บันทึกของนักโทษประหาร
หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: บันทึกของนักโทษประหาร  (อ่าน 7001 ครั้ง)
แวมไพร์-LSVteam♥
.กลุ่มผู้มีน้ำใจงาม.
member
*

คะแนน912
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3712


..เรียนให้รู้เป็นครูเขา.Learning by doing


« เมื่อ: พฤษภาคม 08, 2008, 09:01:33 AM »



ผมคือนักโทษประหารคนหนึ่ง เช้าวันนี้ผมและเพื่อนนักโทษอีกคนจะถูกนำไปลานประหารแล้ว ไม่ช้าห่ากระสุนก็จะจบชีวิตอันชั่วร้ายของผม แต่ก่อนผมและพรรคพวกอยู่ท่ามกลางตีรันฟันแทง

หลายครั้ง ต่างคิดว่าไม่กลัวตาย ไม่เคยรู้สึกว่าชีวิตมีค่าอะไร แต่ขณะนี้ความตายกำลังจะมาถึง กลับรู้สึกหวาดกลัวและรักชีวิตขึ้นมา ตอนนี้ถ้าสามารถให้ผมมีชีวิตยืดต่อไปอีกหน่อยแม้จะเพียงไม่กี่นาที จะให้แลกกับอะไรผมยอมทั้งนั้น

ก่อนหน้านี้เพื่อนร่วมก๊วนคนหนึ่งได้ถูกจับ ทำให้โอกาสที่จะยืดชีวิตต่อไปสิ้นหวัง ตั้งแต่ถูกศาลพิพากษาลงโทษประหารชีวิต ทำให้ความหวังของผมทุกอย่างพังทลายหมด เสียงฝีเท้าของพญามัจจุราชคืบคลานใกล้เข้ามาทุกขณะ ทุกครั้งที่คิดถึงว่าจะถูกนำไปลานประหาร ทำให้ร่างกายสั่นสะท้านทุกที ทุกคืนนอนไม่ค่อยหลับ เรื่องความหวังที่จะได้ยืดชีวิตต่อไปหรือได้รับอิสรภาพ แม้จะรู้ว่า เป็นเรื่องเพ้อฝัน เพราะทุกอย่างสายไปแล้ว ผมสำนึกผิดและเสียใจกับเรื่องราวในอดีตทั้งหมด ถ้ารู้แต่แรกว่าจะลงเอยแบบนี้ผมคงไม่กล้าทำ


เมื่อไม่นานมานี้ ผมเริ่มเชื่อเรื่องผีสางเทวดามีจริง ตั้งแต่ผมถูกจับกุมอยูในเรือนจำ ได้อ่านหนังสือธรรมะไม่น้อยแต่ก่อนหนังสือเหล่านี้ผมไม่เคยสนใจเลย ซ้ำยังหาว่าเป็นเรื่องงมงาย ไร้ สาระ ทุกครั้งที่นึกถึงเหตุการณ์ระหว่างที่ผมหลบหนีคดีแล้วถูกวิญญาณพยาบาทตามรังควานจนถึงเดี่ยวนี้ก็ยังมีอยู่เป็นข้อพิสูจน์อย่างดีตามที่หนังสือธรรมะว่าไว้ไม่มีผิด ผมคิดว่า ถ้าผมเชื่อเรื่องราวในหนังสือธรรมะตั้งแต่แรก ความชั่วร้ายเหล่านี้ก็คงไม่เกิดขึ้นเป็นแน่ อยู่ในคุกผมได้อ่านหนังสือเล่มหนึ่งชื่อ “ท่องเมืองนรก” ทำให้ผมรู้สึกเสียใจและหวาดกลัวมาก ที่แท้คนเราตายแล้วไม่ใช่จบสิ้นทุกอย่าง


นักโทษประหารเช่นผมที่ได้สร้างบาปกรรมไว้มากมาย ในภายหน้าคงไม่อาจหนีพ้นการลงโทษจากนรก ไม่รู้ว่าจะได้พ้นทุกข์เมื่อไหร่ และเมื่อไหร่จึงจะได้มาเกิดเป็นคนอีก

เมื่อวานลูกเมียได้มาเยี่ยม เราต่างรู้ว่านี่เป็นการพบหน้าครั้งสุดท้าย ผมได้หลั่งน้ำตาแห่งความสำนึกผิด เวลา 15 วินาทีของการเยี่ยม เราต่างนิ่งเงียบ ผมจะพูดอะไรได้ภรรยาอุ้มลูกน้อยไร้เดียงสา ผมจะทอดทิ้งพวกเขาลงคอได้อย่างไร แต่ผมจะทำอะไรได้ เวลา 15 นาทีผ่านไปเร็วมาก ผมบอกเมียว่าให้ถนอมสุขภาพ เพราะความประพฤติของผมที่ผ่านมาแท้ๆ จึงทำให้ลูกเมียต้องพลอยลำบาก ขอให้เธอให้อภัย และย้ำแล้วย้ำอีก ต่อไปเธอจงอบรมลูกให้ดีควรดูการทำชั่วของพ่อเป็นบทเรียน อย่าได้เจริญรอยตาม ครั้นลูกเมียเดินจากไป ผมมองตามหลังจนลับสายตา ผมปวดร้าวในหัวใจ ร้องไห้จนสลบไป

แต่ก่อนผมไม่เคยสนใจลูกเมียเลย ภรรยาแต่งกับผมมาหลายปี ไม่รู้ว่าต้องทนกับการด่าว่าและเตะถีบจากผมเท่าไหร่ ผมไม่เคยทำหน้าที่สามีและพ่อที่ดีเลย ผมไม่สมควรเป็นคน ผมตำหนิตัวเอง ผมสำนึกผิดเมื่อใกล้จะถูกประหารน้ำมันตะเกียงกำลังจะหมด ทุกอย่างมันสายเกินไปแล้ว

ไม่นานมานี้ได้ความรู้จากหนังสือธรรมะ ผมยอมรับว่าตอนนี้ผมกลัวตายที่สุด เพราะผมเชื่อแน่ว่าตายแล้วไม่สูญหมด แต่เป็นเพียงวิญญาณหลุดออกจากกายเนื้อเท่านั้น แล้วไปเริ่มต้นอีกมิติหนึ่ง โดยผมจะต้องไปรับโทษอีกตามที่หนังสือ “ท่องเมืองนรก” บันทึกไว้ ซึ่งเป็นการลงโทษที่โหดร้ายทารุณยิ่งกว่ากฎหมายเมืองมนุษย์หลายร้อยหลายพันเท่า ... แล้วจะมีใครช่วยผมได้นี่ !

ขณะนี้ผมกำลังก้าวไปหาความตาย แม้ผมจะสำนึกผิดแล้ว แต่ในตัวผมเต็มไปด้วยบาปกรรม ตอนนี้ผมไม่มีแม้แต่โอกาสที่จะกลับตัวใหม่ หรือไถ่บาปได้เลย ได้แต่ใช้เวลาและลมหายใจอันจำกัดเล่าบาปกรรมที่ทำมาทั้งหมดอย่างหมดเปลือก

หนึ่งนั้นเป็นการสารภาพบาป

สองนั้นเพื่อเป็นบทเรียนอุทาหรณ์เตือนใจแก่ผู้หลงผิดให้กลับตัวใหม่

ขอพระโพธิสัตว์โปรดเมตตา ลดโทษทัณฑ์ที่นรกให้บ้างเถิด

ผมเกิดในครอบครัวที่ร่ำรวย ผมเป็นลูกเพียงคนเดียวของพ่อแม่ ดังนั้นตั้งแต่เด็กผมจึงได้รับการตามใจทุกอย่างผมอยากได้อะไรก็จะได้เสมอ พ่อวุ่นอยู่กับธุรกิจทั้งวัน ส่วนแม่ก็เอาแต่เล่นไพ่นกกระจอก ผมนั้นพ่อแม่รู้แต่เอาใจน้อยนักที่จะอบรม เมื่อนานเข้าทำให้ผมติดนิสัยเที่ยวเตร่เสเพล

วันๆ เอาแต่กินดื่มหาความสำราญู ไม่รู้จักความยากลำบากของชีวิต ตอนที่ผมเรียนอยู่ชั้นมัธยมก็กลายเป็นแก๊งวัยรุ่นที่เป็นขาประจำของโรงพักแล้ว ซึ่งทุกครั้งพ่อแม่ก็ไปประกันตัวผมออกมา อย่างมากก็แค่ว่าสั่งสอนผมไม่กี่คำ ไม่นานผมก็ประพฤติเหมือนเดิมอีก ตำรวจพอเห็นผมก็ส่ายหัวด้วยความ เอือมระอา

เมื่อผมเรียนจบชั้นมัธยมปลายแล้ว ไม่ได้ทำงานทำการอะไร ไปมั่วสุมเสพสารเสพติดกับพวกนักเลง รู้สึกสะใจเหมือนได้ขึ้นสวรรค์ทั้งเป็น บางครั้งก็รวมกลุ่มกันไปก่อเรื่องวิวาท ถ้าใครมามองหน้าก็จะถูกผมจัดการทันที มีหลายครั้งที่เกิดการยกพวกตีกันโดยมีผมนำหน้า จนได้รับตำแหน่ง “พี่ใหญ่”

ตอนนั้นผมอายุราว 25 ปีในวงการนักเลงคนที่จะเป็นพี่ใหญ่ไมใช่เป็นได้ง่ายๆ นอกจากต้องใจเ**้ยมแล้วยังต้องมีเงินเพื่อเลี้ยงลูกน้อง ดังนี้ผมจึงมักจะยื่นมือขอเงินกับพ่อแม่ ถ้าไม่ให้หรือชักช้า ผมก็จะด่าใหญ่อย่างไม่เกรงใจหรือข่มขู่ว่าเดี๋ยวน่าดู มาถึงตอนนี้พ่อแม่เสียใจมากที่แต่ก่อนปล่อยปละละเลยไม่ได้อบรม ต่อมาผมได้เปิดบ่อนการพนัน


ครั้งหนึ่งขณะที่ไปทวงหนี้การพนันแทนพรรคพวกได้ทำร้ายร่างกายฝ่ายตรงข้ามจนบาดเจ็บสาหัส จึงต้องเผ่นหนีไปอยู่ที่อื่น ต่อมาถูกตำรวจจับตัวได้ที่ภาคเหนือ ถูกศาลตัดสินจำคุก 2 ปี พ่อแม่เสียใจมาก ได้แต่หวังว่าผมจะเข็ดหลาบหรือกลับตัวใหม่ คืนผมออกจากคุก มิเพียงไม่ได้กลับตัว แต่กลับร้ายยิ่งกว่าเก่า พ่อแม่จนปัญญาได้แต่บอกให้ผมแต่งงาน และตั้งใจจะมอบธุรกิจของท่านแก่ผม

โดยหวังว่าภาระหน้าที่ทางธุรกิจและครอบครัวจะทำให้ผมกลับตัวได้ ต่อมาผมได้แต่งงาน ภรรยาผมเป็นยอดหญิงที่ดีมาก ผมนั้นก่อนแต่งงานเที่ยวผู้หญิงจนเคยตัว จึงไม่เห็นเธออยู่ในสายตา โดยมักจะด่าว่าเธอเสมอ พอมีอะไรไม่สบอารมณ์ ก็มักจะลงมือลงเท้ากับเธอ ปกติเธอเป็นคนยอดกตัญญู ด้วยเกรงพ่อแม่จะเสียใจ เธอจึงมักแอบร้องไห้อยู่คนเดียว

ผมแต่งงานไมถึงปีก็ถูกตำรวจจับอีกในขณะไปเรียกเก็บค่าคุ้มครองจากร้านค้า ครั้งนี้ถูกตัดสินจำคุก 2 ปี ติดคุกได้ไม่นาน ภรรยาให้กำเนิดบุตรชายคนหนึ่ง ในวันที่ผมออกจากคุก พ่อแม่และภรรยาได้มารับ เย็นวันนั้นหลังจากรับประทานอาหารเสร็จ ภรรยาผมอุ้มลูกน้อยต่อหน้าพ่อแม่ผม เธอร้องไห้คุกเข่าตรงหน้าผม อ้อนวอนผมให้ตัดสินใจกลับตัวใหม่ ขอให้ผมนึกถึงบุญคุณของพ่อแม่และเห็นใจลูกเมียบ้าง อย่างน้อยที่สุดก็ให้ทำตัวสมเป็นลูกผู้ชายบ้าง เพื่อให้พ่อแม่ ลูกเมียได้เงยหน้าอ้าปาก


ผมมองดูลูกชายรู้สึกจะเป็นเด็กฉลาดน่ารัก พลันเกิดความละอายใจและเสียใจระคนกัน ได้อยู่ในเส้นทางมืดมากว่า 10ปี ที่จริงก็เบื่อเหมือนกัน จึงรับปากว่าจะกลับตัวใหม่ ทำให้ใบหน้าภรรยาปรากฏรอยยิ้มทั้งน้ำตา พูดตามตรงผมไม่ได้เห็นภรรยายิ้มมานานแล้ว เพราะหลายปีมานี้ ผมไม่เคยมีสีหน้าที่ดีกับเธอ และไม่รู้ว่า ได้ด่าว่าและลงมือลงเท้ากับเธอกี่ครั้งแล้ว พอเห็นรอยยิ้ม ผมรู้สึกว่าภรรยาเป็นหญิงที่สวยมาก ไฉนแต่ก่อนผมจึงไม่เห็น คงเป็นเพราะถูกบดบังด้วยความเศร้าหมองกระมัง


ต่อมาคุณพ่อให้ไปทำงานที่โรงงานของท่าน คุณพ่อเห็นว่า ผมยังด้อยประสบการณ์จึงไม่กล้าให้ตำแหน่งหน้าที่ที่สูงนัก โดยให้ทำหน้าที่ระดับธรรมดาเท่านั้น เนื่องจากผมเป็นลูกเถ้าแก่ ทุกคนจึงเกรงใจเป็นพิเศษ โบราณว่า “แผ่นดินเปลี่ยนง่าย สันดานเปลี่ยนยาก” ผมอยู่ในวงการนักเลง เป็นผู้นำจนเคยตัว คิดดูตอนนั้นยิ่งใหญ่ขนาดไหน มาบัดนี้ต้องถูกคนอื่นชี้นิ้วบงการ เป็นไปได้อย่างไร

ผมมักจะโต้เถียงกับผู้จัดการเสมอ โดยเฉพาะขู่ว่าจะให้คน “จัดการ” เนื่องจากผมเป็นลูกเถ้าแก่ ผู้จัดการไม่อาจทำอะไรได้ เขาถูกกดดันหนักเข้าก็เลยลาออกจากงาน เป็นแบบเดียวกันนี้ติดต่อกันหลายคน ไม่นานผู้บริหารระดับสูงของโรงงานต่างพากันลาออกเกือบหมด โรงงานอันใหญ่โตถูกผมป่วนจนแทบเป็นโรงงานร้าง เรื่องนี้ทำให้คุณพ่อคิดมากจนล้มป่วย ส่วนผมโรงงานก็ไม่ไปทำแล้ว เมื่อไม่มีอะไรทำก็กลับไปเป็น “พี่ใหญ่” ในวงการนักเลงเหมือนเดิม รอยยิ้มบนใบหน้าภรรยาเป็นอยู่ไม่ถึงสองเดือนก็กลับมาเศร้าสร้อยอีก คุณพ่อช่วยอยู่หลายเดือน ธุรกิจก็ห่างเหิน ไม่ค่อยได้ดูแลประกอบกับภาวะเศรฐกิจไม่ค่อยดี ธุรกิจทุกอย่างจึงเจ๊งหมดแหล่งเงินส่วนใหญ่ของผมจึงไม่มีอีก คุณพ่อถูกกดดันจากเหตุนี้ ทำให้ความดันโลหิตขึ้นสูงจนเสียชีวิต คุณแม่ก็เครียดจากเหตุนี้จนล้มป่วยไปด้วย


ส่วนผมก็หลงมัวเมาไม่กลับบ้าน ในใจคิดว่าพวกเขาไม่มีประโยชน์อะไรอีกแล้ว ส่วนภรรยาก็เอาลูกไปฝากแม่เขาเลี้ยง แล้วเช็ดน้ำตากลับมาทำหน้าที่ของลูกสะใภ้ คอยปรนนิบัติดูแลแม่ผม ทุกวันเธอจะตื่นแต่เช้า ทำงานฝีมือจนดึกดื่น เพื่อหาเงินมารักษาแม่ผม คอยดูแลแม่ผมอย่างไม่มีที่ติ คนบ้านใกล้เคียงประทับใจมาก จึงมักจะให้สิ่งของสงเคราะห์ คนชั่วร้ายอกตัญญูไร้คุณธรรมอย่างผม ไม่รู้ว่าถูกคนแช่งชักหักกระดูกแค่ไหน

เพื่อรักษาตำแหน่ง “พี่ใหญ่” เอาไว้ ผมจงจำเป็นต้องตั้งบ่อนการพนัน และเรียกเก็บค่าคุ้มครองรายเดือนจากร้านค้าต่างๆ หากใครไม่รู้จักธรรมเนียมหรือทำอิดเอื้อน ผมก็จะให้ลูกน้อง “สั่งสอน” ทำให้ร้านค้าต่างๆเกลียดผมเข้ากระดูกดำ ที่สุดทุกคนจึงลงรายชื่อเป็นหางว่าวร้องเรียนไปที่กรมตำรวจ หลังจากทางตำรวจสืบสวนแล้วว่าเป็นความจริง จึงออกหมายจับผมๆ จึงจำต้องหลบหนี


อีกครั้ง ในระหว่างหลบหนีอยู่ ผมได้ข่าวว่าคุณแม่ถึงแก่กรรม ผมนี่นับว่าเป็นลูกอกตัญญูที่สุด ไม่รู้จักว่าความกตัญญูเป็นอย่างไร เพราะไม่มีน้ำใจกับคุณแม่และมีคดีติดตัว ฉะนั้นจึงไม่มีแม้แต่ความคิดที่จะไปเยี่ยมคุณแม่ คิดแล้วเป็นบาปนักหนา ช่วงเวลาที่หลบหนี เพื่อหาเงินเป็นค่าใช้จ่ายจึงออกทำการชิงทรัพย์หลายครั้ง ซึ่งก็ทำสำเร็จทุกครั้ง

เมื่อ 6 เดือนก่อน ผมกับเพื่อนได้แฝงตัวเข้าไปในบ้านคนรวยหลังหนึ่ง ถือโอกาสไม่มีใครอยู่บ้าน รื้อค้นได้ทรัพย์เป็นจำนวนหนึ่ง และยังเปิดไวน์มาดื่มอย่างสำราญใจ ในขณะที่กำลังจะออกจากบ้าน พอดีหญิงเจ้าของบ้านจูงเด็กสองคนเข้ามา พอเห็นเราทั้งสองเป็นคนแปลกหน้า และเห็นข้าวของกระจัดกระจายเต็มพื้น ก็รู้ว่าโจรเข้าบ้าน จึงกรีดร้องด้วยความตกใจ แม้เราจะห้ามไม่ฟัง

ผมเกิดบันดาลโทสะประกอบกับฤทธิ์สุรา จึงชักมีดแทงออกไป หญิงคนนั้นพอเห็นผมชักมีดก็ยิ่งตกใจร้องเสียงดังลั่น เมื่อถูกผมแทง แกกรีดร้อง “ช่วยด้วย ช่วยด้วย” ผมแทงซ้ำไปอีกหลายที หญิงคนนั้นใบหน้าบิดเบี้ยวล้มลงสิ้นใจคากองเลือด

หลังทำความผิดใหญ่หลวงแล้ว เราก็รีบหลบหนีออกจากที่เกิดเหตุ คดีฆ่าชิงทรัพย์รายนี้ เป็นข่าวครึกโครมอยู่พักหนึ่งพวกเรารู้ดีว่า หากถูกจับได้ต้องตายแน่นอน ดังนั้นเราจึงตกลงแยกย้ายกันหลบหนีช่วงนั้นผมได้แต่อาศัยเหล้าดับความไม่สงบภายในจิตใจใบหน้าก่อนตายของหญิงคนนั้น ผมยังจำติดตาได้ดี


ต่อมาทุกคืนผมมักจะฝันเห็นผู้หญิงคนนั้น มีเลือดเต็มตัว หน้าตาน่าเกลียดน่ากลัวยืนอยู่ตรงหน้าผมแล้วพูดว่า “ไอ้ฆาตกร เอาชีวิตคืนมา” พลางก้าวเข้ามาหาผม ผมกลัวมาก ถอยหลังไปติดมุมห้อง หญิงคนนั้นปรี่เข้ามาบีบคอจนผมสะดุ้งตื่น พอตื่นขึ้นผมไม่กล้านอนหลับอีก เกือบทุกคืนหญิงคนนั้นมักมาปรากฏในฝันของผม หลอกหลอนจนผมขวัญหนีดีฝ่อ ต่อมายิ่งร้ายใหญ่โดยปรากฏร่างให้เห็นขณะยังตื่นอยู่ ไม่ว่าบนเตียงหรือในห้องน้ำ โดยเฉพาะปรากฏอยู่ในแก้วเหล้า ผมถูกหลอกหลอนจนร้องเสียงหลง เนื่องจากตอนนั้นผมอยู่ระหว่างหลบหนีคดี จึงจำเป็นต้องเปลี่ยนที่อยู่บ่อย ๆ

แต่วิญญาณหญิงคนนั้นก็ไม่ยอมเลิกราผมหนีไปอยู่ที่ไหน วิญญาณเขาก็ติดตามไปทีนั่น ทุกครั้งที่ผมเดินอยู่บนถนนจะรู้สึกเหมือนมีคนติดตามอยู่ข้างหลังทั้ง ๆที่ไม่เห็นมีใคร แต่กลับได้ยินเสียงฝีเท้า ระยะหลัง นอกจากได้ยินเสียงฝีเท้าแล้ว ยังได้ยินเสียงโซ่ตรวนกระทบกัน เสียงนั้นทำให้ผมหวนนึกถึงครั้งที่ผมติดคุกที่ขาถูกตีตรวน หรือว่ายมบาลจะมาเอาตัวผมแล้ว ทำให้ผมหวาดกลัวมาก

3 เดือนต่อมาผมเริ่มปรากฏอาการทางประสาทสะลึมสะลือทั้งวัน ปากบ่นพึมพำฟังไม่ได้ศัพท์ เสื้อผ้าขาดวิ่น หน้าตามอมแมม สารรูปดูไม่ได้

มีอยู่วันหนึ่งเงินในกระเป๋าผมหมด ด้วยความหิวโหยจนทนไม่ไหว จึงหยิบฉวยของกินที่เขาวางขายอยู่ริมถนนเจ้าของเหลือบมาเห็นเข้าร้อง “ขโมย ขโมย” ผมตกใจวิ่งหนีเข้าไปในตรอก ไม่รู้ว่าสาเหตุใด ผมเกิดหกล้มจึงถูกพลเมืองดีช่วยกันจับส่งโรงพัก เมื่อตรวจสอบประวัติทางตำรวจก็รู้ว่าผมเป็นใคร มีพลังบางอย่างกดดันบังคับให้ผมต้องสารภาพออกมาเอง ถึงการทำผิดกฎหมายต่าง ๆ รวมทั้ง

คดีฆาตกรรมด้วย หลังจากเจ้าทุกข์ชี้ตัว ผมถูกตั้งข้อหาแล้วส่งเข้าเรือนจำ โดยห้ามติดต่อกับุคคลภายนอก ตำรวจออกตามล่าเพื่อนร่วมก๊วนที่กำลังหลบหนี

คืนวันนั้นขณะที่ผมอยู่ในเรือนจำ หญิงคนนั้นก็มาปรากฏตัวให้ผมเห็นอีก ในสภาพหน้าตาเขียวคล้ำ ดวงตาเบิกกว้าง มีเลือดโทรมกาย คล้ายผีดิบ มือถือเหล็กแหลมพลางร้องว่า “ไอ้ฆาตกร แกควรจะถึงวันนี้นานแล้ว คราวนี้ต่อให้มีปีกก็หนีไม่พ้น ฉันจะไปรอแกที่ลานประหาร”

พลางทำท่าจะปรี่เข้ามาหา ทำให้ผมตกใจถอยหนีล้มลุกคลุกคลาน หญิงคนนั้นพูดอีกว่า “ไอ้ชาติชั่ว ยมบาลรอแกมานานแล้ว อีกไม่ช้าแกจะได้รู้รสชาติของนรกบ้างละ” ผมคุกเข่าอ้อนวอนขอให้เขาอภัย หญิงคนนั้นร้องไห้อย่างโหยหวนแล้วหายวับไปกับตา ผมอกสั่นขวัญผวา ในใจคิดว่าที่วันนั้นผมหกล้มอย่างไร้สาเหตุจนถูกจับได้ คงเป็นการกระทำของหญิงคนนั้นอย่างแน่นอน

ที่จริงถ้าเพื่อนอีกคนยังไม่ถูกจับ ผมอาจมีชีวิตต่อไปอีกระยะหนึ่ง แต่คงเป็นคราวเคราะห์เมื่อ 3 สัปดาห์ก่อนเพื่อนคู่หูของผมถูกจับได้ เราทั้งสองถูกส่งฟ้องศาลอย่างรวดเร็ว เพราะเป็นคดีอุกฉกรรจ์ที่ครึกโครม ศาลได้ลัดคิวพิจารณาตัดสินลงโทษประหารชีวิต กำหนดวันเวลาประหารก็คือเช้าวันนี้


ที่กล่าวมาข้างต้น ผมสารภาพโดยไม่ได้ปิดบังแม้แต่น้อย เพื่อหวังว่าอาจทำให้จิตใจผมสงบลงบ้าง ช่วงที่อยู่ในเรือนจำผมได้อ่านหนังสือธรรมะไม่น้อย โดยเฉพาะเรื่อง “ท่องเมืองนรก” ผมอ่านแล้วเกิดความหวาดกลัวจนขนหัวลุกเป็นครั้งแรกในชีวิตที่ผมรู้สึกสำนึกผิด

แม้จะเป็นสำนึกผิดที่เกิดจากใจจริง แต่ก็สายไปแล้ว ตามเนื้อเรื่องในหนังสือผมรู้ดีว่านอกจากผมจะทำผิดกฎหมายบ้านเมืองแล้วยังทำผิดทางคุณธรรม และไม่เคยคิดจะกตัญูญูเลี้ยงดูพ่อแม่ หนำซ้ำยังใช้วาจาก้าวร้าวโต้เถียง ซึ่งผิดในข้ออกตัญญู เนรคุณใหญ่หลวง กับลูกเมียไม่เคยเหลียวแลหรือให้ค่าใช้จ่ายแม้แต่น้อย มีแต่ด่าว่าตบตี ซึ่งผิดในข้อไร้น้ำใจ และตัวเองก็ไม่เคยขยันอดทนในทางสัมมาอาชีวะ ซึ่งผิดในข้อเกียจคร้านเอาแต่กิน ดื่ม เที่ยว คนชั่วร้ายที่อกตัญญู ไม่ซื่อสัตย์ เอาแต่เที่ยวเตร่ทำความชั่วตามที่บันทึกใน “ท่องเมืองนรก” “ท่องอเวจี


นอกจากนั้นจะต้องตกนรกกระทะทองแดงและนรกอื่นๆ แล้ว ยังอาจต้องตกนรกขุมอเวจี ซึ่งไม่มีวันได้ผุดเกิดตลอดกาล หรือถ้ามีบุญสักนิดได้เกิด ไม่รู้ว่าต้องเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานถูกคนเขาแล่เนื้อเฉือนหนังเจ็บปวดแสนสาหัสกี่ชาติ ถึงจะได้เกิดเป็นคนยากจนแขนขาพิการด้วยความเสียใจและหวาดกลัวกรรมสนองในภายหน้า ทำให้ผมคิดเพ้อฝันว่าจะได้ยืดชีวิตออกไปอีกสักหน่อย เพื่อจะได้สร้างบุญกุศลไถ่บาป แต่ชีวิตผมกำลังจะสิ้นสุดในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้านี้แล้ว ไม่มีใครสามารถช่วยผมได้ ผมปวดร้าวและเสียใจ แต่จะมีประโยชน์อะไร ในขณะชีวิตกำลังจะสิ้นสุด จึงเพิ่งรู้สึกชีวิตมีค่ายิ่งนัก


...พ่อแม่ ลูกเมีย โลกอันสวยงาม ไหนผมจึงโง่เขลาเช่นนี้ เมื่อสิ้นสังขาร เมื่อไหร่จะมีอีก เขียนมาถึงแค่นี้ เมืองผมมืดตื้อคิดอะไรไม่ออก เจ้าหน้าที่มาแล้ว เขากำลังจะนำผมไปที่ลานประหาร ผมขอร้องพวกเขาให้เวลาผมอีก 5 นาที เพื่อให้ผมได้เขียนบันทึกจนเสร็จ ผมอายุแค่ 30 กว่าปี แต่ได้ทำความผิดไว้มากมาย ผมกำลังจะถูกกฎหมายบ้านเมืองลงโทษ แล้ว

ขอฝากถึงผู้ที่ทำผิดกฎหมายทุกคน ขอให้ดูผมเป็นบทเรียน แล้วรีบกลับตัวโดยเร็วอย่างลังเล ชีวิตเป็นของมีค่ากาลเวลาไม่คอยใคร อย่าเป็นเหมือนผมที่คิดจะอยู่ต่อไปอีกสักหน่อยเพื่อไถ่บาปก็ยังทำไม่ได้ เจ้าหน้าที่เร่งผมแล้ว แม้จะมีความในใจอีกมากที่คิดจะเขียนแต่ก็ทำไม่ได้ ได้แต่หวังให้ทุกท่านจงเชื่อ กฎแห่งกรรมมีจริง และหวังว่าผู้ที่ได้อ่านบันทึกนี้แล้ว ได้ใช้เป็นบทเรียนเตือนใจ อย่าได้เจริญรอยตาม หากใครอ่านแล้วสามารถกลับตัวใหม่เป็นคนดี ก็ถือเป็นกุศลอย่างหนึ่งหรือทางยมโลกอาจลดโทษให้ผมบ้าง ซึ่งเป็นความหวังอันเลือนลางของผม


ขอบคุณ ท่านnaruphol ครับ


บันทึกการเข้า

หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป: