ตำนานผีไทย
LSVคลังสมองออนไลน์ "ปีที่21"
พฤษภาคม 15, 2024, 04:13:22 AM *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
   หน้าแรก   ช่วยเหลือ เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก  
หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: ตำนานผีไทย  (อ่าน 7637 ครั้ง)
sangkhawong
วีไอพี
member
***

คะแนน57
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 468

jupiter_toe@hotmail.com
อีเมล์
« เมื่อ: พฤศจิกายน 01, 2007, 12:10:21 PM »

ตำนานผีไทย
   พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตสถาน ได้ให้คำจำกัดความของ “ผี” ว่าคือ สิ่งที่มนุษย์เชื่อว่าเป็นสภาพลึกลับ มองไม่เห็นตัว แต่อาจจะปรากฏเหมือนมีตัวตนได้ อาจให้คุณหรือโทษได้ มีทั้งดีและเลว หรืออาจหมายถึง คนที่ตายไปแล้ว หรือเทวดาก็ได้ ส่วน “วิญญาณ” หมายถึง สิ่งที่เชื่อกันว่ามีอยู่ในกายเมื่อมีชีวิต เมื่อตายจะออกจากกายล่องลอยไปหาที่เกิดใหม่ 

          ด้วยเหตุที่ “ผี” เป็นสิ่งที่ยากจะบอกได้ ถึงรูปพรรณสัณฐานที่แน่นอน มีความลึกลับ ขึ้นกับความเชื่อ และจินตนาการ จึงถูกหยิบยกมาขู่เด็กอยู่เสมอ จนทำให้บางคนแม้โตเป็นผู้ใหญ่แล้ว ความรู้สึกกลัวผีก็ยังมีอยู่ หนัง/ละครหลายเรื่องไม่ว่าจะเป็นของไทย หรือต่างประเทศ ต่างก็สร้างสรรค์ “ผี” ออกมาในรูปแบบต่างๆ มีทั้งแนวตลกขบขัน แนวสยองขวัญ น่ากลัว หรือแม้แต่แนวรักโรแมนติก ที่ฮิตๆ อมตะสร้างซ้ำแล้วซ้ำเล่า ก็ได้แก่ พวกแดร็กคิวร่า, แฟรงเก็นสไตน์, แวมไพร์ม, ส่วนไทยก็มี แม่นาคพระโขนง, ผีปอบ, ผีกระสือ, ผีกระหัง เป็นต้น 

          อย่างไรก็ดี ผีที่เราเห็นในหนังหรือละคร นับว่าเป็นเพียงส่วนหนึ่งของผีทั้งหลาย ที่ยังมีอีกหลากหลายในไทย ดังนั้น กลุ่มประชาสัมพันธ์ สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ กระทรวงวัฒนธรรม จึงอยากจะขอแนะนำ “ผีไทย” ในแบบอื่นๆ ให้รู้จักกันบ้าง โดยทั่วไป คนไทยแต่เดิมได้แบ่งผีออกเป็นประเภทใหญ่ๆ คือ

         1. ผีฟ้า ได้แก่ผีที่อยู่บนฟ้า ซึ่งต่อมาเมื่อเรารับความเชื่อเรื่องนรกสวรรค์มาจากพุทธศาสนา คนไทยภาคกลางจึงเรียกผีที่อยู่บนฟ้าว่า “เทวดา” หรือ “เทพ” และถือว่าเทวดามีหลายองค์ ส่วนคนทางภาคอีสานจะเรียกว่า “แถน”

          2. ผีคนตาย ได้แก่ผีที่เชื่อกันว่า เป็นวิญญาณของคนที่ตายไปแล้ว ผีชนิดนี้มีทั้งผีดีและผีไม่ดี ซึ่งผีดีที่คนนับถือยังแบ่งย่อยเป็นอีก 3 ระดับ คือ  ผีเรือน เป็นผีประจำครอบครัว คนไทยโบราณและชนชาติไทบางกลุ่มเรียกว่า “ผีด้ำ” หมายถึง ผีบรรพบุรุษ หรือผีปู่ย่าตายายพ่อแม่ที่ล่วงลับไปแล้ว แต่ยังสถิตอยู่ในบ้านเรือน เพื่อคอยคุ้มครอง และดูแลช่วยเหลือลูกหลาน และลูกหลาน จะต้องเซ่นสรวงตามโอกาสอันสมควร  ผีบ้าน คือ ผีประจำหมู่บ้าน บางแห่งเรียก”เสื้อบ้าน” ได้แก่ผีที่คอยคุ้มครอง และให้ความอนุเคราะห์แก่คนในหมู่บ้าน ซึ่งแต่ละหมู่บ้านมักจะมีสถานที่ สำหรับทำพิธีบูชาบวงสรวง ผีเมือง หรือบางแห่งเรียก ”เสื้อเมือง” ได้แก่ วิญญาณของเจ้าเมืององค์ก่อนๆ หรือวีรบุรุษของกลุ่มชน คอยคุ้มครอง และให้ความอนุเคราะห์ดูแลคนทั้งเมืองหรือรัฐ บางแห่งก็เรียก “เทพารักษ์” และมักมีการสร้างศาลให้เป็นที่สถิต

          3. ผีไม่ปรากฎรายละเอียดในด้านความเป็นมาได้แก่ ผีที่ประจำอยู่กับสิ่งต่างๆ ที่มีในธรรมชาติ เช่น ผีป่า ผีเขา ผีน้ำ ผีประจำต้นไม้ เป็นต้น ผีดังกล่าวให้คุณและโทษได้ จึงต้องเซ่นสรวงให้ถูกวิธี โดยเฉพาะเมื่อต้องการความช่วยเหลือ หรือขออนุญาตใช้ประโยชน์ 

          นอกจากนี้ ยังมีผีตามสภาพที่ปรากฏ เช่น บอกสภาพการตาย ได้แก่ ผีตายโหง ผีหัวกุด ผีตายทั้งกลม เป็นต้น ต่อไปนี้จะขอแนะนำผีแต่ละจำพวกให้ได้รู้จักกัน ดังนี้ ผียอดนิยม ซึ่งเป็นที่รู้จักและมักถูกนำมาสร้างหนัง/ละครบ่อยๆ ได้แก่ 

          - ผีกระสือ คือผีที่เข้าสิงในตัวผู้หญิง และชอบกินของโสโครก คู่กับผีกระหัง ที่ชอบเข้าสิงผู้ชาย เชื่อกันว่าผีกระหังเป็นผู้ชายที่เรียนวิชาอาคม เมื่อแก่กล้าก็มีปีกมีหาง จะไปไหนก็ใช้กระด้งต่างปีก สากตำข้าวต่างขา สากกะเบือ ต่างหาง ชอบกินของโสโครกเช่นเดียวกับกระสือ 

         - ผีปอบ คือ ผีที่สิงอยู่ในตัวคน พอกินตับไต้ไส้พุงหมดแล้วก็จะออกไปและคนๆ นั้นก็จะตาย 

          - ผีดิบ คือ ผีที่ยังไม่ได้เผา หรือผีดูดเลือด ผีตายทั้งกลม คือ หญิงที่ตายในขณะที่ลูกอยู่ในท้อง 

          - ผีตายโหง คือ คนที่ตายผิดธรรมดา เช่น ถูกฆ่าตาย ตกน้ำตายหรือตายด้วยอุบัติเหตุ 

          - ผีพราย หมายถึงหญิงที่ตาย อันเนื่องมาจากคลอดลูกหรือตายในขณะที่ลูกเกิดมาได้ไม่นาน เชื่อกันว่าวิญญาณหญิงดังกล่าว จะมีความร้ายกาจมาก ,ส่วนผีพราย อีกประเภทหนึ่ง คือคนแก่ที่ป่วยไข้ออดแอด จนไม่มีกำลังต้องนอนซมอยู่เสมอ แต่พอคนอื่นไม่อยู่หรือเผลอ คนแก่นั้นก็เปลี่ยนไป ดวงตากลับวาวโรจน์ และมีเรี่ยวแรงลุกไปหาของกินที่เป็นของสดหรือมีกลิ่นคาว หากมีใครมาพบ ก็จะทำท่าหมดแรงต้องนอนซมเหมือนเดิม บางแห่งก็ว่าผีพรายสามารถจำแลงกายเป็นสัตว์ต่างๆ ได้ โดยเฉพาะนกเค้าแมว หากบ้านไหนมีคนป่วยและมีนกเค้าแมวมาเกาะ จะเชื่อกันว่าผีพรายแปลงกายมาซ้ำเติมคนป่วยให้ตายโดยเร็ว ส่วนผีที่มีลักษณะคล้ายกับกลุ่มข้างต้น แต่ชื่ออาจจะไม่ค่อยคุ้นหูสักเท่าไรก็ได้แก่ 

         - ผีโพง และ ผีเป้า คือผีที่ชอบกินของสด ของคาว เช่น เลือดสด และสิงในคนได้ บ้างก็ว่าผีโพงสิงคนแล้ว จะทำให้มีแสงสว่างออกมาทางจมูกเวลาหายใจ และชอบหากินเวลากลางคืน 

          - ผีโขมด เป็นพวกเดียวกับผีกระสือหรือผีโพง เห็นเป็นแสงเรืองวาวในเวลากลางคืน ทำให้เข้าใจผิดคิดว่าคนถือไฟอยู่ข้างหน้า 

          - ผีกองกอย คือ ผีชนิดหนึ่งที่มีตีนเดียว ไม่มีสะบ้าหัวเข่า จึงต้องเดินเขย่งเกงกอย ชอบออกมาดูดเลือดที่หัวแม่เท้าของคนที่นอนหลับพักแรมในป่า
         สำหรับผีที่ให้คุณก็มี ผีขุนน้ำ คือ อารักษ์ประจำต้นน้ำแต่ละสาย ซึ่งสถิตอยู่บนดอยสูง ผีขุนน้ำมักอยู่ตามต้นไม้ใหญ่ ชาวบ้านจะอัญเชิญมาสถิตที่หอผี ที่ปลูกอย่างค่อนข้างถาวรใต้ต้นไม้เหล่านี้ ผีขุนน้ำที่อยู่ต้นแม่น้ำใด ก็มักจะได้ชื่อตามแม่น้ำนั้น เช่น ขุนลาว เป็นผีอยู่ต้นแม่น้ำลาว ในจ.เชียงราย ผีมด และ ผีเมง คือ ผีบรรพบุรุษตามความเชื่อชาวล้านนา ( คำว่า “มด” หมายถึงระวังรักษา) ส่วนผีเมงนี้เข้าใจกันว่ารับมาจากชนเผ่าเม็ง หรือมอญโบราณ ผีเจ้าที่ คือผีที่รักษาประจำอยู่ที่ใดที่หนึ่ง เป็นผู้ดูแลรักษาเขตนั้นๆ ดังนั้น คนโบราณเมื่อเดินทางและหยุดพักที่ใด มักจะบอกขออนุญาตเจ้าที่ทุกครั้ง 

          - ผีเจ้านาย คือ ผีที่มาประทับทรงเพื่อช่วยแก้ไขปัญหาต่างๆ ของชาวบ้านชาวเมือง แต่มิใช่เสื้อบ้าน เสื้อเมืองหรือผีปู่ย่าตายาย ผีย่าหม้อหนึ้ง เป็นผีจำพวกผีเรือนสถิตอยู่กับหม้อที่ใช้นึ่งข้าว เมื่อใครจะเดินทางไกลก็นำข้าวเหนียวหนึ่งปั้น และกล้วยหนึ่งผล ไปสังเวยบอกกล่าวผีย่าหม้อหนึ้งเพื่อให้คุ้มครอง หรือหากลูกหลานไม่สบายร้องไห้โยเยกลางคืน ชาวบ้านก็มักไปเอายาจากผีย่าหม้อหนึ้งโดยขูดเอาดินหม้อ ที่ติดกับหม้อไปผสมน้ำให้ลูกอ่อนกิน นอกจากดูแลคุ้มครองทรัพย์สินในครัวเรือนแล้ว ยังมีอำนาจในการพยากรณ์ได้ด้วย ซึ่งการลงผีย่าหม้อหนึ้งนี้ มักทำเมื่อบุตรหลานไม่สบายหรือของหาย
          นอกเหนือไปจากผีดังกล่าวแล้ว ในแต่ละท้องถิ่นยังมีผีอีกหลายประเภท ซึ่งหลายคนอาจจะไม่เคยได้ยินมาก่อน อาทิผีกละ หรือ ผีกะเป็นผีที่มักเข้าสิงคนเพื่อเรียกร้องจะกินอาหาร เมื่อเข้าสิงใคร ก็จะแสดงกิริยาผิดปกติไป เมื่อคนสังเกตเห็นก็มักร้องขอกินอาหารและจะกินอย่างตะกละตะกลาม จึงเรียกผีกละตามลักษณะการกิน แต่มักเขียนเป็นผีกะ ผีกละยักษ์ เป็นผีที่อยู่รักษาสถานที่ต่างๆ เช่น วัดร้าง ถ้ำ หรือที่ซึ่งมีสมบัติฝังหรือซ่อนอยู่ ผีกละยักษ์จะคอยพิทักษ์สมบัติเหล่านั้น จนกว่าเจ้าของจะรับทรัพย์สินเหล่านั้นไป

          ในกรณีผีกละยักษ์ที่อยู่ในวัด เล่ากันว่า มักจะเป็นวิญญาณของพระหรือเจ้าอาวาสที่ผิดวินัย เมื่อตายแล้วไปเกิดไม่ได้ จึงต้องทำหน้าที่พิทักษ์วัดไปจนกว่าจะสิ้นกรรม รูปร่างของผีกละยักษ์ ไม่แน่นอน บ้างก็ว่าเป็นหมูตัวใหญ่ที่มีร่างกายเป็นทองแดง บ้างก็ว่าเป็นสุนัขใหญ่สีดำสนิททั้งตัว ผีตามอย (อ่านว่า ผี-ต๋า-มอย) หมายถึงผี 2 ชนิด ชนิดแรกเป็นผีที่อาศัยอยู่ในเขตที่มีคน ผีชนิดนี้จะคอยมาเลียก้นคนที่ไปถ่ายอุจจาระ เพราะคนสมัยก่อนมักไปถ่ายตามขอนไม้ เมื่อถ่ายเสร็จก็จะใช้ไม้แก้งขี้ปาดไปตามร่องก้นให้สะอาด ถ้าแก้งขี้ไม่สะอาดก็จะถูกผีตามอยมาเลียก้น ทำให้เจ็บไข้ได้ วิธีแก้คือให้เอาดุ้นไฟสุดหรือไม้ที่เหลือจากไฟไหม้แล้วมาแก้งขี้เสีย (แก้ง-หมายถึงขูดให้สะอาด)

          ผีตามอย อีกชนิด เป็นผีที่คอยจับเอาหนุ่มหรือสาววัยรุ่นที่แตกกลุ่มเพื่อนที่เข้าไปในป่าหรือในดง นำไปมีเพศสัมพันธ์กับตน โดยคนที่ถูกกุมไปมักมีสภาวะครึ่งหลับครึ่งตื่น ผีโป่ง เป็นผีที่อยู่ตามโป่งซึ่งอาจเป็นโป่งดิน คือบริเวณที่มีดินเค็มซึ่งสัตว์มักไปแทะกิน หรือโป่งน้ำ คือที่มีน้ำผุดออกมาจากดิน ผู้ที่ไปสู่บริเวณโป่ง หากไม่สำรวมอาจจะถูกผีโป่งทำร้าย ทำให้เจ็บปวดที่เท้าหรือขา หรืออาจมีอาการเจ็บไข้รักษาไม่หาย
       ผีขนุน (อันนี้ผมเติมเอง) คือผีชนิดหนึ่ง มีแต่เพศเมีย รูปร่างหน้าตาสวยบ้างไม่สวยบ้าง(บางตัวเป็นโรค)หากินเวลาตั้งแต่โพล้เพล้ไปยันสว่าง พบได้แถวสนามหลวง
          นอกจากผีลักษณะต่างๆ ตามที่กล่าวมาแล้ว เรายังมีทั้งการละเล่น สำนวน ช่วงเวลา กิริยาอาการและคำหลายคำที่เกี่ยวกับผี เช่น ผีด้งหรือผีนางด้ง เป็นผีที่หนุ่มสาวในท้องที่จะเชิญมาเล่นตามลานบ้านช่วงสงกรานต์, ผีถ้วยแก้ว เป็นการเล่นทรงเจ้าเข้าผีโดยผู้เล่นเอานิ้วแตะก้นแก้ว ให้เคลื่อนไปตามตัวอักษร เพื่อสื่อความหมาย, ผีถึงป่าช้า หมายถึงจำใจทำเพราะไม่มีทางเลือก, ผีบุญ คือ ผู้อวดคุณวิเศษว่ามีฤทธิ์ทำได้ต่างๆ นานา, ผีบ้านไม่ดี ผีป่าก็พลอย หมายถึง คนในบ้านเป็นใจให้คนนอกบ้านเข้ามาทำความเสียหายได้,

        ผีซ้ำด้ำพลอย คือ ถูกซ้ำเติมเมื่อพลาดพลั้งหรือเมื่อคราวเคราะห์ร้าย, ผีอำ คือ อาการที่ปรากฏเมื่อเวลานอนเคลิ้มไปว่ามีคนมาปลุกปล้ำหรือยึดคร่า ทำให้มีอาการเหนื่อยหอบจนตื่นขึ้น บางคนก็เรียก ผีทับ จะมีอาการอึดอัด พูดจาไม่ได้ ลุกไม่ได้ ผีผลัก คืออุบัติเหตุที่ทำให้บาดเจ็บหรือล้มตาย เนื่องจากใช้ของแหลมมาจี้ใส่กันเป็นเชิงล้อเล่น, ผีเจาะปาก หมายถึงมีปากก็สักแต่พูดเรื่อยเปื่อย พูดไม่มีสาระ,

         ผีพุ่งไต้ หมายถึงดาวตก ผีตากผ้าอ้อม หมายถึง แสงแดดที่สะท้อนกลับมาสว่างในเวลาเย็นจวนค่ำ มีสีส้มอมเหลือง, ผีขนุน หมายถึงหญิงขายบริการตามต้นขนุนริมคลองหลอด กรุงเทพฯ, ผีเพลีย คือดิถีวันห้าม ไม่ให้แรกนา ฯลฯ (ดิถี คือการนับวันตามจันทรคติ เช่น ขึ้น 1 ค่ำ แรม 2 ค่ำ เป็นต้น)ทั้งหมดที่กล่าวข้างต้น แม้จะเป็นเพียงบางส่วนของเรื่องผีๆ แต่เชื่อว่าคงจะทำให้ท่านได้รู้จัก “ผีของไทย”มาก ยิ่งขึ้น



บันทึกการเข้า

ถึงเมาเหล้า เช้าสายก็หายไป...แต่เมาใจเป็นประจำ ทุกค่ำคืน

Nimit( Un )
member
*

คะแนน442
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3479


« ตอบ #1 เมื่อ: พฤศจิกายน 01, 2007, 12:15:31 PM »

แล้วมีใคร   เคยเห็นผีบ้างครับ  Sad
บันทึกการเข้า
พรเทพ-LSV team♥
รับติดตั้งจานดาวเทียม ลาดพร้าว บางกะปิ
Senior Member
member
*

คะแนน1453
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 12096

091-091-9196 ID LINE : tv59


เว็บไซต์
« ตอบ #2 เมื่อ: พฤศจิกายน 01, 2007, 12:18:37 PM »

ผมครับ
แต่เป็นผีอะไรนี้ผมไม่ทราบ เพราะมันไม่มีบัตรประจำตัวผีว่าเป็นผีไทยหรือผีจีน  Tongue
บันทึกการเข้า

Nimit( Un )
member
*

คะแนน442
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3479


« ตอบ #3 เมื่อ: พฤศจิกายน 01, 2007, 12:26:13 PM »

ผมครับ
แต่เป็นผีอะไรนี้ผมไม่ทราบ เพราะมันไม่มีบัตรประจำตัวผีว่าเป็นผีไทยหรือผีจีน  Tongue


ทำไมพี่พรเทพ  Tongue  ไม่ให้ผีร้องเพลงฯ  ล่ะครับ  จะได้รู้สำเนียง  ว่าเป็นผีสัญชาติไหน  Tongue
บันทึกการเข้า
พรเทพ-LSV team♥
รับติดตั้งจานดาวเทียม ลาดพร้าว บางกะปิ
Senior Member
member
*

คะแนน1453
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 12096

091-091-9196 ID LINE : tv59


เว็บไซต์
« ตอบ #4 เมื่อ: พฤศจิกายน 01, 2007, 12:29:20 PM »

ผมเคยเห็นผีก็จริง แต่ผมไม่เคยได้ยินผีพูดเลยครับ   Tongue
บันทึกการเข้า

Nimit( Un )
member
*

คะแนน442
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3479


« ตอบ #5 เมื่อ: พฤศจิกายน 01, 2007, 12:38:14 PM »

ผมเคยเห็นคนโดนผีเข้าครับ  ต่อหน้าโรงศพที่บ้านงานศพ

สำเนียงของคนที่ถูกผีเข้า  คล้ายกับคนที่ตายเลย   ผีเข้าสิง  มาบอกลูกๆของเขา

  ว่า  กูตาย  พวกมึงอย่าทะเลาะกัน   แล้วก็อะไรจำไม่ได้ฯนานมากลืม


ปล.ควรใช้วิจารณญาณในการอ่าน  Tongue
บันทึกการเข้า
sangkhawong
วีไอพี
member
***

คะแนน57
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 468

jupiter_toe@hotmail.com
อีเมล์
« ตอบ #6 เมื่อ: พฤศจิกายน 01, 2007, 04:03:00 PM »

เล่าต่อครับ
copy มา


มีเรื่องแปลกแต่จริงเกิดขึ้นที่เมืองคำชะโนด  อำเภอบ้านดุ้ง จังหวัดอุดรธานี  ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ เพราะมีพยานบุคคลที่สามารถอ้างอิงได้ คือ
คุณธงชัย แสงชัย เจ้าของบริษัทภาพยนตร์เร่ “แจ่มจันทร์” เล่าว่า

เรื่องเกิดขึ้นในราวเดือนมกราคม พศ. 2532 มีคนมาว่าจ้างให้หนังของผมไปฉายที่บ้านวังทอง อำเภอบ้านดุ้ง  ห่างจากตัวเมืองอุดรธานีประมาณ 100 กิโลเมตร ค่าจ้างตกลงกันไว้ 4000 บาท ซึ่งเป็นค่าจ้างธรรมดา  มีหนังฉาย 4 เรื่อง  แต่มีสัญญาพิเศษอยู่ 1ข้อ คือ ให้ฉายถึงแค่ตี 4 เท่านั้น  ห้ามฉายถึงสว่าง  พอตี 4 ก็ให้รีบเก็บข้าวของออกจากสถานที่ฉาย   ซึ่งผมได้ฟังก็แปลกใจมากแต่ไม่ได้คิดอะไรในตอนนั้น  เพราะเห็นว่าเป็นความต้องการขงผู้มาว่าจ้าง   จึงไม่ได้ซักถามถึงเหตุผล  แต่ปรกติแล้วเวลาไปฉายหนังที่อื่น ชาวบ้านมักจะให้ฉายถึงสว่างทุกเจ้าไป 

หลังจากนั้นผมก็ได้ส่งหน่วยฉายหนังไปตามที่ได้ตกลงกันไว้   ในตอนเช้าพนักงานของผมจำนวน 7 คน ซึ่งกลับมาจากฉายหนังเมื่อคืน  ก็เล่าให้ผมกับภรรยาฟังว่า   เมื่อคืนไปฉายหนังให้ผีดู +++     เด็กๆเล่าให้ฟังว่า หนังเริ่มฉายตั้งแต่ตอน 3ทุ่ม  ในตอนหัวค่ำไม่เห็นผู้คน  ก็ยังสงสัยว่าหายไปไหนหมด  แต่พอ 3ทุ่มก็มีคนมาเป็นจำนวนมาก  และที่แปลกคือ ผู้หญิงซึ่งนุ่งขาวห่มขาวจะนั่งอยู่ด้านหนึ่ง  ส่วนผู้ชายใส่เสื้อผ้าสีดำจะนั่งอีกข้างหนึ่ง  และคนทั้งหมดก็นั่งกันสงบเงียบเรียบร้อยเหมือนจะไม่เคลื่อนไหวตัว  และที่ยิ่งกว่านั้นคือ ไม่ว่าจะฉายหนังอะไร ก็ไม่มีการส่งเสียงเอะอะเหมือนกับฉายหนังกลางแปลงทั่วๆไป  ฉายหนังบู๊ พี่แกก็เฉย  ฉายหนังตลกก็เฉย ไม่มีเสียงหัวเราะสักเแอะ

อีกอย่างคือ งานนี้ไม่มีร้านขายข้าวของ จำพวกของกินของใช้ หรือแม้แต่ร้านขายขนม ขายบุหรี่   พอถึงตี 4 พวกคนดูก็ไม่รู้หายไปไหนกันหมด  หายไปเร็วเหลือเกิน    พวกเด็กๆ เขาก็รีบเก็บข้าวของออกจากสถานที่ฉายหนัง   พอขับรถมาถึงหมู่บ้านวังทองตอนเช้าก็แวะซื้อบุหรี่ก่อนเลย  เนื่องจากเมื่อคืนไม่มีขาย  (คงจะใกล้ลงแดงตาย)  ชาวบ้านถามว่าไปฉายหนังที่ไหนมา   เด็กๆ ก็บอกว่าฉายในหมู่บ้านวังทอง   แต่ชาวบ้านกลับยืนยันว่าไม่มีหนังมาฉายในหมู่บ้านเลย +++
เรื่องก็เลยยุ่งว่าเมื่อคืน ตูไปฉายหนังที่ไหนมาอะ  ในที่สุดเมื่อสอบถามกันจนเป็นที่เข้าใจ ชาวบ้านสรุปว่า “สงสัยพวกคุณจะไปฉายหนังที่ใน ดงคำชะโนด”  ซึ่งเป็นสถานที่ลึ้ลับที่เชื่อว่าเป็นเมืองพญานาค  มีภูตผีปีศาจสิงสถิตอยู่ ซึ่งอยู่ใกล้ๆ กับหมู่บ้านวังทองนี่เอง

พวกเด็กๆ ก็เลยเชื่อว่าถูกผีจ้างไปฉายหนังจริงอย่างที่ชาวบ้านว่า   จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นผมก็อยากจะพิสูจน์ความจริงจึงเดินทางไปที่บ้านวังทอง  ผมไปที่ดงคำชะโนดซึ่งอยู่ห่างจากหมู่บ้านไปสัก 3 กิโล  แต่ที่ผมแปลกใจมากเพราะดงไม้ที่ผมมองเห็นอยู่กลางทุ่งห่างจากตัวถนนครึ่งกิโลนั้น เป็นดงไม้ทึบ   อย่าว่าแต่ให้ขับรถยนต์จะเข้าไปข้างในเลย  แม้แต่จะขึงตั้งจอหนังก็ยังไม่ได้ด้วย

ผมจึงไปสอบถามชาวบ้านแถวนั้นว่า  เมื่อคืนที่ผ่านมาในหมู่บ้านวังทอง หรือหมู่บ้านใกล้เคียงมีการฉายหนังกันบ้างไหม   ทุกคนต่างก็ยืนยันว่า ไม่มีหนังเข้ามาฉายเลย   ทำให้ผมงุนงงเป็นอันมาก  ทำให้ผมต้องเดินทางกลับไปที่ดงคำชะโนดอีกครั้ง เพื่อหาข้อพิสูจน์ ว่าเด็กๆได้มาฉายหนังที่นี่จริง

ในที่สุด  ก็มีสิ่งหนึ่งที่ทำให้ผมเชื่อว่า เด็กๆของผมได้เข้าไปฉายหนังในดงคำชะโนดจริง  นั่นก็คือ ตรงขอบถนนมีรอยรถยนต์แล่นผ่านลงไปในหล่มดินข้างทาง  รอยรถนั้น  แล่นผ่าเข้าไปในท้องนาซึ่งเป็นที่ลุ่มน้ำขัง   ไม่น่าเชื่อเลยว่ารถฉายหนังจะแล่นเข้าไปในดงคำชะโนดนั้นได้    ด้วยความประหลาดใจในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้เอง คุณธงชัย แสงชัย   เล่าต่อไปว่า เขาได้ไปนมัสการ  หลวงปู่คำตา  สิริสุทโธ เจ้าอาวาสวัดศิริสุทโธ  คำชะโนด  ซึ่งเป็นวัดที่อยู่ใกล้ๆ ดงคำชะโนด  และได้ไต่ถามถึงเรื่องนี้กับเจ้าอาวาส  ซึ่งท่านก็ได้เมตตาเล่าให้คุณธงชัยฟังว่า.....
ดงคำชะโนดนี้เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์มาแต่ครั้งโบราณ  เชื่อกันว่าบริเวณส่วนนี้เป็นเมืองพญานาค  เพราะตรงใจกลางดงจะมีบ่อน้ำซึ่งเป็นทางขึ้นลงของบรรดาพญานาค    ในสมัยที่หลวงปู่เป็นเด็ก  ไปทำนาแถวนั้นและไปเล่นน้ำในบ่อแล้วก็หายไป  พ่อแม่ตามหาอยู่ถึง 7 วัน  จึงได้ไปพบท่านนอนหลับอยู่ในดงคำชะโนดนี้   ท่านรู้สึกเหมือนว่าได้เข้าไปในเมืองลึกลับแห่งหนึ่งซึ่งอยู่ใต้ดิน   และหลังจากเหตุการณ์ในครั้งนั้นท่านก็มีโอกาส ติดต่อกันทางจิตกับ “ท่านพญานาค ศรีสุทโธ”เจ้าเมืองพญานาค และจนได้มาบวชเป็นพระอยู่ที่นี่ ก็เนื่องจาก ท่านพญานาค ศรีสุทโธ  ขอเอาไว้
สำหรับเหตุการณ์ที่มีผู้ว่าจ้างคุณธงชัยไปฉายหนังนั้น  หลวงปู่คำตาได้กล่าวกับคุณธงชัยว่า   “ คงเป็นเพราะช่วงนั้นเป็นเทศกาลของบรรดาวิญญาณซึ่งอาศัยอยู่ในดงไม้นี้  จึงได้ว่าจ้างให้หนังมาฉาย ฉลองเหมือนพวกมนุษย์ ”  วิญญาณเหล่านั้นชาวอีสานเรียกว่า  ผีบังบด

ในขณะที่หลวงปู่คำตาเล่าเรื่องนี้อยู่  ก็ปรากฏว่ามีงูตัวหนึ่งสีดำสนิท ท่าทางน่ากลัวเลื้อยเข้ามานอนขดอยู่ตรงหน้าของท่าน   ผมและภรรยาตกใจมาก   แต่หลวงปู่คำตาก็บอกว่าไม่เป็นไรหรอก  คงจะเป็นวิญญาณของผู้ที่อาศัยอยู่ในดงไม้ไม่ต้องการให้ท่านเล่าหรือเปิดเผยอะไรต่อไป  จึงได้ส่งให้งูตัวนี้มาปรากฏเพื่อเป็นการเตือน   หลังจากนั้นท่านจึงขอตัวไม่เปิดเผยรายละเอียดใดๆ ......  แต่ผมก็เชื่อว่ายังมีอะไรที่แปลกน่าสนใจอีกมาก เกี่ยวกับดงคำชะโนดนี้......

อ้างอิง pantip.com
บันทึกการเข้า

ถึงเมาเหล้า เช้าสายก็หายไป...แต่เมาใจเป็นประจำ ทุกค่ำคืน
maxmusic
member
*

คะแนน16
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 171


อีเมล์
« ตอบ #7 เมื่อ: ธันวาคม 02, 2007, 06:34:57 PM »

@พาผีไปดูหนัง@   เรื่องนี้เป็นเรื่องจริงครับเกิดขิ้นมาแล้วประมาณ18ปี มาแล้ว แต่ผมและเพื่อนอีก2คนไม่มีวันลืม  เรื่องมีอยู่ว่าผมได้เอาเครื่องเสียงไปลงงานบวชที่บ้านทุ่งโก  ต.หนองเมธี  อ.ท่าตูม จ.สุรินทร์  เวลา08.00 เมื่อเดือนเม.ย 2533   และกลับมาที่บ้านตากวน ต.จอมพระ อ.จอมพระ จ.สุรินทร์ ระยะทางประมาณ16-17กม. โดยให้ลูกน้องเฝ้าเครื่อง2คน    จนพลบค่ำผมได้ออกเดินทาง เพื่อจะไปเฝ้าเครื่องและจะไปดูหนังด้วย เพราะว่าคืนนั้นจะมีหนังฉาย2จอ  ผมขับรถอีแต๋นมาเรื่อยๆ  ถึงบ้านท่าศิลา  แล้วเลี้ยวซ้าย  ไป1กม.ถึงบ้านนานวล  ออกจากบ้านนานวลก็มืดโพล้เพล้  ขับมาเรื่อยๆไฟรถส่องเห็นเด็กอายุราวๆ5-12ขวบ กำลังเดินอยู่ข้างทางประมาณ10กว่าคน  สภาพเด็กทุกคนไม่มีเสื้อใส่ ใส่แต่กางเกง มือถือสาด   ยกมือโบกรถ  ผมก็จอดรับ ใกล้สะพานระว่างจะถึงบ้านทุ่งโก  ผมและไอ้ แตง  ไอ้หงา  ลงมาจากรถ ถามว่าจะไปไหน  เด็กตอบว่าซิไปเบิ่งหนัง  ผมและเพื่อนยกเด็กขึ้นรถ  แล้วขับไปบ้านงาน ระหว่างทางก็คุยยอกล้อกับไปตลอดทาง   ขับมาถึงบ้านทุ่งโก แยกแรกมีหนังหนึ่งจอ  ถามเด็กว่าซิ่เบิ่งจอใด๋ เด็กตอบว่าจอใด๋กะได้พอเด็กพูดจบผมก็เบรครถทันที    คุณพระช่วยเด็กหายไปไหนหมดนี่   ผมจอดรถวิ่งลงมาดู ทุกอย่างเงียบกริป วังเวงเสียเหลือเกิน ผมตะโกนเรียกไม่มีเสียงตอบ  ผมกับเพื่อนวิ่งย้อนกลับเกือบ100กว่าเมตร ก็ไม่เจอใครสักคน ผม รีบกลับมาที่รถในใจคิดว่าเด็กอาจตกรถเป็นแน่  ผมรีบขับไปบ้านเจ้าภาพ เพื่อจะบอกให้ไปช่วยค้นหาเด็ก  พอไปถึงบ้านเจ้าภาพเห็นน้องสาวเพื่อน [ทิดชุน ทำงานอยู่ร้านสรรพสิริ จอมพระ ซึ่งตายแล้วในอีกไม่กิ่ปี }เดินออกมาพอดี   ก็เลยบอกว่า  รับเด็กมา10กว่าคน  ไม่รู้ว่าหายไปไหนหมด  น้องสาวถามว่าไปรับมาที่ไหน  ตอบรับมาจากสะพานหน้าหมู่บ้าน      น้องสาวเพื่อน  ตอบว่า   ก็ผีนะสิ   ชอบหลอกคนถิ่นอื่นประจำ    แค่นั้นแหละ  ผมและเพื่อนเข่าอ่อนทันทีทำอะไรไม่ถูกเลย   คืนนั้นไม่กลับบ้านเลย  ไปดูหนังชยันต์ ภาพยนต   คืนนั้นฉายเรื๋อง แฝดใหญ่ผ่าโลกเกิด  เฉินหลงแสดง เหตุการณ์ครังนั้นแม้จะผ่านมานานแล้ว  แต่มันยังฝังอยู่ในใจผมตลอด ไม่รู้ลืม  จากผมช่างอ็อก แม็คมิวสิค  สุรินทร์ 0892859878
บันทึกการเข้า
Nimit( Un )
member
*

คะแนน442
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3479


« ตอบ #8 เมื่อ: ธันวาคม 04, 2007, 04:26:12 PM »

ถ้าผมเจอแบบนี้  เข้ากับตัว  ไม่รู้จะเป็นอย่างไร

   ขอบคุณครับ   ช่างอ็อก   ที่ถ่ายโทษประสบการณ์ให้ฟัง  Cheesy
บันทึกการเข้า
หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1 RC2 | SMF © 2001-2006, Lewis Media

lsv2555Please follow the new website at https://www.pohchae.com

Valid CSS!