ประวัติองคุลีมาล..........
หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: ประวัติองคุลีมาล..........  (อ่าน 15128 ครั้ง)
Nattawut-LSV Team
E23IUY
.กลุ่มผู้มีน้ำใจงาม.
member
*

คะแนน808
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3581


อีเมล์
« เมื่อ: เมษายน 20, 2009, 07:17:14 PM »

เริ่มบุพพกรรมของท่านองคุลีมาล    

กรรมเก่าของท่านองคุลีมาลมาสนอง ก่อนที่ท่านองคุมีมาลจะมาเกิดเป็นคน ท่านได้เกิดเป็นควายป่าที่มีความเก่งกล้าสามารถมาก   มาสารถปราบสัตว์ป่าทุกประเภทให้แพ้ท่านได้ เมื่อปราบสัตว์ในป่าได้ก็เลยออกจากป่ามาปราบควายที่ชาวบ้านเลี้ยง

   ในที่สุดก็ปราบได้ราบคาบ ขวิดวัวควายช้างม้าของชาวบ้านตายบ้าง บาดเจ็บใช้งานไม่ได้บ้าง ชาวบ้านเขาก็โกรธ ต่อมาเข้าก็รวมตัวกันคิดฆ่าควายป่าตัวนี้ จึงทำคอกที่แข็งแรงมาก ทำทางเข้าแต่เข้าได้ไม่ถึงควายที่กักขังไว้ในคอก ทางที่เข้าคอกปากทางใหญ่ แต่พอใกล้จะถึงคอกก็เล็กคับตัวมา แล้วเขาก็เตรียมไม้ไว้เพื่อสอดเข้าไปกันออก เมื่อเสร็จแล้วจึงเอาควายเลี้ยงไว้ในคอกเพื่อเป็นนกต่อ ควรจะเรียกควายต่อมากกว่า

   เมื่อถึงเวลาควาบป่าองคุลีมาลก็ออกจากป่าเพื่อสังหารศรัตรู ความจริงไม่มีใครเป็นศรัตรูท่านเองเที่ยวเป็นศรัตรูกับคนอื่น เดินออกมาก็หาช้างม้าวัวควายไม่พบ เมื่อเดินเข้ามาถึงเขตคอก พวกควายในคอกก็กลัวแต่ไม่ยอมหนี เพราะไม่มีทางหนีออกจากคอกได้ ควายป่าก็เดินไปเดินมาก็เห็นควายพวกนั้นไม่หนี ก็มีความคิดว่าเจ้าพวกนี้ไม่รู้จักราชสีห์ควายเสียแล้ว จะต้องสั่งสอนให้รู้สำนึกว่าเราคือราชสีห์ควาย เดินวนไปวนมาหาทางเข้าไปปราบปรามก็ไม่มีทางเข้า

   พอมาถึงประตูที่เขาทำลวงไว้ ไม่ทันสังเกตก็พุ้งตัวโดยแรงเข้าประตู เมื่อถึงซ่องแคบตัวก็ติดกลับตัวออกก็ไม่ได้เพราะคับมาก ชาวบ้านเห็นเจ้าควายป่าเกเรติดช่องแคบก็รีบมา เอาไม้ใส่สกัดไม่ให้ออกมา ควายป่าก็หมดทางขยับตัว ต่อจากนั้นชาวบ้านที่ต้องเสียหายเพราะสัตว์เลี้ยงถูกทำร้ายใช้งานไม่ได้ เพราะเจ้าควายตัวนี้ รวมกันทั้งหมดพันคนเศษก็ร่วมมือกันตีเจ้าควายป่าจนตาย คนที่ลงมือตีจริง ๆ คงไม่กี่คนนัก แต่คนที่ร่วมกันคิดร่วมทุนกันจัดทำคอก และร่วมใจว่าเจ้าควายตัวนี้ เราต้องฆ่าให้ตาย ขืนปล่อยไว้สัตว์เลี้ยงเราจะตายหมด ความจริงเขาก็คิดในมุมเมตตาสัตว์เลี้ยงและให้ความเป็นธรรมถูกต้องแล้ว





องคุลีมาล
อุกฺขิตฺตขคฺคมติหตฺถสุทารุณณฺตํ
ธาวนฺติโยชนปถงฺคุลิมาลวนฺตํ

อิทฺธีภิสงฺขตมโน ชิตวา มุนินฺโท

ตนฺเตชสา ภวตุ เต ชยมงฺคลานิ ฯ

    มุนินฺโท   พระบรมศาสดาผู้เป็นจอมมุนี,   อิทฺธีภิสงฺขตมโน  มีพระหฤทัยน้อมไปในการที่จะแสดงฤทธิ์,   ชิตวา     ทรงชนะแล้ว ,   องฺคุลิมาลวนฺตํ   ซึ่งโจรชื่อว่าองคุลีมาล ผู้มีนิ้วมือเป็นพวงมาลัย,   อุกฺขิตฺตขคฺค  ผู้เงือดเงื้อดาบ, หตฺถอุกฺขิตฺตขคฺคมติหตฺถ ผู้มีดาบอันเงือดเงื้อไว้แล้ว   สุทารุณนฺตํ   ผู้แสนจะโหดร้ายทารุณ,   ธาวนฺติโยชนปถํ   ผู้วิ่งติดตามไปสิ้นระยะทาง ๓ โยชน์, อิทฺธิวิธินา ด้วยวิธีคือการแสดงฤทธิ์, ชยมงฺคลานิ อันว่าชัยมงคลทั้งหลาย,   ภวตุ   จงมี,   เต   แก่ท่าน,   ตนฺเตชสา   ด้วยเดชแห่งชัยชนะของสมเด็จพระบรมศาสดาพระองค์นั้น

   ถือเอาความหมายคือ “พระพุทธเจ้าต้องการจะแสดงฤทธิ์ แล้วก็ชนะมารชื่อว่าองค์คุลีมาร ผู้มีมือถือดาบอันเงือดเงื้อไว้แล้ว เป็นผู้โหดร้ายทารุณ วิ่งตามพระพุทธเจ้าไปสิ้นระยะทาง ๓ โยชน์ ด้วยวิธีการแสดงฤทธิ์ ขอชัยมงคลจงมีแก่ท่านด้วยเดชแห่งชัยชนะของพระพุทธเจ้านั้น” ถือเอาโดยความหมายก็คือ  พระพุทธเจ้าทรงชนะโจรคนไม่ดีทั้งหลายและยกกาารชนะองคุลีมาลขึ้นมา พระโบราณาจารย์ต้งการจะแสดงพระคุณสมบัติ ของพระพุทธเจ้า ในเรื่องที่คนเหนือคน ที่เรียกว่า   “เป็นมนุษย์เหนือมนุษย์ เป็นเทพเหนือเทพ เป็นพรหมเหนือพรหม ในไตรภพ คือ ใน ๓ โลก”   

   ขอเข้าเรื่องขององคุลีมาล ที่เมืองสาวัตถีของพระเจ้าปเสนทิโกศล เมื่อตอนที่องคุลีมาลจะเกิดนี้ สรรพศาสตราวุธทั้งปวงในบ้านของปุโรหิตาจารย์นั้น ก็เกิดเหตุอาเภศอัศจรรย์เป็นนิมิตบ่งบอกถึงลุกโพลงขึ้นแสดงว่าจะมีเหตุร้ายเกิดขึ้น ปุโรหิตาจารย์นี้เชื่อหมอดูทายทัก เมื่อมีอาการลักษณะเช่นนี้ก็จับยามดูก็รู้ว่า ลูกของตนที่จะเกิดจากครรภ์ของภรรยายั้น จะเป็นโจรผู้ร้ายกาจเที่ยวเข่นฆ่ามนุษย์ต่าง ๆ นานา จึงนำลูกชายของตนซึ่งยังไร้เดียงสา เข้าไปในพระราชวังสำนักให้พระเจ้าปเสนทิโกศลสั่งประหารชีวิต ให้ฆ่าลูกของตนเสีย ถ้าขืนปล่อยไว้จะเป็นภัยใหญ่หลวงในวันข้างหน้า พระราชาท่านก็ทรงไว้ซึ่งความยุติธรรม เด็กแรกเกิดขึ้นมานั้น ยังไม่มีความผิด จะไปประหารชีวิตเขา แล้วชาวบ้านเขาจะติฉินนินทราว่างมงายหรือไร้เหตุผล คือพอเขามาบอกว่าาคนนี้ไม่ดี เขายังไม่ได้ทำความผิดแล้วไปลงโทษเขา การปกครองถ้าเป็นไปในลักษณะเช่นนี้ เพียงแต่ข่าวลือเขาบอกคาดการณ์ว่าเหตุการณ์จะเป็นอย่างนั้น ๆ ด้วยความเชื่อตำราของคนคนเดียว และก็ฆ่าคนที่ยังไม่ทำเหตุร้ายอันให้เกิดขึ้น

   พระองค์ก็ตรัสบอกว่าทำไม่ได้ แต่ปุโรหิตาจารย์นั้นเชื่อแน่ตามตำราว่า นะต้องเป็นคนโหดร้ายทารุณแน่ ก็เลยตั้งชื่อเด็กคนนี้เป็นการแก้เคล็ดเสียว่า   “อหิงสกกุมาร”   แปลว่า เด็กผู้ไม่เบียดเบียนใคร พ่อต้องการจะแก้เคล็ด เมื่อลูกชายเจริญเติบโตขึ้นมาแล้ว ก็ส่งไปเรียนอยู่ในราชสำนัก

   


    แต่กฏของกรรมท่านไม่เห็นด้วย ก่อนตายควายป่าตัวนั้นมันลืมตาดูคนที่รุมฆ่ามันและคิดว่า   “ ชาติหน้ากูขอฆ่ามึงบ้าง ชาตินี้กูคนเดียวมึงรุมกู ชาติหน้ากูคนเดียวจะฆ่าพวกมึงทั้งหมด”   เป็นการจองเวรกันชัด ๆ

   พวกคนที่รุมฆ่าควายตัวนั้น ในชาตินี้มาเกิดเป็นคนในเขตเมืองพาราณสีและในเมืองใกล้เคียง แม่ของท่านองคุลีมาลเองก็อยู่ในกลุ่มที่ฆ่าท่านในชาติก่อนด้วย ชาตินี้ท่านจึงมาเกิดในครรภ์ของคนที่จองจะฆ่าตั้งแต่ชาติก่อน

   ทุกท่านที่อ่านเรื่องนี้แล้วช่วยกันคิดว่า   ลูกที่เราหวังดีบางคนทำไมจึงไม่เห็นใจและไม่เห็นความดีของพ่อแม่ กลับทำลายล้างและเป็นศรัตรูกับพ่อแม่   ให้เอาเรื่องนี้เป็นเครื่องเปรียบเทียบก็แล้วกัน

   เมื่อกรรมเก่าของท่านที่กล่าวมาแล้วเริ่มเข้าสนองใจ ก็เป็นเหตุบันดาลให้คณะศิษย์ที่มาเรียนร่วมกันทั้งหมดมีอารมณ์ริษยามากขึ้น ตอนนี้จะเห็นว่า  อกุศลกรรมที่ทำไว้เข้าสิงพวกเพื่อนก่อน   ทุกคนจึงไปยุยงครูว่า   “ อหิงสกะกุมารจะฆ่าท่านครู และจะยึดสำนักนี้เป็นอาจารย์เจ้าของสำนักเสียเองและเวลานี้กำลังรวบรวมพรรคพวกจะลงมือฆ่าท่านในไม่ช้านี้ ”   



บันทึกการเข้า

Nattawut-LSV Team
E23IUY
.กลุ่มผู้มีน้ำใจงาม.
member
*

คะแนน808
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3581


อีเมล์
« ตอบ #1 เมื่อ: เมษายน 20, 2009, 07:19:24 PM »

 กิริยาอาการทางกาย ทางวาจา ทางใจนั้น   อหิงสกกุมาร   นี้เป็นเป็น   คนที่อ่อนน้อมพูดจาไพเราะ   การเล่าเรียนศึกษาก็เก่งกาจ จนกระทั้งจบหลักสูตรภายในราชสำนัก ก็ไม่มีเหตุอะไรเกิดขึ้น เป็นที่รัก เป็นที่โปรดของพระราชา มหาอำมาตย์ทั้งหลาย ตลอดถึงครูบาอาจารย์ที่สั่งสอน ซึ่งก็เข้าใจกันว่า ปุโรหิตาจารย์พ่อของอหิงสกกุมารนี้จะเลอะเลือน เด็กดี ๆ ถ้าเขาฆ่าเสียตั้งแต่แรกเกิดมันจะโหดร้ายทารุณเกินไป และเป็นคนที่ประชาชนจะไม่เชื่อถือ ไม่นับถือ

   เมื่อจบหลักสูตรภายในราชสำนักตักศิลานี้ คือเป็นดงวิชา ๆ เหมือนยังกะในกรุงเทพมหานคร ที่มีวิทยาลัย มหาลัยต่าง ต่างคนก็อยากให้ลูกนั้นได้มีความรู้ ก็ส่งลูกไปเรียนในสำนักตักศิลา อหิงสกกุมารเข้ามาเรียนในสำนักตักศิลาของอาจาร ย์ทิศาปาโมกข์ อหิงสกกุมารนี้เป็นเด็กที่อ่อนน้อม พูดจาไพเราะช่วยงานของอาจารย์เป็นอย่างดี การเล่าเรียนศึกษา เรียกว่าดีเกินหน้าเพื่อนในจำนวนชั้น ๕๐๐ คนด้วยกัน

   เมื่อเป็นอย่างนี้ ก็เกิดความอิจฉาริษยาขึ้นมาในหมู่ของเพื่อนนักเรียนด้วยกัน เป็นลูกเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดินก็มี เป็นลูกมหาอำมาตย์ราชบุรุษก็มี เป็นลูกปุโรหิตาจารย์ในสำนักต่าง ๆ ของประเทศต่างก็มาก จึงเห็นว่าอหิงสกกุมารผู้นี้ถ้าพูดถึงฐานะก็ต่ำต้อยกว่าตน ทั้งเรียนก็เก่ง อาจารย์ก็รัก ไม่เป็นที่พอใจของบรรดาศิษย์ทั้งหลาย

   อหิงสกกุมารนี้ไม่ทอดทิ้งธุระขยันหมั่นเพียร กระทำทุกอย่าง เหมือนอย่างท่านทั้งหลายที่เข้ามาบวชแล้วรักษาเสนาสนะที่อยู่ที่อาศัยของตนให้สอาดสะอ้าน ช่วยทำกิจวัดคือกวาดลานโบสถ์ ลานเจดีย์ลานวิหาร ลานวัด ตามคติโบราณว่า อยู่บ้านเขาไม่นิ่งดูดาย ทั้งไม่นิ่งดูดาย   ปั้นวัวปั้นควายให้ลูกท่านเล่น   เป็นคำพังเพยที่ว่า อยู่บ้านใครแล้ว อย่าทำให้เจ้าของบ้านอิดระอาใจ ไม่เกลียดคร้านทำบ้านท่านให้เลอะเทอะเประเปื่อนหมั่นปัดกวาด ไปตัดไม้ทำเป็นฟืนและตักน้ำไว้จนเต็มปัดกวาดเช็ดถูเรือนของอาจารย์ เป็นที่โปรดปรานอาจารย์ทั้งหลาย จึงเป็นเหตุให้บรรดาศิษย์ที่มีใจอิจฉาริษยาทั้งหลายไม่พอใจ เพราะดีเกินหน้าของพวกตน   พวกเราจะต้องทำลายล้างเสียให้ให้ถึงความวิบัติแก่อหิงสกกุมาร   

   ฉะนั้น บรรดาศิษย์ทั้ง ๔๙๙ คน ก็คิดที่จะกำจัดอหิงสกกุมารนี้เสียให้พ้นๆ ถ้าขืนอยู่ต่อไปความดีความชอบทั้งหมดก็จักเป็นของอหิงสกกุมารเสียแต่ผู้เดียว จึงได้ประชุมกัน แบ่งแยกเป็น ๓ พวก พวกหนึ่งให้ไปบอกอาจารย์ว่า   “ อหิงสกกุมารคิดการใหญ่ ต่อไปซึ่งภายหน้าจะแย่งชิงตำแหน่งของอาจารย์เสีย จึงแกล้งมาทำเป็นประจบเอาใจทำดีกับอาจารย์ทั้งหลายเพื่อที่จะล่อให้ตายใจ แล้วคิดการที่หลังพวกตนรู้แผนการของอหิงสกกุมมารจึงได้มาบอกให้ท่านอาจารย์ได้รับรู้   อาจารย์ไม่เชื่อศิษย์กลุ่มแรกที่มาใส่ร้ายแก่อหิงสกกุมาร ว่าเป็นไปไม่ได้ว่าศิษย์คนโปรดจะคิดมิดีมิร้ายกับตนเด็ดขาดจึงไม่สนใจศิษย์ที่มาบอกตน

ต่อมาอีกพวกที่ ๒ ก็เข้าไปใหม่ เข้าไปแหย่ว่า   “อาจารย์อย่าไว้ใจทางวางใจคน เห็นอาจารย์หญิงโปรดปรานนัก สักวันหนึ่งอาจจะทำมิดีมิร้ายกับอาจารย์หญิงก็ได้   อาจารย์ได้ยินเช่นนี้ชักหน้ามืด   เอ..ภรรยาเราก็ยังสาวและยังสวย รึมันจะเป็นไปได้...แต่ไม่น่าเป็นไปได้เพราะอหิงสกกุมารนี้เป็นคนที่อ่อนน้อมถ่อมตนไม่มีวี่แววที่จะคิดไม่ดี   จึงยังไม่เชื่อแต่ก็เริ่มครางแครงใจ

   เมื่อเป็นอย่างนี้พวกที่ ๓ ก็เข้าไปใส่ไฟอีก อาจารย์อหิงสกกุมารนี้หน้าเนื้อใจเสือ อาจารย์จะต้องระวัง วันข้างหน้าจะแย่งตำแหน่งและยึดเอาสำนักเป็นของตัว และก็อาจารย์หญิงก็ต้องโดนยึดครองด้วย คราวนี้ได้ผล  ไฟคือราคะ   ไฟคือโทสะ   และไฟคือโมหะ   ความขาดสติสัมปชัญญะ ที่หึงหวงภรรยาสาวและศิษย์ทั้งหมดได้เข้ามาเป่าหูบ่อยๆเข้า  หินผ่าว่าแข็งแกร่งแต่ก็ยังผุกร่อนเพราะน้ำหยดวันละหยด   แล้วจิตใจมนุษย์ธรรมดาอย่างอาจารย์หรือจะทนได้หรือกับลมปากของศิษย์ผู้มีจิตอิดฉาริษยาทั้งหลายได้อย่างไร

   วันหนึ่งสอนหนังสือไป ๆ อาจารย์ก็ใช้กลอุบายปิดตำราเสียไม่สอนเสียอย่างนั้น อหิงสกกุมารก็ฉงนสนเท่ห์ว่า ทำไมอาจารย์จึงปิดตำราไม่สอนต่อไป จึงได้ถามอาจารย์ว่าทำไมจึงไม่สอนต่อไป อาจารย์อุบายขึ้นมาว่า   “ ครูมีมนต์พิเศษอยู่บทหนึ่งมีชื่อว่า   " วิษณุมนต์ "   มนต์บทนี้ถ้าใครได้เรียนสามารถปราบได้ทั่วไตรภพคือ ปราบมนุษย์ เทวดา พรหม ได้ทั้งหมด ไม่มีใครต่อสู้ได้ "   แล้วถามว่า  " เธอจะเรียนใหม ที่ครูเรียกเธอมาบอกนี้ก็เพราะเห็นว่าเธอดีมีความสามารถยิ่งกว่าศิษย์ทุกคนที่เคยสอนมา เห็นว่าควรจะเรียนได้ มนต์นี้ยังไม่เคยให้ใครเรียนเลย เพราะศิษย์ทุกคนที่สอนมาไม่มีใครที่ควรคู่กับมนต์บทนี้ มีเธอคนเดียวเท่านั้นที่คู่ควรและสมควรจะเรียนได้”   

    เมื่อได้เจอลูกยอเข้าแบบนี้ และคนที่เก่งอยู่แล้วก็อยากจะเก่งถึงที่สุด ก็รับปากว่าจะเรียน แต่ท่านอาจารย์ก็บอกว่า   "มนต์นี้ต้องยกครูก่อน การยกครูหรือการเสียค่าครูนี้ใช้เงินทองของใช้ไม่ได้ ต้องฆ่าคนถึงพันคนก่อนจึงจะเรียนได้"   

    “กระผมจะเรียนวิชานี้ ถึงแม้จะไม่เคยฆ่าสัตว์ตัดชีวิตมาก่อนแม้แต่น้อย แต่เพื่อให้ได้ซึ่งวิชาวิษณุมนต์วิเศษนี้ กระผมจะทำ”   

   เมื่ออหิงสกกุมารได้รับดาบฟ้าฟื้น จากอาจารย์แล้ว ก็กราบลาอาจารย์ออกจากสำนัก ตั้งแต่นั้นมาก็คอยดักซุ่มฆ่าคนเรื่อยไป เจอใครฆ่าหมดไม่ว่าผู้หญิงผู้ชายคนเฒ่าคนแก่เด็กเล็กเด็กแดงไม่เลือก เมื่อฆ่ามามากต่อมากก็จำไม่ได้ว่าตนเองได้ฆ่าไปเท่าไหร่แล้ว จึงได้ตัดเอานิ้วมือที่ตนได้ฆ่าร้อยเข้ากับเถาวัลย์ห้อยคอไว้ และชื่อของอหิงสกกุมารก็ลบเลือนไป กลายเป็นชื่อ   “องคุลีมารโจร”   แปลว่า โจรผู้มีนิ้วมือเป็นพวงมาลัยค้องคอ เป็นที่หวาดกลัวของผู้คนยิ่งนัก อหิงสกกุมารหรือองคุลิมาลได้ฆ่าคนได้ ๙๙๙ คน ก็จะครบหนึ่งพันแต่ความจริงฆ่ามาเกินพันแล้วแต่ตนเองจำไม่ได้ ก็ไปในเมืองสาวัตถีแอบซุ่มอยู่ตามพุ้มไม้

   พระเจ้าปเสนทิโกศลได้ทรงทราบว่า โจรองคุลีมาลเข้ามาเพ่นพ่านในเขตแควันปกครองของพระองค์ ก็เตียมยกทัพ ๕๐๐ คน เพื่อจะไปปราบโจรองคุลีมาล มารดาขององคคุลีมาลนั้นก็ทราบข่าวว่า พระราชาจะยกทัพไปจับลูกชายประหารชีวิต ด้วยความรักของผู้เป็นแม่ ไม่ต้องการให้บุตรได้รับอันตราย จึงออกเดินทางเพื่อไปบอกลูกบุตรชายให้หนีไปเสีย

  ตอนเช้ามืดพระพุทธเจ้าทรงตรวจอุปนิสัยของสัตว์ เห็นมรรคผล จะมีแก่ท่านองคลีมาล และทรงทราบว่าตอนสายวันนี้แม่ของท่านองคุลีมาลจะออกไปหาลูก และท่านองคุลีมาลก็ตั้งใจไว้แล้วว่าวันรุ่งขึ้นจะเป็นใครก็ตาม ถ้าพบแล้วจะฆ่าเพื่อให้ได้ครบพันนิ้วมือ ถ้าแม่ออกไปพบก่อน อาศัยการจองเวรกันไว้เธอจะฆ่าแม่ เมื่อแม่ตายมีกรรมเป็น   อนันตริยกรรม   บุญมีเท่าไหร่จะยังให้ผลไม่ได้   ต้องลงนรกก่อน   

   ด้วยความกรุณา พระพุทธเจ้าจึงตัดสินพระทัยเสด็จไปโปรดตอนเช้าตรู่ เสด็จไปลำพังพระองค์เดี่ยว ไปเจอคนที่เดินสวนทางมา คนถิ่นฐานบ้านนั้นว่าพระองค์เสด็จมาได้ยังไงพระองค์เดียว องคุลีมาลโจรร้ายมันจะจับพระองค์ฆ่าเสีย  พระองค์ก็ทรงนิ่งเสียยังคงเสด็จพระราชดำเนินต่อไปเรื่อย ๆ คนทั้งหลายที่เดินสวนทางมาก็ห้ามพระองค์ไม่ให้ไปทางนั้นเพราะเป็นที่โจรองคุลีมาลมาคอยดักฆ่าผู้คนอยู่ แต่พระองค์ก็ยังคงนิ่งเฉยและเสด็จพระราชดำเนินต่อไป..

   เมื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จมาถึงที่ องคุลีมาลหลบซ่อนตัวเพื่อคอยดักผู้คนที่ผ่านไปผ่านมา และได้เห็น  พระพุทธเจ้าผู้มีพระรูปลักษณ์ตกในลักษณะมหาปุริสลักษณะ   ก็คิดดีใจ กระหยิ่มยิ้มย่องในใจว่า เออ..หนอ วิชาวิษณุมนต์พิเศษของเราจักต้องสำเร็จเป็นแน่แท้ ที่ให้บุรุษหัวโล้นนี้เดินผ่านมา  แหม..เราไม่เคยเห็นผู้ใดงามสง่าเท่าบุรุษหัวโล้นคนนี้เลย ช่างวิเศษอะไรเช่นนี้   

   เมื่อเห็นพระพุทธเจ้าเสด็จมาใกล้ ก็คว้าดาบฟ้าฟื้นได้ เอาธนูสะพายบ่า ลูกศรเสียบหลัง วิ่งตามตามพระพุทธเจ้าไป ตอนนี้แรกว่า  อทฺธีภิสงฺขตมโน   องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีพระทัยน้อมไปในการที่จะแสดงฤทธิ์ พระองค์ยังคงพระราชดำเนินไปเรื่อย ๆ องคุลีมาลก็วิ่งไล่ตาม ฝ่าดงหนาม ฝ่าน้ำฝ่าโคลนไปสิ้นระยะทาง ๓ โยชน์ จนองคุลีมาลโจรร้ายวิ่งตามไปจนเหนื่อยหอบร้องบอกว่า   “สมณะหยุดก่อน ๆ”  และเมื่อวิ่งไปใกล้ ๆ จะทันพระพุทธเจ้าก็เงื่อดาบฟ้าฟื้นขึ้นก็ฟันขวับลงไปทีเดียว แต่ก็ต้องผิดหวังพระพระพุทธเจ้าเสด็จไปอีกแล้ว ๒๐-๓๐ โยชน์ ก็วิ่งตามไปอีก พอไปทันก็ฟันดาบฟ้าฟื้นลงไปอีกและก็เหมือนเดิมจำต้องวิ่งตามอีก

   อันนี้ท่านก็คิดเอาเถิดว่า คนหนึ่งมุ่งจะฟัน แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงมีพระเมตตามหากรุณาที่จะทรงสั่งสอนกุมารผู้เป็นอันพาลร้ายผู้นี้ องคุลีมาลวิ่งไปใกล้ ๆ อีก จะทัน ก็เงื้อดาบขึ้น อุกฺขิตฺตขคฺค หมายจะฟันให้สะพายแล่ง พอลงดาบฟันลงไป ก็ต้องผิดหวังอีกเพราะพระพุทธเจ้ายืนอยู่ตั้ง ๑๐ – ๒๐ โยชน์ ก็วิ่งไล่ตามอีกเป็นอยู่อย่างนี้ ปากก็ร้องตระโกนบอกว่า   สมณะโล้นหยุดก่อน ๆ   และก็คิดในใจว่าวิชาวิษณุมนต์นี้คงจะมีคนสำเร็จก่อนเราเป็นแน่แท้ ทำไมสมณะโล้นจึงเดินเร็วและไม่รู้สึกเหนื่อยหอบแต่อย่างไร เราซึ่งเป็นหนุ่มและดูแข็งแรงกว่าวิ่งติดตามไล่ฟันเท่าไหร่ก็ไม่ถูกสักที ได้คิดอุบายหลอกล่อให้พระพุทธเจ้าหยุดและหาวิธีที่จะฆ่าพระพุทธเจ้าจึงร้องบอกว่า  สมณะโล้นหยุดก่อน ๆ   พระพุทธเจ้าตอบว่า   “เราหยุดแล้ว แต่เจ้านั้นสิยังไม่หยุด”   องคุลีมาลก็เฉลี่ยวใจ หยุดอะไรล่ะ วิ่งสิ้นระยะทาง ๓ โยชน์ เนี่ยท่านบอกว่าท่านหยุด เราวิ่งแต่ท่านเดิน ท่านเดินไม่ธรรมดาเราวิ่งเท่าไหร่ก็วิ่งไม่ทัน ท่านมีเหตุอะไร พระพุทธเจ้าก็เลยตรัสบอกว่า   “เราหยุดแล้วจากการทำความชั้ว การฆ่าสัตว์ตัดชีวิต แต่เจ้านั้นซิยังไม่หยุด”   

   คนที่มีบารมีที่ได้สังสมอบรมมาแล้ว ได้ฟังองค์สมเด็จพระสัมสัมพุทธเจ้าทรงตรัสเพียงเท่านี้ ก็ได้สติ ก็ระลึกได้ จึงเหวี่ยงดาบฟ้าฟื้น ปลดคันธนูลูกศรวางลงและก้มลงกราบที่พระบาท แล้วฟังธรรมของพระพุทธเจ้าและมีจิตเลื่อมใสจึงขอบรรพชา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ตรัสเป็น   “เอหิภิกขุอุปสัมปทา ”   ให้โจรร้ายองคุลีมาลได้บวชในพระพุทธศาสนา ก็เป็นเวลาพอดีที่แม่ท่านไปถึง แล้วพระพุทธองค์ก็นำองคุลีมาลภิกษุใหม่กลับไปยังเชตวันมหาวิหาร

   ในขณะนั้นพระเจ้าปเสนทิโกศลจะยาตราทัพหมายไปจับโจรองคุลีมาล ต้องผ่านเชตวันจึงแวะเข้าไปนมัสการพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าก็ตรัสถามว่า พระองค์จะเสด็จไปไหน พระเจ้าปเสนทิโกศลบอกว่าจะไปปราบโจรร้ายองคุลีมาลที่จับผู้คนฆ่าแล้วเอานิ้วมือมาร้อยเป็นพวงมาลัย พระพุทธเจ้าก็บอกว่าถ้าหากว่าองคุลีมาลยอมสละซึ่งความโหดร้ายแล้วมาบวชในพระพุทธศาสนาพระองค์จะทำประการใด พระเจ้าปเสนทิโกศลก็บอกว่าถ้าบวชเป็นพระแล้วก็จะกราบสักการะท่าน พระพุทธเจ้าก็เลยยกพระหัตถ์แขนขวาขึ้น ด้วยพุทธานุภาพให้พระเจ้าปเสนทิโกศลเห็นองคุลีมาลภิกษุขึ้น พอเห็นองคุลีมาลผู้ซึ่งบวชเป็นพระภิกษุแล้วก็ทรงตกพระทัยผงะหงายเหงื่อกาฬแตก เพราะกลัวโจรร้ายองคุลีมาลปลอมตัวเข้ามาบวช คิดจะฆ่าเราจึงชี้พระหัตถ์ไปว่า นี่แหละโจรร้ายองคุลีมาล พระพุทธเจ้าบอกว่าพระองค์ไม่ต้องตกพระทัยกลัว องคุลีมาลโจรร้ายผู้นี้ได้มีอาการสงบเยือกเย็นลงแล้ว ไม่มีโลภโมโทสันแต่ประการใด พระเจ้าปเสนทิโกศล ก็เบาพระทัยและกราบลาพระพุทธเจ้ากลับพระราชวัง

    ในวันรุ่งขึ้น พระพุทธเจ้าก็พาองคุลีมาลโจรร้ายซึ้งตอนนี้ได้บวชเป็นพระภิกษุแล้วออกบิณฑบาตร ไปที่ไหนผู้คนก็จำได้ว่า   ภิกษุรูปนี้คือองคุลีมาลจอมโจรผู้โหดร้าย   ที่เตรียมข้าวของจะใส่บาตรก็พากันวิ่งหนีทิ้งข้าวของเตลิดเปิดเปิงปิดประตูแน่นหนาไม่ยอมโผล่หน้าออกมา พระภิกษุองคุลีมาลออกไปบิณฑบาตรที่ไหนก็ถูกปาด้วยก้อนหินก้อนกรวดจนหัวร้างข้างแตกจีวรขาดบาตรทะลุ นี้เรียกว่ากรรมมันตามมาทัน  ทำให้พระภิกษุองคุลีมาลต้องอดอยาก   และ ถูกทำร้ายร่างกาย   พระพุทธเจ้าก็ปลอบว่า   ต้องอดทนเอาเพราะต้องชดใช้กรรมเสียในชาติปัจจุบันนี้ ไม่ต้องไปชดให้กรรมในปลายภพน้อยภพใหญ่อีกต่อไป   บางคนก็มีจิตเลื่อมใสต่อภิกษุองคุลีมาล บางคนก็โกรธแค้นแค้นดุด่าว่าขว้างปาด้วยก้อนกรวดก่อนดินก็มาก

    บางคนมิได้มีเจตนาจะทำร้ายแค่ขว้างปาไปในอากาศด้วยความประสงค์อย่างอื่น ( คือ เพื่อขับไล่สัตว์ต่าง ๆ เช่น กา สุนัข สุกรเป็นต้น) แต่ก้อนหินก้อนดินนั้นกลับหวนมาถูกพระเถระทั้งขาไปและขากลับ

    บางคราท่านไปบิณฑบาตไม่ได้อาหารแม่แต่ทัพพีเดียว และยิ่งร้ายกว่านั้น พระที่ไปบิณฑบาตร่วมทางเดียวกับท่าน เลยพลอยไม่ได้อาหารไปด้วย

    จนกระทั้งมาวันหนึ่งหญิงท้องแก่ออกมาใส่บาตรเพื่อต้องการจะให้ลูกที่จะเกิดมาเป็นคน ที่ยึดมั่นในความดี พอเลือบแลเห็นพระภิกษุองคุลีมาลเดินมารับบิณฑบาตร หญิงท้องแก่นั้นก็ตกใจกลัวตาย  วิ่งเข้าไปในระหว่างกอไผ่ ผลที่สุดศีรษะมันไปได้แต่ท้องไปไม่ได้ ดิ้นกระแด่ว ๆ อย่างนั้น ทีนี้พวกสามีคนข้างเคียงนั้นก็ทำใจดีสู้เสือช่วยกันเอาหญิงนั้นออกมาแล้วเอาม่านกั้น เข้าไปกราบเรียนพระภิกษุองคุลีมาลว่า ขอให้ช่วยนางนี้พ้นทุกข์ทรมานจากการเจ็บปวดในครรภ์ด้วยเถิด พระภิกษุองคุลีมาลนั้นก็ตั้งอธิฐานกล่าวว่า   “ยโตหํ ภคินิ อริยาย ชาตยา ชาโต นาภิชานามิ สญฺจิจฺจ ปารํ ชีวิตา โวโรเปตา”   นี่ที่กล่าวนี่บท   ยโตหํ   บทโพชฌงค์นะ ตั้งจิตอธิษฐานว่า ตั้งแต่เราเกิดมาในอดิตชาติ ไม่เคยคิดที่จะเบียดเบียนใคร ขออำนาจสัจจะอธิษฐานที่ข้าพเจ้าอ้างอิง เอาเป็นพยานนี้   โสตฺถิ   ความสวัสดี   คพภสฺส   จงมีแก่ครรภ์ของน้องหญิงผู้นี้ พอสิ่นคำอธิษฐาน นางนั้นก็คลอดลูกเหมือนเทน้ำออกจากกระบอก ไม่เจ็บไม่ปวด แต่ประการใด ผู้คนจึงเกิดความเลื่อมใส ต่อพระภิกษุองคุลีมาล

บันทึกการเข้า
Nattawut-LSV Team
E23IUY
.กลุ่มผู้มีน้ำใจงาม.
member
*

คะแนน808
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3581


อีเมล์
« ตอบ #2 เมื่อ: เมษายน 20, 2009, 07:20:04 PM »

บุพกรรมของพระองคุลีมาล   

ครั้งหนึ่ง พระองคุลีมาลเคยตั้งจิตปรารถนาไว้กับพระพุทธเจ้าในอดีตหลายพระองค์แล้ว คราวที่โลกกว้างพระพุทธเจ้าคราวหนึ่ง ท่านได้พบพระปัจเจกพุทธเจ้าองค์หนึ่ง ครั้งนั้นท่านเกิดเป็นชาวนา เห็นพระปัจเจกพุทธเจ้าองค์หนึ่งเดินตากฝนผ่านมายังโรงนาแล้วเกิดความสงสารและเลื้อมใส จึงก่อไฟผิงถวายพระปัจเจกพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้าผิงไฟแล้วหายหนาวกลับมากำลังแข็งแรง ท่านเห็นพระปัจเจกพุทธเจ้ามีอาการดีขึ้นจึงเกิดปีติโสมนัส บุญครั้งนั้นส่งผลให้ท่านเกิดมามีกำลังกายแข็งแรงเท่าช้าง ๗ เชือกในทุกชาติ ความแข็งแรงดังกล่าวมานี้ นอกจากจะเห็นได้ชัดในชาตินี้แล้ว ในชาติที่เกิดเป็นพระเจ้าพรหมทัตแห่งเมืองพาราณสีทรงเสวยเนื้อมนุษย์เป็นอาหารจนมีชื่อเรียกว่า  “ โปริสาท ”  แปลว่า   “ คนกินคน ”   ในศาสนาของพระพุทธเจ้ากัสสปะ

    เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ในพระเชตวันมหาวิหาร อยู่มาวันหนึ่งพระภุกษุทั้งหลายสนทนากันในธรรมสภาว่า เป็นที่น่าอัศจารรย์ยิ่งนัก พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทรมานโจรองคคุลีมาลให้หมดพยศร้ายกลายเป็นดีขึ้นในพระพุทธศาสนาได้

   พระผู้มีพระภาคเจ้า ประทับอยู่ในพระคันธกุฏี ได้ทรงสดับสนทนาของพระภิกษุเหล่านั้น จึงเสด็จออกจากพระคันธกุฏีไปประทับ ณ ธรรมสภาแล้วตรัสถามว่า “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พวกเธอสทนากันถึงเรื่องอะไร” เมื่อพระภิกษุเหล่านั้นกราบทูลให้ทรงทราบ แล้วพระพุทธองค์จึงตรัสว่า “ ดูก่อนภิกษุทั้งลหาย ตถาคตได้ทรมานองคุลีมาลให้หมดพยศร้ายให้กลายมาเป็นดีไม่เฉพาะแต่ในบัดนี้เท่านั้น การณ์ที่ตถาคตทรมานให้สิ้นในบัดนี้ เป็นการณ์ที่ไม่สู้จะอัศจรรย์นัก เพราะเหตุว่า ตถาคตได้บรรลุประปรมาภิเศกสัมโพธิญาณแล้ว ส่วนครั้งที่ตถาคตได้เคยทรมานองคุมีมาลให้หมดพยศร้ายในอดีตชาตินั้น นับเป็นการอัศจารย์ยิ่ง” ครั้นตรัสดังนี้แล้วพระองค์ก็ทรงนิ่งเฉยอยู่

   พระภิกษุทั้งหลายต้องการจะฟังเรื่องในอดีตชาติของพระองคุลีมาลเถระ จึงพร้อมกันกราบทูลให้พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงนำเรื่องอดีตชาติมาตรัสเล่า

   พระผู้มีพระภาคเจ้าเล่าตรัสถึงเรื่องของพระองค์ที่เคยทรงบังเกิดเป็นพระเจ้ามหาสุต โสมได้ทรงทรมานพระยาโปริสาทซึ่งเป็นอดีตชาติของพระองคุลีมาลเถระ

   ในอดีตกาลพระเจ้ามหาสุตโสม ผู้ทรงเป็นราชโอรสของพระเจ้าโกรพย์ กษัตริย์เมืองอินทปัต เมื่อทรงเจริญวัยได้ทรงเสด็จไปทรงศึกษาที่เมืองตักศิลาพร้อมกับพระเจ้าพรหมทัต พระราชโอรสของพระเจ้ากาสีกษัตริย์เมืองพาราณสี และทั้งสองพระองค์ได้ทรงปฏิญาณเป็นสหายกัน

   พระเจ้ามหาสุตโสมได้ทรงเป็นหัวหน้าศิษย์ทั้งหลาย ซึ่งมีพระราชกุมารทั้งหมดถึง ๑๐๑ พระองค์ด้วยกัน เมื่อทรงศึกษาจบแล้ว ต่างก็เสด็จแยกย้ายกันกลับไปเสวยราชสืบสันตติวงศ์ในบ้านเมืองของแต่ละพระองค์ ๆ

   ในบรรดากษัตริย์ทั้งหมด มีพระเจ้าพรหมทัตทรงมีการเสวยที่แปลก คือ จะต้องเสวยเนื้อปิ้งเป็นประจำทุกวันขาดไม่ได้ บังเอิญวันหนึ่งพนักงานเครื่องต้นหาซื้อเนื้อไม่ได้ จึงไปเฉือนเอาเนื้อคนที่ตายใหม่ ๆ มาจากป่าช้ามาปิ้งนำขึ้นถวาย

   พระเจ้าพรหมทัตเสวยแล้วทรงรู้สึกซาบซ่านไปทั่วเส้นเอ็นทั้ง ๗ พันเหตุที่เป็นดังนี้เพราะเคยเกิดเป็นยักษ์มาหลายชาติ จึงรับสั่งถามเจ้าพนักงานเครื้องต้นจนได้ความจริงว่าเป็นเนื้อมนุษย์ จึงตรัสสั่งให้เจ้าพนักงานหาเนื้อมนุษย์มาปิ้งถวายทุกวัน โดยตรัสให้ฆ่านักโทษในเรือนจำ จนใจที่สุดนักโทษในเรือนจำก็หมดไป แล้วรับสั่งให้นำถุงทรัพย์ไปวางหลอกล่อไว้ ถ้าใครจับถุงทรัพย์ที่วางดักเอาไว้เพราะคิดว่าของที่ผู้อื่นทำตกหล่นไว้ก็จะถูกฆ่า ครั้นกระทำนานเข้าเกิดข่าวลืออื้อฉาว กระทำไม่เป็นผล จึงรับสั่งให้ดักฆ่าคนในเวลาวิกาลเที้ยงคืนต่อไป

   เมื่อบุคคลที่ถูกฆ่าตายหายสูญหายไปมาก พวกพ่อแม่พี่น้องลูกหลานจึงพากันไปกราบบังคมทูลร้องทุกข์ต่อพระเจ้าพรหมทัตผู้ทรงเป็นต้นเหตุ แต่พระองค์ไม่สนพระทัย ประชมชนเหล่านั้นจึงได้พากันไปร้องทุกข์แก่กาฬหัตถีเสนาบดี ๆ รับจะช่วยจัดการให้

   ต่อมากาฬหัตถีเสนาบดีจึงส่งเจ้าหน้าที่ให้คอยเฝ้าสืบจับดูผู้ร้ายฆ่าคนให้ได้ แล้วในไม่ช้าเจ้าหน้าที่ก็สามารถจับหญิงแม่ครัวคนหนึ่งกำลังแล่เนื้อคนตายใส่ในกระเช้า จึงนำมามอบแก่กาฬหัตถีเสนาบดี ๆ ได้ถามคาดคั้นจนหญิงนั้นยอมรับว่า จะนำไปถวายแด่พระราชา จึงสั่งกำชับหญิงนั้นให้เข้าไปแถลงเรื่องนี้ในที่เฝ้าพระเจ้าอยู่หัวในวันพรุ่งนี้เช้า

    ครั้นรุ่งเช้ากาฬหัตถีเสนาบดีจึงนัดประชุมคณะอำมาตย์และชาวพระนคร แล้วเอากระเช้าเนื้อผูกติดคอคนครัวนำเข้าสู่พระราชวัง

   พระเจ้าพรหมทัตทอดพระเนตรทางช่องพระแกล ทรงเห็นพ่อครัวถูกคุมตัวมา ก็ทรงแน่พระทัยว่า เรื่องของเราปรากฏชัดออกมาแล้ว แต่พยายามทรงดำรงพระสติไว้ให้มั่นไม่สะทกสะท้าน เมื่อเสนาบดีกราบบังคมทูลถามก็ตรัสรับสารภาพ แล้วกาฬหัตถีเสนาบดีจึงกราบทูลห้าม แต่ท้าวเธอทรงปฏิเสธว่าไม่สามารถปฏิบัติตามได้ ทั้ง ๆ ที่เสนาบดีและพระราชาต่างฝ่ายยกเอาเรื่องอดีตมาเป็นข้ออ้าง ซึ่งเป็นตัวอย่างให้มองเห็นถึงความพินาศ

   ในที่สุดพระเจ้าพรหมทัตตรัสปฏิเสธว่าอดไม่ได้ แม้จะถูกเนรเทศก็ยอม แต่ตรัสขอดาบ ๑ เล่ม ภาชนะ ๑ ใบ กระเช้า ๑ ใบ กับพ่อครัวเครื่องต้น ๑ คน กาฬหัตถีเสนาบดีและพวกชาวเมืองยินดีมอบให้ตามที่ตรัสขอ แล้วเนรเทศเสียจากบ้านเมือง

   พระเจ้าพรหมทัตกับพ่อครัวออกจากเมืองไปพักอยู่ที่ต้นไทรต้นหนึ่งคอยดักฆ่าคนเดิน ทางที่ผ่านไปมา แล้วนำมาให้พ่อครัวทำการต้มกินด้วยกัน เวลาพระเจ้าพรหมทัตจะทรงจับมนุษย์จะทรงเปล่งพระสุรเสียงขึ้นว่า เราเป็นมนุษย์กินคน ชื่อ   “ โปริสาท ”   

   มาวันหนึ่งพระยาโปริสาทหาฆ่าคนทำอาหารไม่ได้ จึงได้ฆ่าพ่อครัวเครื่องต้นนั้นทำอาหาร และต่อมามีข่าวเลื้องลือว่าพระยาโปริสาทกินคนได้กระจายไปทั่วชมพูทวีป

   ครั้งนั้นมีพ่อค้าเกวียนคนหนึ่งนำกองเกียน ๕๐๐ เล่มไปค้าขายแต่พอจะเข้าสู่ป่าปากดงนึกกลัวพระยาโปริสาท จึงว่าจ้างพวกที่อยู่ปากป่าดงด้วยเงิน ๑,๐๐๐ กหาปณะ เพื่อให้ช่วยส่งข้ามพ้นดงไป

   พวกที่อยู่ปากป่าดงตกลงและได้ชักชวนพวกพ้อง ไปด้วยกันหลายคนพร้อมทั้งเตรียมอาวุธครอบมือ โดยให้กองเกวียนไปข้างหน้า พวกตนตามไปข้างหลัง ส่วนหัวหน้าพ่อค้านั่งไปบนยานน้อยเทียมด้วยโคเผือก มีพวกคุ้มกันอยู่ข้างหน้าและข้างหลัง

   ครั้นพระยาโปริสาทขึ้นบนต้นไม้คอยตรวจดูอยู่ พอเห็นหัวหน้าพ่อค้าให้นึกอยากกินจนน้ำลายไหล พอหัวหน้าพ่อค้าเข้ามาใกล้จึงลงจากต้นไม้ร้องตะโกนว่า   “ เราคือพระยาโปริสาท ๆ ๆ ”   แล้วเกว่งดาบวิ่งรี่เข้าจับหัวหน้าพ่อค้านั้นแบกไป

   พวกรับจ้างได้ไล่ติดตามไป และบุรุษผู้กล้าแข็งคนหนึ่งวิ่งไปทัน พระยาโปริสาทเห็นจวนตัวจึงกระโดดข้ามรั่วแห่งหนึ่ง ถึงคราวเคราะห์ร้อยของพระยาโปริสาท เท้าเหยียบเอาตอไม้ตะเคียนจนทะลุถึงหลังเท้าเลือดไหลโทรม เมื่อเห็นว่าหนีไม่พ้นจึงปล่อยหัวหน้าพ่อค้าเพื่อหนีเอาตัวรอดก่อน พวกคุ้มกันจึงได้หัวหน้าพ่อค้ากลับมายังกองเกวียน

   ฝ่ายพระยาโปริสาทกลับไปที่พักของตนแล้วได้บนต่อเทวดาว่า   “ ถ้าช่วยทำแผลที่เท้าให้หายได้ภายใน ๗ วัน จะเอาเลือดกษัตริย์ ๑๐๑ พระองค์มาล้างต้นไทรของท่าน เอาไส้กษัตริย์เหล่านั้นวงเป็นสายสิญจน์ และจะเอาเนื้อกษัตริย์เหล่านั้นบวงสรวงท่าน ”   หลังจากบนแล้ว ๗ วันก็ไม่ได้ออกไปหาอาหารกินเลย อดอาหารจนกายซูบผอม เป็นเหตุให้แผลหายภายใน ๗ วัน พระยาปริสาทเข้าใจว่าหายด้วยอำนาจของเทวดา แล้วออกไปหากินคนอีกจนมีกำลังแข็งแรงดี ได้ถือเอาดาบออกจากต้นไทรไปหวังจะจับกษัตริย์ ๑๐๑ พระองค์มาแก้บนเทวดา เผอิญไปพบยักษ์สหายเก่าเข้า จึงได้ขอเรียนมนต์เพื่อช่วยให้วิ่งเร็วและมีกำลังมาก เพราะฉนั้นพระพญาโปริสาทจึงสามารถจับกษัตริย์ ในชมพูทวีบมาได้ ๑๐๐ พระองค์ ภายในเวลาเพียง ๗ วัน ยังคงเหลือแต่พระเจ้ามหาสุตโสม ที่เว้นไว้เพราะยังนึกถึงบุญคุณที่เคยแนะนำสมัยเรียนอยู่ที่เมืองตักศิลาด้วยกัน อีกอย่างหนึ่งทรงเห็นว่า ควรเหลือไว้เป็นพืชพันธุ์ของกษัตริย์ต่อไป แล้วพระยาโปริสาทก็จัดการเจาะมือกษัตริย์ทั้งหมดร้อยเชือกแขวนไว้ที่กิ่งไทร พอให้ปลายเท้าจรดถึงพื้นดินเท้านั้น แล้วก่อไฟเตรียมแหลนเพื่อจะเสียบกษัตริย์เหล่านั้นย่างแก้บนรุกขเทวดา

   รุกขเทวดารู้สึกสลดใจ แต่ไม่อาจห้ามได้ จึงขึ้นไปบอกแก่ท้าวจาตุมหาราช ๆ ก็ไม่อาจห้ามได้ จึงได้ขึ้นไปหาพระอินทร์ ๆ ตรัสว่า   “ ถึงตัวเราก็ห้ามไม่ได้ ๆ   แต่ได้ตรัสอุบายให้ว่า   “ ท่านจงแปลงเป็นสมณะเดินผ่านหน้าพระยาโปริสาทไป เมื่อพระยาโปริสาทไต่ถามท่าน ๆ จงกลายร่างเป็นเทวดาแล้วบอกให้ทราบว่า ท่านเป็นเทวดาสิงอยู่ที่ต้นไทรผู้ที่ท่านจะบวงสรวงนั้น แต่เราไม่พอใจการเซ่นสรวงของท่านผู้กล่าวเท็จ เพราะบนไว้ว่าจะนำกษัตริย์ ๑๐๑ พระองค์มาแก้บน แต่ท่านนำมาเพียง ๑๐๐ พระองค์เท่านั้นเอง ถ้าหากท่านไม่ไปนำพระเจ้าสุตโสมมา การบวงสรวงนี้นับว่าใช้ไม่ได้ เมื่อพระยาโปริสาทรับปากว่าจะนำพระเจ้าสุตโสมมา ท่านจงเข้าไปในต้นไทรตามเดิม แล้วจากนั้นพระเจ้ามหาสุตโสมจักทรมานพระยาโปริสาทให้ละพยศร้าย ทั้งจะช่วยชีวิตของกระษัตริย์ทั้ง ๑๐๐ พระองค์เหล่านั้นด้วย ตลอดกระทั้งคนอื่น ๆ อีกด้วย ”   

   เมื่อรุขเทวดารับราชโองการแล้ว จึงรีบลงมาปฏิบัติตามทุกประการทันที ฝ่ายพระยาโปริสาทรับว่า จะไปนำพระเจ้ามหาสุตโสมมา แล้วไปคอยดักอยู่ในสระโบกขรณี สำหรับสรงของพระเจ้าสุตโสมในตอนกลางคืน

   พระเจ้ามหาสุตโสมพร้อมด้วยจตุรงคเสนาเสด็จยาตราออกจากพระนคร ได้พบกับอานันทพราหมณ์ผู้นำคาถาอันมีค่า ๑๐๐ กหาปณะมาจากเมืองตักกศิลาเพื่อแสดงถวายพระองค์ ๆ รับสั่งว่า รอให้เสด็จกลับเสียก่อนจึงจะฟัง แล้วเลยเสด็จไปยังพระราชอุทยาน โดยมีพวกพลโยธาแวดล้อมอย่างกวดขัน พอได้เวลาพระเจ้ามหาสุตโสมจึงเสด็จลงสรงสนานในสระโบกขรณีแล้วเสด็จขึ้นมาประทับมงคลศิลาอาสน์

   ขณะที่พวกเจ้าพนักงานเครื่องต้นจะน้อมเครื่องทรงเข้าไปถวาย พระยาโปริสาทได้ส่งเสียงร้องขึ้นว่า   “ เราคือ พระยาโปริสาท ๆ ๆ   ” แล้วกระโดดขึ้นจากสระ วิ่งตรงเข้าไปจับที่เท้าของพระเจ้ามหาสุตโสมยกขึ้นบ่าแบกไปอย่างรวดเร็ว โดยไม่มีใครจะสามารถไล่ตามทัน

   ครั้นไปได้ไกลประมาณ ๓ โยชน์ พระยาโปริสาทก็ค่อย ๆ เดินไป แต่สังเกตเห็นว่าน้ำพระเนตรของพระเจ้ามหาสุตโสมตกลงมาถูกอกของตนด้วยเข้าใจว่า พระเจ้ามหาสุตโสมทรงกรรแสง จึงทูลถามเหตุที่ทรงกรรแสง

   พระเจ้ามหาสุตโสมตรัสว่า  “ เหตุที่ร้องให้มิใช่กลัวตาย แต่เสียดายที่ยังไม่ได้ยินคาถาอันมีค่า ๑๐๐ กหาปณะที่นัดไว้กับอานันทพราหมณ์ต้องการจะขออนุญาตกลับไปฟังคาถานั้นแล้วจะกลับมาให้ท่านกิน ”   แต่พระยาโปริสาทไม่เชื่อ พระองค์จึงต้องชี้แจงเหตุผลพร้อมทั้งตรัสคำสาบาน พระยาโปริสาทจึงอนุญาตให้พระเจ้าสุตโสมกลับไปฟังถาคาที่พระองค์ทรงตั้งพระทัยไว้

    เมื่อพระเจ้ามหาสุตโสมเสด็จกลับมาแล้วจึงได้ตรัสเล่าเรื่องทั้งหมดให้พวกพลโยธาฟัง แล้วเสด็จเข้าสู่พระนคร พอเสด็จถึงพระนครมีพระบรมราชโองการให้อานันทพราหมณ์เข้าเฝ้ากล่าวคาถาของ พระกัสสปสัมมาสัมพุทธเจ้าให้ทรงสดับ พอพระองค์ทรงสดับจบแล้วทรงเลื่อมใส ได้บูชาด้วยพระราชทรัพย์ ๔,๐๐๐ ตำลึง พร้อมกับยวดยานพาหนะแก่อานันทพราหมณ์ แล้วเสด็จเข้าเฝ้าพระชนกชนนี ๆ ทรงกริ่วว่า ไม่ควรบูชาด้วยพระราชทรัพย์มากปานนั้น จึงทูลว่าถ้าทรงเสียดายพระราชทรัพย์ก็ดีแล้ว เพราะกระหม่อมได้ปฏิญาณไว้ว่าจะกลับไปให้พระยาโปริสาทฆ่ากินเป็นอาหาร

   พระชนกชนนีทรงเสียพระตกทัย ทรงห้ามและทรงรับอาสาจะยกทัพไปจับพระยาโปริสาท แต่พระเจ้ามหาสุตโสมทรงเล่าเรื่องให้ทรงสดับโดยตลอดแล้วทูลลาพระชนกชนนีไปแต่ลำพัง ไม่ทรงยอมให้ใครติดตามไปด้วยเลย

   เช้าวันนั้นพระยาโปริสาทคิดว่า   “ ถึงพระเจ้ามหาโปริสาทสหายเก่าของเราจะมาหรือไม่มา ถึงเทวดาจะลงโทษเราอย่างไรก็ช่าง เราจะบูชาเทวดาให้เสร็จเสียที ”   

   ในทันใดนั้นเอง พระเจ้ามหาสุตโสมได้เเสด็จมาถึง พระยาโปริสาทดีใจยิ่งนัก จึงถามว่า   “ ท่านฟังคาถามาแล้วหรือ ”   พระเจ้ามหาสุตโสมตรัสตอบว่า   “ เราได้ฟังมาแล้ว และได้บูชาพรหามณ์ ทั้งได้จัดการบ้านเมืองเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เชิญท่านกินเราเถิด ”   

   พระยาโปริสาทเห็นพระเจ้าสุตโสมไม่ทรงหวาดกลัว จึงสำคัญว่าคงเป็นเพราะพระคาถานั้นเอง   “ พระเจ้ามหาสุตโสมจึงมิได้ประหวั่นหวาดกลัวต่อความตาย ที่อยู่ข้างหน้า เราจักต้องขอฟังคาถาบ้าง ”   แล้วจึงขอให้พระเจ้ามหาสุตโสมทรงแสดงให้ฟัง

   แต่พระเจ้ามหาสุตโสมตรัสปฏิเสธว่าจะไม่แสดงแก่คนประพฤติไม่ชอบธรรม แล้วทรงบอกให้พระยาโปริสาทกินพระองค์เสีย

   พระยาโปริสาทไม่กล้ากินพระเจ้ามหาสุตโสม เพราะกลัวแผ่นดินสูบ จึงทูลให้พระเจ้ามหาสุตโสมแสดงคาถาทั้ง ๔ ให้ฟัง และเมื่อได้ฟังแล้วเกิดความเลื่อมใส จึงขอถวายพร ๔ อย่าง ให้พระเจ้าสุตโสมทรงเลือกตามพระราชประสงค์

   พระเจ้ามหาสุตโสมทรงขอพร ๔ ข้อ คือ

    ๑. ขอให้อายุยืนได้ ๑๐๐ ปี โดยปราศจากโรคภัย
   ๒. ขออย่าได้กินพระเจ้าแผ่นดินในชมพูทวีปทั้งสิ้นนี้เลย
   ๓. จงปล่อยพระเจ้าแผ่นดินเหล่านี้ กลับไปยังประเทศของพระองค์
   ๔. ขออย่ากินเนื้อมนุษย์อีกต่อไป

   พระยาโปริสาทยินดีถวายเฉพาะ ๓ ข้อข้างต้น ส่วนข้อที่ ๔ ไม่ยอมถวาย ให้ขอเปลี่ยนเป็นอย่างอื่น แต่พระเจ้ามหาสุตโสมไม่ทรงยินยอม แล้วทรงแสดงธรรมให้พระยาโปริสาทฟังอีก พระยาโปริสาทจึงยอมถวายพรข้อที่ ๔ และให้พระยาโปริสาทรักษาศีล ๕ ทั้งให้ปล่อยกษัตริย์ทั้งหลายกลับไป

   พระเจ้ามหาสุตโสมทรงพาพระยาโปริสาทแวะที่เมืองพาราณสีของพระยาโปริสาทก่อน แต่พอไปถึงเมือง นายประตูรีบปิดประตูเสียก่อนด้วยความกลัว พระเจ้ามหาสุตโสม จึงทรงชี้แจงให้ทราบว่า บัดนี้พระยาโปริสาทหรือพระเจ้าพรหมทัต ได้กลับเป็นคนดีแล้ว ขอได้เปิดประตูเถิด ในทันใดนั้นประตูเมืองก็ถูกเปิดออก พระเจ้ามหาสุตโสมพร้อมด้วยอำมาตย์ ๒ - ๓ คน จึงเสด็จเข้าไปทรงชี้แจงให้ชาวเมืองและพระราชโอรสของพระยาโปริสาททราบโดยตลอด แล้วอัญเชิญพระยาโปริสาท หรือพระเจ้าพรหมทัตขึ้นเสวยราชสมบัติในกรุงพาราณสีสืบต่อไป.........

บันทึกการเข้า
หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป: