อ้อนวอนขอให้เอาไป แต่ข้าพเจ้าก็ปฏิเสธอย่างแข็งขัน

ยายจึงเดินเข้าไปในองค์พระธาตุ นำเอาแหวนรูปพญานาค ประดับด้วยทับทิมทั้งวง ข้าพเจ้ารับไว้และได้สนทนาอยู่อีกพักหนึ่ง ข้าพเจ้าเข้าไปในองค์พระธาตุ เป็นพระธาตุลักษณะปราสาท เข้าไปไม่เห็นมีอะไร มีแต่อิฐโบราณชำรุดมากแล้ว ยายไปเอาแหวนจากตรงไหนไม่ทราบ เพราะตอนนั้นไม่คิดว่าจะไปเอาแหวนมาให้ จึงไม่ตามเข้าไปด้วย จากนั้นจึงลากลับ ยายก็ร้องไห้และก้มกราบที่เท้า ๓ ครั้ง
บันทึกการเข้า
kittanan_2589
.กลุ่มผู้มีน้ำใจงาม.
member
*

คะแนน630
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2363


NightBaron


เว็บไซต์
« ตอบ #76 เมื่อ: ธันวาคม 31, 2010, 07:55:47 AM »

สิ่งที่ปรากฏกับตัวข้าพเจ้าตอน เข้าสู่เขตองค์พระธาตุ บังเกิดอาการขนลุกขนพอง หนาวเหน็บทั้ง ๆ ที่อากาศร้อนจัด เกิดความปีติเหมือนได้กลับบ้าน ทำให้รำพึงอยู่ในใจว่า "จริงหนอ! สิ่งที่ระลึกรู้ในนิมิต ไม่มีอะไรต้องสงสัยอีกแล้ว มันเป็นจริงตามที่ได้เห็น ได้พิสูจน์แล้ว"

และตั้งใจว่าจะขอพิสูจน์ต่อไป จากนิมิตเท่าที่จำได้ จะต้องไปดูให้เห็นกับตาด้วยตนเองเท่าที่มีโอกาส เช่น ที่จังหวัดสุโขทัย จังหวัดนครศรีธรรมราช พระนครศรีอยุธยา เชียงราย ลพบุรี เป็นต้น

ทุกสถานที่ที่ได้ไปพิสูจน์ ทุกสถานที่ไม่มีผิดเพี้ยนจากที่ได้เห็นในนิมิต เป็นการระลึกชาติในการเวียนว่ายตายเกิดของข้าพเจ้า แต่ขอสงวนที่จะบอกรายละเอียด ขอเล่าที่จังหวัดนครพนมนี้เท่านั้น

นี่เป็นเหตุปัจจัย ให้ข้าพเจ้าสนใจมุ่งมั่น ค้นคว้า เร่งปฏิบัติกรรมฐานอย่างต่อเนื่อง เอาจริงเอาจังกับการปฏิบัติเจริญภาวนา ให้จิตมีพลานุภาพ

ส่วนแหวนอันล้ำค่าวงนั้นได้ใช้อยู่พักหนึ่ง ผู้ที่เคารพรักท่านหนึ่งอยากได้จึงให้ผู้นั้นไป “จะหวงแหนในสิ่งที่เราไม่ได้เอามาและเราไม่ได้เอาไปทำไม” คิดได้เช่นนี้จึงยกให้เขาไป เพราะ แหวนวงนี้เป็นเครื่องพิสูจน์ความจริงกับเรา อดีตเป็นของเรา เราเคยใช้ เกิดมาก็ไม่ได้เอามาด้วย ตอนตายก็ไม่ได้เอาติดตัวไป ยังเป็นสมบัติอยู่โลกนี้จนทุกวันนี้ เป็นเครื่องยืนยันความจริง ในสัจธรรมข้อนี้อย่างเด่นชัด

มันเป็นเรื่องที่น่าเห็นใจคนที่ไม่ได้ประสบกับตนเอง เพราะจะพิสูจน์ในสิ่งที่เขาไม่รู้ได้อย่างไร เหมือนบอกกล่าวอธิบายสีต่าง ๆ ให้คนตาบอดฟัง สีแดงก็ไม่รู้ สีเหลืองก็ไม่รู้ สีอะไรก็จะไม่เข้าใจ เพราะไม่เห็น ไม่อาจบอกอธิบายให้คนที่อยากพิสูจน์ให้เข้าใจได้ เพราะคนที่อยากนั้นเหมือนคนตาบอด
บันทึกการเข้า
kittanan_2589
.กลุ่มผู้มีน้ำใจงาม.
member
*

คะแนน630
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2363


NightBaron


เว็บไซต์
« ตอบ #77 เมื่อ: ธันวาคม 31, 2010, 07:56:15 AM »

พบสิ่งเร้นลับ ทรัพย์แผ่นดิน

ในตอนเด็กข้าพเจ้าชอบซุกซน ด้วยอำนาจใดไม่อาจตอบได้ ได้พาให้ไปพบสมบัติแผ่นดิน ช่วงนั้นชอบขี่จักรยานไปวัดช้างไห้ ไปช่วยทำรูปหลวงพ่อทวดเหยียบน้ำทะเลจืด ไปตำว่านผสมสัดส่วน สมัยนั้นพุทธศักราช ๒๔๙๗ เส้นทางลำบาก บางครั้งต้องเดินจากบ้านนาประดู่ เดินไปทางรถไฟที่ผ่านหน้าวัด

ช่วงระหว่างทางตรงนั้น ได้พบบึงน้ำใส บึงนั้นกว้างและ ลึก ห่างจากทางรถไฟไกลพอสมควร เดินผ่านกลางแดดทำให้เกิดความเหนื่อยล้า จึงอยากอาบน้ำในบึง ก็ลงไปอาบและดำน้ำเล่น

ได้พบโอ่ง ๓ ใบ ถูกรัดและห่อหุ้มไว้ด้วยรากไทร (เหมือนเอาแหจับปลามาหุ้มเอาไว้ มิให้หาย แต่ต่างตรงที่เป็นรากไทรเท่านั้น) ในโอ่งทั้ง ๓ ใบมีสมบัติอยู่เต็ม เป็นทองรูปพรรณทั้งหมดทั้ง ๓ โอ่ง ประดับเพชรพลอย มีทั้งสร้อยคอ เข็มขัด กำไลมือ กำไลเท้า แหวน และอื่น ๆ อีกมากมาย ข้าพเจ้าได้ไปเกาะขอบโอ่งทั้ง ๓ ใบ ล้วงลงไปพบสิ่งดังกล่าวมหาศาล

แต่น่าเสียดายเอาออกไม่ได้เลย ประหลาดที่พอจะเอาออก มันลื่นเหมือนปลาไหล เอาพ้นขอบปากโอ่งไม่ได้ พยายามอย่างไรก็เป็นเช่นนี้ทุกครั้ง ตอนนั้นคิดแต่สนุกอย่างเดียวตามประสาเด็ก ได้ไปเล่นอยู่ประมาณ ๔ ครั้งเท่านั้น และไม่สนใจอีก เมื่อยี่สิบกว่าปีที่แล้วได้ไปวัดช้างไห้ ได้แวะไปดูที่เดิม ปรากฏว่าบึงน้ำแห่งนั้นแห้งสนิท โอ่งทั้ง ๓ ใบก็ไม่มีให้เห็นอีก
บันทึกการเข้า
kittanan_2589
.กลุ่มผู้มีน้ำใจงาม.
member
*

คะแนน630
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2363


NightBaron


เว็บไซต์
« ตอบ #78 เมื่อ: ธันวาคม 31, 2010, 07:56:49 AM »

พบรอยพระพุทธบาทบนเขาทรายขาว

ที่อำเภอนาประดู่ จังหวัดปัตตานี มีเทือกเขายาวลูกหนึ่ง อันเป็นที่ตั้งของน้ำตกทรายขาวที่สวยงามมีชื่อเสียง เป็นที่ท่องเที่ยวพักผ่อนหย่อนใจ เป็นที่รู้จักกันทั่วไปของคนในจังหวัดและจังหวัดใกล้เคียง ข้าพเจ้าได้ไปเที่ยวอาบน้ำตกอยู่เป็นประจำ

ด้วยความอยากรู้อยากเห็นว่า น้ำที่ตกลงมาจำนวนมากและมีทั้งปีนั้นไหลมาจากไหน จึงเดินขึ้นไปดูต้นน้ำ ปีนป่ายไปตามโขดหินจนถึงต้นน้ำที่น้ำไหลตกลงมา

พบลานกว้าง มีสระน้ำกว้างพอสมควร น้ำไม่ลึกมากนัก ได้พบรอยพระพุทธบาทข้างขวาบนแผ่นหินอยู่กลางสระ รอบ ๆ รอยพระพุทธบาทนั้น มีดอกบัวขาวจำนวนมาก บานสะพรั่งอยู่รอบ ๆ ได้ลงไปลูบคลำรอยพระพุทธบาทนั้น ได้อาบน้ำในสระ เล่นดอกบัวจนเพลิดเพลินเจริญใจอย่างยากที่จะบรรยาย เสร็จแล้วลงมาชวนเพื่อน ๆ ให้ขึ้นไปดู แต่เมื่อกลับไปอีกครั้ง ไม่พบรอยเท้าและสระนั้นเสียแล้ว

ภายหลังได้รับฟังจากชาวบ้าน และพระนักปฏิบัติที่ได้เดินทางขึ้นไปหาสมุนไพรและไปปฏิบัติตน บางคนเคยได้พบเช่นกัน เขาเล่ากันว่า หากขึ้นไปเพียงลำพัง บางครั้งก็จะพบรอยพระพุทธบาท แต่ถ้าหากไปหลายคนจะไม่พบ บางครั้งแม้ไปคนเดียว หากเจตนาอยากพบก็หาไม่พบ
บันทึกการเข้า
kittanan_2589
.กลุ่มผู้มีน้ำใจงาม.
member
*

คะแนน630
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2363


NightBaron


เว็บไซต์
« ตอบ #79 เมื่อ: ธันวาคม 31, 2010, 07:57:16 AM »

ภูเขาลูกนี้มีสิ่งแปลก ๆ มากมาย พระภิกษุที่เดินธุดงค์หากเกิดหลงทาง จะมีคนนำอาหารมาถวายแล้วนำทางไปส่งให้กลับลงมา ชาวบ้านบอกว่าเป็นคนธรรพ์ที่มาดูแลพระปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ

นอกจากนี้ เขาลูกนี้ยังเป็นที่เก็บสมบัติพวกถ้วยชามเครื่องใช้ต่าง ๆ ที่เก็บไว้ในถ้ำ มี ผีพวกหนึ่งรักษาไว้เรียกว่าผีหลังกลวง ที่เรียกว่าผีหลังกลวงเพราะผีพวกนี้มีรูปร่างเหมือนคนเรา แต่ด้านหลังไม่มีหนังปิดหลัง ไม่มีอวัยวะภายใน

เขาชอบทำบุญที่วัดทรายขาว โดยได้ขอโอกาสจากท่านเจ้าอาวาส หากทางวัดมีงานพวกเขาจะนำข้าวของมาช่วย เป็นอย่างนี้ประจำทุกงาน พวกเขาจะนั่งทำครัวโดยใช้หลังพิงฝาเอาไว้ ไม่ให้ใครเห็นหลังของพวกเขา แต่ตอนหลังพวกเขาไม่ยอมลงมาช่วย เพราะข้าวของที่เอามาใช้มักถูกขโมยสูญหายไป พวกเขาได้ปิดปากถ้ำ ไม่ให้ใครได้พบเห็นและได้เข้าไปในถ้ำจนถึงปัจจุบัน
บันทึกการเข้า
kittanan_2589
.กลุ่มผู้มีน้ำใจงาม.
member
*

คะแนน630
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2363


NightBaron


เว็บไซต์
« ตอบ #80 เมื่อ: ธันวาคม 31, 2010, 07:57:45 AM »

พลังอำนาจจิต ปราบวิญญาณ


สิ่งที่เล่าต่อไปนี้เป็นเหตุการณ์ตอน เด็ก สมัยอยู่ที่วัดได้เกิดเหตุกับตัวข้าพเจ้า ที่เขียนเล่าเรื่องนี้ก็เพื่อให้เห็นว่า ชีวิตถูกกำหนดขีดเส้นให้เดิน บีบบังคับสร้างศรัทธาให้บังเกิดขึ้นในจิตทีละน้อย ๆ เพื่อให้เดินในเส้นทางชีวิตที่ถูกต้องตามหลักธรรมคำสอนขององค์สมเด็จพระผู้ มีพระภาคเจ้า เพื่อไม่ให้หลงทางกระทำชั่ว ทำให้เสียภพเสียชาติที่เกิดมา

ดั่งพระพุทธพจน์ที่ว่า “บุคคลทำกรรมใดจะต้องใช้กรรมนั้น จะแบ่งกรรมนั้นให้ผู้อื่นไม่ได้” ทั้งกรรมดีกรรมชั่วล้วนต้องตอบสนองบุคคลที่ได้กระทำ ทั้งยังตรัสบอกกล่าวเอาไว้อีกว่า “บุคคลทำกรรมชั่ว มักไม่รู้ว่าตนนั้นทำกรรมชั่ว เพราะผลแห่งกรรมชั่วนั้นยังไม่ปรากฏ แต่เมื่อผลของกรรมชั่วนั้นปรากฏ จึงรู้ว่ากรรมชั่วนั้นเหมือนดั่งยาพิษ”

ขอย้ำอีกครั้งเพื่อเป็นการเตือนสติของพวกเรา ของบุคคลที่หลงผิด ไม่กลัวบาป และยังคึกคะนอง จองหองพองขนเหมือนม้าที่กำลังคึกคะนอง ได้พึงระลึกไว้ว่า เราเกิดมาชาตินี้เพื่อทำดี มาแก้ตัวที่เคยทำผิดมาแล้วแต่หนหลัง

ในชาติต่าง ๆ สิ่งที่บังเกิดขึ้นกับชีวิตของข้าพเจ้า ยังเป็นภาพสะท้อนให้เห็นถึงอดีตสัญญาว่า การ เวียนว่ายตายเกิดชีวิตใหม่ มีจริงตามกฎแห่งกรรม กรรมนั้นสะท้อนความจริงที่ได้กระทำมาทั้งดี ชั่วปะปนกันมากมาย ทั้งหนักและเบาแตกต่างกัน ผลลัพธ์ที่ออกมาจึงแตกต่างกันไป

ผลมาบังเกิดในการดำเนินชีวิตของแต่ละคน บ้างสุขสมบูรณ์ บ้างทุกข์ยาก บ้างมีหน้ามีตาทางสังคม บ้างเจริญในหน้าที่การงาน บ้างผิดหวังท้อแท้รันทดใจ บ้างมีจิตใจงามด้วยคุณธรรม จริยธรรม บ้างหยาบกระด้าง เป็นโทษกับตัวเองและผู้อื่น บ้างถือตัวอวดตน บ้างสงบเสงี่ยม หนักแน่น บ้างมีชีวิตสงบสุข บ้างพบแต่ความเดือดร้อน บ้างประสบเคราะห์ภัยในครอบครัว บ้างเจ็บไข้ได้ป่วยตลอดเวลา บ้างอายุยืนบ้างอายุสั้น บ้างต้องพลัดพรากจากพ่อแม่ตั้งแต่เยาว์วัย บ้างก็ถูกฆ่า บ้างเกิดมาแล้วนำความทุกข์ให้กับพ่อแม่อย่างใหญ่หลวง บ้างสร้างความเจริญให้บังเกิดในตระกูล

ที่กล่าวมานี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น และในด้านอกุศลกรรม สามารถแก้ไขด้วยการบำเพ็ญคุณงามความดี บำเพ็ญบารมีกุศล ทำให้ชีวิตที่ดีอยู่แล้วจะได้ดียิ่งขึ้น ที่หนักก็เป็นเบา ที่ทุเลาก็หายในที่สุด
บันทึกการเข้า
kittanan_2589
.กลุ่มผู้มีน้ำใจงาม.
member
*

คะแนน630
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2363


NightBaron


เว็บไซต์
« ตอบ #81 เมื่อ: ธันวาคม 31, 2010, 07:58:14 AM »

เรื่องของวิญญาณมาเข้าคนนั้น เป็นเครื่องยืนยันว่าเมื่อตายแล้ว การปฏิสนธิเป็นไปตามกรรม ที่ต้องเวียนว่ายตายเกิดอย่างแท้จริง มีเหตุมีผล เพียงแต่วิญญาณนั้น อยู่ในมิติที่คนธรรมดาไม่สามารถมองเห็นรูปกายของเขาเท่านั้น

ดังนั้น..การจะแสดงรูปให้ปรากฏ ก็ต่อเมื่อมาสิงสู่ในกายมนุษย์แล้ว แสดงภูมิเดิม บอกกล่าวชื่อสกุล ทั้งวงศ์ญาติ พฤติกรรมต่าง ๆ ที่ตอนดำรงชีวิตอยู่ มีผู้รับรู้ เคยรู้เห็นว่าจริง จากปากบุคคลที่เขาสิงอยู่ เป็นเครื่องวัดความจริงทั้งหลาย

วิญญาณอีกประเภทหนึ่งที่มีฤทธิ์ ก็จะมาแสดงให้เห็นกันด้วยเหตุผลของวิญญาณนั้น ๆ ต้องการอะไร ? ทำเพื่ออะไร ?

ตอนนั้นเป็นเวลากลางคืน ประมาณสองทุ่ม ขณะนอนเล่นดูหนังสืออยู่ในห้องพัก มีเพื่อนวิ่งมาบอกว่า ผีเข้าสิงพระรูปหนึ่ง หลวงตากำลังช่วยอยู่ ให้ไปดูกัน จริง ๆ แล้วข้าพเจ้าไม่เชื่อ ไม่อยากไปดู เพื่อนเด็กวัดคนนั้นอยากไปดู ขอให้ไปเป็นเพื่อนกัน เพราะเขากลัวผี แต่ก็อยากดู อยากรู้ อยากเห็นตามประสาเด็กทั่ว ๆ ไป อดไม่ได้ก็ไปเป็นเพื่อน

พอข้าพเจ้าก้าวไปในห้องที่พระรูปนั้นกำลังนอนอยู่ หลวงตากำลังปราบ ได้ถามไถ่เพื่อให้วิญญาณตนนั้นออกจากร่างของพระรูปนั้น แต่เสียงที่พูดจากปากพระรูปนั้นเป็นเสียงผู้หญิง ไม่ใช่เสียงพระที่เคยได้ยินเป็นประจำว่า อย่าให้เด็กคนนั้นเข้ามา แล้วชี้มือมาที่ข้าพเจ้า ซึ่งไม่รู้เล่าเก้าสิบใด ๆ ทั้งสิ้น เพียงไปเป็นเพื่อนคนอื่นเท่านั้น เขาบอกว่าจะไปแล้ว อย่าทำอะไรเขา

ข้าพเจ้าเองก็ไม่รู้จะทำอะไรวิญญาณนั้น แม้สวดมนต์ยังไม่ถนัดชัดเจน แต่วิญญาณนั้นกลัวมาก บอกหลวงตาให้บอกกับข้าพเจ้าว่า "อย่าทำอะไรเขา เขาไม่ได้มาทำร้าย เพียงแต่ทนทุกข์ทรมานไม่ไหว จึงมาเข้าพระเพื่อบอกให้ช่วยทำบุญ ปลดปล่อยตัวเขาเท่านั้น เขาตายมาร้อยกว่าปีแล้ว ต้องทนทุกข์ทรมานจากการที่เคยขโมยพระในวัดไปจำหน่าย ตายแล้วตกนรก ถูกทรมานให้มารับกรรมอยู่ภายในวัด อยากไปผุดไปเกิด เพราะสำนึกผิดแล้ว"

ข้าพเจ้าไม่รู้หรอกว่าข้าพเจ้ามีดีอะไร เพราะยังเป็นเด็กอยู่ วิชาอาคมใด ๆ ก็ไม่ได้เรียน หนังสือยังอ่านไม่คล่อง ทำไมวิญญาณนั้นจึงกลัวข้าพเจ้ามากกว่าหลวงตา เพียงแต่ครุ่นคิดอยู่ในใจว่า “ทำไม ? เรามีอะไรผีถึงกลัว แต่ไม่ได้คำตอบ”

จากนั้นหลวงตาก็พูดคุยกับวิญญาณตนนั้น บอกว่าจะทำบุญไปให้ ขอให้ออกจากพระเสียก่อน วิญญาณนั้นยกมือไหว้ข้าพเจ้าแล้วออกไป เป็นที่โจษจันกันทั้งวัดว่าข้าพเจ้าปราบผีได้ ซึ่งจริง ๆ แล้วข้าพเจ้าไม่รู้เรื่องเลย ตอนเช้าหลวงตาเรียกไปถามว่า "มีของดีอะไร ผีถึงกลัวนัก" ได้ตอบหลวงตาว่า "ไม่มีอะไร และไม่รู้เรื่องผีเข้าจริงหรือเปล่า หรือพระรูปนั้นแกล้งทำ"

แต่ตอนที่วิญญาณออกจากพระ พอท่านรู้สึกตัว ท่านก็สงสัยว่าคนมาที่ห้องท่านมากมายเกิดอะไรขึ้น หลวงตาบอกว่าผีเข้าท่าน พระรูปนั้นก็ยังตกใจ ถามว่าจริงหรือ เมื่อรู้ว่าจริง ดูท่านจะเขิน ๆ อยู่ไม่น้อย


จริง ๆ แล้วเหตุการณ์ครั้งนั้นจะเกิดจากอะไรก็ตาม เริ่มกระตุ้นให้ข้าพเจ้าสนใจอยู่ลึก ๆ เป็นปฐมเหตุแห่งการสร้างแรงดลใจ กระตุ้นให้ข้าพเจ้าสนใจอยู่ไม่น้อย ประกอบกับความอยากรู้ อยากเห็น เป็นพื้นฐานอยู่แล้ว จึงเป็นเหตุปัจจัย นำสู่เส้นทางธรรมอันบริสุทธิ์ในชีวิตของข้าพเจ้า จนถึงวันนี้ จึงจับปากกาขึ้นมา *เขียนเรื่องราวของข้าพเจ้าบันทึกไว้เพื่อเป็นการยืนยันถึงสิ่งอัศจรรย์ของโลก*
บันทึกการเข้า
kittanan_2589
.กลุ่มผู้มีน้ำใจงาม.
member
*

คะแนน630
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2363


NightBaron


เว็บไซต์
« ตอบ #82 เมื่อ: ธันวาคม 31, 2010, 07:59:06 AM »

เดินทางเข้าเมืองหลวง แสวงหาความรู้

ได้เกริ่นไว้แต่ต้นแล้วว่า ข้าพเจ้ามีความทุกข์ยากลำบากตั้งแต่เยาว์วัย ชะตาชีวิตผกผันตลอด ทำงานทุกอย่างที่จะได้เงินมาเลี้ยงดูตนเอง ยกเว้นลักขโมยที่ไม่ได้ทำ ทำกระทั่งเก็บกระป๋องนมไปขายให้ร้านกาแฟใบละ ๕ สตางค์ (ในสมัยก่อนเวลาซื้อกาแฟกลับบ้าน จะใส่กระป๋องนม) เป็นช่างตัดผม เป็นนักมวยและอื่น ๆ อีกมากมาย

พูดแล้วไม่น่าเชื่อ แต่นี่แหละชีวิต..ที่ต้องสู้จนประสบความสำเร็จจนถึงปัจจุบัน ชีวิตไม่ได้ปูด้วยกลีบกุหลาบ แต่กลับมีคุณค่า ยากนักที่คนทั่วไปจะได้พานพบ แต่บางคนอาจจะหนักกว่าก็มีอยู่ไม่น้อย คิดว่าจิตใจของเขาเหล่านั้นคงไม่ต่างจากข้าพเจ้า ทั้งรันทด หดหู่ ท้อแท้ หมดหวัง ครุ่นคิด ประชดตนเอง น้อยเนื้อต่ำใจ ตามประสาของคนตกระกำลำบากในชีวิต

อยู่ที่ว่าใครจะเข้มแข็งต่อสู้กับอำนาจที่เกาะกินใจ เหมือนสนิมเกาะกินเหล็กกัดให้กร่อนมากกว่ากันเท่านั้น ผู้อ่อนแอก็จะพ่ายแพ้ เสียอนาคต ประพฤติเสื่อมเสีย จนหมดโอกาสของชีวิต แต่บางคนเข้มแข็ง สู้จนประสบความสำเร็จ แข็งกล้าต่ออุปสรรค

ข้าพเจ้าเป็นผู้โชคดี โชคชะตายังให้โอกาส วิบากกรรมยังปรานี ไม่เป็นคนอ่อนแอย่อท้อต่อชีวิต ทำให้ไม่คิดสั้น ตั้งใจศึกษาเล่าเรียนและเรียนดีมาตลอด เรียนอยู่ที่จังหวัดปัตตานี อาศัยข้าวก้นบาตรของหลวงพี่ จากชั้นประถมศึกษาปีที่หนึ่งจนจบชั้นมัธยมศึกษาปีที่หก

จึงขออนุญาตลาหลวงพี่เข้ากรุงเทพมหานคร มีเงินติดตัวมา ๓๖ บาท ซื้อตั๋วรถไฟก็ไม่พอ แต่ใช้อุบายไม่ซื้อตั๋ว หากผู้ตรวจรถไฟจับได้ ให้ลงสถานีใดก็จะลง แล้วค่อยขึ้นรถไฟขบวนใหม่ไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะถึงกรุงเทพมหานคร คิดเอาไว้เช่นนั้น คิดอย่างเดียวคือไปตายเอาดาบหน้า

แต่โชคดีที่นายตรวจไม่ได้ตรวจข้าพเจ้าเลย จึงรอดพ้นจนถึงกรุงเทพมหานคร พี่สาวไปรับที่สถานีบางกอกน้อย ได้ไปพักอาศัยกับพี่คนนี้ซึ่งมีครอบครัวแล้ว แต่ก็ยังลำบากอยู่ เงินที่หามาได้ก็ไม่พอใช้ตลอดเดือน
บันทึกการเข้า
kittanan_2589
.กลุ่มผู้มีน้ำใจงาม.
member
*

คะแนน630
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2363


NightBaron


เว็บไซต์
« ตอบ #83 เมื่อ: ธันวาคม 31, 2010, 07:59:32 AM »

เมื่อเข้ามาในกรุงเทพมหานครนั้น โรงเรียนต่าง ๆ ปิดรับสมัครและสอบกันหมดแล้ว จึงไม่มีที่เรียน เหลือโรงเรียนราษฎร์ก็ไม่มีค่าเทอม โชคช่วยไปสมัครเข้าเรียนโรงเรียนเทเวศร์ศึกษา เข้าไปกราบผู้จัดการขอเรียนก่อน อ้างว่าทางบ้านยังไม่มีเงินส่งมา ท่านผู้จัดการใจดี ให้เรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๗ แผนกวิทยาศาสตร์

สมัยนั้นเรียนไปหนึ่งเทอมถูกเรียกไปเสียค่าเทอมก็ขอผ่อนผันต่อ ตั้งใจว่าหากสิ้นเทอมไม่มีเงินมาจ่าย ก็จะลาออกไม่เรียนต่อ แต่ทางโรงเรียนเมตตาให้เรียน สอบปลายภาคเสร็จไม่สามารถหาเงินมาจ่าย ทางโรงเรียนจึงไม่ตรวจข้อสอบให้ ต้องออกจากโรงเรียนไปหาที่เรียนใหม่

ไปสอบเข้าโรงเรียนฝึกหัดครูพลานามัยในตอนนั้น เราชอบกีฬาอยู่แล้ว ตอนเรียนชั้นมัธยมเป็นนักกีฬาของโรงเรียน เป็นตัวแทนกีฬาเขตในกีฬาฟุตบอลและกรีฑา ไปสอบติดหนึ่งในสองร้อยคนที่เขารับเข้าเรียนสมัยนั้น การมอบตัวเข้าเรียนใช้เงินไม่มาก ๔๕๐ บาท แต่ก็ไม่มี ได้เขียนจดหมายไปขอครูใหญ่ที่สอนข้าพเจ้าตอนเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๑ - ๔ เป็นเงิน ๕๐๐ บาท ท่านเมตตาส่งมาให้ จึงได้เรียนฝึกหัดครูพลานามัยรุ่นที่ ๙ ในพุทธศักราช ๒๕๐๙

ชีวิตเริ่มยุ่งยากอีก เมื่อพี่สาวไม่มีกำลังจะเลี้ยงดูส่งเสีย จึงตัดสินใจขอไปพึ่งวัดอีก ทั้งที่ไม่รู้จัก ลองไปดู พอมีโชคอยู่บ้าง ได้ไปที่วัดโพธิ์ท่าเตียน เดินไปประตูกุฏิ ก.๑๓ (คณะกลาง ๑๓) ที่เปิดอยู่ เข้าไปกราบหลวงพี่ บอกความประสงค์ขออยู่อาศัยรับใช้ท่าน

ปรากฏว่าท่านเป็นพระมาจากสงขลา ท่านเห็นใจเพราะข้าพเจ้าเองก็เป็นคนใต้ ท่านจึงรับให้อยู่ด้วย ช่วยติดตามท่านออกบิณฑบาตในตอนเช้า กินข้าวแล้วค่อยไปเรียน แต่ตอนเย็นไม่มีอาหาร ข้าพเจ้าจึงไปหาร้านขายข้าวแกงในตลาดท่าเตียน ไปขอช่วยล้างจานให้ในตอนเย็นหลังกลับจากเรียน ขอข้าวเย็นกินมื้อหนึ่ง จึงมีอาหารเย็นกินตลอด ๖ ปี

เรียนฝึกหัดครูพลานามัย ๒ ปี เข้าเรียนต่อวิทยาลัยพลศึกษาระดับ ปกศ.สูง ๒ ปี เรียนเกรดดี จึงได้รับเลือกเข้าเรียนวิทยาลัยพลศึกษาอีก ๒ ปีในระดับปริญญาตรีรวมเป็น ๖ ปี ซึ่งช่วงที่เรียนอยู่ชีวิตค่อยดีขึ้น สมัครทำงานในสโมสรอาจารย์ตอนเที่ยงได้วันละ ๑๐ บาท อาจารย์แบ่งอาหารให้กินบ้าง ตกตอนเย็นไปฝึกสอนฟุตบอลให้เยาวชนที่สวนลุมพินีได้วันละ ๑๐ บาท ตกลงได้เงินวันละ ๒๐ บาท เก็บไว้เป็นค่าหน่วยกิต กลับไปถึงวัดก็ไปล้างจานเพื่อกินข้าวเย็น ทำอย่างนี้ทุกวันจนเรียนจบ

ตอนเรียนอยู่วิทยาลัยพลศึกษา ชีวิตเริ่มผกผันในทางที่ดี ได้รับทุนการศึกษาของหม่อมหลวงปิ่น มาลากุล เป็นทุนเรียนดีแต่ยากจน ได้ปีละ ๕,๐๐๐ บาท และมีสัญญาเมื่อเรียนจบแล้วจะต้องชดใช้ทุน คือ ต้องไปเป็นครู ทั้งในช่วงนั้นหารายได้พิเศษวันเสาร์และอาทิตย์ ไปรับสอนว่ายน้ำตามสระต่าง ๆ ตอนเย็น ไปสอนลีลาศให้กลุ่มแม่บ้านที่ y.w.c.a. พอมีรายได้ช่วยพี่สาวและส่งให้แม่ทุกเดือน ที่เขียนเล่า เพื่อไม่ให้เห็นว่าเป็นการโอ้อวดจนเกินไป
บันทึกการเข้า
kittanan_2589
.กลุ่มผู้มีน้ำใจงาม.
member
*

คะแนน630
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2363


NightBaron


เว็บไซต์
« ตอบ #84 เมื่อ: ธันวาคม 31, 2010, 08:00:00 AM »

ชีวิตข้าราชการ

เมื่อจบการศึกษาระดับปริญญาตรี ก็ต้องชดใช้ทุนที่ได้รับตอนศึกษาอยู่ จึงตัดสินใจไปสมัครเป็นข้าราชการครู ที่กรมพลศึกษาในปีพุทธศักราช ๒๕๑๕ ได้บรรจุเข้าเป็นข้าราชการครูตรี วิทยาลัยพลศึกษาจังหวัดเชียงใหม่ แต่ให้ไปช่วยราชการที่วิทยาลัยพลศึกษาจังหวัดมหาสารคาม เป็นชีวิตใหม่

เป็นข้าราชการครูภูมิใจมาก แม่ก็ดีใจเป็นที่สุด พ่อซึ่งเสียชีวิตไปแล้วตั้งแต่พุทธศักราช ๒๕๑๐ ไม่ได้รู้ได้เห็น ชีวิตในช่วงนี้เริ่มเปลี่ยนแปลง ทำให้นึกคิดว่า “เราเกิด มาโคจรอยู่กับโลกนี้น้อยนิดในแต่ละชาติ ทำไมเราต้องเสียโอกาส ให้เวลาเป็นเหมือนมัจจุราชมาฉุดกระชากชีวิตเราไปอย่างเสียประโยชน์ พาเราไปจากโลกนี้จะไปอยู่ภูมิไหนโลกไหน หรือกลับมาสู่โลกนี้อีกหรือไม่ เราไม่มีคำตอบ แต่การกระทำบอกเราได้ ทำดีไปดี ทำชั่วไปที่ไม่ดีแน่”

การทำงานเป็นข้าราชการครูเป็นงานหนัก เพราะวิทยาลัยเปิดใหม่ปีแรกต้องทำทุกอย่าง ทั้งสอนทั้งพัฒนา แต่ก็ได้เงินพิเศษจากการสอนนักศึกษาภาคสมทบ ทั้งของวิทยาลัยครูและของวิทยาลัยเอง ได้เงินก้อนแรกยกให้แม่ ช่วยพี่สาวที่กำลังป่วยด้วยโรคมะเร็ง ที่กล่าวไว้เบื้องต้นว่าจะเสียชีวิตเมื่ออายุ ๓๕ ปี

ในการรับราชการนั้นได้ให้สัญญาไว้กับตนเองว่า จะซื่อสัตย์สุจริตทำงานเพื่อประเทศชาติ อยู่ในศีลธรรม เพราะเราเข้าใจในความทุกข์ยาก ความลำบากมานานแล้ว จึงอยากเห็นทุกคนสุขสบายด้วยอานิสงส์แห่งการทำกรรมดี ชีวิตพัฒนาไปเรื่อย ๆ เกินคาดคิด *อยู่วิทยาลัยพลศึกษาจังหวัดมหาสารคาม ๔ ปี ได้พบสิ่งใหม่ ๆ มากมาย ทั้งดีและไม่ดี มีวุฒิภาวะมากขึ้น*
บันทึกการเข้า
kittanan_2589
.กลุ่มผู้มีน้ำใจงาม.
member
*

คะแนน630
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2363


NightBaron


เว็บไซต์
« ตอบ #85 เมื่อ: ธันวาคม 31, 2010, 08:00:25 AM »

พระอริยสงฆ์ ให้แสงสว่างแก่ชีวิต

จากคนไม่เชื่ออะไรง่าย ๆ ยกเว้นต้องพิสูจน์ให้รู้เห็นด้วยตัวเอง อาจด้วยบุญวาสนาเป็นเหตุให้พบพระ ผู้มีอภิญญาที่ซ่อนตัว ไม่แสดง ไม่โอ้อวด เป็นผู้มีความสงบเยือกเย็น มีสติมั่นคง มีแต่ความเมตตากรุณาต่อทุกคน พูดน้อย พูดแต่สิ่งที่เป็นประโยชน์ ทักท้วงเมื่อเห็นเราเห็นผิดเป็นชอบ มีวาจาปราณีต เจริญธรรม ดำรงสติด้วยองค์กรรมฐานไม่ขาด

ท่านเป็นเสมือนผู้ให้ชีวิตที่เกิดใหม่ เมตตาให้แสงธรรมส่องสว่าง ทำให้จิตลดมานะ หมดความสงสัยในหลักธรรม เป็นผู้ปราบพยศในจิตของข้าพเจ้าให้หมดจด ใครพบเห็นท่านก็เสมือนหลวงตาองค์หนึ่งเท่านั้น แต่ผู้รู้จะเคารพศรัทธาต่อหลวงพ่อมาก ถวายตัวเป็นลูกศิษย์กันมากมาย รวมทั้งตัวของข้าพเจ้าด้วย

ในขณะที่สอนครูอบรมเพิ่มวุฒิ เรียกว่าอบรม อ.ศ.ร.ชุดพลศึกษาอยู่ มีครูคนหนึ่งได้ถามข้าพเจ้าว่า "เชื่อในสิ่งศักดิ์สิทธิ์ไหม?" ความ จริงคนละเรื่องกัน เนื้อหาที่สอนนั้นกำลังสอนวิชานันทนาการ เรื่องการจัดค่ายพักแรมอยู่ หรือเพราะเราสอนไม่รู้เรื่องก็ไม่ทราบได้ ข้าพเจ้าตอบว่า "เชื่อ แต่ต้องพิสูจน์ได้นะ" ครูคนนั้นก็เล่าว่า "ที่บ้านเขาอำเภอปราสาท จังหวัดสุรินทร์ มีหลวงพ่อรูปหนึ่งเก่งมากชื่อ หลวงพ่อริม รัตนมุนี อยู่วัดอุทุมพร เวลาท่านถ่ายรูปจะมีภาพซ้อนเป็นสองกาย บางครั้งก็สามกายอยู่ด้านซ้ายและด้านขวา" แล้วเอารูปให้ดู ทุกคนสนใจกันมาก เมื่อดูแล้วเกิดความสนใจลึก ๆ อยู่ในใจ อยากไปพบและกราบไหว้ พิสูจน์ความจริงด้วยตนเอง สอนจนจบชั่วโมง

ครูคนนั้นยังตามไปคุยด้วยและชวนไปกราบไหว้ และเล่าเรื่องต่าง ๆ ให้ฟัง ความสนใจ ความต้องการ ความอยากรู้อยากเห็นเพิ่มพูนขึ้นตามอุปนิสัยของเรา ชอบสอดรู้สอดเห็นในเรื่องเร้นลับ อยากเห็นสิ่งแปลก ๆ เพื่อแก้ความลังเลสงสัยภายในจิตของตนเองอยู่ตลอดเวลา จึงได้นัดแนะกันเพราะอยู่ไม่ไกลกันนัก เดินทางไปเช้าเย็นกลับจะได้ไม่เสียงาน ไปในวันหยุด

การไปพบหลวงพ่อก็ถูกกำหนดขึ้น โดยครูท่านนั้นเอารถมารับเพราะข้าพเจ้าไม่มีรถใช้ โดยเจตนาจริงตั้งใจจะไปลองวิชาหลวงพ่อ ได้เตรียมกล้องถ่ายรูปไปเพื่อขอถ่ายรูป ดูว่าจะเป็นจริงตามที่ครูท่านนั้นบอกเล่าหรือไม่ แต่ต้องถ่ายด้วยตนเอง จะได้ไม่มีข้อสงสัย
บันทึกการเข้า
kittanan_2589
.กลุ่มผู้มีน้ำใจงาม.
member
*

คะแนน630
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2363


NightBaron


เว็บไซต์
« ตอบ #86 เมื่อ: ธันวาคม 31, 2010, 08:01:02 AM »

เส้นทางจากอำเภอไปถึงวัดประมาณ ๑๕ กิโลเมตร เป็นเส้นทางทุรกันดาร ถนนเป็นหลุมเป็นบ่อลึก ๆ รถวิ่งไปติดไปเป็นระยะ ๆ กว่าจะถึงวัดแสนลำบากยากเย็น เป็นวัดเล็ก ๆ มีกุฏิหลังเดียว เป็นทั้งที่พัก เป็นทั้งศาลา ทำด้วยไม้เก่า ๆ มีพระอุโบสถเก่า ๆ มุงด้วยสังกะสี ผนังทำด้วยไม้

เห็นวัดแล้วจิตปรุงแต่ง เอาความมืดมิด ความโง่ เข้าครอบจิต เกิดความไม่ศรัทธา นี่แหละที่เรียกว่า ติดวัตถุ คิดว่าพระเก่ง ๆ ต้องอยู่วัดใหญ่ ๆ ภายในวัดต้องมีความอุดมสมบูรณ์ อย่างที่เคยอยู่มาแล้วในอดีต กว่าจะรู้ได้ว่า เรานี้แสนโง่จริงหนอ ก็เกือบไม่รู้ว่าโง่เพราะจิตถูกครอบด้วยโลกียวิสัยของสัตว์โลกจนจิตใจมืดมิด เหมือนคนตาบอดมองไม่เห็นแสงสว่าง ไม่มีปัญญา

สมดังที่พระพุทธองค์ ทรงตรัสไว้ว่า “ไม่มีแสงสว่างใด ๆ ในโลกนี้ จะเสมอด้วยแสงสว่างแห่งปัญญานั้นไม่มี” แสงสว่างมี ๔ ทาง

๑. แสงสว่างจากดวงอาทิตย์ (สุริยาภา)

๒. แสงสว่างจากดวงจันทร์ (จันทราภา)

๓. แสงสว่างจากดวงไฟ (อัคคยาภา)

๔. แสงสว่างจากปัญญา (ปัญญาภา)
บันทึกการเข้า
หน้า: 1 2 [3] 4 5 6 7 ... 9   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป: