พลังจิตขั้นสูง(สะกดจิต)
หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: พลังจิตขั้นสูง(สะกดจิต)  (อ่าน 4804 ครั้ง)
kittanan_2589
.กลุ่มผู้มีน้ำใจงาม.
member
*

คะแนน630
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2363


NightBaron


เว็บไซต์
« เมื่อ: ตุลาคม 26, 2010, 11:34:56 AM »

สะกดจิตบำบัด 3 รายระลึกชาติ


ในต่างประเทศ... ยามมีปัญหา ด้านจิตใจ ผู้คนก็มักหันไปหา จิตแพทย์ ขณะที่คนไทยมองว่า การไปพบจิตแพทย์ เป็นเรื่องน่าอาย กลัวคนอื่นมองว่าเป็นบ้า
จิตแพทย์ยืนยันว่า ความคิดแบบนี้เป็นเรื่องเข้าใจผิด เป็นการปิดกั้นตัวเอง จนทำให้บางคนหันไปหาทางออกที่ผิดๆ
จิตแพทย์สามารถให้คำปรึกษาและนำไปสู่การรักษาด้วยกระบวนการต่างๆ ซึ่งไม่ได้หมายความว่า...คุณเป็นบ้า แต่ในทางการแพทย์มองว่า....คุณคือผู้ป่วย ที่ต้องการการบำบัดรักษา เช่นเดียวกับผู้ป่วยด้วยโรคอื่นๆ
“การสะกดจิตบำบัด” จึงกลายเป็นอีกทางเลือกของผู้ป่วยทางจิต
แม้ว่าการสะกดจิตจะเป็นเรื่องที่ยากจะเข้าใจ แต่ก็มีคนไทยจำนวนไม่น้อยที่สนใจไป บำบัดและฝึกอบรมเกี่ยวกับการสะกดจิต
ชนาธิป ศิริปัญญาวงศ์ แกนนำ ชมรมนักสะกดจิตแห่งประเทศไทย ผู้ศึกษาและค้นคว้าเกี่ยวกับเรื่องจิตวิทยา การวิเคราะห์สภาพจิต มีประสบการณ์ ใช้ชีวิตการเรียนและการทำงานอยู่อเมริกาหลายปี เล่าว่า
ตอนอยู่เมืองไทยทำงานฝึกอบรมพนักงาน บ่อยเข้าก็เกิดความสงสัยในพฤติกรรมของคน ต่อมาได้ไปเรียนที่อเมริกา ด้านธุรกิจการตลาด ต้องเรียนรู้เรื่องของการโน้มน้าวใจคน เรียนหลักจิตวิทยา ซึ่งในวิชานี้จะมีการสอนเรื่องการสะกดจิตควบคู่ไปด้วย
“พอเริ่มสนใจ ก็ศึกษาอย่างจริงจังอยู่ 2 เดือน”
ไปเรียนทุกวัน เริ่มจากพื้นฐานเรื่องของจิตวิทยา ไปสู่การตั้งคำถามเกี่ยวกับพฤติกรรมมนุษย์ เพื่อวิเคราะห์สภาพจิตที่ลึกลงไป เป็นการเรียนเพื่อแก้ปัญหาทางจิตประเภทต่างๆ เช่น บางคนอาจกลัวที่แคบ กลัวความสูง ฯลฯ
ไปจนถึงการสะกดจิตเพื่อแก้ไขหรือปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและ ทัศนคติของคนให้เข้าถึงปัญหา จนสามารถแก้ปัญหาได้ เช่น คนที่ติดบุหรี่ คนอ้วน คนที่ขี้ประหม่า ขี้ตกใจง่ายๆ
“อาการเหล่านี้ ถือเป็นอาการป่วย ที่ต้องการบำบัดทางจิตใจอย่างหนึ่ง”
วิธีการบำบัดทางจิต เป็นเรื่องที่แพร่หลายและยอมรับกันในหลายๆ ประเทศ ทั้งในอเมริกาและแถบยุโรป
แต่ในเมืองไทย การสะกดจิตยังไม่เป็นที่แพร่หลาย ชนาธิปเริ่มจัดอบรมในเมืองไทย เมื่อปี 2541-2542
ความจริงเรื่องสะกดจิตนี่มีในเมืองไทยมานาน ในวงแคบๆ ผู้คนยังมองว่าเป็นเรื่องไสยศาสตร์ ทั้งที่เป็นวิทยาศาสตร์ล้วนๆ ต้องใช้วิชาจิตวิทยามาร่วมด้วย
ชนาธิปได้แรงบันดาลใจจากจิตแพทย์ชื่อดัง ดร.ไบรอัน แอล.ไวส์ ผู้ใช้การสะกดจิตมาประกอบการบำบัด ทางจิตเวชให้แก่คนไข้ และเป็นผู้เขียนหนังสือชื่อ Many Lives, Many Masters หรือ ชาติภพ และ Only Love is real...(เราจะข้ามเวลามาพบกัน) หนังสือขายดีระดับโลก
หนังสือเล่มนี้ เข้ามาสู่การรับรู้ของคนไทยจากการแปลของ มณฑาณี ตันติสุข นักเขียนหญิง อดีตดีเจและพิธีกรดัง จนกลายมาเป็นหนังสือขายดี ถูกตีพิมพ์ซ้ำกว่า 20 ครั้ง
ดร.ไบรอันคนนี้เป็นผู้หนึ่งที่จุดประกายให้ อ.ชนาธิป ได้ศึกษาค้นคว้าตำรา และบันทึกของ ดร.ไบรอันเกี่ยวกับเรื่อง การระลึกชาติ อย่างเอาจริงเอาจัง
นักจิตวิทยาหรือจิตแพทย์ส่วนใหญ่ จะเห็นตรงกัน วิธีการสะกดจิตคนไข้ใน “บางคน” นอกจากจะช่วย ให้รู้ถึงประสบการณ์ระลึกชาติของเขาแล้ว บางคนเมื่อจากชาติหนึ่ง ก็ไปเกิดอีกชาติต่อไปในทันที
จนดูเหมือนจิตวิญญาณของเขาไม่ได้หยุดพักเลย และระหว่างที่กำลังจะไปเกิดชาติใหม่นั้น ได้เกิดเป็นช่องว่างขึ้น
กระบวนการสะกดจิตระลึกชาติ คือการทำใจให้ว่าง และนักสะกดจิตบำบัดจะใช้เทคนิคนำไปสู่สภาวะสะกดจิต เทคนิคที่แพร่หลายที่สุดก็คือการให้ผู้ถูกสะกดจิตรู้สึกผ่อนคลาย
“เราจะใช้เสียงโมโนโทนต่ำๆ พูดช้าๆ นำคนไข้เข้าสู่สภาวะผ่อนคลายเต็มที่ นี่คือหลักสากลในการสะกดจิตที่ใช้กันโดยทั่วไป
ชนาธิปเผยว่า คนที่มาบำบัดต่างก็มีจุดประสงค์ที่ต่างกันไป ดังนั้นเมื่อคนไข้เข้าสู่สภาวะผ่อนคลาย ผู้บำบัดก็จะสั่งให้คนไข้ค่อยๆผ่อนคลายกล้ามเนื้อในร่างกายทีละส่วน
จากนั้นก็สร้างเงื่อนไขในจินตนาการขึ้นเป็นเหตุการณ์ที่สวยงาม เช่น ให้เขาเห็นภาพของท้องทะเล หาดทราย ตามด้วยเทคนิคอื่นๆ เช่น การนับถอยหลัง ผู้บำบัดจะค่อยๆทำให้คนไข้ดิ่งลึกเข้าไปสู่ สภาวะสะกดจิตมากขึ้นเรื่อยๆ
จนเกิดมองเห็นภาพในอดีตชาติ
ในบรรดาผู้ที่เคยมาหาชนาธิปเพื่อให้สะกดจิตระลึกชาตินั้น จำนวนนับเป็นพันๆราย ถึงขั้นนี้ คนส่วนใหญ่เรียกคำนำหน้าชนาธิปว่าอาจารย์
มีเพียงไม่กี่ราย ที่สามารถมองเห็นภาพในอดีตชาติของตัวเอง ได้อย่างเป็นเรื่องเป็นราว นำมาสู่การวิเคราะห์สภาพจิต ณ ปัจจุบัน
“เคสที่ต้องอึ้ง ชายวัยประมาณ 40 กว่าๆ เขาสามารถระลึกไปได้ถึง 3 ชาติ ซึ่งผมยังไม่เคยเจอเลย ก็ดีใจมาก นั่นแสดงว่าเขาคนนั้นมีจิตที่นิ่งมาก”
เคสต่อมา เป็นคนสูงอายุ มองเห็นไปได้ถึง 2 ชาติ หรือกรณีผู้หญิงคนหนึ่งที่มาบำบัดจิตเมื่อปี 2544 เธออ่านหนังสือของ ดร.ไบรอัน แล้วจึงมาพบอาจารย์ ผู้หญิงคนนี้ระลึกชาติได้ว่าเธอคือ คริสเตียน ลอเรนซ์ ผู้พิพากษาที่มีชีวิตอยู่ในปี ค.ศ.1870
ทุกวันนี้ชนาธิปยังพยายามค้นหาความจริงว่า คริสเตียน ลอเรนซ์ มีตัวตนอยู่จริงหรือไม่ ในสมัยไหน และที่ใด
“การสะกดจิตไม่ได้เป็นการนอนหลับ และไม่ใช่การคิดไปเองแน่นอน”
เมื่อมีข้อสงสัยจากบางคนที่ไม่เชื่อ หลายคนมองว่าเป็นเรื่องเพ้อฝัน หรือเกิดจากภาพลวงตาในจิตใต้สำนึก
แต่ก็มีอีกหลายคนมองในอีกด้าน ไม่ได้คิดว่าเป็นการบำบัด แต่มองด้านลบว่าการสะกดจิตเป็นเรื่องไสยศาสตร์ บางคนใช้ไปในทางลบ เช่นอ้างตัวเป็นเทพ อันนี้คือใช้ไปในทางที่ผิดจุดประสงค์
ทุกวันนี้ ที่ชมรมจะมีการอบรมเดือนหนึ่งเป็นร้อยคน จากเมื่อหลายปีก่อนมีคนสนใจมาฝึกอบรมเพียงเดือนละ 4-5 คน
“คนที่มาอบรมส่วนมากจะนำไปใช้ในอาชีพการงาน เช่น ช่วยฝึกสติ ฝึกจิต ทำให้มีสมาธิ พวกครูก็มาฝึกอบรม เพื่อนำไปใช้แก้ปัญหาและวิเคราะห์พฤติกรรมของลูกศิษย์
นักขายหรือนักการตลาดก็จะใช้ไปในทางโน้มน้าวใจคน และที่คนอยากจะระลึกชาติได้ ผมคิดว่าเป็นเพราะเขาอยากจะรู้จักตัวเอง จะนำมาสู่การไขปมปัญหาบางอย่างในชีวิตภพนี้ของเขา การสะกดจิตบำบัด เป็นการช่วยตรวจสอบสภาพจิตของคน ซึ่งมันสามารถแปลผลและวิเคราะห์พฤติกรรม ณ ปัจจุบันของคนคนนั้นได้”
สำหรับผู้สนใจ ชนาธิปแนะว่า จะต้องเข้ามาเป็นสมาชิกของชมรมฯเสียก่อน เพื่อเรียนรู้และรับข้อมูลเบื้องต้น ซึ่งต้องใช้เวลาเรียนรู้ผ่านขั้นตอนหลายระดับ เริ่มจาก “พลังจิตขั้นพื้นฐาน” ทำความรู้จักกับตัวเอง เข้าใจจิตเบื้องลึกของตัวเอง และเรียนรู้เทคนิคในการควบคุมจิตใต้สำนึก
ผ่านขั้นพื้นฐาน จึงไปสู่การฝึกในระดับ “พลังจิตขั้นประยุกต์” มีองค์ประกอบหลักในการเรียนรู้คือ การควบคุมตัวเองได้ และควบคุมผู้อื่นได้ ซึ่งหมายถึงการแสวงหาและเลือกวิธีการครองใจผู้อื่น
ระดับสุดท้าย “พลังจิตขั้สูง”น เป็นศาสตร์ที่ลึกซึ้งและเร้นลับ ที่จะทำให้ผู้ฝึกในระดับนี้ผ่านไปรู้วิธีที่จะเอาชนะ อุปสรรคและเข้าใจจิตใจตัวเองรวมถึงคนอื่นๆได้อย่างถ่องแท้ ทันคน รู้จักวิธีปกป้องตัวเองและคนใกล้ชิด
การฝึกพลังจิตขั้นสูงไม่ใช่เรื่องง่าย คนที่มาหามักจะมาเพื่อให้ช่วยสะกดจิตระลึกชาติ บางคนก็มาให้สะกดจิตบำบัดเพื่อแก้ปัญหาทางใจ หรือไม่ก็เพื่อบำบัดโรคบางอย่าง
สมารถใช้ประโยชน์ได้อย่างกว้างขวางตามที่ต้องการให้สำเร็จในอาชีพการงานอย่างมาก   

ที่มา:http://www.yimwhan.com


บันทึกการเข้า

หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป: