http://www.youtube.com/v/vnRqYMTpXHc&hl.swfบทเพลงแห่งความพอเพียงของ หลุยส์ อาร์มสตรอง ~
I see trees of green
Red roses too
I see them bloom for me and you
And I think to myself
What a wonderful world
I see skies of blue and clouds of white
The bright blessed day
Dark sacred night
And I think to myself
What a wonderful world
The colors of the rainbow
So pretty in the sky
Are also on the faces of people going by
I see friends shaking hands
Saying "how do you do?"
They're really saying "I love you"
I hear babies crying, I watch them grow
They'll learn much more than I'll ever know
And I think to myself
What a wonderful world
Yes, I think to myself
What a wonderful world
I see trees of green
Red roses too
I see them bloom for me and you
And I think to myself
What a wonderful world..............
...
~ เป็นเพลงแห่งความสุขแบบพอเพียง ~
ก็เพราะเนื้อหาของเพลงนี้พูดถึงความสวยงามน่าอภิรมย์ของโลกล้วนๆ
เริ่มต้นก็บรรยายถึงต้นไม้ใบเขียวความงามของดอกไม้
ท้องฟ้า สายลม แสงแดด สายรุ้ง มิตรภาพ ความรักของเพื่อนมนุษย์
ล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งที่มีในธรรมชาติ ไม่ต้องใช้เงินทองซื้อหา
ทุกคนมีสิทธิ์ที่จะได้สัมผัส ไม่ว่าคนรวย คนจน คนโสด หรือไม่โสด
เพราะเป็นความรักในธรรมชาติและมิตรภาพที่สามารถเกิดขึ้นได้ทั่วไป
ฟัง เพลงนี้แล้วนึกถึงความหมายไปด้วย
จะทำให้เรามีความสุขในความเรียบง่ายที่ธรรมชาติมอบให้เราเสมอหน้ากัน
ผู้แต่งคำร้องและทำนองเพลงนี้คือ George D. Weiss& Bob Thiele
ตั้งแต่ ค.ศ. 1967 เกือบ 40 ปีมาแล้ว
แต่ที่ทำให้เพลงนี้โด่งดังเปนที่คุ้นหูคุ้นใจคนทั้งโลก
ก็ต้องยกให้หลุยส์ อาร์มสตรอง
หลุยส์ อาร์มสตรอง (1901-1971)เป็นชาวเมืองนิวออร์ลีนส์
มาจากครอบครัวของนิโกรที่มีอดีตเป็นทาส
ตำบลที่หลุยส์เกิดเป็นถิ่นคนยากจนขนานแท้
มีแม่เป็นเพียงสาวน้อยอายุ 15 ปีที่ พอเกิดหลุยส์ออกมา
สามีก็ทิ้งไปหลุยส์ อาร์มสตรองกับมารดาMayann Armstrong,
และน้องสาว, Beatrice Armstrong
แต่หลุยส์ก็เติบโตมาในการดูแลของยายที่ทุ่มเทความรักให้เขามากมาย
จึงทำให้หลุยส์รักษาตัวไว้ได้
และเติบโตเป็นผู้ที่มีความรักไว้แจกจ่ายให้มนุษย์ทั้งโลกด้วยเสียงเพลง
ไม่มีความขมขื่นกับอดีต
และไม่เคยใช้ความขาดแคลนในวัยเด็กมาเป็นเครื่องต่อรอง
หรือแก้ตัวเพื่อเรียกร้องประการใด
หากยังมีความเห็นใจและเข้าใจชีวิตมนุษย์ และพร้อมที่จะให้อภัยเสมอ
ในวัยเด็กช่วงหนึ่ง หลุยส์ได้รับความเมตตาจากชาวยิวโดยการ
ได้อาศัยติดรถม้าของครอบครัวชาวยิวไปซื้อของเก่ามาขายคอร์เนท
และครอบครัวชาวยิวนี้เองที่ช่วยให้หนูน้อยหลุยส์
ได้เป็นเจ้าของคอร์เนทอันแรกของชีวิต
เพราะความประทับใจในครอบครัวชาวยิวนี้
หลุยส์จึงเป็นผู้ที่เติบโตขึ้นโดยไม่ถือผิว ไม่รังเกียจคนขาว
ไม่โกรธแค้นในการปฏิบัติของคนขาวต่อคนดำ
เพราะเขารับรุ้โดยประสบการณ์ว่า
มนุษย์ทุกเผ่าพันธ์ ทุกเชื้อชาติลวนเหมือนกัน
คือมีทั้งคนดี และคนเลว
หลุยส์ ไม่เคย"เหมารวม" สันดานมนุษย์
ช่วงอายุ 11 ขวบ หลุยส์แอบเอาปืนของพ่อเลี้ยงไปควงเล่น
จึงถูกจับส่งเข้าโรงเรียนดัดสันดาน
ซึ่งเป็นที่ๆเขาได้เรียนดนตรี
โดยเฉพาะครูจอมดุของที่นี่ได้สอนการเป่าคอร์เนทให้กับหลุยส์อย่างเป็นเรื่องเป็นราว
จนได้เป็นดาราของโรงเรียนและทำให้วงดนตรีของโรงเรียนมีชื่อเสียง
ตอนที่วงดนตรีของโรงเรียนไปเดินพาเหรดที่เมืองบ้านเกิดของหลุยส์
ว่ากันว่าบรรดา พ่อเล้าแม่เล้า แมงดา โสเภณีที่คุ้นเคยในย่านที่หลุยส์เคยอาศัย
พากัยภูมิใจในตัวหลุยส์ยิ่งนัก มาดูกันอื้ออึงเต็มถนน
หลุยส์จึงได้เงินบริจาคไปซื้อฟอร์มใหม่
ให้พรรคพวกนักดนตรีแห่งโรงเรียนดัดสันดานได้ทั้งวง
จากนั้นชีวิตหลุยส์ก็โลดแล่นไปบนถนนแห่งดนตรีตราบจนวันตาย
จากคอร์เนทหลุยส์เปลี่ยนไปเล่นทรัมเปต
เขากลายเป็นราชาทรัมเปต
เสียงทรัมเปตของหลุยส์ไม่เหมือนใคร และไม่มีใครเหมือน
มีทั้งหวาน สดชื่น หยอกล้อ กระปรี้กระเปร่า กระเซ้ากระซี้
รมย์รื่น ไปจนถึงโศกเศร้า เจ็บปวด โหยหวน
เพราะเวลาเล่น หลุยส์ทุ่มเททั้งหัวใจ ทุกอณูที่มีอยู่ในตัว
และไม่เคยเล่นซ้ำแบบกันในแต่ละครั้ง
ด้วยแก่นแท้ของแจ๊สนั้น คือการเล่นด้วยวิญญาณ และความรู้สึก
ที่เกิดขึ้นในช่วงนั้นวินาทีนั้น ไม่ใช่เล่นด้วยการฝึกหัดซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนไม่ผิดเพี้ยน
ขนาดนักดนตรีด้วยกันยังไม่เชื่อว่า
มนุษย์ใดในโลกจะเล่นดนตรีได้อย่างหลุยส์
แม้การร้องเพลงด้วยเสียง "ขรุขระ"
อันเป็นสัญญลักษณ์ประจำตัวของเขา
หลุยส์ก็ทำเช่นเดียวกัน
สิ่งสำคัญที่สุดคือ หลุยส์พบว่า
ดนตรีที่ดีนั้น ไม่มีสีผิว ไม่มีเพศ ไม่มีวัย และไม่มีชนชั้น
และดนตรีนำมาซึ่งมิตรภาพและสันติภาพ