วันนี้วันวิสาชบูชา -
หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: วันนี้วันวิสาชบูชา -  (อ่าน 2983 ครั้ง)
sirirrin
สนับสนุนLSV-server
member
***

คะแนน180
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 301



« เมื่อ: พฤษภาคม 08, 2009, 07:56:20 AM »






บันทึกการเข้า

Nattawut-LSV Team
E23IUY
.กลุ่มผู้มีน้ำใจงาม.
member
*

คะแนน808
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3581


อีเมล์
« ตอบ #1 เมื่อ: พฤษภาคม 08, 2009, 10:08:05 AM »

วันวิสาขบูชา หรือ วิศาขบูชา (บาลี: วิสาขปูชา; อังกฤษ: Vesak) เป็น "วันสำคัญทางพุทธศาสนาสากล" ของชาวพุทธทุกนิกายทั่วโลก, "วันหยุดราชการ" ในหลายประเทศ และ "วันสำคัญของโลก" ตามมติเอกฉันท์ของที่ประชุมสมัชชาสหประชาชาติ[1] เพราะเป็นวันคล้ายวันที่เกิดเหตุการณ์สำคัญที่สุดในพระพุทธศาสนา 3 เหตุการณ์ด้วยกัน คือ เป็นวันคล้ายวันประสูติ, ตรัสรู้ และปรินิพพาน แห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า โดยทั้งสามเหตุการณ์นั้นได้เกิดตรงกับวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 หรือในวันเพ็ญแห่งเดือนวิสาขมาส (ต่างปีกัน) ชาวพุทธจึงถือว่าเป็นวันที่รวมเกิดเหตุการณ์อัศจรรย์ยิ่ง จึงเรียกการบูชาในวันนี้ว่า "วิสาขบูชา" ย่อมาจาก "วิสาขปูรณมีบูชา" แปลว่า "การบูชาในวันเพ็ญเดือนวิสาขะ" อันเป็นเดือนที่สองตามปฏิทินของอินเดีย ซึ่งตรงกับวันเพ็ญเดือน 6 ตามปฏิทินจันทรคติของไทย (ซึ่งมักจะตรงกับเดือนพฤษภาคม หรือมิถุนายน) โดยในประเทศไทย ถ้าในปีใดมีเดือน 8 สองหน ก็เลื่อนไปทำในวันเพ็ญเดือน 7 หลัง ตามปฏิทินจันทรคติของไทย ซึ่งประเทศที่นับถือพระพุทธศาสนาเถรวาทอื่นที่ไม่ได้ถือคติตามปฏิทินจันทรคติของไทย จะจัดพิธีวิสาขบูชาในวันเพ็ญเดือน 6 แม้ในปีนั้นจะมีเดือน 8 สองหน (ตามปฏิทินจันทรคติไทย) ก็ตาม[2] และในกลุ่มชาวพุทธมหายานบางนิกาย ที่นับถือว่าเหตุการณ์ทั้ง 3 นั้น เกิดในวันต่างกันไป จะมีการจัดพิธีวิสาขบูชาต่างวันกันตามความเชื่อในนิกายของตน ๆ (ซึ่งจะไม่ตรงกับวันวิสาขบูชาตามปฏิทินของชาวพุทธเถรวาท) [3]

วันวิสาขบูชา นั้น ได้รับการยกย่องจากพุทธศาสนิกชนทั่วโลกให้เป็นวันสำคัญทางพระพุทธศาสนาสากล เนื่องจากเป็นวันที่บังเกิดเหตุการณ์สำคัญ 3 เหตุการณ์ ที่เกี่ยวเนื่องกับพระพุทธเจ้าและจุดเริ่มต้นของศาสนาพุทธ ซึ่งเหตุการณ์ทั้งหมดได้เกิดขึ้นเมื่อ 2,500 กว่าปีก่อน ณ ดินแดนที่เรียกว่าชมพูทวีปในสมัยพุทธกาล โดยเหตุการณ์แรก เมื่อ 80 ปี ก่อนพุทธศักราช เป็น "วันประสูติของเจ้าชายสิทธัตถะ" ณ ใต้ร่มสาละพฤกษ์ ในพระราชอุทยานลุมพินีวัน (อยู่ในเขตประเทศเนปาลในปัจจุบัน) และเหตุการณ์ต่อมา เมื่อ 45 ปี ก่อนพุทธศักราช เป็น "วันที่เจ้าชายสิทธัตถะได้บรรลุพระสัมมาสัมโพธิญาณ ตรัสรู้เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า" ณ ใต้ร่มโพธิ์พฤกษ์ ริ่มฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา ตำบลอุรุเวลาเสนานิคม (อยู่ในเขตประเทศอินเดียในปัจจุบัน) และเหตุการณ์สุดท้าย เมื่อ 1 ปี ก่อนพุทธศักราช เป็น "วันเสด็จดับขันธปรินิพพานขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า" ณ ใต้ร่มสาละพฤกษ์ ในสาลวโนทยาน พระราชอุทยานของเจ้ามัลละ เมืองกุสินารา (อยู่ในเขตประเทศอินเดียในปัจจุบัน) โดยเหตุการณ์ทั้งหมดล้วนเกิดตรงกับวันเพ็ญเดือน 6 (หรือเดือนวิสาขะ) ทั้งสิ้น ชาวพุทธจึงนับถือว่าวันเพ็ญเดือน 6 นี้ เป็นวันที่รวมวันคล้ายวันเกิดเหตุการณ์สำคัญ ๆ ของพระพุทธเจ้าไว้มากที่สุด และได้นิยมประกอบพิธีบำเพ็ญบุญกุศลและประกอบพิธีพุทธบูชาต่าง ๆ เพื่อเป็นการถวายสักการะรำลึกถึงแด่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสืบมาจนปัจจุบัน

วิสาขบูชา มีการนับถือปฏิบัติกันในหลายประเทศที่นับถือพระพุทธศาสนาทั้งมหายานและเถรวาททุกนิกายมาช้านานแล้ว โดยบางประเทศจะเรียกพิธีนี้ว่า พุทธชยันตี (Buddha Jayanti) เช่นใน อินเดีย และศรีลังกา ในปัจจุบันมีหลายประเทศที่ยกย่องให้วันวิสาขบูชาเป็นวันหยุดราชการ เช่น ประเทศอินเดีย, ประเทศไทย, ประเทศพม่า, ประเทศศรีลังกา, ประเทศลาว และประเทศกัมพูชา เป็นต้น (ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นประเทศที่มีสัดส่วนประชากรที่นับถือพระพุทธศาสนานิกายเถรวาทมากที่สุด) ในฝ่ายของประเทศที่นับถือพระพุทธศาสนาเถรวาทในปัจจุบัน ส่วนใหญ่ได้รับคติการปฏิบัติบูชาในวันวิสาขบูชามาจากลังกา (ประเทศศรีลังกา) โดยในประเทศไทยปรากฏหลักฐานว่ามีการจัดพิธีวิสาขบูชามาตั้งแต่สมัยสุโขทัย

ปัจจุบัน วันวิสาขบูชา ถือได้ว่า เป็นวันสำคัญทางพระพุทธศาสนาสากล เพราะชาวพุทธทุกนิกายจะพร้อมใจกันจัดพิธีพุทธบูชาในวันนี้พร้อมกันทั่วทั้งโลก[4] (ซึ่งไม่เหมือนวันมาฆบูชา และวันอาสาฬหบูชา ที่เป็นวันสำคัญทางพระพุทธศาสนาที่นิยมนับถือกันเฉพาะในประเทศไทย, ลาว, และกัมพูชา) และด้วยเหตุนี้ จึงทำให้ที่ประชุมใหญ่สมัชชาสหประชาชาติยกย่องให้วันวิสาขบูชาเป็น "วันสำคัญสากลนานาชาติ (International Day)" หรือ "วันสำคัญของโลก" (ตามคำประกาศของที่ประชุมใหญ่สมัชชาสหประชาชาติ ครั้งที่ 54 ลงวันที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2542)

ปัจจุบัน ประเทศไทยได้ประกาศให้วันวิสาขบูชาเป็นวันหยุดราชการ โดยพุทธศาสนิกชนทั้งพระบรมวงศานุวงศ์ พระสงฆ์ และประชาชน จะมีการประกอบพิธีต่าง ๆ เช่น การตักบาตร การฟังพระธรรมเทศนา การเวียนเทียน เป็นต้น เพื่อเป็นการบูชารำลึกถึงพระรัตนตรัยและเหตุการณ์สำคัญ ๓ เหตุการณ์ดังกล่าว ที่ถือได้ว่าเป็นวันคล้ายวันที่ "ประสูติ" ของเจ้าชายสิทธัตถะ ผู้ซึ่งต่อมาได้ "ตรัสรู้" เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ทรงกอรปไปด้วย "พระบริสุทธิคุณ", "พระปัญญาคุณ" ผู้ซึ่งได้ทรงสั่งสอนประกาศพระสัจธรรม คือความจริงของโลกแก่พหูชนทั้งปวงโดย "พระมหากรุณาธิคุณ" จวบจนทรง "เสด็จดับขันธปรินิพพาน" ในวาระสุดท้าย ซึ่งทั้งสามเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นสืบเนื่องในวันเพ็ญเดือน 6 ทั้งสิ้นนี้ ทำให้พระพุทธศาสนาได้บังเกิดและสืบต่อมาอย่างมั่นคงจนถึงปัจจุบัน

สำหรับในปี พ.ศ. 2552 นี้ วันวิสาขบูชา หรือวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 (ตามปฏิทินจันทรคติไทย) จะตรงกับ วันศุกร์ที่ 8 พฤษภาคม (ตามปฏิทินสุริยคติ





ความสำคัญ
วันวิสาขบูชา เป็นเป็นวันที่ระลึกถึงวันที่เป็นที่ประสูติ ตรัสรู้ และปรินิพพานขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งตรงกับวันเพ็ญเดือนวิสาขะ ตรงกันทั้ง 3 คราว คือ

เช้าวันศุกร์ ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 ปีจอ ก่อนพุทธศักราช 80 ปี เจ้าชายสิทธัตถะ ได้ ประสูติ ที่พระราชอุทยานลุมพินีวัน ระหว่างกรุงกบิลพัสดุ์กับเทวทหะ
เช้ามืดวันพุธ ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 ปีระกา ก่อนพุทธศักราช 45 ปี เจ้าชายสิทธัตถะได้ ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อพระชนมายุ 35 พรรษา ณ ใต้ร่มไม้ศรีมหาโพธิ์ ฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา ตำบลอุรุเวลาเสนานิคม ในตอนหลังจากออกผนวชได้ 6 ปี ปัจจุบันสถานที่ตรัสรู้แห่งนี้เรียกว่า พุทธคยา เป็นตำบลหนึ่งของเมืองคยา แห่งรัฐพิหารของอินเดีย
หลังจากตรัสรู้แล้ว พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงออกประกาศพระธรรมวินัย และโปรดเวไนยสัตว์เป็นเวลา 45 ปี จนเมื่อพระชนมายุได้ 80 พรรษา ก็ เสด็จดับขันธปรินิพพาน เมื่อวันอังคาร ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 ปีมะเส็ง ณ สาลวโนทยาน ของมัลลกษัตริย์ เมืองกุสินารา แคว้นมัลละ (ปัจจุบันอยู่ในเมือง กุสีนคระ แคว้นอุตตรประเทศ ประเทศอินเดีย)
ด้วยเหตุการณ์ 3 เหตุการณ์สำคัญดังกล่าวนี้ ได้เกิดขึ้นตรงกันในวันเพ็ญ เดือน 6 ชาวพุทธจึงได้เรียกการบูชาในวันนี้ว่า วันวิสาขบูชา แปลว่า การบูชาในวันเพ็ญเดือนหก (บางแห่งเรียกว่า วันพระพุทธเจ้า หรือ พุทธชยันตี) และปฏิบัติสืบต่อมาจนถึงปัจจุบัน




 เหตุการณ์สำคัญที่เกิดในวันวิสาขบูชาในพุทธประวัติ

วันคล้ายวันประสูติ
เหตุการณ์ประสูตินี้ เป็นเหตุการณ์สำคัญเหตุการณ์แรกของพระพุทธเจ้า ที่ได้เกิดในวันเพ็ญเดือนวิสาขมาส โดยพระพุทธเจ้า หรือพระนามเดิม "เจ้าชายสิทธัตถะ" ได้ประสูติใน พระบรมราชศากยวงศ์ เป็นพระราชโอรสแห่ง พระเจ้าสุทโธทนะศากยราชา พระราชบิดา ผู้ทรงดำรงตำแหน่งพระมหากษัตริย์แห่งกรุงกบิลพัสดุ์ และ พระนางสิริมหามายา ศากยราชเทวี พระราชมารดา ผู้ทรงเป็นพระราชมเหสีแห่งพระเจ้าสุทโธทนะ โดยเจ้าชายสิทธัตถะนั้นได้ทรงดำรงตำแหน่งแห่งศากยมกุฏราชกุมาร ผู้จักได้รับสืบพระราชบัลลังก์เป็นกษัตริย์แห่งกรุงกบิลพัสดุ์สืบไป

 
พระพุทธรูปปางทรงเปล่งอาสภิวาจา ภายในอุโบสถวัดไทยลุมพินี อุทยานลุมพินีวัน ประเทศเนปาลเรื่องราวเหตุการณ์ประสูติจากหลักฐานชั้นบาลี (พระไตรปิฎก) และอรรถกถา กล่าวว่า หลังจากพระโพธิสัตว์ ผู้ดำรงอยู่ในดุสิตเทวโลก ได้บำเพ็ญพระบารมีครบถ้วนแล้ว ได้ทรงรับคำอาราธนาเพื่อจุติลงมาตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า [5] พระโพธิสัตว์จึงได้จุติจากสวรรค์ชั้นดุสิตลงมาสู่พระครรภ์ของพระนางสิริมหามายา เมื่อเวลาใกล้รุ่ง วันพฤหัสบดี ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 ปี ระกา ก่อนพุทธศักราช 80 ปี

จนเมื่อพระนางสิริมหามายา ได้ทรงพระครรถ์ครบถ้วนทศมาส (10เดือน) [6] ในวันเพ็ญวิสาขมาส (ตรงกับ วันศุกร์ ขึ้น 15ค่ำ เดือน 6 ก่อนพุทธศักราช 80 ปี) พระองค์ได้มีพระราชประสงค์ที่จะเสด็จพระราชดำเนินกลับไปประสูติพระราชโอรสยังเมืองเทวทหะ อันเป็นเมืองบ้านเกิดของพระองค์ แต่ขณะเสด็จพระราชดำเนินได้เพียงกลางทาง ภายในพระราชอุทยานลุมพินีวัน ซึ่งตั้งอยู่ระหว่างเมืองกบิลพัสดุ์และเมืองเทวทหะต่อกัน พระองค์ได้เกิดประชวรพระครรภ์จะประสูติ อำมาตย์ผู้ตามเสด็จจึงจัดร่มไม้สาละถวาย พระนางจึงได้ประสูติพระโอรส ณ ใต้ร่มไม้สาละนั้น โดยขณะประสูติพระองค์ประทับยืน พระหัตถ์ทรงจับกิ่งสาละไว้ เมื่อพระโพธิสัตว์ประสูติจากพระครรภ์ (โดยอาการที่พระบาทออกจากพระครรภ์ก่อน) แล้ว โพธิสัตว์ได้ทรงพระดำเนินไปได้ 7 ก้าว และได้ทรงเปล่งอาสภิวาจา (วาจาประกาศความเป็นผู้สูงสุด) ขึ้นว่า[7]

 "อคฺโคหมสฺมิ โลกสฺส เชฏฺโฐหมสฺมิ โลกสฺส เสฏฺโฐหมสฺมิ โลกสฺส.
อยมนฺติมา ชาติ. นตฺถิทานิ ปุนพฺภโว."
คำแปล: "เราเป็นผู้เลิศแห่งโลก, เราเป็นผู้เจริญที่สุดแห่งโลก, เราเป็นผู้เจริญที่สุดแห่งโลก. ชาตินี้ เป็นชาติสุดท้าย. บัดนี้ ภพใหม่ย่อมไม่มี ดังนี้"
 
— 'สยามรฏฺฐเตปิฏกํ ปาลี. อจฺฉริยอพฺภูตธมฺมสุตฺต อุปริ. ม. ๑๔/๒๔๙-๒๕๑/๓๖๖-๗-๘-๙, ๓๗๑'

โดยการทรงเปล่งอาสภิวาจาเป็นอัศจรรย์นี้ นับเป็นบุรพนิมิตแห่งพระบรมโพธิญาณ ที่เจ้าชายน้อยผู้ทรงเป็นพระบรมโพธิสัตว์ จักได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในกาลอีกไม่นาน


วันคล้ายวันตรัสรู้
เหตุการณ์การตรัสรู้พระบรมสัมมาสัมโพธิญาณของเจ้าชายสิทธัตถะนี้ เป็นเหตุการณ์สำคัญเหตุการณ์ที่สองของพระพุทธเจ้า ที่ได้เกิดในวันเพ็ญเดือนวิสาขมาส ซึ่งเหตุการณ์นี้ ถือได้ว่าเป็นเหตุการณ์ที่มีความสำคัญมากที่สุดของพระพุทธเจ้าและพระพุทธศาสนา ถือได้ว่าเป็นการเกิดครั้งที่สองของเจ้าชายสิทธัตถะ คือครั้งแรกนั้นเพียงประสูติเกิดเป็นมนุษย์ แต่การตรัสรู้นี้ ถือว่าเป็นการเกิดใหม่อีกครั้ง เป็นการเกิดที่หาได้โดยยาก เป็นการเกิดที่สมบูรณ์พร้อมด้วยอริยผล รู้แจ้งซึ่งสรรพกิเลสทั้งปวง หลุดพ้นจากบ่วงแห่งมาร คือทุกข์และสุขทั้งปวงได้หมดสิ้น และเหตุการณ์ในครั้งนี้ทำให้เจ้าชายสิทธัตถะเป็น พระสัมมาสัมพุทธเจ้า แปลว่า ผู้ตรัสรู้ชอบด้วยพระองค์เอง (ผู้ไม่ได้รับบัญชาจากใคร ผู้ไม่ได้รับโองการจากพระผู้สร้าง หรือเทพเทวดาองค์ไหน) หากแต่เป็นการ "รู้แจ้งโลกทั้งปวง" ที่เจ้าชายสิทธัตถะ ในฐานะมนุษย์ธรรมดาคนหนึ่งพึงกระทำได้ และทุกคนมีสิทธิ์ที่จะ "รู้" เหมือนที่พระองค์ทรงรู้ด้วยเหมือนกัน ดังนั้นจึงทำให้มีผู้เรียกพระธรรมวินัยหรือคำสั่งสอนของพระองค์ว่า พระพุทธศาสนา แปลว่า ศาสนาของผู้รู้แจ้ง - ศาสนาของผู้ (ปฏิบัติเพื่อ) หลุดพ้นจากกิเลสทั้งมวล[8]


ออกผนวช

 เหตุการณ์ออกผนวชตามนัยอรรถกถา
 
(ตามนัยอรรถกถา) หลังจากเจ้าชายสิทธัตถะหนีออกจากพระราชวัง ได้ทรงตัดพระเมาฬีที่ริมฝั่งแม่น้ำอโนมานที เพื่ออธิษฐานเพศเป็นบรรพชิต


เรื่องราวเหตุการณ์การออกผนวชจากหลักฐานชั้นอรรถกถา (หลักฐานชั้นรอง แต่งโดยคัมภีราจารย์รุ่นหลังพระไตรปิฎก) กล่าวว่า หลังจากเจ้าชายสิทธัตถะเจริญวัยและอภิเษกสมรสล่วงมาได้ 29 พรรษาแล้ว ตลอดเวลาทั้งชีวิตของพระองค์ประทับอยู่แต่ในพระราชวังเสวยกามสุขอย่างบริบูรณ์[9] ไม่ได้เคยเสด็จออกไปสู่โลกภายนอกเลย วันหนึ่ง (ตามนัยอรรถกถา) ก่อนวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 8 พระองค์จึงได้แอบเสด็จออกนอกพระราชวังโดยม้ากัณฐกะ มีนายฉันนะอำมาตย์ ตามเสด็จ พระองค์ได้เที่ยวไปตามหมู่บ้าน พบเห็นความจริงของชีวิต คือ เทวทูตทั้ง 4 คือ คนแก่ คนเจ็บ คนตาย และสมณะ ตามลำดับ จึงทรงสลดสังเวชพระทัยยิ่งนัก และเมื่อเสด็จกลับ ได้ทรงทราบข่าวพระประสูติกาลของพระโอรสของพระองค์ ได้ทรงเปล่งพระอุทานขึ้นว่า "ราหุล ชาตํ ราหุล ชาตํ" แปลว่า เกิดบ่วงเสียแล้วหนอ เกิดบ่วงเสียแล้วหนอ ดังนี้ เพราะพระองค์ทรงพอพระทัยในการบรรพชาออกบวชแสวงหาโมกขธรรม เมื่อคราวเสด็จเห็นเทวทูตทั้ง 4 เสียแล้ว เมื่อตกดึกคืนนั้นเอง พระองค์จึงได้ตั้งพระทัยแน่วแน่ที่จะบรรพชา ได้เข้าไปในห้องบรรทมของพระนามพิมพาเทวี เพื่อจะลาพระเทวีและพระโอรส แต่กลับทรงพบกับเหล่าบรรดานางสนมกำนัลในนอนกลิ้งเกลือกอยู่ทั่วไป ดูน่าเกลียดยิ่งนัก พระนางกับพระโอรสได้บรรทมไปแล้ว พระองค์จึงได้ทรงตัดสินใจที่จะออกบรรพชาโดยมิลาพระเทวีและพระโอรสก่อน

ในครั้งนั้น พระองค์ได้ทรงม้ากัณฑกะมีนายฉันนอำมาตย์ตามเสด็จ หนีออกจากพระราชวัง เมื่อถึงฝั่งอโนมานที ในเวลาใกล้รุ่ง ทรงตัดพระเมาฬีด้วยพระขรรค์ แล้วอธิษฐานเพศเป็นบรรพชิต ณ วันเพ็ญแห่งเดือนอาสาฬหะนั่นเอง (วันเพ็ญขึ้น 15 ค่ำ เดือน Cool


 เหตุการณ์ออกผนวชตามนัยพระบาลี (พระไตรปิฎก)
เรื่องราวเหตุการณ์ประสูติจากหลักฐานชั้นต้น คือ พระไตรปิฎก กล่าวว่า เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะอายุได้ 29 พรรษา[10] ได้ทรงปรารภเหตุคือ ความแก่ เจ็บ ตาย ที่มีอยู่ทุกคนเป็นธรรมโลก ไม่มีใครจะรอดพ้นไปได้ แต่เพราะว่ามิได้ฟังคำสั่งสอนของผู้รู้ จึงทำให้มัวแต่มานั่งรังเกียจเหตุเหล่านั้นว่าเป็นของไม่ควรคิด ไม่ควรสนใจ ทำให้คนเราทั้งหลาย มัวมาแต่ลุ่มหลงอยู่ในกิเลสทั้งหลายเพราะความเมา 3 ประการ คือ เมาว่าตัวยังหนุ่มยังสาวอยู่อีกนานกว่าจะแก่ 1 เมาว่าไม่มีโรคอยู่และโรคคงจะไม่เกิดแก่เรา 1 เมาว่าชีวิตเป็นของยั่งยืน 1[11] มัวแต่ใช้ชีวิตทิ้งไปวัน ๆ

กล่าวคือทรงดำริว่า

 "...มนุษย์ทั้งหลายมีความทุกข์เกิดขึ้นครอบงำอยู่ตลอดเวลาก็จริง เกลียดความทุกข์อยู่ตลอดเวลาก็จริง แต่ทำไมมนุษย์ทั้งหลายยังมัวแสวงหาทุกข์ร้อนใส่ตัวอยู่ตลอดเวลา แล้วทำไม เราต้องมามัวนั่งแสวงหาทุกข์ใส่ตัว (ให้โง่) อยู่อีกเล่า!" 
— 'สยามรฏฺฐเตปิฏกํ ปาลี. ปาสราสิสุตฺต โอปทฺทมวคฺค อุปริ. ม. มู. ม. ๑๒/๓๑๖/๓๑๖'

ด้วยความคิดเช่นนี้ ทำให้เจ้าชายสิทธัตถะถึงกับตั้งพระทัยออกผนวชด้วยดำริว่า

 "เมื่อรู้ว่าการเกิดมี (ทุกข์) เป็นโทษแล้ว เราพึงแสวงหา "นิพพาน" อันไม่มีความเกิด อันเป็นธรรมที่เกษมจากเครื่องร้อยรัด ไม่มีธรรมอื่นยิ่งกว่าเถิด" 
— 'สยามรฏฺฐเตปิฏกํ ปาลี. ปาสราสิสุตฺต โอปทฺทมวคฺค มู. ม. ๑๒/๓๑๖/๓๑๖'

นอกจากนี้ ในสคารวสูตร มีพระพุทธพจน์ตรัสสรุป สาเหตุที่ทำให้ทรงตั้งพระทัยออกบรรพชา ไว้สั้น ๆ ว่า

 "ฆราวาสคับแคบ เป็นทางมาแห่งธุลี, ส่วนบรรพชาเป็นโอกาสแสงสว่าง; ผู้อยู่ครองเรือนจะประพฤติพรหมจรรย์ให้บริสุทธิ์บริบูรณ์โดยส่วนเดียว เหมือนสังข์ที่เขาขัดดีแล้ว, โดยง่าย นั้นไม่ได้. ถ้าไฉนเราพึงปลงผมและหนวด ครองผ้าย้อมน้ำฝาดออกจากเรือน บวชเป็นผู้ไม่มีประโยชน์เกี่ยวข้องด้วยเรือน เถิด" 
— 'สยามรฏฺฐเตปิฏกํ ปาลี. สคารวสุตฺต พฺราหฺมณวคฺค ม. มู.๑๓/๖๖๙/๗๓๘'

ด้วยเหตุดังกล่าวทั้งหลายนี้พระองค์จึงได้ทรงตั้งพระทัยเสด็จออกผนวช โดยการเสด็จออกผนวชตามนัยพระไตรปิฎกนั้น มิได้ทรงหนีออกจากพระราชวัง แต่ทรงเสด็จออกผนวชต่อหน้าพระราชบิดาและพระราชมารดาเลยทีเดียว ดังนัยใน โพธิราชกุมารสูตร ราชวรรค ว่า

 "...เรายังหนุ่มเทียว เกสายังดำจัด บริบูรณ์ด้วยเยาว์อันเจริญในปฐมวัย, เมื่อบิดามารดาไม่ปรารถนาด้วย กำลังพากันร้องไห้ น้ำตานองหน้าอยู่ เราได้ปลงผมและหนวด ครองผ้าย้อมฝาด ออกจากเรือน บวชเป็นผู้ไม่มีเรือนแล้ว..." 
— 'สยามรฏฺฐเตปิฏกํ ปาลี. โพธิราชกุมารสุตฺต ราชวคฺค ม. มู. ๑๓/๔๔๓/๔๘๙'


ตรัสรู้

แสวงหาอาจารย์
เมื่อได้ทรงออกผนวชแล้ว ได้ทรงเข้าศึกษาในสำนักลัทธิต่าง ๆ เช่น สำนักอาฬารดาบส รามบุตร[12] และอุทกดาบส รามโคตร ได้บรรลุสมาบัติ 8 สิ้นความรู้เจ้าสำนักทั้งสอง แต่พระองค์ยังไม่ทรงพอพระทัย เพราะสมาบัติทั้ง 8 นั้น ไม่สามารถทำให้พระองค์ตรัสรู้ได้ จึงทรงออกจากสำนักของอาจารย์ทั้งสอง เสด็จไปถึงตำบลอุรุเวลาเสนานิคม เป็นสถานที่รมณียสถาน มีป่าชัฏ แม่น้ำใสสะอาด และมีโคจรคาม (สถานที่บิณฑบาต) อยู่โดยรอบ จึงทรงตั้งพระทัยที่จะบำเพ็ญเพียรอยู่ ณ ที่แห่งนี้


บำเพ็ญทุกกรกิริยา
 
ภาพวาดจิตรกรรมฝาผนัง พระมหาบุรุษทรงบำเพ็ญทุกกรกิริยาไม่เสวยพระกระยาหารจนพระวรกายผอมเหลือถึงกระดูกแรกนั้น พระองค์ได้ทรงบำเพ็ญเพียรทางกาย คือ ทุกกรกิริยา[13] คือการบำเพ็ญเพียรที่นักพรตผู้บำเพ็ญตบะในสมัยนั้นยกย่องว่าเป็นยอดของการบำเพ็ญเพียรทั้งปวง 3 ประการ โดยในระหว่างบำเพ็ญเพียร ปัญจวัคคีย์ทั้ง 5 คือ โกณฑัญญะ วัปปะ ภัททิยะ มหานามะ และอัสสชิ ผู้เป็นพราหมณ์ (โกณฑัญญะ) และบุตรแห่งพราหมณ์ (ปัญจวัคคีย์ที่เหลือ) ที่ได้ร่วมงานทำนายลักษณะมหาบุรุษแห่งเจ้าชายสิทธัตถะ (ในคราว 5 วันหลังจากประสูติ) ว่า ถ้าเจ้าชายสิทธัถะออกผนวช จักได้เป็นศาสดาเอกของโลก เมื่อท่านเหล่านั้นได้ทราบข่าวการออกผนวชของเจ้าชายสิทธัตถะ จึงชักชวนกันออกบวชเพื่อตามหาเจ้าชาย มาพบเจ้าชายสิทธัตถะในขณะกำลังบำเพ็ญทุกกรกิริยา จึงได้คอยเฝ้าอยู่ปฏิบัติ ต่อมาเมื่อพระองค์ได้ทรงบำเพ็ญเพียรถึงขั้นยวดยิ่งแล้ว ยังมิได้ตรัสรู้ ได้ทราบอุปมาแห่งพิณ 3 สาย ว่าการปฏิบัติเช่นนี้เป็นหนทางอันสุดโต่งเกินไป จึงได้ละทุกกรกิริยาเสีย หันกลับมาเสวยอาหาร เหล่าปัญจวัคคีย์ทั้ง 5 จึงคิดว่าพระองค์ทรงคลายความเพียร ไม่มีโอกาสตรัสรู้ได้ จึงได้พาพวกละทิ้งพระองค์ไปอยู่ที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน แขวงเมืองพาราณสี


วันตรัสรู้
เจ้าชายสิทธัตถะ เมื่อกลับมาเสวยพระกระยาหารจนพระวรกายกลับมามีพระกำลังขึ้นเหมือนเดิมแล้ว จึงทรงเปลี่ยนมาเริ่มบำเพ็ญเพียรทางใจต่อไป จนล่วงเข้าเช้าวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน วิสาขมาส หลังบรรพชาได้ 6 ปี นางสุชาดา ธิดานายบ้านอุรุเวลาเสนานิคม ได้นำข้าวมธุปายาสไปถวายพระองค์ขณะประทับอยู่ ณ ต้นไทรใกล้กับบ้านของนาง ด้วยคิดว่าพระองค์เป็นเทวดา เพราะวันนั้นพระองค์มีรัศมีผ่องใส จนเมื่อทรงรับเสวยข้าวมธุปายาสแล้ว จึงได้ทรงนำถาดทองคำไปอธิษฐานลอยในแม่น้ำเนรัญชรา


 ประทับโพธิบัลลังก์
จวบจนเวลาเย็น ได้ทรงรับถวายหญ้าคา (หญ้ากุศะ) 8 กำมือ จากนายโสตถิยะพราหมณ์ ทรงนำไปปูลาดเป็นโพธิบัลลังก์ ณ ใต้ต้นอัสสถะพฤกษ์ (ซึ่งต่อมาหลังจากการตรัสรู้จึงได้ชื่อใหม่ว่า ต้นพระศรีมหาโพธิ์ หรือ ต้นโพธิ์) ต้นหนึ่ง ริมฝั่งน้ำเนรัญชรา ผินพระพักตร์ไปทางทิศตะวันออก หันพระปฤษฏางค์ (หลัง) ไปทางลำต้นพระศรีมหาโพธิ์ ทรงอธิษฐานในพระทัยว่า

 "...หนัง เอ็น กระดูก จักไม่เหลืออยู่ เนื้อและเลือดในสรีระ จักเหือดแห้งไปก็ตามที เมื่อยังไม่ลุถึงประโยชน์อันบุคคลจะลุได้ด้วยกำลังของบุรุษ (การตรัสรู้) ด้วยความเพียรของบุรุษ (มนุษย์) ด้วยความบากบั่นของบุรุษแล้ว จักหยุดความเพียรนั้นเสีย เป็นไม่มีเลย..." 
— 'สยามรฏฺฐเตปิฏกํ ปาลี. ปญิจมสุตฺต กมฺมกรณวคฺค ทุก. อํ ๒๐/๖๔/๒๕๑'



 
ภาพวาดจิตรกรรมฝาผนัง พระพุทธเจ้าทรงผจญพญามาร ในคืนวันตรัสรู้จากนั้น พญามารได้ยกพลเสนามารมาพจญ พระองค์ต้องต่อสู้ด้วยพระบารมี 10 ทัศ จนพญามารได้พ่ายแพ้ไปตอนพระอาทิตย์จะตกแล้ว พระองค์จึงทรงเริ่มเจริญสมถภาวนา ทำจิตใจให้เป็นสมาธิ จยได้บรรลุปฐมฌาน ทุติยฌาน ตติยฌาน และจตุตถฌาน ตามลำดับ แล้วได้ทรงทำให้ฌานอันเป็นองค์แห่งปัญญา 3 ประการ ให้เกิดขึ้นในยามทั้ง 3 คือ

ปฐมยาม ทรงบรรลุ ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ คือ ทรงสามารถระลึกชาติได้
มัชฌิมยาม ทรงบรรลุ จุตูปปาตญาณ คือ รู้การตายการเกิดของสัตว์ทั้งปวง หรืออีกนัยหนึ่งเรียกว่าได้ ทิพยจักษุญาณ คือ ตาทิพย์
ปัจฉิมยาม พระองค์ได้ทรงพิจารณาปฏิจจสมุปบาท คือธรรมที่อาศัยซึ่งกันและกันเกิดขึ้นเป็นเหตุเป็นผลของกันและกันเนื่องเสมือนกับลูกโซ่ จนได้รู้แจ้งซึ่งอริยสัจธรรม 4 ประการ คือ
 
พระพุทธรูปปางมารวิชัย หรือปางชนะมาร (ในรูป) เป็นพระพุทธรูปที่สร้างเพื่อสื่อถึงเหตุการณ์ที่พระพุทธองค์ทรงเอาชนะพญามาร (กิเลส) และบรรลุเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ในวันวิสาขบูชา ทุกข์ ความทุกข์ สถาะที่ทนได้ยาก ความไม่สบายกาย ไม่สบายใจ (ปัญหา)
สมุทัย สาเหตุที่ทำให้เกิดทุกข์ (สาเหตุของปัญหา)
นิโรธ ความดับไปซึ่งต้นเหตุที่ทำให้เกิดทุกข์ (จุดมุ่งหมายในการแก้ปัญหา)
มรรค ทนทางที่จะดับทุกข์ได้ (วิธีการแก้ปัญหา)
 
— 'สยามรฏฺฐเตปิฏกํ ปาลี. มหาวาร. สํ. ๑๙/๕๒๘/๑๖๖๔'

แล้วพระองค์จึงได้ทรงบรรลุซึ่ง อาสวักขยญาณ คือ ความรู้เป็นเหตุสิ้นอาสวกิเลสทั้งปวง เมื่อนั้น จิตของพระองค์ก็หลุดพ้นจากกิเลสและอาสวะทั้งปวง ไม่มีความยึดถือมั่นด้วยอุปาทาน อันเป็นการได้ ตรัสรู้พระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ สำเร็จเป็น พระสัมมาสัมพุทธเจ้า อย่างสมบูรณ์ ในยามที่ 3 แห่งคืนวิสาขมาส ก่อนพุทธศักราช 45 ปี[14]

แต่นั้น พระองค์จึงทรงได้รับการถวายพระนามบัญญัติโดยคุณนิมิตแห่งพระองค์ว่า อรหํ เป็นพระอรหันต์ผู้ห่างไกลจากกิเลสทั้งปวง และ สมฺมาสมฺพุทฺโธ[15] เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ได้ตรัสรู้ชอบได้โดยลำพังพระองค์เอง หามีผู้ใดเป็นครูอาจารย์ไม่

และต่อมา พระองค์ได้ทรงนำสิ่งที่พระองค์ทรงรู้แจ้งในวันตรัสรู้นี้ มาเผยแก่หมู่ชนทั้งหลาย พระองค์จึงทรงได้รับขนานพระนามว่า สมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า สืบมา


วันคล้ายวันปรินิพพาน
เป็นเวลากว่า 45 ปี ที่พระพุทธองค์ได้ทรงปฏิบัติดำรงตนในฐานะพระบรมศาสดา เผยแผ่พระธรรมวินัย คือพระพุทธศาสนาแก่พหูชนชาวชมพูทวีป ทำให้พระศาสนาตั้งหลักฐานอย่างมั่นคง ณ ชมพูทวีปกว่าพันปี และพระพุทธศาสนาได้ขยายออกไปทั่วแผ่นดินเอเชีย นับแต่นั้นมา


 ทรงปลงพระชนมายุสังขาร
 
ปาวาลเจดีย์ เมืองเวสาลี สถานที่ ๆ พระพุทธองค์ทรงทำการปลงพระชนมายุสังขารในวันเพ็ญเดือนสามแห่งพรรษาสุดท้ายของพระชนมชีพจวบจนพระพุทธองค์ทรงมีพระชนมายุ 80 พรรษา (ทรงมีพระวรกายชราภาพเหมือนคนทั่วไป) [16] ได้ทรงตรัสว่า ศาสนาของพระองค์ได้ทรงตั้งมั่นแล้ว ได้ทรงทำหน้าที่แห่งพระพุทธเจ้าบริบูรณ์แล้ว[17] ในเวลาสามเดือนก่อนจะเสด็จดับขันธปรินิพพาน ขณะพระองค์ประทับอยู่ ณ ปาวาลเจดีย์ กูฏาคารศาลา ป่ามหาวัน เมืองเวสาลี ได้ทรงตรัสอภิญญาเทสิตธรรมแก่ภิกษุทั้งหลาย แล้วพระองค์ทรงทำการปลงพระชนมายุสังขารว่า

 "...ภิกษุทั้งหลาย! บัดนี้ เราจักเตือนท่านทั้งหลาย: สังขารทั้งหลาย มีความเสื่อมไปเป็นธรรมดา..., ตถาคตจักปรินิพพาน โดยกาลล่วงไปแห่งสามเดือนจากนี้..." 
— 'สยามรฏฺฐเตปิฏกํ ปาลี. มหาปรินิพฺพานสุตฺต มหา. ที. ๑๐/๑๔๒/๑๐๙'


เสด็จไปเมืองกุสินารา
จากนั้น พระองค์ได้เสด็จไปบ้านภัณฑคาม[18] บ้านหัตถิคาม[19] จนเสด็จถึงเมืองปาวาโดยลำดับ ที่นี้ พระองค์ได้ประทับที่สวนมะม่วงของนายจุนทะ กัมมารบุตร ได้ทรงแสดงธรรมแก่นายจุนทะ และเสด็จไปรับบิณฑบาตในวันรุ่งขึ้น ได้ทรงอนุญาตรับบิณฑบาตเสวยสูกรมัททวะที่นายจุนทะจัดไว้ (ต่อจากนี้พระองค์ได้ทรงประชวรด้วยโรคปักขันธิกาพาธอย่างกล้า จวบจนสิ้นพระชนมายุ) [20] จากนั้นได้เสด็จไปสู่เมืองกุสินารา[21] ในกลางทาง ได้ทรงพักที่ร่มไม้แห่งหนึ่ง รับสั่งให้พระอานนท์ปูลาดสังฆาฏิ เพื่อเสวยน้ำดื่ม และได้ทรงสนทนากับปุกกุสสะ มัลละบุตร จนเกิดศรัทธาถวายผ้าเนื้อดีสองผืน ทรงรับสั่งให้นำมาห่มคลุมพระองค์ผืนหนึ่ง อีกผืนหนึ่งรับสั่งให้ถวายแก่พระอานนท์ เมื่อปุกกุสสะถวายผ้านั้นแล้วหลีกไป พระอานนท์ได้น้อมถวายผ้าของตนแก่พระพุทธเจ้า ได้เห็นพระวรกายของพระองค์ว่ามีพระฉวีผ่องใสยิ่ง จึงได้ทูลถาม พระองค์ได้ตรัสตอบว่า

 "...อานนท์! เป็นอย่างนั้น, กายของตถาคต ย่อมมีฉวีผุดผ่องในกาลสองครั้งคือ ในราตรีที่ตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ, และราตรี ที่ตถาคตปรินิพพานด้วยอนุปาทิเสสนิพพานธาตุ. อานนท์! การปรินิพพานของตถาคตจักมีในระหว่างต้นสาละคู่ ในสวนสาละอันเป็นที่พัก ของพวกมัลลกษัตริย์ ใกล้เมืองกุสินารา ในตอนปัจฉิมยามคืนนี้..." 
— 'สยามรฏฺฐเตปิฏกํ ปาลี. มหาปรินิพฺพานสุตฺต มหา. ที. ๑๐/๑๔๙/๑๑๗'


ประทับสีหไสยาสน์
 
ภาพวาดจิตรกรรมฝาผนัง พระพุทธองค์เสด็จดับขันธปรินิพพานเมื่อเสด็จถึงพระราชอุทยานของมัลลกษัตริย์ ได้ทรงให้พระอานนท์จัดที่บรรทมระหว่างต้นสาละคู่ เมื่อขณะได้ทรงประทับสีหเสยยาสน์ หันศีรษะไปทางทิศเหนือแล้ว เกิดอัศจรรย์คือ ดอกาละผลิดอกผิดฤดูกาลโปรยลงบนพระสรีระ ดอกมณฑารพ จุรณ์ไม้จันทร์ และดนตรีทิพย์ ได้ตกลงและบรรเลงขึ้น เพื่อบูชาแก่พระพุทธเจ้า เทวดาทั่วโลกธาตุได้มาประชุมกันเพื่อเห็นพระพุทธเจ้า บางองค์คร่ำครวญเสียใจด้วยอาการต่าง ๆ[22]


 ประทานพรจากปัจฉิมโอวาท
นั้นพระองค์ทรงอนุญาตให้พวกมัลละกษัตริย์เข้าเฝ้าและได้ตรัสแก้ปัญหาของสุภัททะปริพาชก จนเกิดศรัทธา ขอบรรพชาด้วยเอหิภิกขุอุปสัมปทา เป็นพระสาวกองค์สุดท้ายในบรรดาสาวกที่ทันเห็นพระพุทธองค์ แล้วได้ทรงตรัสให้พระธรรมคำสั่งสอนของพระองค์เป็นผู้สืบศาสดาไว้ว่า

 "...อานนท์! ธรรมก็ดี วินัยก็ดี ที่เราแสดงแล้ว บัญญัติแล้วแก่พวกเธอทั้งหลาย ธรรมวินัยนั้น จักเป็นองค์ศาสดาของพวกเธอทั้งหลาย เมื่อเราล่วงลับไปแล้ว..." 
— 'สยามรฏฺฐเตปิฏกํ ปาลี. มหาปรินิพฺพานสุตฺต มหา. ที. ๑๐/๑๔๙/๑๑๗'

จากนั้นได้ทรงตรัสพระโอวาทที่สำคัญ ๆ อีก 4-5 เรื่อง จนในที่สุด ได้ทรงตรัสพระปัจฉิมโอวาท ตรัสเตือนเป็นครั้งสุดท้ายไว้ว่า

 "...หนฺททานิ ภิกฺขเว อามนฺตยามิ โว วยธมฺมา สงฺขารา อปฺปมาเทน สมฺปาเทถ..."
แปลว่า: ภิกษุทั้งหลาย! บัดนี้ เราจักเตือนพวกเธอทั้งหลายว่า "สังขารทั้งหลายมีความเสื่อมไปเป็นธรรมดา. พวกเธอทั้งหลาย จงยังประโยชน์ตนและท่าน ให้ถึงพร้อมด้วยความไม่ประมาทเถิด
 
— 'สยามรฏฺฐเตปิฏกํ ปาลี. มหาปรินิพฺพานสุตฺต มหา. ที. ๑๐/๑๔๙/๑๑๗'

นี่เป็นวาจาครั้งสุดท้ายของพระพุทธองค์


ปรินิพพาน
จากนั้น พระองค์ทรงนิ่งเงียบ เข้าปฐมฌาน ทุติยฌาน ตติยฌาน จตุตถฌาน อากาสานัญจายตนฌาน วิญญาณัญจายตนฌาน อากิญจัญญายตนฌาน เนวสัญญานาสัญญายตนฌาน สัญญาเวทยิตนิโรธ แล้วย้อนลงมาตามลำดับ ถึงปฐมฌาน แล้วย้อนขึ้นอีกโดยลำดับจนถึงจตุตถฌาน เมื่อออกจากจตุตถฌานนั้นจึง เสด็จดับขันธปรินิพพาน

พระพุทธองค์ได้ทรงตรัสถึงความดับสมุทัย อันเป็นเหตุแห่งความดับทุกข์ (เสด็จดับขันธปรินิพพาน) ไว้เมื่อคราวทรงพระชนม์อยู่ว่า

 "...ต้นไม้ เมื่อโคนต้นยังอยู่ ไม่มีอุปัทวะ แม้ถูกตัด (ส่วนบน) แล้วก็งอกได้อีกอยู่นั่น ฉันใดก็ดี แม้ทุกข์นี้ก็ฉันนั้น เมื่อตัณหานุสัยยังมิได้ถูกถอนทิ้งแล้ว ก็ได้เกิดร่ำไป..." 
— 'สยามรฏฺฐเตปิฏกํ ปาลี. ขุ. ธ. ๒๕/๓๓๘/๑๓๘'

กล่าวคือ พระพุทธองค์ทรงเสด็จดับขันธปรินิพพาน เพราะความดับไปแห่งสมุทัย คือได้ทรงถอนเสียสิ้นซึ่งต้นและรากกิเลสตัณหาอันเป็นสาเหตุแห่งทุกข์ทั้งปวงนี้แล้วเมื่อในวันตรัสรู้[23] การเสด็๋จดับขันธปรินิพพานนี้ จึงเป็นการตายครั้งสุดท้ายของพระพุทธองค์ โดย สอุปาทิเสสนิพพาน (สิ้นตัณหาเมื่อคราวตรัสรู้ และสิ้นขันธ์ 5 เมื่อคราวปรินิพพาน)

เมื่อนั้น ได้เกิดแผ่นดินไหวใหญ่ โลมชาติลุกขึ้นชูชัน กลองทิพย์บรรลือลั่นไปในอากาศ ไว้อาลัยแด่การจากไปของพระพุทธองค์ ผู้ทรงเป็นบรมครูของโลก กายของพระองค์สิ้นเชื้อคือตัณหาที่จะนำไปเกิดในภพใหม่ ครั้นกายแตกดับแล้ว ถึงความเป็นของว่าง ไม่มีอะไรเหลือสำหรับส่วนผสมของกายในภพต่อไป[24] พระพุทธองค์ได้ทรงจากไป ณ ยามสุดท้ายแห่งราตรี วันอังคารขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 ก่อนพุทธศก (ตามการนับของไทย) 1 ปี


แหล่งที่มาของบทความ https://hilight.kapook.com/view/23220  THANK!!

บันทึกการเข้า
หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป: