วิทยาศาสตร์ในเตาไมโครเวฟ
LSVคลังสมองออนไลน์ "ปีที่21"
เมษายน 29, 2024, 04:51:05 AM *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
   หน้าแรก   ช่วยเหลือ เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก  
หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: วิทยาศาสตร์ในเตาไมโครเวฟ  (อ่าน 3470 ครั้ง)
b.chaiyasith
แก้ปัญหาไม่ตกคุยกันเวลางานline:chiabmillion
.กลุ่มผู้มีน้ำใจงาม.
member
*

คะแนน650
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3004


ไม้ดีไม่ลอยน้ำมาไกล


อีเมล์
« เมื่อ: กุมภาพันธ์ 04, 2009, 06:06:36 PM »

วิทยาศาสตร์ในเตาไมโครเวฟ
ขอบคุณข้อมูลภายใต้ความร่วมมือนิตยสาร สสวท. กับวิชาการดอทคอม
ที่มา : นิตยสาร สสวท.



                                     วิทยาศาสตร์ในเตาไมโครเวฟ
เตาในสงคราม
          ใครจะรู้บ้างว่าเตาไมโครเวฟที่ปัจจุบันใช้กันอย่างแพร่หลายโดยเฉพาะชีวิตในเมืองที่รีบเร่งของเรา ๆ จะถือกำเนิดในระหว่างสงคราม
          สมัยสงครามโลกครั้งที่สองในปี พ.ศ. 2483 แรลดาลล์และบูท นักวิทยาศาสตร์แห่งมหาวิทยาลัยเบอร์มิงแฮม ได้ประดิษฐ์อุปกรณ์ที่เรียกว่า “แมกนิตรอน” เพื่อใช้ในการตรวจจับเครื่องบินรบของฝ่ายนาซี โดยแมกนิตรอนที่จะส่งคลื่นไมโครเวฟออกไป เมื่อคลื่นกระทบกับเครื่องบินก็จะสะท้อนให้เห็นบนจอเรดาร์
          หลังสงครามโลก ก็ยังคงมีการศึกษาแมกนิตรอนเพื่อประโยชน์ทางการค้าอย่างต่อเนื่อง โดย ดร.เฟอร์ซี สเปนเซอร์ ได้พบว่าแมกนิตรอนสามารถทำให้ช็อกโกแลตละลายได้โดยบังเอิญ เตาไมโครเวฟจึงถูกพัฒนาขึ้น โดยไมโครเวฟเครื่องแรกมีขนาดใหญ่ถึง 1.5 เมตร แล้วค่อย ๆ พัฒนาขึ้นจนมีลักษณะเป็นอย่างปัจจุบัน                     


ตัวกำเนิดคลื่นไมโครเวฟ
          เตาไมโครเวฟใช้คลื่นไมโครเวฟในการปรุงอาหาร คลื่นไมโครเวฟเป็นคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าชนิดหนึ่งอยู่ในช่วงคลื่นวิทยุซึ่งเป็นคลื่นที่มีความยาวคลื่นมากกว่าคลื่นแสงที่ตาเห็น จึงใช้คลื่นที่มีความถี่ประมาณ 2,500 เมกะเฮิรตซ์ (2.5 × 109 Hz) หรือมีความยาวคลื่นประมาณ 12 เซนติเมตรในขณะที่คลื่นวิทยุ จส.100 ใช้คลื่นความถี่ 100 เมกะเฮิรตซ์ หรือมีความยาวคลื่น 3 เมตร
 คลื่นไมโครเวฟในช่วงนี้มีสมบัติที่น่าสนใจมากคือ จะถูกดูดกลืนโดย น้ำ ไขมัน และ น้ำตาลได้ดี แล้วพลังงานคลื่นที่ถูกดูดกลืนจะเปลี่ยนเป็นพลังงานความร้อนทำให้โมเลกุลสั่นรุนแรงยิ่งขึ้น พูดง่าย ๆ คือ เกิดความร้อนขึ้นนั่นเอง แต่ที่น่าแปลกก็คือ คลื่นไมโครเวฟในช่วงนี้จะไม่ถูกดูดกลืนโดย แก้ว เซรามิก และพลาสติก ในขณะที่แผ่นโลหะจะสะท้อนคลื่นไมโครเวฟได้ดี ดังนั้นการปรุงอาหารด้วยภาชนะโลหะในเตาไมโครเวฟจึงมีประสิทธิภาพไม่ดีเท่าที่ควร
                                     

ไมโครเวฟทำให้อาหารสุกได้อย่างไร
           เราคงเคยได้ยินว่าไมโครเวฟทำให้อาหารสุกจากภายใน แต่เตาอบทั่วไปทำให้อาหารสุกจากภายนอก ในเตาอบธรรมดา ถ้าเราต้องการอบขนมปังโดยตั้งอุณหภูมิเตาไว้ที่ 350 องศาเซลเซียส แต่จริง ๆ แล้วภายในเตาอาจมีอุณหภูมิสูงกว่าที่ตั้งไว้ คือ ถึง 600 องศาเซลเซียส ความร้อนที่เกิดขึ้นจะถูกถ่ายโอนไปยังอาหารด้วยการนำความร้อนจากภายนอกสู่ภายในอาหาร ในขณะที่ภายในเตายังมีอากาศร้อนและแห้งดังนั้นความชื้นในอาหารจะถูกระเหยไป สิ่งที่เราได้คือ ขนมปังที่ด้านนอกมีสีน้ำตาล กรอบ แต่ภายในยังคงนุ่มอยู่
          แต่เตาไมโครเวฟทำงานต่างออกไป โดยคลื่นไมโครเวฟในเตาจะทะลุเข้าไปในเนื้ออาหารทำให้โมเลกุลของน้ำและไขมันสั่น ทำให้เกิดความร้อนภายในอาหารเกือบพร้อมกันทุกส่วน โดยไม่ต้องอาศัยการนำความร้อนจากจุดหนึ่งไปยังอีกจุดหนึ่ง แต่การปรุงอาหารด้วยไมโครเวฟก็มีข้อจำกัดเหมือนกัน คือ ในการปรุงอาหารที่หนามาก ๆ หรือใหญ่มาก คลื่นไมโครเวฟไม่สามารถทะลุผ่านเข้าไปถึงใจกลางของอาหารได้ ทำให้ความร้อนภายในอาหารนี้ไม่สม่ำเสมอซึ่งอาจทำให้อาหารสุกได้ดีไม่เท่ากัน ข้อจำกัดอีกประการหนึ่งที่สำคัญคือ คุณสมบัติการแทรกสอดของคลื่นจะทำให้เกิด จุดร้อน (hot spot) และจุดเย็น (cold spot) ทำให้อาหารร้อนมากในบางจุดและดิบในบางจุด

ความเชื่อหรือความจริง
•  ถ้าเอามดใส่เตาไมโครเวฟ มดจะไม่ตาย
            เรื่องนี้เป็นเรื่องจริง เนื่องจากมดมีขนาดตัวเล็กกว่าความยาวคลื่นไมโครเวฟในเตามาก และมดเคลื่อนที่ตลอดเวลา ทำให้มดไม่ได้รับอิทธิพลของคลื่นไมโครเวฟมาก นอกจากนี้มดเป็นสิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่กลางแจ้ง มันจึงมีกลไกที่ปกป้องและหลีกเลี่ยงอันตรายที่จะเกิดจากความร้อนในเตาได้
• ถ้าเอาส้อมใส่เตาไมโครเวฟ จะทำให้เตาระเบิดได้
            เรื่องนี้ค่อนข้างเกินจริง แต่จะมองข้ามประเด็นข้อระมัดระวังในเรื่องนี้ไปเลยคงไม่ได้ เพราะแผ่นโลหะบาง ๆ รวมถึงโลหะปลายแหลมจะถูกทำให้ร้อนอย่างรวดเร็วมากในเตาไมโครเวฟจนอาจทำให้ลุกเป็นไฟได้ ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดก็คือ การอบถุงข้าวโพดคั่วที่มีลวดเย็บกระดาษติดอยู่ ลวดเย็บกระดาษจะถูกทำให้ร้อนอย่างรวดเร็วและมีอุณหภูมิสูงมาก จนทำให้ไฟไหม้ถุงกระดาษได้ ซึ่งจะลุกลามเป็นเรื่องใหญ่ได้
            ดังนั้นทางที่ดีที่สุด คือหลีกเลี่ยงการใช้โลหะทุกชนิดในเตาไมโครเวฟไปเลย
• ห้ามต้มน้ำหรือชงกาแฟในไมโครเวฟ
            เรื่องนี้เป็นเรื่องจริงที่ควรบอกต่อ ๆ เพื่อเตือนกันไว้ การต้มน้ำในไมโครเวฟอาจกลายเป็นเรื่องถึงห้องฉุกเฉินได้ โดยเฉพาะการต้มน้ำในแก้วเซรามิก หรือ แก้วใส ๆ ธรรมดา น้ำที่ต้มในไมโครเวฟบางครั้งอาจระเบิดได้ เพราะ น้ำจะถูกต้มให้มีอุณหภูมิสูงกว่าจุดเดือดของน้ำปกติ (superheated water) ปกติเวลาน้ำเดือดเราจะเห็นฟองอากาศลอยผุดขึ้นผิวน้ำ ฟองอากาศนี้ช่วยลดอุณหภูมิของน้ำให้อยู่ที่จุดเดือดปกติ ถ้าไม่มีฟองอากาศอุณหภูมิของน้ำอาจสูงกว่าจุดเดือดมากจนทำให้เกิดน้ำระเบิดได้
           แต่ถ้าไม่มีการระเบิดในเตาไมโครเวฟ การนำน้ำที่ต้มด้วยเตาไมโครเวฟออกมาชงกาแฟเป็นเรื่องร้ายแรงมาก เพราะน้ำที่มีอุณหภูมิสูงกว่าจุดเดือดปกติ เปรียบเสมือนระเบิดเวลา เพราะน้ำที่เดือดแล้วควรจะกลายเป็นไอแต่กลับคงอยู่ในสถานะของเหลว การใส่กาแฟ หรือน้ำตาล หรือแม้กระทั่งถุงชาลงไป จะรบกวนระบบทำให้น้ำกลายเป็นไอและขยายปริมาตรอย่างรวดเร็วจนกลายเป็นระเบิดน้ำเดือดขนาดย่อม ๆ ซึ่งอาจร้ายแรงมาก
           นอกจากนี้การระเบิดขณะต้มเส้นสปาเกตตี้ ต้มไข่ และการระเบิดของไข่แดงขณะที่ทำไข่ดาว ก็สามารถอธิบายได้ในทำนองเดียวกัน

                         

ข้อควรระวังอื่น ๆ ในการปรุงอาหารด้วยเตาไมโครเวฟ
•   อาหารที่ปรุงในเตาไมโครเวฟอาจสุกไม่เท่ากัน จึงอาจทำให้แบคทีเรียบางชนิดยังมีชีวิตอยู่ได้ เพื่อช่วยลดความเสี่ยงนี้จึงควรจัดอาหารให้อยู่กระจาย ๆ แล้วปรุง 2 ครั้ง หมุนตำแหน่งอาหารไปเรื่อย ๆ ถ้าชิ้นอาหารมีความหนาควรกลับด้านระหว่างปรุง
•   เนื่องจากอาหารมีโอกาสเกิดจุดร้อน หรือมีอุณหภูมิสูงมากในบางจุด จึงไม่ควรใช้เตาอุ่นนม หรือปรุงอาหารสำหรับเด็กเล็ก
•   ควรนำพลาสติกห่ออาหารออกให้เรียบร้อยก่อนละลายอาหารแช่แข็ง เพราะพลาสติกอาจละลายและอาหารได้รับอันตรายจากสารเคมีนั้น
•   ใช้ภาชนะที่ระบุว่าใช้ได้สำหรับไมโครเวฟเท่านั้น
•   ไม่ควรใช้ถุง กระดาษหนังสือพิมพ์ โลหะหรือแผ่นฟอยล์ในเตาไมโครเวฟ

ลองทำดู
          ลองพิสูจน์ความจริงที่ว่าไมโครเวฟจะส่งผลต่อโมเลกุลของน้ำที่อยู่ในสถานะของเหลวเท่านั้น โดยนำก้อนน้ำแข็งที่ไม่มีหยดน้ำเกาะใส่เตาไมโครเวฟ เปิดสวิตซ์ แล้วลองสังเกตว่าก้อนน้ำแข็งเปลี่ยนแปลงอย่างไร


ขอบคุณข้อมูลภายใต้ความร่วมมือนิตยสาร สสวท. กับวิชาการดอทคอม
ที่มา : นิตยสาร สสวท.


บันทึกการเข้า

"CHIAB"
มนุษย์เราแต่ละคน  ต่างไม่รู้ว่ามาจากไหน  ไม่มีใครรู้จักกันมาก่อนเลย  แล้ววันหนึ่งก็มาพบหน้ากัน  สมมุติเป็นพ่อ  เป็นแม่  เป็นเมีย  เป็นสามี  เป็นลูก  อยู่ร่วมกัน  ใช้ชีวิตร่วมกัน และแล้ววันหนึ่ง  ก็แยกย้ายด้วยการ  "ตายจาก"  กันไปสู่  ณ  ที่ซึ่งไม่มีใครได้ตามพบ  คืนสู่ความเป็นผู้ไม่รู้ว่ามาจากไหน  ไปไหน  และคืนสู่ความเป็น  "คนแปลกหน้า"  ซึ่งกันและกันอนันกาลอีกครั้งหนึ่ง...และอีกครั้งหนึ่ง!?
ขอขอบคุณ คุณเปลว สีเงิน ที่ให้ข้อคิดดีๆ

henrytum
member
*

คะแนน20
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 115

คนเรามีชีวิตอยู่ได้แค่ 3,300 สัปดาห์จะทำอะไรก็ทำซะ


อีเมล์
« ตอบ #1 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 04, 2009, 09:16:03 PM »

 ขอบคุณ ขอบคุณ ขอบคุณ ขอบคุณ เยี่ยมมาก เยี่ยมมาก เยี่ยมมาก เยี่ยมมาก
บันทึกการเข้า
Jaaag
Full Member
member
**

คะแนน50
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 475


โจ ครับ...


อีเมล์
« ตอบ #2 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 06, 2009, 08:57:26 AM »

ขอบคุณครับพี่  THANK!!
บันทึกการเข้า
หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1 RC2 | SMF © 2001-2006, Lewis Media

lsv2555Please follow the new website at https://www.pohchae.com

Valid CSS!