พระไตรปิฎก
หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: พระไตรปิฎก  (อ่าน 5300 ครั้ง)
kusol-LSV team
.กลุ่มผู้มีน้ำใจงาม.
member
*

คะแนน352
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 601



« เมื่อ: เมษายน 10, 2007, 10:30:01 AM »

พระไตรปิฎก:พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรคยักขสังยุตต์  เล่มที่ ๗

ยักขสังยุตอินทกสูตรที่ ๑
สมัยหนึ่ง พระพุทธองค์ประทับอยู่บนภูเขาอินทกูฏ ซึ่งอินทกยักษ์  ครอบครอง เขต
กรุงราชคฤห์ ฯ
ครั้งนั้น อินทกยักษ์เข้าไปเฝ้าพระพุทธเจ้าถึงที่ประทับได้
กราบทูลด้วยคาถาว่า
“ ท่านผู้รู้ทั้งหลายกล่าวว่า รูปหาใช่ชีพไม่ สัตว์นี้จะประสพ
ร่างกายนี้ได้อย่างไรหนอ กระดูกและก้อนเนื้อ จะมาแต่ไหน สัตว์นี้จะ
ติดอยู่ในครรภ์ได้อย่างไร”
 พระผู้มีพระภาคตรัสว่า
“รูปนี้เป็นกลละก่อนจากกลละเป็นอัพพุทะ จากอัพพุทะเกิดเป็นเปสิ จากเปสิเกิดเป็นฆนะจากฆนะเกิดเป็น ๕ ปุ่ม (ปัญจสาขา) ต่อจากนั้น มีผมขนและเล็บ (เป็นต้น) เกิดขึ้น มารดาของสัตว์ในครรภ์บริโภคข้าวน้ำโภชนาหารอย่างใด สัตว์ผู้อยู่ในครรภ์
มารดา ก็ยังอัตภาพให้เป็นไปด้วยอาหารอย่างนั้นในครรภ์นั้น” ฯ
สักกสูตรที่ ๒
สมัยหนึ่ง พระพุทธเจ้าประทับอยู่บนภูเขาคิชฌกูฏ เขตกรุงราชคฤห์ ฯ
ครั้งนั้น ยักษ์มีชื่อว่าสักกะเข้าไปเฝ้าพระองค์ถึงที่ประทับ แล้ว
ได้กราบทูลด้วยคาถาว่า
“การสั่งสอนคนอื่นนั้น ไม่เหมาะแก่สมณะเช่นท่าน ผู้ละกิเลสได้
ทั้งหมด ผู้พ้นจากไตรภพ”
พระพุทธเจ้าตรัสว่า
“ดูกรสักกะ ธรรมเครื่องอยู่ร่วมกัน  ย่อมเกิดด้วยเหตุอย่างใดอย่างหนึ่ง คนมีปัญญาไม่ควรที่จะไหวตามเหตุนั้นด้วยใจ
ถ้าคนมีใจผ่องใสแล้วสั่งสอนคนอื่นบุคคลนั้นย่อมไม่เป็นผู้พัวพันด้วย
เหตุนั้น นอกจากจะอนุเคราะห์เอ็นดู”ฯ
สูจิโลมสูตรที่ ๓
 สมัยหนึ่ง พระพุทธเจ้าประทับบนเตียงชนิดมีเท้าตรึงติดกับแม่แคร่ อัน


บันทึกการเข้า

kusol-LSV team
.กลุ่มผู้มีน้ำใจงาม.
member
*

คะแนน352
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 601



« ตอบ #1 เมื่อ: เมษายน 10, 2007, 10:31:24 AM »

เป็นที่ครอบครองของสูจิโลมยักษ์ เขตบ้านคยา ฯ
สมัยนั้นยักษ์ชื่อขระและยักษ์ชื่อสูจิโลมะเดินผ่านเข้าไปไม่ไกลพระองค์
ครั้งนั้น ยักษ์ชื่อขระได้พูดกับสูจิโลมยักษ์ว่า
นั่นสมณะ ฯ
นั่นไม่ใช่สมณะ เป็นสมณะน้อย แต่จะเป็นสมณะหรือสมณะน้อยเราพอจะรู้ได้ ฯ
ครั้งนั้น สูจิโลมยักษ์ได้เข้าไปใกล้พระพุทธเจ้ายังที่ประทับ แล้ว
ได้เข้าไปเหนี่ยวพระกายของพระองค์ ฯ
พระพุทธเจ้าทรงกระเถิบถอยพระกายไปเล็กน้อย ฯ
ครั้งนั้น สูจิโลมยักษ์ได้ถามพระองค์ว่า ท่านกลัวเราไหมสมณะ ฯ
พระพุทธเจ้าตรัสตอบไปว่า
“เราไม่กลัวท่านเลย แต่สัมผัสของท่านเลวทราม “ฯ
สูจิโลมยักษ์ทูลว่า
“สมณะ เราจักถามปัญหากะท่าน ถ้าท่านไม่กล่าวแก้แก่เรา เราจักทำจิตของท่านให้
พลุ่งพล่าน หรือจักฉีกหัวใจของท่าน หรือจักจับที่เท้าแล้วเหวี่ยงไปฝั่งโน้นแห่งแม่น้ำคงคา “ฯ
พระพุทธเจ้าตรัสว่า
 “เราไม่เห็นใครเลยในโลก ทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลก ในหมู่สัตว์พร้อม
ทั้งสมณะ พราหมณ์ เทวดาและมนุษย์ ที่จะพึงทำจิตของเราให้พลุ่งพล่าน หรือฉีกหัวใจเรา
 หรือจับเราที่เท้าแล้วเหวี่ยงไปฝั่งโน้นแห่งแม่น้ำคงคาได้ เอาเถอะ ท่านจงถามตามที่ท่านจำนงเถิด ”ฯ
สูจิโลมยักษ์ จึงถามว่า
“ราคะและโทสะ มีอะไรเป็นเหตุความไม่ยินดี ความยินดี และความสยดสยอง เกิดแต่อะไรความตรึกในใจเกิดแต่อะไรแล้วดักจิตไว้ได้
เหมือนพวกเด็กดักกา ฉะนั้น ”ฯ
พระพุทธเจ้าตรัสตอบว่า
    “ราคะและโทสะมีอัตภาพนี้เป็นเหตุ ความไม่ยินดี ความยินดี และความ
สยดสยองเกิดแต่อัตภาพนี้ ความตรึกในใจเกิดแต่อัตภาพนี้แล้ว ดักจิต
ไว้ได้เหมือนพวกเด็กดักกา ฉะนั้น ฯ
อกุศลวิตกเป็นอันมาก เกิดแต่ความเยื่อใยคือตัณหา เกิดขึ้นในตน
บันทึกการเข้า
kusol-LSV team
.กลุ่มผู้มีน้ำใจงาม.
member
*

คะแนน352
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 601



« ตอบ #2 เมื่อ: เมษายน 10, 2007, 10:32:19 AM »

แล้วแผ่ซ่านไปในวัตถุกามทั้งหลาย เหมือนย่านไทร  เกิดแต่ลำต้นไทรแล้วแผ่ซ่านไปในป่า ฉะนั้น ฯ
ชนเหล่าใดย่อมรู้ อัตภาพนั้นว่าเกิดแต่สิ่งใด ชนเหล่านั้นย่อมบรรเทา
เหตุเกิดนั้นเสียได้ ดูกรยักษ์ ท่านจงฟัง ชนเหล่านั้นย่อมข้ามห้วง
กิเลสนี้ ซึ่งข้ามได้ยาก และไม่เคยข้ามเพื่อความไม่มีภพอีกต่อไป ”ฯ
มณิภัททสูตรที่ ๔
สมัยหนึ่ง พระพุทธเจ้าประทับอยู่ที่เจดีย์ชื่อมณิมาฬกะ  อันเป็นที่ครอบครอง
ของยักษ์ชื่อมณีภัท ในแคว้นมคธ ฯ
ครั้งนั้น ยักษ์ชื่อมณิภัททะเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ครั้นแล้ว
ได้กล่าวคาถานี้ว่า
“ความเจริญย่อมมีแก่คนมีสติทุกเมื่อ คนมีสติย่อมได้ความสุข ความดี
ย่อมมีแก่คนมีสติเป็นนิตย์ และคนมีสติย่อมหลุดพ้นจากเวร ”ฯ
พระพุทธเจ้าตรัสว่า
“ความเจริญย่อมมีแก่คนมีสติทุกเมื่อ คนมีสติย่อมได้ความสุข  ความดี
ย่อมมีแก่คนมีสติเป็นนิตย์ แต่คนมีสติยังไม่หลุดพ้นจากเวร ฯ”
“แต่ผู้ใดมีใจยินดีในความไม่เบียดเบียนตลอดวันและคืนทั้งหมด และ
เป็นผู้มีส่วนแห่งเมตตาในสรรพสัตว์ ผู้นั้นย่อมไม่มีเวรกับใครๆ ”ฯ
สานุสูตรที่ ๕
สมัยหนึ่ง พระพุทธเจ้าประทับอยู่ในพระวิหารเชตวัน  อารามของท่าน
อนาถบิณฑิกเศรษฐี เขตเมืองสาวัตถี ฯ
สมัยนั้น บุตรของอุบาสิกาคนหนึ่งชื่อสานุ ถูกยักษ์เข้าสิง ฯ
ครั้งนั้น อุบาสิกานั้นได้คร่ำครวญกล่าวคาถาเหล่านี้ในเวลานั้นว่า
“ฉันได้สดับต่อพระอรหันต์ทั้งหลายว่า ชนเหล่าใดเข้าอยู่อุโบสถอัน
ประกอบด้วยองค์ ๘ ประการด้วยดี ตลอดดิถีที่ ๑๔ ที่ ๑๕ และที่ ๘
แห่งปักษ์ ทั้งตลอดปาริหาริกปักษ์ ประพฤติพรหมจรรย์อยู่ ยักษ์
ทั้งหลายย่อมไม่เล่นกับชนเหล่านั้นบัดนี้ ฉันเห็นในวันนี้ ยักษ์เล่น
กับสามเณรสานุ ”ฯ
ยักษ์กล่าวว่า
บันทึกการเข้า
kusol-LSV team
.กลุ่มผู้มีน้ำใจงาม.
member
*

คะแนน352
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 601



« ตอบ #3 เมื่อ: เมษายน 10, 2007, 10:33:02 AM »

“ท่านได้สดับต่อพระอรหันต์ทั้งหลายว่า ชนเหล่าใดเข้าอยู่อุโบสถอัน
ประกอบด้วยองค์ ๘ ประการ ตลอดดิถีที่ ๑๔ ที่ ๑๕ และที่ ๘ แห่ง
ปักษ์ ทั้งตลอดปาริหาริกปักษ์ ประพฤติพรหมจรรย์อยู่ ยักษ์ทั้งหลาย
ย่อมไม่เล่นกับชนเหล่านั้น เป็นการชอบ ท่านพึงบอกสานุผู้ฟื้นขึ้นแล้ว
ว่า ยักษ์สั่งคำนี้ไว้ว่าท่านอย่าได้กระทำกรรมอันลามกทั้งในที่แจ้งและ
ที่ลับ ถ้าท่านจักกระทำหรือกำลังกระทำกรรมอันลามกไซร้ ถึงท่านจะ
เหาะหนีไปก็ไม่พ้นจากทุกข์ ”ฯ
สามเณรสานุฟื้นขึ้นแล้วกล่าวว่า
“โยม ญาติ และมิตรทั้งหลายย่อมร้องไห้ถึงคนที่ตายแล้ว หรือยังเป็นอยู่
แต่หายไป โยมยังเห็นฉันเป็นอยู่ ไฉนเหตุไรโยมจึงร้องไห้ถึงฉัน ”ฯ
 อุบาสิกากล่าวว่า
“ลูกเอ๋ย ญาติและมิตรทั้งหลายย่อมร้องไห้ถึงคนที่ตายแล้วหรือยังเป็นอยู่
แต่หายไป แต่คนใดละกามทั้งหลายแล้วจะกลับมาในกามนี้อีก ลูกรัก
ญาติและมิตรทั้งหลายย่อมร้องไห้ถึงคนนั้น เพราะเขาเป็นอยู่ต่อไปอีกก็เหมือนตายแล้ว แน่พ่อเรายกท่านขึ้นจากเถ้ารึงที่ยังร้อนระอุแล้ว
ท่านอยากจะตกลงไปสู่เถ้ารึงอีก แน่พ่อ เรายกท่านขึ้นจากเหวแล้ว
ท่านอยากจะตกลงไปสู่เหวอีก เราจะโพนทะนาแก่ใครเล่าว่า ขอท่านจง
ช่วยกัน ขอความเจริญจงมีแก่ท่าน ประดุจสิ่งของที่ขนออกแล้วจาก
เรือนที่ไฟไหม้ แต่ท่านอยากจะเผามันเสียอีก ”ฯ
ปิยังกรสูตรที่ ๖
 สมัยหนึ่ง ท่านพระอนุรุทธอยู่ในพระวิหารเชตวัน อารามของท่านอนาถบิณฑิก
เศรษฐี เขตกรุงสาวัตถี ฯ
สมัยนั้น ท่านพระอนุรุทธลุกขึ้นในเวลาใกล้รุ่งแห่งราตรี กล่าวบทแห่งพระธรรมอยู่ ฯ
ครั้งนั้น นางยักษิณีผู้เป็นมารดาของปิยังกระปลอบบุตรน้อยอย่างนี้ว่า
“ปิยังกระ อย่าอึกทึกไป ภิกษุกำลังกล่าวบทพระธรรมอยู่ อนึ่ง เรารู้แจ้ง
บทพระธรรมแล้วปฏิบัติ ข้อนั้นจะพึงมีเพื่อประโยชน์เกื้อกูลแก่เรา ฯ
เราสำรวมในเหล่าสัตว์มีปราณ เราไม่กล่าวเท็จทั้งที่รู้อยู่  เราศึกษา
ทำตนให้เป็นผู้มีศีลดีนั่นแหละ เราจะพ้นจากกำเนิดปีศาจ ”ฯ
บันทึกการเข้า
kusol-LSV team
.กลุ่มผู้มีน้ำใจงาม.
member
*

คะแนน352
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 601



« ตอบ #4 เมื่อ: เมษายน 10, 2007, 10:33:50 AM »

ปุนัพสุสูตรที่ ๗
สมัยหนึ่ง พระพุทธเจ้าประทับอยู่ในพระวิหารเชตวัน  อารามของท่าน
อนาถบิณฑิกเศรษฐี เขตกรุงสาวัตถี ฯ
สมัยนั้น พระองค์ทรงยังภิกษุทั้งหลายให้เห็นแจ้ง ให้สมาทาน  ให้อาจหาญ
 ให้รื่นเริงอยู่ด้วยธรรมีกถาอันปฏิสังยุตด้วยพระนิพพาน ฯ
ภิกษุเหล่านั้นตั้งใจมนสิการ ประมวลไว้ด้วยใจทั้งหมด เงี่ยโสตลงสดับพระธรรม ฯ
ครั้งนั้น นางยักษิณีผู้เป็นมารดาของปุนัพสุปลอบบุตรน้อยอย่างนี้ว่า
“นิ่งเสียเถิดลูกอุตรา นิ่งเสียเถิดลูกปุนัพสุ จนกว่าแม่จะฟังธรรมของพระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐ ผู้เป็นพระศาสดาจบ พระผู้มีพระภาคตรัสนิพพานอันเป็นเครื่องเปลื้องตนเสีย จากกิเลสเครื่องร้อยกรองทั้งปวง เวลาที่ปรารถนาในธรรมนั้นจะล่วงเลยแม่ไปเสีย ลูกของตนเป็นที่รักในโลกผัวของตนเป็นที่รักในโลก แต่ความปรารถนาในธรรมนั้น เป็นที่รักของ
แม่ยิ่งกว่าลูกและผัวนั้น เพราะลูกหรือผัวที่รัก พึงปลดเปลื้องจากทุกข์ไม่ได้ เหมือนการฟังธรรมย่อมปลดเปลื้องเหล่าสัตว์จากทุกข์ได้ ในเมื่อโลกอันทุกข์วงล้อมแล้วประกอบด้วยชราและมรณะ แม่ปรารถนาจะฟังธรรม ที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ด้วยพระปัญญาอันยิ่ง เพื่อพ้นจากชราและมรณะจงนิ่งเสียเถิดลูกปุนัพสุ ”ฯ
    ปุนัพสุพูดว่า
“แม่จ๋า ฉันจักไม่พูด อุตราน้องสาวของฉันก็จักเป็นผู้นิ่งเชิญแม่ฟังธรรมอย่างเดียวการฟังพระสัทธรรมนำความสุขมาให้ แม่จ๋า เราไม่รู้พระสัทธรรมจึงได้เที่ยวไปลำบาพระพุทธเจ้าพระองค์นี้ เป็นผู้ทำความสว่างไสวแก่เทวดาและมนุษย์ผู้ลุ่มหลง มีพระสรีระครั้งสุดท้าย มีพระจักษุ แสดงธรรมอยู่ ”ฯ
 ยักษิณีพูดว่า
“น่าชื่นชมนัก ลูกผู้นอนบนอกของแม่เป็นคนฉลาด ลูกของแม่ย่อมรักใคร่พระธรรมอันบริสุทธิ์ของพระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐ ปุนัพสุเจ้าจงมีความสุขเถิด วันนี้แม่เป็นผู้ย่างขึ้นไปในพระศาสนา แม่และเจ้าเห็นอริยสัจแล้ว แม้แม่อุตราก็จงฟังแม่ ”ฯ
สุทัตตสูตรที่ ๘
สมัยหนึ่ง พระพุทธเจ้าภาคประทับในสีตวัน เขตกรุงราชคฤห์ ฯ
สมัยนั้น อนาถบิณฑิกคฤหบดีไปถึงกรุงราชคฤห์ด้วยกรณียกิจบางอย่าง ฯท่านคฤหบดีได้สดับว่า เขาลือกันว่าพระพุทธเจ้าเสด็จอุบัติแล้วในโลก
บันทึกการเข้า
kusol-LSV team
.กลุ่มผู้มีน้ำใจงาม.
member
*

คะแนน352
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 601



« ตอบ #5 เมื่อ: เมษายน 10, 2007, 10:39:30 AM »

ขณะนั้นเอง ปรารถนาจะเข้าเฝ้าพระองค์ ฯ
ครั้งนั้น ท่านคฤหบดีได้ดำริว่า วันนี้เป็นกาลไม่ควรเพื่อจะเข้าเฝ้าพระองค์ พรุ่งนี้เถิด เราจึงจักเข้าเฝ้าท่านคฤหบดีนอนรำพึงถึงพระพุทธเจ้า สำคัญว่าสว่างแล้วลุกขึ้นในราตรีถึง ๓ ครั้ง ฯ
ลำดับนั้น ท่านคฤหบดีเดินไปทางประตูป่าช้า พวกอมนุษย์เปิดประตูให้ ฯ
ครั้นเมื่ออนาถบิณฑิกคฤหบดีออกจากเมืองไป แสงสว่างก็อันตรธานไป ความ
มืดปรากฏขึ้น ความกลัว ความหวาดเสียว ขนพองสยองเกล้าบังเกิดขึ้น ท่านคฤหบดี
จึงใคร่ที่จะกลับเสียจากที่นั้น ฯ
ครั้งนั้น ยักษ์ชื่อสีวกะไม่ปรากฏร่างได้ส่งเสียงให้ได้ยินว่า
“ช้างแสนหนึ่ง ม้าแสนหนึ่ง รถเทียมด้วยม้าอัศดรแสนหนึ่ง หญิงสาว
ที่สอดสวมแก้วมณีและกุณฑลแสนหนึ่ง ย่อมไม่ถึงเสี้ยวที่ ๑๖ อัน
จำแนกแล้ว ๑๖ ครั้ง แห่งการยกย่างเท้าไปก้าวหนึ่ง ท่านจงก้าวหน้า
ไปเถิดคฤหบดี ท่านจงก้าวหน้าไปเถิดคฤหบดี การก้าวหน้าไปของท่าน
ประเสริฐ การถอยหลังไม่ประเสริฐเลย ”ฯ
ครั้งนั้น ความมืดได้หายไป แสงสว่างปรากฏขึ้นแก่ท่านคฤหบดี ความกลัว ความหวาดเสียว และขนพองสยองเกล้าก็ระงับไป ฯ
แม้ครั้งที่ ๒ แสงสว่างหายไป ความมืดปรากฏขึ้นแก่ท่านคฤหบดี
ความกลัว ความหวาดเสียว และขนพองสยองเกล้าบังเกิดขึ้น ท่านคฤหบดีจึงใคร่ที่จะกลับ
เสียจากที่นั้นอีก ฯ
แม้ครั้งที่ ๒ ยักษ์ชื่อสิวกะไม่ปรากฏร่างได้ส่งเสียงให้ได้ยินว่า
“ช้างแสนหนึ่ง ม้าแสนหนึ่ง ฯลฯ ย่อมไม่ถึงเสี้ยวที่ ๑๖อันจำแนก
แล้ว ๑๖ ครั้ง แห่งการยกย่างเท้าไปก้าวหนึ่งท่านจงก้าวหน้าไปเถิด
คฤหบดี ท่านจงก้าวหน้าไปเถิดคฤหบดีการก้าวหน้าไปของท่าน
ประเสริฐ การถอยหลังไม่ประเสริฐเลย ”ฯ
ครั้งนั้น ความมืดได้หายไป แสงสว่างปรากฏขึ้นแก่ท่านคฤหบดี ความกลัว ความหวาดเสียว และขนพองสยองเกล้าก็ระงับไป ฯ
แม้ครั้งที่ ๓ แสงสว่างหายไป ความมืดปรากฏขึ้นแก่ท่านอนาถบิณฑิกคฤหบดี
ความกลัว ความหวาดเสียว และขนพองสยองเกล้าบังเกิดขึ้น ท่านคฤหบดีจึงใคร่ที่จะกลับ
เสียจากที่นั้นอีก ฯ
บันทึกการเข้า
kusol-LSV team
.กลุ่มผู้มีน้ำใจงาม.
member
*

คะแนน352
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 601



« ตอบ #6 เมื่อ: เมษายน 10, 2007, 10:40:14 AM »

แม้ครั้งที่ ๓ ยักษ์ชื่อสิวกะไม่ปรากฏร่างได้ส่งเสียงให้ได้ยินว่า
“ช้างแสนหนึ่ง ม้าแสนหนึ่ง ฯลฯ ย่อมไม่ถึงเสี้ยวที่ ๑๖ อันจำแนก
แล้ว ๑๖ ครั้ง แห่งการยกย่างเท้าไปก้าวหนึ่งท่านจงก้าวหน้าไปเถิด
คฤหบดี ท่านจงก้าวหน้าไปเถิดคฤหบดีการก้าวหน้าไปของท่านประเสริฐ
 การถอยหลังไม่ประเสริฐเลย ”ฯ
ครั้งนั้นแล ความมืดได้หายไป แสงสว่างได้ปรากฏขึ้นแก่ท่านอนาถบิณฑิกคฤหบดี
ความกลัว ความหวาดเสียว และขนพองสยองเกล้าก็ระงับไป ฯ
ครั้งนั้นแล อนาถบิณฑิกคฤหบดีเดินเข้าไปถึงสีตวัน ฯ
สมัยนั้น พระผู้มีพระภาคเสด็จลุกขึ้นในเวลาใกล้รุ่งแห่งราตรี เสด็จจงกรมอยู่ในที่
แจ้ง พระองค์ได้ทอดพระเนตรเห็นอนาถบิณฑิกคฤหบดีผู้มาแต่ไกลครั้นแล้วเสด็จลงจากที่
จงกรมประทับบนอาสนะที่ปูลาดไว้ ครั้นแล้วได้ตรัสเรียกคฤหบดีว่า
“มานี่เถิดสุทัตตะ ”ฯ
ครั้งนั้นแล อนาถบิณฑิกคฤหบดีคิดว่า พระผู้มีพระภาคทรงทักเราโดยชื่อ จึงหมอบลง
แทบพระบาทของพระผู้มีพระภาคด้วยเศียรเกล้าในที่นั้นเอง แล้วกราบทูลว่า
“ข้าแต่พระผู้มีพระภาคผู้เจริญ พระองค์ประทับอยู่เป็นสุขหรือพระเจ้าข้า ”ฯ
พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า
“พราหมณ์ผู้ดับกิเลสเสียได้แล้วไม่ติดอยู่ในกามทั้งหลาย เป็นผู้เย็น
ปราศจากอุปธิ ย่อมอยู่เป็นสุขเสมอไป ผู้ที่ตัดตัณหาเครื่องเกี่ยวข้องได้
หมดแล้ว กำจัดความกระวนกระวายในใจเสียได้ เป็นผู้สงบอยู่เป็นสุข
เพราะถึงสันติด้วยใจ ”ฯ
ปฐมสุกกาสูตรที่ ๙
สมัยหนึ่ง พระพุทธเจ้าประทับอยู่ในพระวิหารเวฬุวัน อันเป็นที่ให้เหยื่อ
แก่กระแต เขตกรุงราชคฤห์ ฯ
สมัยนั้นภิกษุณีชื่อสุกกา บริษัทเป็นอันมากแวดล้อมแสดงธรรมอยู่ ฯ
ครั้งนั้น ยักษ์ผู้เลื่อมใสยิ่งในสุกกาภิกษุณีจากถนนนี้ไปยังถนนโน้น จากตรอกนี้ไปยังตรอกโน้น ในกรุงราชคฤห์ ได้ภาษิตคาถาเหล่านี้ในเวลานั้นว่า
“มนุษย์ทั้งหลายในกรุงราชคฤห์ ไม่เข้าไปนั่งใกล้สุกกาภิกษุณี  ผู้แสดง
อมตบทอยู่ มัวทำอะไรกัน เป็นผู้ประดุจดื่มน้ำผึ้งหอมแล้วก็นอน ก็แล
บันทึกการเข้า
kusol-LSV team
.กลุ่มผู้มีน้ำใจงาม.
member
*

คะแนน352
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 601



« ตอบ #7 เมื่อ: เมษายน 10, 2007, 10:41:03 AM »

อมตบทนั้นใครจะคัดค้านไม่ได้ เป็นของไม่ได้เจือปรุง แต่มีโอชา ผู้มี
ปัญญาคงได้ดื่มอมตธรรมเหมือนคนเดินทางได้ดื่มน้ำฝน ฉะนั้น ”ฯ
ทุติยสุกกาสูตรที่ ๑๐
สมัยหนึ่ง พระพุทธเจ้าประทับอยู่ในพระวิหารเวฬุวัน อันเป็นที่ให้เหยื่อ
แก่กระแต เขตกรุงราชคฤห์ ฯ
สมัยนั้น อุบาสกคนหนึ่งได้ถวายโภชนาหารแก่สุกกาภิกษุณี ฯ
ครั้งนั้น ยักษ์ผู้เลื่อมใสยิ่งในสุกกาภิกษุณีจากถนนนี้ไปยังถนนโน้น จาก
ตรอกนี้ไปยังตรอกโน้น ในพระนครราชคฤห์ ได้ภาษิตคาถานี้ในเวลานั้นว่า
“อุบาสกผู้ได้ถวายโภชนะแก่สุกกาภิกษุณีผู้หลุดพ้นจากกิเลสเครื่องร้อย
รัดทั้งปวง เป็นคนมีปัญญาแท้ ประสพบุญมากหนอ”ฯ
จิราสูตรที่ ๑๑
สมัยหนึ่ง พระพุทธเจ้าประทับอยู่ในพระวิหารเวฬุวันอันเป็นที่ให้เหยื่อ
แก่กระแต เขตกรุงราชคฤห์ ฯ
สมัยนั้น อุบาสกคนหนึ่งได้ถวายจีวรแก่จิราภิกษุณี ฯ
ครั้งนั้น ยักษ์ผู้เลื่อมใสยิ่งในจิราภิกษุณี จากถนนนี้ไปยังถนนโน้น จาก
ตรอกนี้ไปยังตรอกโน้น ในพระนครราชคฤห์ ได้ภาษิตคาถานี้ในเวลานั้นว่า
“อุบาสกผู้ได้ถวายจีวรแก่จีราภิกษุณีผู้หลุดพ้นจากกิเลสเครื่องประกอบทั้งปวง เป็น
คนมีปัญญาแท้ ประสพบุญมากหนอ”ฯ
อาฬวกสูตรที่ ๑๒
สมัยหนึ่ง พระพุทธเจ้าประทับในที่อยู่ของอาฬวกยักษ์ เขตเมืองอาฬวี ฯ
ครั้งนั้น อาฬวกยักษ์เข้าไปใกล้พระองค์ถึงที่ประทับ ครั้นแล้วได้กล่าวว่า
“ท่านจงออกมา สมณะ”ฯ   
พระพุทธเจ้าตรัสว่า
“ดีแล้วผู้มีอายุ”
แล้วก็เสด็จออกมา ฯ
ยักษ์กล่าวว่า
“ท่านจงเข้าไป สมณะ”ฯ
พระพุทธเจ้าตรัสว่า
บันทึกการเข้า
kusol-LSV team
.กลุ่มผู้มีน้ำใจงาม.
member
*

คะแนน352
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 601



« ตอบ #8 เมื่อ: เมษายน 10, 2007, 10:41:49 AM »

“ดีแล้วผู้มีอายุ”
แล้วก็เสด็จเข้าไป ฯ   
แม้ครั้งที่ ๒ แม้ครั้งที่ ๓ อาฬวกยักษ์ก็ได้กล่าวพระผู้มีพกะพระพุทธเจ้าเช่นนั้น
ครั้นครั้งที่ ๔ อาฬวกยักษ์ได้กล่าวว่า
“ท่านจงออกมา สมณะ”ฯ
พระพุทธเจ้าว่า
 “ผู้มีอายุ เราจักไม่ออกไปละท่านจะทำอะไรก็จงทำเถิด”ฯ
อาฬวกยักษ์กล่าวว่า
“สมณะ เราจักถามปัญหากะท่าน ถ้าท่านพยากรณ์แก่เราไม่ได้ เราจักทำจิตของท่านให้ฟุ้งซ่าน หรือฉีกหัวใจของท่านหรือจักจับที่เท้าแล้วเหวี่ยงไปยังแม่น้ำคงคาฝั่งโน้น”ฯ
พระพุทธเจ้าว่า
“อาวุโส เราไม่เห็นใครเลยในโลก พร้อมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลก ในหมู่
สัตว์พร้อมทั้งสมณพราหมณ์ เทวดาและมนุษย์ที่จะพึงทำจิตของเราให้ฟุ้งซ่านได้ หรือขยี้หัวใจของเรา หรือจับเราที่เท้าแล้วเหวี่ยงไปยังแม่น้ำคงคาฝั่งโน้น เอาเถิด อาวุโส เชิญถามปัญหาตามที่ท่านจำนงเถิด”ฯ
อาฬวกยักษ์ทูลถามว่า
“อะไรหนอ เป็นทรัพย์เครื่องปลื้มใจอันประเสริฐของคนในโลกนี้ อะไร
หนอที่บุคคลประพฤติดีแล้วนำความสุขมาให้  อะไรหนอเป็นรสอันล้ำเลิศกว่ารสทั้งหลาย นักปราชญ์ทั้งหลายกล่าวชีวิตของผู้ที่เป็นอยู่อย่างไร ว่าประเสริฐสุด”ฯ
    พระพุทธเจ้าตรัสตอบว่า
“ศรัทธาเป็นทรัพย์ อันประเสริฐของคนในโลกนี้ ธรรมอันบุคคลประพฤติ
ดีแล้ว นำความสุขมาให้ ความสัตย์แลเป็นรสอันล้ำเลิศกว่ารสทั้งหลาย
นักปราชญ์ทั้งหลายกล่าวชีวิตของผู้ที่เป็นอยู่ด้วยปัญญาว่าประเสริฐสุด”ฯ
อาฬวกยักษ์ทูลถามว่า
“คนข้ามโอฆะได้อย่างไรหนอ ข้ามอรรณพได้อย่างไร ล่วงทุกข์ได้อย่างไร
บริสุทธิ์ได้อย่างไร”
พระพุทธเจ้าตรัสตอบว่า
“คนข้ามโอฆะได้ด้วยศรัทธา ข้ามอรรณพได้ด้วยความไม่ประมาท ล่วง
บันทึกการเข้า
kusol-LSV team
.กลุ่มผู้มีน้ำใจงาม.
member
*

คะแนน352
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 601



« ตอบ #9 เมื่อ: เมษายน 10, 2007, 10:42:50 AM »

ทุกข์ได้ด้วยความเพียร บริสุทธิ์ได้ด้วยปัญญา”ฯ
อาฬวกยักษ์ทูลถามว่า
“คนได้ปัญญาอย่างไรหนอ ทำอย่างไรจึงจะหาทรัพย์ได้ คนได้ชื่อเสียง
อย่างไรหนอ ทำอย่างไรจึงจะผูกมิตรไว้ได้ คนละโลกนี้ไปสู่โลกหน้า
ทำอย่างไรจึงจะไม่เศร้าโศก”ฯ
พระพุทธเจ้าตรัสตอบว่า
“บุคคลเชื่อธรรมของพระอรหันต์ เพื่อบรรลุนิพพาน ฟังอยู่ด้วยดีย่อมได้
ปัญญา เป็นผู้ไม่ประมาท มีวิจาร คนทำเหมาะเจาะ ไม่ทอดธุระ
เป็นผู้หมั่น ย่อมหาทรัพย์ได้ คนย่อมได้ชื่อเสียงเพราะความสัตย์ ผู้ให้
ย่อมผูกมิตรไว้ได้ บุคคลใดผู้อยู่ครองเรือนประกอบด้วยศรัทธา มีธรรม
๔ ประการนี้คือ สัจจะ ธรรมะ ธิติ จาคะ บุคคลนั้นแล ละโลก
นี้ไปแล้วย่อมไม่เศร้าโศก เชิญท่านถามสมณพราหมณ์เป็นอันมากเหล่า
อื่นดูซิว่าในโลกนี้มีอะไรยิ่งไปกว่าสัจจะ ทมะ จาคะและขันติ”ฯ
อาฬวกยักษ์กราบทูลว่า
“ทำไมหนอ ข้าพเจ้าจึงจะต้องถามสมณพราหมณ์เป็นอันมากในบัดนี้
วันนี้ข้าพเจ้ารู้ชัดถึงสัมปรายิกประโยชน์ พระพุทธเจ้าเสด็จมาอยู่เมือง
อาฬวี เพื่อประโยชน์แก่ข้าพเจ้าโดยแท้วันนี้ข้าพเจ้ารู้ชัดถึงทานที่บุคคล
ให้ในที่ใดมีผลมาก ข้าพเจ้าจักเที่ยวจากบ้านไปสู่บ้าน จากบุรีไปสู่บุรี
พลางนมัสการพระสัมพุทธเจ้าและพระธรรมซึ่งเป็นธรรมที่ดี”ฯ

จบยักขสังยุตบริบูรณ์
__________
รวมพระสูตรแห่งยักขสังยุต ๑๒ สูตร คือ
อินทกสูตรที่ ๑ สักกสูตรที่ ๒ สูจิโลมสูตรที่ ๓ มณิภัทสูตรที่ ๔สานุสูตรที่ ๕
ปิยังกรสูตรที่ ๖ ปุนัพสุสูตรที่ ๗ สุทัตตสูตรที่ ๘ สุกกาสูตร ๒ สูตร จีราสูตร ๑๑
 อาฬวกสูตร ๑ รวม ๑๒ สูตร ฯ



บันทึกการเข้า
eskimo_bkk-LSV team♥
.กลุ่มผู้มีน้ำใจงาม..
member
*

คะแนน1883
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 13256


ไม่แล่เนื้อเถือหนังพวก


อีเมล์
« ตอบ #10 เมื่อ: เมษายน 10, 2007, 12:13:28 PM »

 Lips Sealed Smiley
บันทึกการเข้า
หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป: