เรื่องราวพลังแห่งจินตนาการ ทั้งที่พิสูจน์ได้และไม่ได้ ที่เกิดขึ้นบนโลกใบนี้
หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: เรื่องราวพลังแห่งจินตนาการ ทั้งที่พิสูจน์ได้และไม่ได้ ที่เกิดขึ้นบนโลกใบนี้  (อ่าน 3382 ครั้ง)
kittanan_2589
.กลุ่มผู้มีน้ำใจงาม.
member
*

คะแนน630
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2363


NightBaron


เว็บไซต์
« เมื่อ: ตุลาคม 14, 2010, 07:33:06 PM »



... สำหรับคนทั่วไปที่ไม่เคยรู้จักหรือใช้พลังจิตมาก่อน พลังจิตเป็นสิ่งลี้ลับที่คนทั่วไปไม่สามารถใช้ได้ นอกจากผู้ที่มีการฝึกจิต (แบบที่มนุษย์ทั่วไปไม่มีทางทำได้) จนแก่กล้าแล้วเท่านั้น จึงใช้พลังจิตได้แต่ รู้ใหมครับ คนที่ใช้พลังจิตได้แล้วจะคิดว่าพลังจิตนั้น แท้ที่จริงเป็นเรื่องธรรมดามากๆ คนธรรมดาทั่วไปทุกคน (รวมทั้งคุณด้วย) เกิดมาพร้อมศักยภาพในการใช้พลังจิตอยู่แล้วครับ เหมือนกับที่คนปกติทุกคนเกิดมาพร้อมกับศักยภาพที่จะสามารถขับรถหรือพูดภาษา อังกฤษได้นั่นแหละครับ ซึ่งในทางกลับกัน ถ้าเราไม่เคยพูดภาษาอังกฤษ มันก็พูดไม่ได้ หรือไม่ได้พูดนานๆสักสิบปี มันก็พูดไม่ได้ พลังจิตก็เหมือนกันแหละครับ ถ้าเราไม่เคยใช้ หรือไม่ได้ใช้นานๆ มันก็ใช้ไม่ได้ แค่นั้นเองจริงๆ ซึ่งความจริงแล้วถ้าคุณยังไม่เคย ผมกำลังจะให้คุณลองใช้พลังจิตตอนนี้เลย พร้อมใหมครับ ถ้าพร้อมแล้ว ไปเลย !

1. นั่งหลังตรง ทำใจให้สบาย ผ่อนคลาย
2. หายใจช้าๆ ลึกๆ เบาๆ นุ่มนวล
3. ค่อยๆ เอานิ้วชี้มือขวา แตะที่กลางฝ่ามือซ้าย ลองสังเกตความรู้สึกที่กลางฝ่ามือที่ถูกแตะ มันจะยังไม่พบอะไรเป็นพิเศษตรงนี้ ไม่ต้องกังวล
4. ค่อยๆ เปลี่ยน เอานิ้วชี้ซ้ายแตะที่กลางฝ่ามือขวา ลองสังเกตความรู้สึกที่กลางฝ่ามือที่ถูกแตะเช่นกัน
5. เอามือมาใกล้ๆ กันคล้ายกับประคองลูกบอล ให้มือห่างกันประมาณ 1 ฟุต ลองสังเกตความรู้สึกที่กลางฝ่ามือ แล้วค่อยๆ เอามือเข้าใกล้กันช้าๆ สังเกตความรู้สึกที่กลางฝ่ามือเสมอ คุณอาจรู้สึกคล้ายสัมผัสอะไรจางๆ บางคนอาจรู้สึกถึงความร้อน ความหนา หรือบางคนอาจรู้สึกถึงการเคลื่อนไหว ยินดีด้วย คุณได้ใช้พลังจิตสำเร็จไปแล้ว ! ในวงการเราเรียกสิ่งนี้ว่า PSI BALL (ดูรูปประกอบ)



เห็น ไหมครับ พลังจิตไม่ยาก... เอ่อ เอาล่ะ ที่ยากมันก็มีครับ แต่ที่ผมอยากให้คุณรู้ในครั้งแรกนี้ก็คือ ทุกคนสามารถใช้พลังจิตได้ คุณสามารถใช้พลังจิตได้ ก่อนที่จะบอกคุณว่าพลังจิตคืออะไร ผมอยากให้คุณรู้ว่า พลังจิตไม่ใช่ปาฏิหาริย์เท่านั้นแหละ เอาล่ะ ผมยังไม่ลืมหรอกครับ บทนี้ชื่อว่า พลังจิตคืออะไร พลังจิต ก็คือ ความสามารถตามธรรมชาติของมนุษย์ ที่เกิดขึ้นจากศักยภาพของจิต ครับ แค่นั้นเอง หมายความว่า ถ้ามีคนอ่านใจคนอื่น เขากำลังใช้พลังจิต ถ้ามีคนมองเห็นพลังออร่า เขากำลังใช้พลังจิต ถ้ามีคนมองเห็นเพื่อนคุณที่อยู่คนละจังหวัดกับคนที่ทำการมอง เขากำลังใช้พลังจิต ถ้ามีคนใช้เวทย์มนต์คาถา เขากำลังใช้พลังจิต ถ้ามีคนกำหนดเหตุการณ์ให้เป็นไปตามที่เขาต้องการ เขากำลังใช่พลังจิต โดยเฉพาะอันสุดท้าย การกำหนดให้สิ่งต่างๆ เป็นไปตามที่เราต้องการ เป็นพลังจิตครับ ที่จริงทุกคนเคยใช้พลังจิตมาแล้วทั้งนั้น เวลาเราสอบ เรากำลังใช้พลังจิตทำให้ตัวเราทำข้อสอบได้ เวลาเราเตะฟุตบอล เรากำลังใช้พลังจิตทำให้เราเตะได้ดี แต่พวกเราไม่รู้ว่านั่นเป็นพลังจิต เราไม่รู้ว่าเรากำลังใช้พลังจิตได้แล้ว เราเลยไม่เคยพัฒนาพลังจิตแบบต่างๆ นั่นเอง

อย่าง ไรก็ตาม ในสายตาคนทั่วไป พลังจิตอาจแบ่งออกไปได้อีกหลายอย่าง เช่น การอ่านใจ การรักษา การบังคับวัตถุ การมองเห็นในระยะใกล การหยั่งรู้อนาคต หูทิพย์ ตาทิพย์ สัมผัสทิพย์ การสะกดจิต ฯลฯ เหล่านี้ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเป็นพลังจิตครับ และผมหวังว่า บล็อกนี้จะช่วยให้คุณเข้าใจ และอาจจะสามารถทำสิ่งเหล่านี้ (พลังจิต) ได้ ซึ่งผมจะอธิบายต่อไปแบบ step by step ... แล้วเจอกันครับ ...

สรุป
1. พลังจิตไม่ใช่ปาฏิหาริย์ มนุษย์ทุกคนมีศักยภาพที่จะใช้พลังจิตได้
2. พลังจิตฝึกได้ พัฒนาได้ และลืมได้

 ส่งข้อความผ่าน MSN ถึง Siani_3D
   
เรื่องราวพลังแห่งจินตนาการ ทั้งที่พิสูจน์ได้และไม่ได้ ที่เกิดขึ้นบนโลกใบนี้
1) พลังจิต คืออะไร ? / Psychic Power ?

... สำหรับคนทั่วไปที่ไม่เคยรู้จักหรือใช้พลังจิตมาก่อน พลังจิตเป็นสิ่งลี้ลับที่คนทั่วไปไม่สามารถใช้ได้ นอกจากผู้ที่มีการฝึกจิต (แบบที่มนุษย์ทั่วไปไม่มีทางทำได้) จนแก่กล้าแล้วเท่านั้น จึงใช้พลังจิตได้แต่ รู้ใหมครับ คนที่ใช้พลังจิตได้แล้วจะคิดว่าพลังจิตนั้น แท้ที่จริงเป็นเรื่องธรรมดามากๆ คนธรรมดาทั่วไปทุกคน (รวมทั้งคุณด้วย) เกิดมาพร้อมศักยภาพในการใช้พลังจิตอยู่แล้วครับ เหมือนกับที่คนปกติทุกคนเกิดมาพร้อมกับศักยภาพที่จะสามารถขับรถหรือพูดภาษา อังกฤษได้นั่นแหละครับ ซึ่งในทางกลับกัน ถ้าเราไม่เคยพูดภาษาอังกฤษ มันก็พูดไม่ได้ หรือไม่ได้พูดนานๆสักสิบปี มันก็พูดไม่ได้ พลังจิตก็เหมือนกันแหละครับ ถ้าเราไม่เคยใช้ หรือไม่ได้ใช้นานๆ มันก็ใช้ไม่ได้ แค่นั้นเองจริงๆ ซึ่งความจริงแล้วถ้าคุณยังไม่เคย ผมกำลังจะให้คุณลองใช้พลังจิตตอนนี้เลย พร้อมใหมครับ ถ้าพร้อมแล้ว ไปเลย !

1. นั่งหลังตรง ทำใจให้สบาย ผ่อนคลาย
2. หายใจช้าๆ ลึกๆ เบาๆ นุ่มนวล
3. ค่อยๆ เอานิ้วชี้มือขวา แตะที่กลางฝ่ามือซ้าย ลองสังเกตความรู้สึกที่กลางฝ่ามือที่ถูกแตะ มันจะยังไม่พบอะไรเป็นพิเศษตรงนี้ ไม่ต้องกังวล
4. ค่อยๆ เปลี่ยน เอานิ้วชี้ซ้ายแตะที่กลางฝ่ามือขวา ลองสังเกตความรู้สึกที่กลางฝ่ามือที่ถูกแตะเช่นกัน
5. เอามือมาใกล้ๆ กันคล้ายกับประคองลูกบอล ให้มือห่างกันประมาณ 1 ฟุต ลองสังเกตความรู้สึกที่กลางฝ่ามือ แล้วค่อยๆ เอามือเข้าใกล้กันช้าๆ สังเกตความรู้สึกที่กลางฝ่ามือเสมอ คุณอาจรู้สึกคล้ายสัมผัสอะไรจางๆ บางคนอาจรู้สึกถึงความร้อน ความหนา หรือบางคนอาจรู้สึกถึงการเคลื่อนไหว ยินดีด้วย คุณได้ใช้พลังจิตสำเร็จไปแล้ว ! ในวงการเราเรียกสิ่งนี้ว่า PSI BALL (ดูรูปประกอบ)


เห็น ไหมครับ พลังจิตไม่ยาก... เอ่อ เอาล่ะ ที่ยากมันก็มีครับ แต่ที่ผมอยากให้คุณรู้ในครั้งแรกนี้ก็คือ ทุกคนสามารถใช้พลังจิตได้ คุณสามารถใช้พลังจิตได้ ก่อนที่จะบอกคุณว่าพลังจิตคืออะไร ผมอยากให้คุณรู้ว่า พลังจิตไม่ใช่ปาฏิหาริย์เท่านั้นแหละ เอาล่ะ ผมยังไม่ลืมหรอกครับ บทนี้ชื่อว่า พลังจิตคืออะไร พลังจิต ก็คือ ความสามารถตามธรรมชาติของมนุษย์ ที่เกิดขึ้นจากศักยภาพของจิต ครับ แค่นั้นเอง หมายความว่า ถ้ามีคนอ่านใจคนอื่น เขากำลังใช้พลังจิต ถ้ามีคนมองเห็นพลังออร่า เขากำลังใช้พลังจิต ถ้ามีคนมองเห็นเพื่อนคุณที่อยู่คนละจังหวัดกับคนที่ทำการมอง เขากำลังใช้พลังจิต ถ้ามีคนใช้เวทย์มนต์คาถา เขากำลังใช้พลังจิต ถ้ามีคนกำหนดเหตุการณ์ให้เป็นไปตามที่เขาต้องการ เขากำลังใช่พลังจิต โดยเฉพาะอันสุดท้าย การกำหนดให้สิ่งต่างๆ เป็นไปตามที่เราต้องการ เป็นพลังจิตครับ ที่จริงทุกคนเคยใช้พลังจิตมาแล้วทั้งนั้น เวลาเราสอบ เรากำลังใช้พลังจิตทำให้ตัวเราทำข้อสอบได้ เวลาเราเตะฟุตบอล เรากำลังใช้พลังจิตทำให้เราเตะได้ดี แต่พวกเราไม่รู้ว่านั่นเป็นพลังจิต เราไม่รู้ว่าเรากำลังใช้พลังจิตได้แล้ว เราเลยไม่เคยพัฒนาพลังจิตแบบต่างๆ นั่นเอง

อย่าง ไรก็ตาม ในสายตาคนทั่วไป พลังจิตอาจแบ่งออกไปได้อีกหลายอย่าง เช่น การอ่านใจ การรักษา การบังคับวัตถุ การมองเห็นในระยะใกล การหยั่งรู้อนาคต หูทิพย์ ตาทิพย์ สัมผัสทิพย์ การสะกดจิต ฯลฯ เหล่านี้ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเป็นพลังจิตครับ และผมหวังว่า บล็อกนี้จะช่วยให้คุณเข้าใจ และอาจจะสามารถทำสิ่งเหล่านี้ (พลังจิต) ได้ ซึ่งผมจะอธิบายต่อไปแบบ step by step ... แล้วเจอกันครับ ...

สรุป
1. พลังจิตไม่ใช่ปาฏิหาริย์ มนุษย์ทุกคนมีศักยภาพที่จะใช้พลังจิตได้
2. พลังจิตฝึกได้ พัฒนาได้ และลืมได้

2) จิตใต้สำนึก / Subconscious Mind



นคราวที่แล้ว เราเรียนรู้ว่าเราทุกคนสามารถใช้พลังจิตได้ (และหลายคนสามารถพิสูจน์ได้) คราวนี้ เราจะเริ่มเรียนรู้การทำงานของพลังจิต โดยเริ่มจาก รู้จักกับจิตใต้สำนึก (Subconscious Mind) คำว่าจิตใต้สำนึกนี้ เราจะพบในหนังสือ เวบไซต์ และสถาบันที่ศึกษาเรื่องพลังจิตแทบทุกที่ ว่ากันว่า จิตใต้สำนึกของเรานั้นมีพลังไร้ขีดจำกัด และว่ากันว่า ถ้าเราไม่รู้จักจิตใต้สำนึกแล้วเราใช้ความสามารถเพียง 7% แล้วก็ว่ากันว่า (อีกแล้ว) ว่าในการใช้พลังพิเศษ เราต้องใช้พลังจากจิตใต้สำนึก สรุปแล้วจิตใต้สำนึกมันทำไมสำคัญนัก มันคืออะไรกันแน่ ในครั้งนี้เราจะคุยกันถึงเรื่องนี้กัน

เรื่องของจิต จิตสำนึก และจิตใต้สำนึก
ก่อน อื่น เราต้องทำความเข้าใจว่าจิตคืออะไรกันแน่ เพราะจริงๆ แล้ว คำว่า "จิต" เองมีการใช้กันอย่างสับสน บางทีเราจะพูดว่าจิตแข็ง นั่นแสดงถึงระดับความมานะและความดื้อรั้น จิตตก นั่นหมายถึงหมดกำลังใจ จิตหลอน นั่นหมายถึงการรับรู้ข้อมูลซึ่งผิดปกติ ฯลฯ แต่สำหรับบทความนี้ เราจะพูดถึงจิตที่หมายถึงสิ่งที่เรารับรู้ จริงๆ แล้ว รอบๆ ตัวเรานี้เต็มไปด้วยสิ่งต่างๆ มากมาย ทั้งที่มีรูปร่างและไม่มีรูปร่าง บางอย่างพบเห็น ได้ยิน ได้กลิ่น หรือรับรู้ได้ง่ายๆ เช่น หน้าจอ



คอมพิวเตอร์นี้ มือของคุณ และคีย์บอร์ด เป็นสิ่งที่จิตเรา รับรู้ได้ง่ายๆ ซึ่งก็คือจิตของเราสามารถสำนึกถึงสิ่งเหล่านี้ได้ง่าย แต่ในทางกลับกัน มีบางอย่างที่รับรู้ยาก เช่น การเต้นของหัวใจ การไหลของพลาสม่าบนจอมอนิเตอร์ วิญญาณ และความรู้สึกของคนอื่นที่อยู่รอบๆ เรา ที่ปกติเราจะไม่รู้สึก และนั่นหมายความว่า จิตของเราไม่ได้สำนึกถึงสิ่งเหล่านั้น ดังนั้น จิตสำนึก ก็คือ การรับรู้ของจิต ถ้า เราสำนึกผิด แสดงว่าเรารับรู้กระบวนการต้นสายปลายเหตุที่แท้จริงของสิ่งที่เราพลาด แต่ถ้าเราไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเราทำอะไรผิด (เรายังไม่สำนึกผิดเลย) เราจะเรียกสิ่งที่อยู่นอกเหนือจิตสำนึก ซึ่งเราจะไม่รู้สึกว่าเป็นเรื่องที่อยู่ใต้จิตสำนึก ว่า จิตใต้สำนึก  นั่นเอง เช่นเวลาที่เราไม่รู้สึกถึงการเต้นของชีพจร การเต้นของชีพจรก็อยู่ในข่ายจิตใต้สำนึก เวลาที่เราเกิดโกรธใครโดยไม่รุ้ตัว เราก็โกรธจากจิตใต้สำนึก ระวังอย่าเข้าใจผิด! หลายๆ คนและหนังสือหลายๆ เล่มพยายามจัดประเภทของกิจกรรมและเรื่องราวต่างๆ แต่ละอย่างว่าเป็นเรื่องของจิตสำนึกหรือจิตใต้สำนึก แต่จริงๆ แล้วอย่าลืมว่า ขอบเขตของมันอยู่ที่การรับรู้ ถ้าเรารู้โดยชัดเจน มันคือจิตสำนึก การระลึกชาติปกติเราไม่รู้ ดังนั้นมันคือจิตใต้สำนึก แต่ในขณะที่คุณระลึกชาติอยู่ และทำได้สำเร็จ มันกลายเป็นเรื่องของจิตสำนึก ดังนั้นที่สุดแล้วไม่มีอะไรที่เป็นจิตสำนึกหรือจิตให้สำนึกเสมอไปหรอก มันขึ้นอยู่กับระดับการรับรู้

พลังพิเศษของจิตใต้สำนึก ...
ถ้า สมมุติเราปิดหน้าจอคอม เราก็จะเล่นคอมไม่ได้ (ถึงแม้จะเปิดเครื่องแล้วก็ตาม) เช่นเดียวกัน ถ้าเราไม่สำนึกหรือรับรู้ถึงสิ่งใด เราก็ย่อมไม่สามารถใช้สิ่งนั้นได้ฉันนั้น ดังนั้น เราจะทำอะไร เราต้องทำให้สิ่งนั้นมาอยู่ในขอบเขตของจิตสำนึกของเรา รวมถึงพลังจิตการเข้าถึงอาณาเขตของบางอย่างที่เคยเป็นจิตใต้สำนึกนี่แหละ ที่มักจะเรียกกันว่า การเปิดจิตใต้สำนึก แต่จริงๆ เราแค่ขยายเขตของจิตสำนึกออกไปจนครอบคลุมเรื่องที่เราจะทำนั่นเอง จิตใต้สำนึกไม่ได้เปิดหรือปิดจริงๆ หรอกครับ แต่มันเหมือนกับว่าเราแหย่เข้าไปในเขตที่เคยเป็นของจิตใต้สำนึกเท่านั้น เอาละ พอเราขยายจิตสำนึกหน้าจอเปิด เราก็เล่นคอมได้ ถ้าเรารู้สึกถึงพลังปราณ เราก็หัดใช้ปราณได้ ถ้าเรารู้สึกถึงอารมณ์อย่างทันเวลา เราก็อาจจัดการอารมณ์ได้ และจริงๆ แล้ว ยังมีสิ่งต่างๆ รอบตัวเราที่รอให้เรารับรู้และใช้งานอีกมากมายมหาศาล นั่นเป็นเหตุผลที่หลายคนจะบอกคุณว่า พลังที่แท้จริงของมนุษย์ซ่อนอยู่ในจิตใต้สำนึกไงล่ะ!
ตัวอย่างแรก - เวลาไฟใหม้ หลายๆ คนจะสามารถยกของหนักกว่าตัวมากๆ แล้ววิ่งได้สบายๆ ซึ่งโดยปกติแล้ว ถ้าไฟไม่ไหม้จะทำไม่ได้ เพราะกลไกการออกแรงนั้นอยู่ในจิตใต้สำนึก พวกเขาจึงบังคับมันไม่ได้
ตัวอย่างที่สอง - บางทีเรารับรู้อนาคตอย่างเลือนรางสุดๆ จนใช้อะไรไม่ได้ นั่นเป็นเพราะความสามารถในการหยั่งรู้และอำนาจจิตอื่นๆ ส่วนใหญ่อยู่ในจิตใต้สำนึก
ตัวอย่างที่สาม - ไอเดียหรือความรู้บางอย่างที่ไม่มีใครคิดได้มาก่อน จริงๆ แล้ว ไอเดียเหล่านั้นมีอยู่มากมายในจิตใต้สำนึก แต่เรามองไม่เห็นมันจึงไม่สามารถคิดเรื่องนั้นได้
นั่นคือ ถ้าเราขยายจิตใต้สำนึกออกไปมากพอ เราจะรับรู้และมีโอกาสที่จะทำสิ่งต่างๆ มากกว่าเดิม

สัญชาติญาน ...
ใน บางสถานการณ์ เรามักทำอะไรที่เราไม่เคยทำได้โดยไม่รู้ตัว เช่นวิ่งหนีอะไรบางอย่างด้วยความเร็วและความอดทนราวกับนักกีฬาตัว จริง..เพราะตกใจ! หรือบางครั้ง เวลาที่เราต้องเลือกอะไรสักอย่าง เราอาจรู้สึกเหมือนต้องเลือกสิ่งของชิ้นหนึ่งอย่างไม่ทราบสาเหตุ และพบภายหลังว่า นั่นเป็นทางเลือกที่ฉลาดที่สุดแล้ว จริงๆ แล้วตลอดเวลาทีเราใช้ชีวิต จิตของเราได้เก็บข้อมูลและเรียนรู้สิ่งต่างๆ ตลอดเวลา เพื่อให้เราเอาตัวรอดจากอันตรายได้ทันโดยไม่ต้องผ่านกระบวนการคิด โดยที่การตอบสนองต่ออันตรายนี้จะทำงานโดยอัตโนมัติ นั่นคือ ต่อให้เราไม่รู้และไม่ได้สั่ง มันก็ยังทำงาน ใช่แล้วไม่รู้และไม่ได้สั่ง มันก็ถือเป็นจิตใต้สำนึก และแท้ที่จริงข้อมูลและทักษะมหาศาลตั้งแต่การกะพริบตาไปจนถึงการรักษาด้วย พลังจิตและพลังอื่นๆ อีกมาก ได้ถูกบันทึกไว้ในส่วนของสัญชาติญาน แต่มันอยู่ในจิตใต้สำนึก เพราะอะไรน่ะหรือ? มันก็เหมือนโปรแกรมคอมพิวเตอร์สำหรับมือใหม่นั่นแหละ อะไรที่เราไม่จำเป็นต้องสนใจเขาก็ทำมาให้เป็นค่าอัตโนมัติก่อน ไว้ถ้าเราชำนาญเมื่อไหร่ค่อยดัดแปลงเอา ไม่งั้นปรับมั่วมันจะพังเอาน่ะสิ

การปรับเปลี่ยนระดับจิตใต้สำนึก ...
บอก ตามตรงว่าจริงๆ แล้ว วิธีการฝึกเพื่อเปลี่ยนระดับจิตใต้สำนึกนั้นมีเป็นพันครับ และแต่ละวิธีก็เหมาะกับแต่ละคนในแต่ละช่วงเวลา ไม่มีวิธีไหนเป็นวิธีที่ดีที่สุด คุณต้องลองเอง หลักการก็ง่ายๆ การจะฝึกวิ่ง ก็คือวิ่ง การจะฝึกการรับรู้ ก็คือรับรู้
นี่เป็นตัวอย่างบางวิธีครับ
1. เวลาที่เราเข้าไปในสถานที่ใหม่ๆ หรือพบคนใหม่ๆ พยายามสัมผัสความรู้สึกที่เกิดขึ้นในใจเรา ความรู้สึกบางอย่างออกมาจากสถานที่หรือบุคคลที่เราติดต่อด้วย
2. ถ้าว่าง จัดท่าทางให้สบาย ทำใจให้สบาย ผ่อนคลาย ไม่จำเป้นต้องหลับตา หายใจเข้าออกช้าๆ ลึกๆ ยาวๆ นับจังหวะหายใจเข้าและออกให้เท่ากัน ความยาวไม่สำคัญเท่าจังหวะ ต้องให้สม่ำเสมอเท่ากันทั้งเข้าออก ถ้าจะเปลี่ยนความยาวก็ต้องเปลี่ยนให้เท่ากันด้วย ทำแบบนี้ไปสักพัก จะรู้สึกสบาย จิตจะละเอียดขึ้น กำหนดจุดสนใจไปที่ลมหายใจ ตัดความสนใจเรื่องอื่นๆ ออกไป จากนั้นขยายออกไปทั่วตัว สัมผัสการเคลื่อนไหวภายใน ลมหายใจ ปอด แรงสะเทือน ฯลฯ ขยายออกไปอีก สัมผัสอากาศรอบๆ ตัว รอบๆห้อง และขยายออกไปอีกถ้าทำได้ แน่นอน เราต้องรู้สึกถึงสิ่งที่อยู่ในขอบเขตนั้นด้วย ไม่ว่าอะไรที่มีอยู่ในนั้นแม้เล็กน้อย เราต้องรู้สึกมันทุกรายละเอียด เพียงแค่รับรู้เฉยๆ อย่าไปวุ่นวายตัดสินหรือคิดอะไรต่อเนื่อง ระหว่างที่ทำแบบนี้ จะมีความคิดหลุดออกมาโดยไม่ได้ตั้งใจ แรกๆ เราจะควบคุมมันไม่ได้ อย่าซีเรียสครับ มันควรจะเป็นแบบนั้น แต่ที่จะต้องทำให้ได้คือ ดูมัน ว่ามันเป็นความคิดหรือความรู้สึกอะไร และที่สำคัญ อย่าไปตัดสินว่ามันดีหรือไม่ดี สำรวจมันอย่างธรรมชาติ การสำรวจความจิตและความคิดในขณะที่มันทำงานโดยอิสระเป็นจุดสำคัญของแบบฝึก นี้ ขอให้ฝึกจนชำนาญ แบบฝึกนี้จะเป็นพื้นฐานให้กับแบบฝึกหลังๆ ครับ

สรุป
1. จิตสำนึก คือขอบเขตที่เรารับรู้ได้ ซึ่งไม่แน่นอน ขึ้นอยู่กับระดับของจิต
2. ในจิตใต้สำนึก มีสิ่งต่างๆ ซ่อนอยู่มากมายรอให้เราค้นพบและเล่นกับมัน
3. โดยธรรมชาติ เราจะไม่ได้สัมผัสและควบคุมจิตใต้สำนึกตั้งแต่ต้น เพื่อป้องกันความผิดพลาดจากความรู้เท่าไม่ถึงการณ์
4. การฝึกเปลี่ยนระดับจิตใต้สำนึก มีหลักการง่ายๆ แค่ตั้งใจรับรู้และสังเกตรายละเอียดของสิ่งที่เป็นเป้าหมายในการฝึก โดยเริ่มฝึกจากการฝึกสังเกตความรู้สึกนึกคิดของเราเอง

3) ความฝัน / Dreams



 จากคราวที่แล้ว เราเรียนรู้ความหมายของจิตใต้สำนึก เราเริ่มสังเกตว่ามันอาจมีสิ่งต่างๆ ทำงานอยู่ในระบบของมันโดยที่เราไม่เคยรู้เลยว่ามันทำอะไร เพื่ออะไร ในจิตใต้สำนึกนั้น และเราเริ่มหัดที่จะเข้าสู่จิตใต้สำนึกแบบง่ายๆ แล้ว (หวังว่าทำได้แล้วใช่ใหม?... เยี่ยมมากครับ) งั้น คราวนี้ เราจะไปกันต่อในส่วนของจิตใต้สำนึกที่สำคัญ และยากขึ้นอีกหน่อย.. "ความฝัน" ...

น่า สงสัยมาก ว่า ทำไมมนุษย์ถึงเกิดมาพร้อมกับความสามารถที่จะเพลิดเพลินกับความฝันที่ไม่มี อยู่จริง จริงหรือ! ที่ฟังก์ชันนี้เป็นไปเพื่อสร้างความสำราญเพียงอย่างเดียว โดยไม่มีสาระอะไรเลย? ข่าวดี! มันไม่ไร้สาระ เรื่องนี้เป็นอย่างที่คุณหวังไว้.. ความฝันเป็นกระบวนการทำงานที่สำคัญมากของวิญญานมนุษย์

ก่อน อื่นที่จะเข้าใจความฝัน เราต้องเข้าใจลักษณะที่สำคัญประการหนึ่งของมนุษย์ คือ ความสามารถในการปรุงแต่งความต้องการใหม่ๆ ได้ ซึ่งสัตว์ทุกชนิดทำได้เพียงต้องการและแสวงหาตามสัญชาติญาน ไม่มีการเป็นอย่างอื่นอีก วัวเกิดมาก็กินนม แล้วก็หญ้า ไม่มีวัวตัวไหนสนใจอยากกินซึชิ หรือไก่งวงอบ แค่หญ้า.. แต่มนุษย์เท่านั้นนับวันจะคิดค้นของกินเพิ่มขึ้นได้เรื่อยๆ และต้องการในสิ่งต่างๆ ใหม่ๆ เพิ่มขึ้นอย่างไม่มีสิ้นสุด
แต่แย่จัง! ความต้องการของมนุษย์สุดจะประมาณได้ แต่ความสามารถในการทำความต้องการให้เกิดขึ้นจริงกลับไม่ได้ใกล้เคียงเลย สิ่งที่หวังไว้เอาแต่ละคนเข้าจริงทำได้แค่จิ๊ดเดียวนอกนั้น เวลาผ่านไป ความต้องการมันก็หายไปเอง มันหายไปยังไง..? หายด้วยฝันนั่นแหละ!

เวลา ที่ความต้องการเกิดขึ้น ความต้องการก็คือพลังงานในมิติทิพย์ชนิดหนึ่ง ซึ่งเวลาที่พลังงานเกิดขึ้นแล้ว มันไม่มีทางหายไปเฉยๆ ครับ แต่มันจะต้องถูกใช้แปรสภาพไปเป็นพลังงานอย่างอื่น เป็นการกระทำ เป็นความคิด เป็นการพูด พอใช้หมด พลังงานความต้องการก็จะหมดไป (แต่จะกลายเป็นพลังงานอย่างอื่นต่อ..ไม่หายไปนะ) แต่โอ้อนิจจา บางทีคนเราเลือกที่จะไม่ทำตามความต้องการของตนเพราะเหตุผลมากมาย บาป กลัวล้มเหลว ขี้เกียจ ฯลฯ ทีนี้แหละครับ พลังงานความต้องการที่เราไม่ยอมเอาไปใช้เปลี่ยนเป็นพลังงานอย่างอื่น ก็ไม่สามารถไปไหนได้ แต่จะเก็บกดอยู่ข้างใน (ส่วนใหญ่ไม่รู้ตัว) พอเราล้มตัวลงนอน จิตใต้สำนึกเป็นอิสระจากส่งรบกวนในชีวิตประจำวัน มันจะทำการเผาผลาญพลังงานความต้องการที่มากเกินไป โดยการเอาพลังงานนั้นมาสร้างทำเป็นหนังครับ แล้วเรื่องที่ออกมา ก็เกี่ยวกับความต้องการที่ค้างอยู่นั่นแหละ ยิ่งหนังความฝันซับซ้อน ยาว และเหมือนจริงเท่าไหร่ ก็ต้องใช้พลังงานสูง และหมายถึงกำจัดพลังงานส่วนเกินได้มากด้วย แต่ถ้าพลังงานความต้องการมากเกิน (หรือเราไปเพิ่มเข้าเรื่อยๆ ในเรื่องเดิมๆ) อาจต้องฉายหลายรอบครับ ถึงจะหมด

นั่นแหละครับ การทำงานของความฝัน เพื่อเปลี่ยนแปลงถ่ายเทพลังงานตกค้าง

แต่ เดี๋ยวก่อน! นอกจากพลังงานความต้องการแล้ว บางทีโปรแกรมฝันยังเปลี่ยนสัญญานจากเบื้องบน หรือสัญญานจากจิตใต้สำนึกที่จะแนะนำเราในการใช้ชีวิต ให้กลายสัญญานรูปรสกลิ่นเสียง.. คือเป็นฝัน และไม่ว่ากรณีไหน หากเรารู้สึกและจดจำความฝันได้ ยิ่งมีประสิทธิภาพครับ ถ้าสมมุติฝันเผาผลาญพลังงาน มันจะเผาได้สนิทขึ้น ถ้าฝันบอกใบ้ยิ่งจำเป็น (ไม่งั้นบอกอะไรมา ลืมหมดก็จบกัน)

ดังนั้น จริงๆ แล้ววิชา Dream Recall มีประโยชน์กว่าวิชา Dream Control อีกครับ เอ้า หาสมุดวางไว้หัวนอนได้! ...

สรุป
1. ฝันเป็นโปรแกรมที่มหัศจรรย์มากๆ
2. การทำงานของฝัน คือการเปลี่ยนแปลงและถ่ายเทพลังงาน
3. บางครั้งฝันคือการถ่ายทอดสัญญานแนะนำการใช้ชีวิต
4. เราสามารถช่วยให้ฝันทำงานดีขึ้นได้ ด้วยการฝึกจำความฝัน (Dream Recall)


บันทึกการเข้า

kittanan_2589
.กลุ่มผู้มีน้ำใจงาม.
member
*

คะแนน630
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2363


NightBaron


เว็บไซต์
« ตอบ #1 เมื่อ: ตุลาคม 14, 2010, 07:38:58 PM »

 4) พลังงานออร่า / Aura Energy

.. เป็นยังไงบ้างครับ สบายดีกันหรือเปล่า คุณได้อ่านเรื่องการฝึกพลังจิตมาได้สามตอนแล้ว และผมหวังว่า คุณได้ฝึกบ้างแล้วใช่ใหมครับ ผมแนะนำให้คุณฝึกตามไปอย่างเป็นขั้นตอน อย่าใจร้อน เพราะผมจะเขียนบล็อกนี้แบบ step by step ถ้าคุณยังทำแบบฝึกหัดแรกๆ ไม่ได้ คุณจะทำแบบฝึกหัดหลังๆ ได้ยากมากขึ้นทุกทีๆ ครับ

ก่อนจะอ่านบทที่ 4 นี้ คุณยังจำแบบฝึกหัดในบทแรกได้ใหมครับ บอลพลังปราณ (PSI Ball) ในบทนี้เราจะมาทำอะไรที่ยากกว่านั้นหน่อย คือ "การตรวจสอบพลังงานออร่าด้วยมือ" วิธีการดังนี้ครับ
1. ทำ PSI Ball แรกๆ คุณควรทำแบบนี้เพื่ออุ่นเครื่องให้กับมือของคุณ แต่ถ้าคุณชำนาญแล้ว คุณอาจข้ามขั้นนี้ไป
2. เปลี่ยนจากฝ่ามือหันหากัน เป็นนำฝ่ามือข้างใดข้างหนึ่ง ไปจับพลังงานที่เหนือแขนอีกข้างหนึ่ง เริ่มจากไกลๆ ก่อน แล้วค่อยๆ เลื่อนเข้าหากันช้าๆ เลื่อนมือเข้า-ออกจากแขน แล้วสังเกตความรู้สึก
3. เปลี่ยนไปสัมผัสพลังงานจากจุดอื่นๆ บนร่างกาย หัว ลำตัว ขา ฯลฯ ตามแต่จะชอบ สลับมือได้ตามที่ต้องการ
ที่ สำคัญ ต้องผ่อนคลายตลอดครับ ในการสัมผัสพลังงาน และการใช้พลังจิตทุกชนิดต้องผ่อนคลายเสมอ ยิ่งเกร็งมันยิ่งไม่ได้ผลครับ นี่เป็นอีกจุดหนึ่งที่สำคัญ

จะสังเกตว่าในครั้งนี้ คุณได้สัมผัสพลังงานมากขึ้น ดังนั้นในบทนี้เรามาเรียนรู้ลักษณะทั่วไปของพลังงานกันดีกว่า

1. ออร่าของแต่ละคน จะมีลักษณะไม่เหมือนกัน
สนาม พลังของแต่ละคน จะไม่มีทางเหมือนกันเป๊ะเลยครับ อย่างมากก็แค่คล้ายๆ ไม่ว่าจะเสียง สี แสง สัมผัส สนามแม่แหล็ก หรืออื่นๆ ยังไงก็ไม่เหมือนแน่ ทุก



คนมี "ความถี่" ของตัวเอง
เวลา ที่ความถี่ของใครใกล้ๆ กัน มันจะมีความรู้สึกคุ้นเคย รู้สึกเป็นธรรมชาติ เราจะ "ต่อติด" ง่าย ซึ่งบางทีการที่มันสอดคล้องนี่ก็อาจจะมาจากความเกี่ยวข้องหรือคล้ายคลึงทาง อารมณ์ นิสัย วิธีการใช้ชีวิต สภาพแวดล้อม ฯลฯ ในทางกลับกัน มันก็มีที่แบบว่าพลังงานมีตวามถี่ต่างกันสุดๆ ไปเลย ซึ่งส่วนใหญ่นี่ทำให้เกิดความอึดอัดหรือไม่ชอบขี้หน้าตั้งแต่แรกพบโดยที่ไม่ รู้ว่าทำไม ทั้งที่จริงๆ คนคนนั้นอาจไม่มีปัญหาหรือเลวร้ายอะไรหรอกครับ ยังไงก็ตาม ถ้าออร่ามันขัดกันนะครับ เราอยู่ใกล้ๆ กันไปนานๆ มันจะทำปฏิกิริยาบางอย่างทำให้ออร่ามันปรับเข้าหากันเองครับ แล้วจากที่ว่ามานี้ เป็นที่มาของกฏ "การดึงดูดคนแบบเดียวกัน" นั่นเอง หมายความว่า.. เราเป็นยังไง เราก็มีแนวโน้มจะพบเจอคนที่เป็นแบบนั้นแหละครับ

2. ออร่าของแต่ละคนถ่ายเทซึ่งกันและกันได้
เวลา ที่เราไปติดต่อหรือพบปะกับใครพลังงานออร่าของเราจะแลกเปลี่ยนกันไม่มากก็ น้อยครับ ขึ้นอยู่กับว่าระดับความถี่มันไกล้กันแค่ไหน แล้วก็ติดต่อกันมาก



แค่ไหน ซึ่งจะมีทั้งการรับพลังหรือส่งพลังก็ได้
แต่ อย่างไรก็ตามถ้าเราไม่รู้จักวิธีจัดการกับพลังงาน บางครั้ง เราอาจสะสมเอา "ขยะ" พลังงานมาไว้โดยไม่รู้ตัว บางทีเราอาจมีอารมณ์หรือไอเดียแปลกๆ หลังจากที่คลุกคลีกับคนบางคน บางคนเราอยู่ใกล้ๆ แล้วเหนื่อย บางคนอยู่ใกล้ๆ แล้วคึกคัก บางคนอยู่ใกล้ๆ แล้วอยากจะบ้าโดยที่เราไม่ได้ทำอะไรต่างจากปกติเลย แต่มันเกี่ยวกับพลังงานรอบๆ ตัวเราต่างหาก
ทุกอย่าง ไม่ว่าคน สัตว์ สิ่งของ ต่างก็มีพลังออร่าทั้งนั้น และนั่นทำให้ไม่เพียงคนที่มีผลกระทบต่อเรา สัตว์ (โดยเฉพาะสัตว์เลี้ยงที่ปรับความถี่แล้ว) สถานที่ และแน่นอน ต้นไม้ ล้วนส่งผลต่อพลังงานของเราทั้งนั้นครับ โดยทั่วไปแล้วต้นไม้มีความสามารถที่จะเอาพลังงานเสียๆ ของเราไปจากเราแล้วหมุนเวียนใช้ประโยชน์



ต่อได้ และคงไม่ต้องยืนยันว่าการพักผ่อนใต้ร่มไม้จะช่วยทำให้เราฟื้นตัวได้ดีกว่าการนั่งในที่ทั่วๆ ไปมาก จริงไหมครับ

นอก จากนั้น ยิ่งนานวันผมเองเริ่มค้นพบว่า คริสตัลส่งผลกระทบต่อสนามพลังงานในตัวเราได้อย่างน่าสนใจมาก คริสตัลแต่ละอย่างและแต่ละชิ้นจะส่งผลกระทบต่อเราไม่เหมือนกันเลย (แต่ชนิดเดียวกันก็จะใกล้เคียงกัน) และด้วยความที่มันสามารถขนย้ายได้ง่ายกว่าต้นไม้ คริสตัลจึงเป็นเครื่องมือในการบำบัดฟื้นฟูที่ดีมากครับ

3. ยิ่งนาน ยิ่งลึกซึ้ง ยิ่งกระทบต่อพลังงาน และจะยิ่งมีร่องรอยเหลือไว้
นอก จากเรารับผลจากสิ่งแวดล้อมแล้ว ส่งแวดล้อมก็รับผลจากเราด้วยครับ สมมุติเรานอนบนเตียงเดิมนานๆ พลังงานของเตียงนั้นจะถูกปรับให้สอดคล้องกับเราครับ แล้วทีนี้คุณคงเคยเห็นคนที่เวลาไปนอนที่อื่นแล้วนอนไม่หลับ ทั้งที่เตียงสุดแสนจะสบาย ก็เพราะพลังงานมันไม่ตรงกันนั่นเอง หรือแม้แต่เพื่อน แรกๆ อาจจะไม่ค่อยคุ้น แต่นานๆ ไปจะเริ่มมีความรู้สึกนึกคิดใกล้เคียงกัน หรืออาจเริ่มไปไกลเกินเพื่อน (อาฮ่า!) หรืออย่างเด็กๆ บางคนที่กอดตุ๊กตาเน่าๆ มานานๆ เวลาใครเอาตุ๊กตาหรือผ้าห่มเน่าๆ นั่นไปทิ้งแล้วเอาของใหม่ สบายกว่า นุ่มกว่า สวยกว่ามาให้ เด็กๆ ส่วนใหญ่จะไม่ชอบครับ เขาชอบอันเก่า เพราะพลังงานของผ้าขี้ริ้วนั่นมันตรงกับเขา เขากอดมันแล้วรู้สึกสบายกว่าอันใหม่เป็นไหนๆ

หลักการนี้เองที่เป็นพื้นฐานให้กับพลังจิต Psychometry เวลาที่นักพลังจิตจับสิ่งของที่เคยถูกใครใช้มานานๆ เขาจะรู้ข้อมูลบางอย่างเกี่ยวกับผู้ใช้ เพราะเขาสัมผัสและตรวจสอบจากร่องรอยของพลังงานที่ตกค้างอยู่บน "หลักฐาน" นั้นๆ ซึ่งแน่นอน ของที่ไม่มีความสำคัญหรือไม่ค่อยได้ใช้ก็จะอ่านยากกว่า

อย่าง เวลาทำงานร่วมกับคนอื่น สมมุติเพื่อนร่วมงานสองคนฉลาดเท่าๆ กันทุกอย่าง เราจะทำงานได้ดีกับคนที่คุ้นเคยกว่าครับ อันนี้ไม่แปลก แต่เบื้องหลังก็คือพลังงานมันสอดคล้องกันและไม่ตีกันเองนั่นแหละครับ ยิ่งถ้าสมมติมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งมากๆ โดยเฉพาะความสัมพันธ์ทางเพศ พลังงานจะกระทบ (ทั้งที่ดีและไม่ดี) ต่อกันมากครับ

อย่าง เวลาตายจากกัน ร่องรอยพลังงานของผู้ตายบนตัวของคนที่ยังอยู่ จะสลายตัวอย่างรวดเร็วจนเกิดความแปรปรวนอย่างมาก การร้องไห้ตีโพยตีพายเป็นกระบวนการปรับพลังงานตามธรรมชาติ ยิ่งพลังงานประทับไว้มาก ยิ่งจำเป็นต้องร้องมากครับ



4. สภาพออร่า บ่งบอกสุขภาพ อารมณ์ จิตและวิญญานของเจ้าของ
สี ความสว่าง ความชัด ขนาด และรูปทรง ของออร่า บ่งบอกสภาพของเจ้าของได้เสมอ (แต่ระวัง ต้องตีความสิ่งที่เราเห็นดีๆ นะครับ)
ยัง ไงซะ โดยทั่วไป ออร่าที่ไม่ดีจะดูไม่งาม หมองคล้ำ บิดเบี้ยว ซีด บาง แหว่ง ส่วนออร่าที่ดีก็จะตรงข้ามครับ สดใสสะอาด สวยงามได้รูป ส่องสว่างกว้างไกล (ไม่ใช่แสงสว่างทางฟิสิกส์นะ) ส่วนสีต่างๆ ก็จะมีความหมายต่างกันออกไป ซึ่งภายหลังหากเราฝึกไปมากๆ เราก็จะรู้ว่าสีแบบไหนหมายถึงอะไร โดยประสบการณ์

แต่ ระวัง! สภาพของคนคนหนึ่งไม่คงที่ เดี๋ยวดี เดี๋ยวแย่ได้ ดังนั้นออร่าก็ไม่คงที่เหมือนกัน สมมุติเรามองเห็นคนหนึ่งเป็นสีแดง แล้วเวลาผ่านไปมองอีกทีเป็นสีเขียว เราอาจไม่ได้กำลังอ่านผิดครับ ...

สรุป
1. ออร่าของแต่ละคน จะมีลักษณะไม่เหมือนกัน
2. ออร่าของแต่ละคนถ่ายเทซึ่งกันและกันได้
3. ยิ่งนาน ยิ่งลึกซึ้ง ยิ่งกระทบต่อพลังงาน และจะยิ่งมีร่องรอยเหลือไว้
4. สภาพออร่า บ่งบอกสุขภาพ อารมณ์ จิตและวิญญานของเจ้าของ
บันทึกการเข้า
kittanan_2589
.กลุ่มผู้มีน้ำใจงาม.
member
*

คะแนน630
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2363


NightBaron


เว็บไซต์
« ตอบ #2 เมื่อ: ตุลาคม 14, 2010, 07:41:15 PM »

5) พลังแห่งการผ่อนคลาย / Power of Relaxation

.. หลายคนอาจเคยดูกีฬาหรืออาจเคยเข้าแข่งกีฬาเองเลย คุณสังเกตเห็นใหมครับว่าถ้าแมตช์ไหนนักกีฬาเครียด เขาจะเล่นได้แย่กว่าฝีมือปกติของเขา โดยไม่เกี่ยวกับสภาพร่างกาย โดยเฉพาะกีฬาที่ใช้ความแม่นยำและจังหวะมากกว่าพละกำลังตรงๆ เช่น ตีกอล์ฟ ยิงปืน บาสเก็ตบอล เบสบอล ฟุตบอล ฯลฯ นี่เห็นชัด ทำไมมันเป็นอย่างนั้น ทำไมโค๊ชทุกคนรู้ดีว่าเขาต้องทำให้นักกีฬามั่นใจและเล่นโดยไม่เครียดถึงจะ แสดงฝีมือได้เต็มที่ ...

มัน คือพลังจิตที่ช่วยให้นักกีฬายิงลูกหรือเคลื่อนไหวออกไปด้วยแรงที่เหมาะสม ในตำแหน่งที่พอดี ในจังหวะที่ถูกต้องครับ หากนักกีฬาอาศัยเพียงสมรรถภาพทางกายกับแค่ทำตามสูตรในหนังสือกีฬาอย่างเดียว โดยไม่อาศัยพลังจิตแล้วเล่นได้ดี เราจะไม่ต้องมีกองเชียร์และไม่มีคำว่าตื่นสนามเลยในวงการกีฬาครับ แต่ที่มันเป็นอย่างนั้นเพราะพลังจิตมีส่วนสำคัญต่อศักยภาพในการทำสิ่งต่างๆ ของมนุษย์ ไม่เพียงแต่ กีฬาเท่านั้น ทุกกิจกรรมเกี่ยวกับพลังจิต การสอบ การคิด ประดิษฐ์ ทำงานศิลปะ การแสดง หรือสร้างสรรอะไรก็ตามจะไม่ได้ผลดีหากเราไม่ผ่อนคลาย

และ ถ้าใครชอบดูหนัง คงต้องเคยได้ยินชื่อ สตาร์ วอร์ STAR WARS มาบ้าง และหากเราโชคดีได้ดู จะสังเกตว่าเหล่าอาจารย์เจไดจะเตือนลูกศิษย์ตลอดเวลาว่า ... Relax ... (ซึ่งแปลว่าผ่อนคลาย) โดยส่วนตัวแล้วผมเองไม่อยากให้เราเชื่อตามสิ่งที่ปรากฏในหนังเลยแม้แต่อย่าง เดียว จนกว่าจะได้ทดลองแล้ว แต่ว่าอย่างไรก็ตาม ผมพบว่าพลังจิตเกือบทั้งหมด (หรืออาจจะทั้งหมด) จะทำงานไม่ได้เลยหากเราผ่อนคลายไม่ดีพอ

สำหรับ คนที่ไม่ได้คุ้นเคยกับการใช้พลังจิต สิ่งนี้อาจฟังดูไม่สมเหตุสมผล เราคุ้นเคยกับคำพูดที่ว่าความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั่น และ เราคุ้นเคยกับภาพในหนังที่เห็นคนใช้พลังจิตเพ่งอยู่กับการรีดเค้นพลังจิตออก มาจนตัวสั่นเหงื่อท่วม แต่จริงๆแล้ว ในโลกของพลังจิต ถ้าเราเครียดขนาดนั้น นอกจากไม่ทำให้พลังจิตได้ผลแล้ว มันกลับยิ่งทำให้พลังจิตทำงานน้อยลงครับ ขอย้ำ ว่าน้อยลง สำหรับกิจกรรมทางโลกทั่วไปหากไม่ใช้พลังจิตเราอาจรู้สึกว่าผลงานมันออกมา ฝืดๆ ไม่เต็มที่แค่นั้น แต่ในทางพลังจิต การไม่สามารถผ่อนคลายมันทำให้ผลออกมาแย่จริงๆ หรือไม่เกิดผลอะไรเลยด้วยซ้ำครับ

วิธี การผ่อนคลายนั้นมีมากมาย ซึ่งแต่ละวิธีก็เหมาะกับรสนิยมและระดับฝีมือของแต่ละคน ไม่มีวิธีที่ดีที่สุดสำหรับทุกคนทุกสถานการณ์หรอกครับ ผมเองก็ใช้อยู่หลายวิธี แล้วแต่ว่าขณะนั้นเหมาะกับวิธีใหน แต่ผมชอบวิธีนี้ที่สุด วิธีของผมแบ่งออกได้เป็นสองส่วน คือ - การระบาย และ การพัก



การระบาย
1. เอาฝ่ามือไปทาบกับวัตถุอะไรก็ได้ เตียง พื้น หินพรมต้นไม้ ที่ดีที่สุดเป็นพื้นดิน แต่ถ้าไม่สะดวก ก็เอาอะไรก็ได้ครับ (แต่ไม่ควรเป็นคนหรือสัตว์)
2. กำหนดภาพพลังความฟุ้งซ่านจากในตัวเรา อาจสมมุติให้มันมีลักษณะอย่างไรก็ได้ตามที่เรารู้สึกว่ามันควรจะเป็นแบบนั้น เช่นอาจเป็นสายน้ำสีเทา หรืออะไรก็แล้วแต่ หากคุณไม่เห็นหรือไม่รู้สึกถึงพลังความฟุ้งซ่าน ก็แค่กำหนดอะไรขึ้นมาสักอย่างแล้วสมมุติว่านั่นเป็นความฟุ้งซ่าน ไม่ว่าเราจะรู้สึกจริงๆ หรือแค่สมมุติก็ตาม มันได้ผลอยู่ดีหากเราเปิดใจทดลอง
3. ปล่อยความฟุ้งซ่านนั่นออกไปตามแขนและมือ ผ่านฝ่ามือไปยังวัตถุเป้าหมายที่เราวางฝ่ามือไว้
4. ระบายออกไปเรื่อยๆ จนรู้สึกสงบ เป็นอันเสร็จการระบายพลังงานส่วนเกิน



การพัก (ต่อจากการระบาย)
1. นอน ไม่จำเป็นต้องใช้หมอน หรืออาจใช้ถ้าไม่ชอบนอนราบจริงๆ ท่าที่ดีที่สุดคือท่านอนหงายธรรมดาที่ทางโยคะเรียกว่าท่าศวอาสนะ (Corpse Posture) แต่หากทำไม่ได้ก็ใช้ท่าตามสะดวก หรือจะนั่งบนเก้าอี้นวมก็ได้ครับ แต่ที่สำคัญต้องแน่ใจว่าไม่ต้องออกแรงพยุงตัวเลยแม้แต่นิดเดียว คือสามารถหลับไปในท่านั้นได้เลย
2. หายใจนุ่มๆ ช้าๆ ลึกๆ ยาวๆ
3. เริ่มที่ปลายนิ้วเท้า ผ่อนคลายนิ้วเท้า ปล่อยความเครียดออกจากนิ้วเท้าให้หมด เราควรรู้สึกว่านิ้วเท้าเบา สบาย
4. มาที่เท้าทั้งหมด ผ่อนคลายเท้าให้สบาย
5. ไล่ขึ้นมาตามแข้ง เข่า ต้นขา ก้น
6. ขึ้นมาตามสะโพก ลำตัว เอว หลัง ซี่โครง อก ค่อยๆ ผ่อนคลายให้สนิท
7. คอ ไหล่ บ่า สะบัก (บ่าด้านหลัง) แขน ศอก ข้อมือ ฝ่ามือ นิ้วมือ
8. ผ่อนคลายคอ คาง ขากรรไกร ปาก แก้ม จมูก หู ลูกตา เบ้าตา หว่างคิ้ว (สำคัญมาก) หน้าผาก หนังหัว
9. ควรจะครบ สำรวจว่ายังเหลือที่ใดที่ยังไม่ผ่อนคลาย พักให้หมด เป็นอันจบการผ่อนคลาย
นี่คือวิธีการฝึก ระบาย+ผ่อนคลาย

อย่าง ไรก็ตาม สังเกตว่ามันจะใช้เวลาพอสมควร จริงๆแล้วในการใช้พลังจิตเราไม่จำเป็นต้องเตรียมผ่อนคลายเต็มรูปแบบอย่างนี้ ทุกครั้งไปครับ เพียงแต่แรกๆคุณควรฝึกทำแบบนี้จนร่างกายเกิดความเคยชินแล้ว มันจะทำงานโดยอัตโนมัติเร็วขึ้นไปเอง หากเราชำนาญ แค่พอคิดจะผ่อนคลายก็ผ่อนคลายเสร็จแล้วครับ

สรุป
1. ขณะที่เราไม่ผ่อนคลาย เราไม่สามารถใช้พลังจิตได้
2. วิธีการผ่อนคลายมีมากมาย ไม่มีวิธีใหนที่ดีที่สุด ให้เลือกใช้ตามความเหมาะสม
บันทึกการเข้า
kittanan_2589
.กลุ่มผู้มีน้ำใจงาม.
member
*

คะแนน630
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2363


NightBaron


เว็บไซต์
« ตอบ #3 เมื่อ: ตุลาคม 14, 2010, 07:44:01 PM »

6) การอ่านพลังงานจากวัตถุ / Psychometry



.. ต่อไปเราจะมาเริ่มใช้พลังจิตกันมากขึ้น ด้วยการหัด Psychometry ซึ่งก็คือการอ่านพลังงานจากวัตถุ (ของจริงไม่มีแสงนะครับ ไม่ต้องทำท่าแบบนี้ด้วย) ซึ่งมันจะเป็นพื้นฐานให้พลังอย่างอื่นด้วย ถ้าคุณไม่ฝึกอันนี้ พลังจิตต่อๆ ไป จะยิ่งฝึกยากครับ
แต่ก่อนอื่น ผมขอให้คุณทำอะไรอย่างหนึ่งก่อน
1. หาที่สงบๆ นั่งนิ่งๆ
2. ไม่คิดอะไร ทำใจให้ว่าง หายใจช้าๆ ลึกๆ เบาๆ
3. จดจ่อที่ลมหายใจ ช้าๆ ลึกๆ เบาๆ อย่างอื่นจะเป็นยังไงช่างมัน (สำคัญ)
4. สักพัก โดยไม่ได้ตั้งใจ จะเกิดความสบายขึ้น จิตใจสดชื่น ร่างกายผ่อนคลาย (ตามเคล็ดrelax)
ถ้าคุณทำได้แบบนี้ ก็นับว่าพร้อมสำหรับการทำ Psychometry

Psychometry คืออะไร ?
Psychometry เป็นการอ่านข้อมูลจากวัตถุครับ เวลาที่เราใช้วัตถุชนิดหนึ่งมากๆ พลังงานบางอย่างจะตกค้างอยู่ในวัตถุนั้น เช่น อารมณ์ ความคิด ความทรงจำ ความรู้สึก ฯลฯ ของผู้ที่ใช้วัตถุนั้นเป็นประจำ ทีนี้ นักพลังจิตสามารถอ่านพลังงานนั้นจากวัตถุได้ครับและถ้าเราฝึก...เราก็ทำได้ และถ้าใช้จนคล่อง มันจะมีประโยชน์มาก

วิธีทำนะครับ
1. ผ่อนคลาย ทำใจให้ว่าง... โดยทำตามวิธีที่แนะนำ 4 ข้อข้างบนครับ
2. จับที่วัตถุที่ต้องการอ่าน ทันทีที่จับ ให้จดจ่อ (Focus) ถึงความต้องการที่จะรู้เรื่องของเจ้าของวัตถุ แต่ก็อย่าเกร็ง อ่านได้หรือไม่ได้ช่างมัน แต่ต้องผ่อนคลาย (Relax)
3. เมื่อเราผ่อนคลาย มันจะคล้ายๆ กับเราหลุดออกจากสมาธิ ไปอยู่ในอารมณ์หรือความคิด หรือความรู้สึก หรือภาพนิมิตแปลกๆ อย่าเพิ่งหยุด แต่ลองสังเกตดูนะครับ นิมิตพวกนั้นจะไม่เกี่ยวกับเรา... ใช่แล้วครับ มันมาจากวัตถุนั้นนั่นเอง สำรวจดูว่ามันคืออะไร

เนื่อง จากพลังงานที่เข้ามา จะเป็นไปได้หลายลักษณะมาก ไม่ว่าจะเป็น อารมณ์ ความรู้สึก ความจำ ความคิด เสียง หรือภาพ หรืออะไรก็ได้ ดังนั้น อย่าพยายามหารูปแบบบข้อมูลเพียงอย่างใดอย่างหนึ่ง อย่าจับแล้วพยายาม หาภาพ หรือฟังเสียง หรืออะไรแบบนั้น ให้ปล่อยใจว่างๆ ผ่อนคลาย แล้วรอดูว่าจะมีอะไรจึงจะได้ผลครับ

เคล็ด ลับอีกอย่างหนึ่งก็คือ ของที่อ่าน ยิ่งเป็นส่วนตัว คือมีคนใช้ของนั้นคนเดียวมานานแล้ว ไม่เคยมีคนอื่นใช้เลย จะอ่านง่าย แต่ถ้าเพิ่งใช้ ก็ไม่ง่าย และยิ่งมีคนใช้หลายๆคน คนละนิดคนละหน่อย อันนี้ไม่น่าจะอ่านอะไรได้แล้วครับ ตัวอย่างของที่อ่านง่าย เช่น แหวน นาฬิกาข้อมือ ตุ้มหู เก้าอี้ตัวโปรด ตัวอย่างของที่อ่านยากมาก เช่น เงินตรา กระดาษชำระ และแหวนที่ยังไม่ทันได้ใส่ เปรียบเหมือนจานใส่อาหาร กินเสร็จแล้วเหลือคราบเศษอาหารติดอยู่ เราจะเดาได้ว่าเป็นอาหารอะไร แต่ถ้าจานนั้นเวียนใส่อาหารหลายชนิดแล้ว เราก็เดายากครับ ต่อให้เต็มจานก็ไม่รู้ว่าอะไรกันแน่

แล้ว ก็ ขอเน้นจุดสำคัญนะครับ ว่าถ้าไม่มีข้อมูลออกมา อย่าบังคับนะครับ เพราะถ้าบังคับ ร่างกายเราจะสร้างภาพขึ้นมาเองซึ่งเราจะแยกไม่ออกเลยว่าเป็นข้อมูลที่อ่าน ได้หรือสร้างเอง ถ้าไม่ได้ก็ยอมรับว่าไม่ได้ครับ แล้วย้อนไปฝึกในบทก่อนๆ... ค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไปครับ อย่าเครียด อย่าลืมว่าการใช้พลังจิตต้อง Focus & Relax เสมอ

สรุป
1. Psychometry เป็นการอ่านพลังงานจากวัตถุ
2. Psychometler (นักพลังจิตที่อ่านพลังงานจากวัตถุ) ที่ดีจะมีทักษะการ Focus และ Relax ที่สมบูรณ์ และเรียนรู้ที่จะไม่บังคับว่าต้องได้ข้อมูลให้ได้
3. เมื่อวัตถุใดถูกใช้ไปนานๆ จะมีพลังงานของผู้ใช้ตกค้างอยู่ ทำให้เราสามารถอ่านได้
4. พลังงานที่ตกค้างมีได้หลายรูปแบบ ภาพ เสียง อารมณ์ ความรู้สึก ฯลฯ
5. วัตถุที่มี "ความเป็นของส่วนตัว" มาก คือยิ่งมีคนที่ใช้น้อยคน จะยิ่งสามารถอ่านพลังงานได้ง่ายขึ้น




บันทึกการเข้า
kittanan_2589
.กลุ่มผู้มีน้ำใจงาม.
member
*

คะแนน630
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2363


NightBaron


เว็บไซต์
« ตอบ #4 เมื่อ: ตุลาคม 14, 2010, 07:50:11 PM »

7) การพยากรณ์โดยใช้ลูกแก้วคริสตัล / Crystal Ball Gazing



ผู้ คนจำนวนมาก เดินเข้าสู่บู๊ธพยากรณ์ ด้วยความหวังที่จะได้พบกับภาพผู้พยากรณ์นั่งสบายๆ อยู่หลังโต๊ะไม้ตัวใหญ่ คลุมด้วยผ้าคลุมสีเข้ม บนโต๊ะมีลูกแก้วคริสตัลขนาดใหญ่ที่งดงามวางสงบนิ่งอยู่ภายใต้แสงเทียน และกลุ่มหมอกควันจางๆ ลอยอ้อยอิ่งอยู่ในลูกแก้ว แต่พวกเขาก็ต้องผิดหวัง เนื่องจาก มิใช่ผู้พยากรณ์ทุกคนจะสามารถใช้คริสตัลบอลในการพยากรณ์ได้

การ พยากรณ์โดยใช้ลูกแก้วคริสตัล เป็นวิธีการพยากรณ์ที่ได้รับการยอมรับ และนับถือจากบุคคลทั่วไปมาเป็นเวลานาน หลักการที่นิยมใช้กันอยู่ทั่วไปเป็นหลักการที่มีต้นกำเนิดมาจากประเทศโรมา เนีย หรือที่รู้จักกันในชื่อ ยิปซี (Gypsy) นั่นเอง นอกจากนี้ ยังมีผู้ใช้หลักการของศาสตร์อื่นๆ ในการพยากรณ์อีกด้วย ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับประเภทหรือขอบเขตของคำตอบที่คาดหวัง เช่น การใช้กสิณหรือฌานในการพยากรณ์ เพื่อค้นหาคำตอบในส่วนลึกของจิต เป็นต้น ทั้งนี้ ในการพยากรณ์ด้วยคริสตัลบอล ผู้พยากรณ์แต่ละคนอาจมีวิธีการมองที่แตกต่างกัน บางท่านอาจมองเข้าไปภายในบอล โดยมีภาพเล็กๆ ปรากฏอยู่ภายใน บางท่านอาจมองโดยเห็นภาพขึ้นมาแทนที่บอลลูกนั้น หรือบางท่านอาจใช้บอลเป็นตัวฉายภาพเข้าไปปรากฏในมโนภาพของตน ไม่มีข้อกำหนดชัดเจนในส่วนนี้ ขึ้นอยู่กับความพอใจของผู้พยากรณ์แต่ละท่าน

เนื่อง จากการพยากรณ์โดยใช้ลูกแก้วคริสตัล เป็นการพยากรณ์ที่ไม่มีสิ่งอื่นมาเป็นสื่อ หรือเป็นสัญลักษณ์ในการชี้แนะคำทำนาย แต่เป็นการใช้พลังจิตในการมองและอ่านโดยตรง ที่เรียกกันว่า Psychic Reading จึงทำให้การพยากรณ์แบบนี้ไม่แพร่หลายมากนักในปัจจุบัน เพราะมีผู้พยากรณ์จำนวนไม่มากนัก ที่สามารถใช้พลังจิตในการวิเคราะห์อดีต ปัจจุบัน และอนาคต รวมถึงบุคคล เหตุการณ์ เรื่องราวต่างๆ ได้จริง ซึ่งต้องอาศัยทั้งความสามารถพิเศษ และการฝึกฝนอย่างถูกวิธี เป็นระยะเวลานานพอสมควรกว่าจะสามารถใช้คริสตัลบอลในการพยากรณ์ให้ผู้อื่นได้


อัน ที่จริง ลูกแก้วคริสตัล หรือคริสตัลบอล เป็นเพียงวิธีการหนึ่งในการพยากรณ์ โดยเลือกใช้วัตถุที่มีผิวเรียบและเป็นมันวาว ในการมองภาพบุคคลหรือเหตุการณ์ต่างๆ ซึ่งในที่นี้ สามารถใช้สิ่งอื่นทดแทนได้ในหลักการเดียวกัน เช่น อ่างหรือชามหรือถ้วยที่ใส่น้ำสะอาดจนเต็มปริ่ม แหล่งน้ำตามธรรมชาติ กระจกเงา ฯลฯ และหากเป็นลูกแก้ว ก็ไม่จำเป็นต้องเป็นลูกแก้วที่ทำมาจากหินธรรมชาติเท่านั้น แก้วที่มนุษย์สังเคราะห์ขึ้น ก็สามารถนำมาใช้ได้เช่นกัน เพียงแต่จะไม่ได้ผลดีเท่าที่ควร เนื่องจากเป็นวัตถุที่ไม่มีพลังงานในตัวเองตามธรรมชาติ ในที่นี้ ผู้เขียนจึงขอแนะนำให้ใช้บอลที่ทำมาจากหินหรือแร่ในธรรมชาติเท่านั้น ส่วนจะเป็นหินหรือแร่ชนิดใด ขึ้นอยู่กับความเหมาะสมและความพอใจส่วนตัวของตัวผู้ใช้เอง (ที่นิยมใช้กันคือ บอลที่ทำมาจาก Rock Crystal หรือ Clear Quartz แต่ราคาจะแพงอยู่สักหน่อย)

ก้าวแรกอันมั่นคง
ก่อน ที่จะหาซื้อบอลที่จะนำมาใช้ ควรเตรียมอุปกรณ์และความพร้อมของผู้ฝึกหัด ให้เรียบร้อยเสียก่อน อุปกรณ์พื้นฐานที่จำเป็นต้องใช้ ได้แก่
1. ผ้าชิ้นเล็ก ควรเป็นผืนใหม่ที่สะอาด เลือกที่เนื้อนุ่มและสามารถซับน้ำได้ดี เพื่อใช้ในการเช็ดทำความสะอาดภายหลังการล้าง อาจเป็นสีขาวหรือดำ หรือสีอื่นๆก็ได้ แต่ควรเป็นสีพื้น คือไม่มีลาย และสีไม่ฉูดฉาดเกินไป
2. ผ้าชิ้นใหญ่ ควรเลือกใช้สีดำหรือสีเข้ม มีเนื้อหนานุ่ม ไม่หยาบกระด้าง ใช้สำหรับห่อหุ้มลูกบอลก่อนและหลังการใช้ อาจใช้ถุงผ้าสีเข้ม หรือหนังสัตว์แทนได้ ที่เลือกใช้ผ้าเนื้อหนานุ่มเพื่อป้องกันรอยขูดขีดซึ่งอาจเกิดขึ้นได้ และใช้สีเข้มเพื่อเป็นการป้องกันพลังงานที่ไม่ดีจากภายนอก ถูกดูดซับเข้าสู่คริสตัลบอล
3. โต๊ะสำหรับวางคริสตัลบอล ควรเป็นโต๊ะที่มีขนาดพอดีกับความต้องการและความพอใจของผู้ใช้ และเป็นโต๊ะที่มั่นคง ไม่เอียง ไม่โยก เพื่อมิให้เป็นการเสี่ยงต่อการที่บอลจะกลิ้งหรือตกเสียหาย



4. ฐานสำหรับวางคริสตัลบอล ใช้สำหรับการวางคริสตัลบอลบนโต๊ะในระหว่างการใช้ ควรเลือกใช้วัสดุที่มีผิวเรียบ และไม่แข็งเกินไป เพื่อไม่ทำให้บอลเป็นรอยขูดขีด ที่สำคัญคือควรเป็นวัสดุธรรมชาติ อาจเป็นไม้หรือหินเนื้ออ่อน หรือโลหะอื่นๆ เช่น ทองคำ เงิน ทองเหลือง ทองแดง ดีบุก ฯลฯ ขึ้นอยู่กับความพึงพอใจของผู้ใช้เป็นหลัก
5. เทียนสีหรือกลิ่นที่เป็นที่พอใจของผู้ใช้ และเครื่องหอมต่างๆ เช่นธูปหอม กำยาน น้ำมันหอมต่างๆ ควรเลือกใช้กลิ่นที่เป็นธรรมชาติ หรือสกัดจากธรรมชาติ และเป็นกลิ่นที่ทำให้ผู้ใช้รู้สึกสงบ เบา สบาย และมีสมาธิ
6. กล่องหรือภาชนะสำหรับเก็บคริสตัลบอล ควรเป็นวัสดุธรรมชาติที่มั่นคงแข็งแรง เช่นหีบไม้ หรือหนังสัตว์ แต่ไม่ควรใช้กล่องโลหะ เพราะจะปิดกั้นการถ่ายเทอากาศมากเกินไป ภายในกล่องควรบุด้วยผ้าหนาๆนุ่นๆเช่นผ้ากำมะหยี่ หรือพวกขนสัตว์ต่างๆ วัสดุที่ใช้ก็ควรเป็นวัสดุธรรมชาติเช่นกัน เพื่อลดการเกิดไฟฟ้าสถิต
ทั้ง นี้ อุปกรณ์ทั้งหมด ควรผ่านการชำระล้างพลังงานด้านลบ พลังงานที่ไม่ดีและพลังงานที่ไม่พึงประสงค์ออกเสียก่อน อาจใช้การชำระด้วยแสงอาทิตย์ การใช้ควันของเครื่องหอม หรือการชำระด้วยจิตก็ได้

นอก จากนั้น การเตรียมพร้อมของตัวผู้ฝึกหัด เวลาในการฝึก และสถานที่ที่จะใช้ทำการฝึก ก็เป็นปัจจัยสำคัญที่จะทำให้การฝึกหัดเป็นไปอย่างสมบูรณ์ โดยมีข้อกำหนดคร่าวๆ ดังนี้

1. พื้นฐานของจิต
ผู้ ฝึกหัดควรมีพื้นฐานด้านการทำสมาธิหรือการฝึกจิตมาบ้าง (ในกรณีที่มีความสามารถพิเศษด้านนี้อยู่แล้ว อาจไม่ต้องฝึกมากนัก และจะมีวิธีการฝึกอีกแบบหนึ่ง) หรืออย่างน้อย ควรทำสมาธิเป็น สมองซีกขวา ซึ่งควบคุมการทำงานด้านจินตภาพควรทำงานได้ค่อนข้างดี ถึงดีมาก และมีความตั้งใจ มุ่งมั่นในการปฏิบัติ (การเลิกฝึกกลางคันอาจส่งผลเสียต่อการทำงานของสมองและจิตใจ) ผู้ฝึกหัดใหม่ (ไม่มีความสามารถพิเศษอยู่ก่อนและไม่มีพื้นฐานการฝึกจิตหรือสมาธิ) อาจใช้เวลาในการเตรียมความพร้อมของพลังชีวิตและพลังจิตค่อนข้างมาก ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับความสามารถและความพยายามของผู้ฝึกหัด
อย่างไรก็ตาม มิใช่ว่าการมีพื้นฐานการฝึกจิตมาดีหรือมีความสามารถพิเศษอยู่แล้ว จะสามารถซื้อบอลมาใช้ได้ทันที นั่นเป็นไปไม่ได้ การพยากรณ์หรือการฝึกจิตทุกอย่างต้องใช้เวลาในการฝึกปฏิบัติ เพื่อสร้างความคุ้นเคยกับวิถี และความช่ำชองชำนาญ จะใช้เวลามากหรือน้อยขึ้นอยู่กับความสามารถและพรสวรรค์ของแต่ละบุคคล และประสบการณ์ในการใช้ด้วย

2. เวลาในการฝึก
ผู้ ฝึกควรมีเวลาเป็นของตัวเองอย่างน้อยวันละครึ่งถึงหนึ่งชั่วโมงในแต่ละวันใน ช่วงแรก และ หลังจากนั้น ค่อยๆ ลดลงคือไม่ต้องฝึกทุกวันได้ อาจจะเป็น 2-4 วันต่อสัปดาห์แล้วแต่ความสะดวก เวลาที่เหมาะสมต่อการฝึก คือเวลาเย็น ขณะที่ดวงอาทิตย์กำลังจะลับฟ้าแต่ยังไม่มืด หรือหากไม่สามารถฝึกในเวลานั้นได้ ควรเป็นเวลาอื่นที่เรารู้สึกสบาย และผ่อนคลาย สามารถอยู่คนเดียวเป็นเวลานาน และปราศจากความหมกมุ่นกังวลกับชีวิตประจำวัน จะเป็นกลางวันหรือกลางคืนก็ได้ ในที่นี้มีส่วนสัมพันธ์กับสถานที่ด้วย



3. สถานที่ในการฝึก
ควร เป็นสถานที่เงียบสงบ ไม่มีเสียงอึกทึกรบกวน และเราสามารถอยู่คนเดียวได้เป็นเวลานานๆ ไม่จำเป็นว่าจะต้องเป็นในบ้านหรือนอกบ้าน บรรยากาศในสถานที่ควรจะทำให้ผู้ฝึกรู้สึกสงบและสบาย (อาจเป็นห้องนอน ห้องนั่งเล่น หรือห้องพระก็ได้) มีอากาศถ่ายเทสะดวก ไม่ร้อนหรือเย็นเกินไป และมีความชื้นพอเหมาะ ไม่แห้งหรืออับชื้นเกินไปจนรู้สึกไม่สบายตัว หากใช้เครื่องปรับอากาศควรปรับอุณหภูมิให้พอดีกับความต้องการ ไม่หนาวหรือร้อนเกินไป และใช้พัดลมเบาสุด อาจจุดเครื่องหอมได้ตามต้องการ (เครื่องหอมที่มีควันเหาะสำหรับห้องหรือสถานที่ๆเปิดโล่ง ส่วนน้ำมันหอมเหมาะกับห้องที่ใช้เครื่องปรับอากาศ ทั้งยังช่วยควบคุมความชื้นในอากาศด้วย)
ภายในห้องควรมีแสงสว่างไม่มากนัก แค่พอมองเห็นได้ชัดเจนและสบายตา แสงที่สว่างจ้าเกินไปอาจทำให้ไม่สบายตาและรู้สึกกระวนกระวายไม่มีสมาธิ รวมทั้งไม่ควรให้มีแสงส่องตรงสู่คริสตัลบอลหรือตาของผู้ฝึกโดยตรง จะเกิดผลเสียต่อสายตาได้ (แสงที่แนะนำคือแสงจากเทียนจำนวนไม่มากนัก ปิดไฟฟ้าทั้งหมดและจุดเทียนสองถึงสามต้น ก็ค่อนข้างสว่างแล้ว ถ้ายังรู้สึกมืดเกินไปอาจเพิ่มได้อีก ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับขนาดและลักษณะของสถานที่ด้วย)
เสียงในห้องก็เป็น ปัจจัยหนึ่งที่จะช่วยให้การฝึกดำเนินไปด้วยดียิ่งขึ้น บางคนอาจไม่ชอบอยู่ในห้องที่เงียบสนิทและมีแสงสลัวๆ คนเดียว อาจเปิดเพลงบรรเลงเบาๆร่วมด้วยได้ เพลงที่ใช้ควรเป็นเพลงที่ฟังแล้วรู้สึกสงบ ไม่หนวกหู เป็นเสียงในธรรมชาติหรือเป็นเสียงเครื่องดนตรีเดี่ยวๆ ไม่ว่าจะเป็นเครื่องดนตรีของชาติใด ควรเลือกเพลงที่มีท่วงทำนองค่อนข้างช้าเนิบนาบ และราบเรียบ และมีโทนเสียงกลาง ไม่สูงหรือต่ำจนเกินไป

การเลือกซื้อคริสตัล
ใน การเลือกบอลที่จะนำมาใช้นั้น ควรเลือกชนิด สี ขนาด และรูปร่าง ตามความพอใจของผู้ใช้เป็นหลัก ไม่มีกฎเกณฑ์ตายตัวในส่วนนี้เช่นกัน ข้อแนะนำสำหรับผู้ไม่มีประสบการณ์ในการใช้บอลที่ทำจากหินธรรมชาติ คือ พยายามใช้สีที่ดูแล้วสบายตา ไม่ฉูดฉาดเกินไป และเมื่อสัมผัส ตัวท่านเองจะรู้สึกได้ว่า บอลลูกนั้นใช่หรือไม่



ตำหนิ หรือร่องรอยต่างๆ ภายในเนื้อหิน เป็นสิ่งสำคัญอีกประการหนึ่งที่ควรตระหนัก เป็นธรรมดาของบอลที่ทำจากหินธรรมชาติ ที่มักจะมีตำหนิหรือร่องรอยต่างๆภายใน หากเลือกที่จะใช้บอลขนาดใหญ่ ย่อมจะมีตำหนิต่างๆมากขึ้นตามไปด้วย (ที่ไม่มีตำหนิเลยหรือมีน้อยมากก็มีเช่นกัน แต่จะราคาสูงมาก เช่น Clear Quartz Crystal Ball ที่ใสบริสุทธิ์จริงๆ ณ ปัจจุบัน บอลที่มีนำหนักประมาณ 1 กิโลกรัม จะมีราคาอยู่ที่ประมาณสองแสนบาทต่อลูก) การเลือกซื้อควรเลือกชนิด ลักษณะและสีของตำหนิภายในด้วย โดยเลือกบอลที่มีร่องรอยที่งดงามและถูกใจก็พอ อีกทั้งไม่ควรเลือกซื้อบอลที่ตำหนิหรือร่องรอยต่างๆ เหล่านั้น โผล่หรือทะลุมาจนถึงผิวนอก อันจะทำให้พื้นผิวเกิดรอยสะดุดหรือขรุขระเป็นบริเวณกว้าง จะส่งผลต่อการพยากรณ์ที่ไม่ราบรื่น
แต่หากมีเพียงเล็กน้อยก็ไม่มีผลมาก นัก และในระหว่างการซื้อ ควรถามผู้ขายให้แน่ชัดว่า หินชนิดนั้นๆ มีข้อควรระวังในการใช้และการเก็บรักษาอย่างไรบ้าง

ต้อนรับคริสตัลสู่ชีวิต
หลัง จากที่เราซื้อคริสตัลบอลมาแล้ว ให้พยายามตรงกลับบ้านทันที ล้างบอลด้วยน้ำสะอาด และสบู่เหลวเจือจาง (อาจผสมเกลือทะเลเล็กน้อย ขึ้นอยู่กับชนิดของหิน) หลังจากนั้น ใช้ผ้าสะอาดชิ้นเล็กเช็ดให้แห้ง ไม่ต้องถูนะครับ เวลาล้างควรจับให้มั่น เพราะหินส่วนใหญ่จะลื่น อาจทำตกเสียหายได้ หลังจากนั้น ลูบไล้ด้วยน้ำมันหอมเบาๆ ให้ทั่ว แต่ไม่ต้องมากนัก น้ำมันจันทน์ หรือน้ำมันจากอำพันก็เป็นทางเลือกที่ดี
การ ล้างด้วยน้ำในครั้งแรกนั้น เป็นการล้างสิ่งสกปรกทางภายนอกหรือทางกายภาพ ซึ่งอาจติดมาจากกระบวนการผลิตหรือขนส่ง หรือจากการวางอยู่ในร้านค้า ส่วนการลูบไล้ด้วยน้ำมันหอมนั้น เป็นการชำระ ภายใน คือการล้างพลังงานที่ไม่พึงประสงค์ออกจากคริสตัลบอล ในขณะที่ลูบไล้ด้วยน้ำมันหอมนั้น ควรตั้งจิตอธิษฐาน เพื่อช่วยในการชำระสิ่งไม่ดีออกจากคริสตัลบอลด้วย หลังจากนั้น ห่อด้วยผ้าผืนใหญ่ที่เตรียมไว้ แล้วใส่ลงในกล่องหรือหีบที่เตรียมไว้ เก็บไว้อย่างสงบอย่างน้อยหนึ่งสัปดาห์ จึงนำออกมาล้างด้วยน้ำสะอาดอีกครั้ง ก่อนนำไปใช้
ในระหว่างขั้นตอนเหล่านี้ อาจมีการจุดเทียนและเครื่องหอม เปิดเพลงสำหรับฝึกสมาธิเบาๆ และสวดมนต์หรือกล่าวอะไรเล็กน้อย เพื่อเป็นการต้อนรับสมาชิกใหม่เข้าสู่บ้านหรือวิถีการดำเนินชีวิตของเรา

การมองคริสตัลบอลและการพยากรณ์
ดัง ที่ได้กล่าวไปข้างต้น ว่าเราสามารถมองคริสตัลบอลได้ในหลายรูปแบบ ขึ้นอยู่กับความถนัดของผู้พยากรณ์ สิ่งเหล่านี้ จะเกิดขึ้นได้ จากการทดลองฝึกปฏิบัติด้วยตนเองเท่านั้น ไม่มีใครสามารถกำหนดกฎเกณฑ์ที่แน่นอนตายตัวได้
ในการเปิดใช้คริสตัลบอล ครั้งแรก ควรเริ่มในคืนเดือนมืดหรือวันข้างขึ้นต้นๆ (เช่น ขึ้น 1 ค่ำ) เลือกเวลาที่ทุกสิ่งเงียบสงบ และแน่ใจว่าคุณจะไม่ถูกรบกวน หากเป็นไปได้ให้เลือกเวลาพระอาทิตย์ตกแต่ยังไม่มีดดังที่กล่าวไว้แล้ว เนื่องด้วย ชาวโรมาเนียถือว่าเป็น Magical Time หรือเวลาแห่งมายานั่นเอง สภาพของห้องหรือสถานที่ควรจัดตามที่ได้อธิบายไว้ข้างต้น

หลัง จากนั้น นำคริสตัลบอลออกจากล่อง และค่อยๆ เปิดผ้าที่ห่อหุ้มไว้ออก และค่อยๆ วางลงบนโต๊ะ นั่งห่างจากคริสตัลบอลพอสมควร ในระยะที่สบายสำหรับผู้ฝึก ไม่มีข้อกำหนดใดๆ กล่าวไว้ว่าจะต้องนั่งอย่างไรหรือมีระยะห่างเท่าไหร่ แต่ควรเป็นท่านั่งที่สบาย สามารถนั่งได้นานๆ และสามารถทำสมาธิได้ (ส่วนใหญ่ชาวตะวันตกจะไม่ได้นั่งขัดสมาธิเพื่อทำสมาธิแบบของทางตะวันออกนะ ครับ แต่มักจะนั่งบนตั่งหรือเก้าอี้แทน ไม่ก็ยืนไปเลย) ทำจิตให้สงบเพื่อปลุกเร้าและปลดปล่อยพลังงาน Zee (คล้ายกับชี่หรือพลังลมปราณ) วาดมือผ่านบอลเบาๆ 3 ครั้ง อาจมากกว่านี้ ในช่วงต้นของการฝึก แต่ไม่ควรน้อยกว่า 3 ครั้ง และอย่าให้สัมผัสโดนคริสตัลบอล รู้สึกถึงการถ่ายเทหนุนเวียนพลังงานระหว่างมือกับคริสตัลบอล ผ่อนคลายจิตใจและร่างกาย เปิดเปลือกตาช้าๆ มองไปที่ลูกแก้วโดยไม่ต้องเพ่ง เป็นการมองแบบผ่านๆ เหมือนการมองออร่า และไม่ต้องมุ่งหวังว่าจะต้องเห็นสิ่งใดในการฝึกครั้งแรกๆ ไม่ต้องเสียใจหรือพยายามเพ่งมองให้เกิดภาพ จะกลายเป็นการหลอกตัวเองไปเปล่าๆ ในช่วงต้นนี้ ไม่ควรฝึกมองนานเกิน 30 นาทีต่อครั้งต่อวัน ในการมองครั้งแรกนี้ อาจเห็นสิ่งประหลาดบ้าง หรือไม่เห็นอะไรเลย อย่าตกใจและอย่าท้อ ทุกคนย่อมต้องอาศัยการฝึกและการใช้บ่อยๆ รวมถึงการหล่อหลอมประสบการณ์และความชำนาญในการมองภาพ เพื่อสร้างความมั่นใจ และการมองเห็นที่แจ่มชัดขึ้น ไม่มีข้อกำหนดเช่นกันว่าทุกคนจะต้องเห็นเป็นภาพทุกครั้ง บางคนหรือบางครั้งอาจเห็นเป็นสัญลักษณ์ หรือได้ยินเป็นเสียง หรืออาจมีการรับสัมผัสอื่นๆได้อีก ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับเครื่องรับสัญญาณของแต่ละคน

หลัง จากฝึกไปได้ระยะเวลาหนึ่ง สิ่งที่เห็นในช่วงตันนี้มักเป็นกลุ่มหมอก หรือควัน หรือเมฆ ส่วนใหญ่จะเป็นสีขาว แต่ก็มีบ้างที่เป็นสีสันต่างๆออกไปในช่วงแรกอาจยังไม่สามารถตีความหมายใดๆ ได้ ซักระยะหนึ่งของการฝึก กลุ่มเมฆหมอกเหล่านี้ จะค่อยๆจางลงหรือปรากฏเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาเอง หากไม่เห็นอะไร อย่าพยายามฝืนหรือคิดจินตนาการไปเอง เพราะจะกลายเป็นการสร้างภาพ ทำให้คำพยากรณ์ผิดเพี้ยนไป นี่คือหลักการของการใช้ Psychic Reading

การตั้งคำถาม
คำ ถามส่วนใหญ่มักเกี่ยวข้องกับบุคคลหรือสถานที่ หลังจากสามารถมองเห็นภาพต่างๆ ได้ดีพอสมควรแล้ว การฝึกตั้งคำถามในใจ จะช่วยให้การฝึกเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ในช่วงแรกของขั้นตอนนี้ ให้คิดถึงบุคคลหรือสถานที่ อันเป็นที่รู้จักหรือกำลังต้องการพบเจอไว้ในใจ ภาพที่ได้ส่วนใหญ่จะเป็นภาพลอยๆของบุคคลหรือสถานที่นั้น หรือเป็นภาพที่ไม่อาจแปลความหมายได้ ควรฝึกและทดลองตั้งคำถามในใจกับตัวเอง จนเกิดความคล่องแคล่วชำนาญ สามารถตั้งคำถามได้ตามความต้องการของจิตใจ สามารถมองภาพต่างๆ ได้สมบูรณ์ชัดเจนดี และมีความมั่นใจในความสามารถของตนเองอย่างมั่นคงดีแล้ว จึงสามารถออกทำนายให้แก่ผู้อื่นได้ สิ่งที่ควรจำก็คือ การขาดความเชื่อมั่นในพลังและความสามารถของตนและความกังวลหรือประหม่า จะทำให้คุณไม่สามารถใช้พลังของตนเองและของธรรมชาติได้

การพยากรณ์ให้แก่ผู้อื่น
ให้ ทำทุกอย่างตามขั้นตอนที่ได้ฝึกมา (ตอนฝึกอาจจะนานมาก แต่เมื่อเกิดความชำนาญ ขั้นตอนการเตรียมตัวเข้าสู่การพยากรณ์จะใช้เวลาน้อยลง) ให้ผู้รับการทำนายอังมือไว้เหนือคริสตัลบอลสักครู่ พร้อมกับทำใจให้สงบ ตั้งสมาธิถึงสิ่งที่เขาต้องการทราบแล้วจึงเริ่มการทำนาย โดยอธิบายถึงสิ่งที่เราเห็นให้แก่ผู้มารับการทำนาย แต่ต้องจำไว้อย่างหนึ่งว่า อย่าทำนายให้แก่ผู้ใด จนกว่าเราจะมั่นใจในพลังและความสามารถของตน ความประหม่าและกังวลจะนำไปสู่ความผิดพลาดอย่างร้ายแรงในอนาคต อันจะทำให้เราเสื่อมเสีย ...

เครดิต:Siani_3D

ที่มา:http://board.palungjit.com/images/palungjit_logo.gif
    
บันทึกการเข้า
หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป: