ขึ้นคานเป็นเพราะกรรมอะไร? เรามีคำตอบให้ครับ
หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: ขึ้นคานเป็นเพราะกรรมอะไร? เรามีคำตอบให้ครับ  (อ่าน 1707 ครั้ง)
Nattawut-LSV Team
E23IUY
.กลุ่มผู้มีน้ำใจงาม.
member
*

คะแนน808
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3581


อีเมล์
« เมื่อ: ธันวาคม 13, 2008, 09:04:39 AM »

 ฉงน ขึ้นคานเป็นเพราะกรรมอะไร?   ฉงน
คำถาม : อาจารย์ค่ะ คนไม่มีแฟน อยู่จนขึ้นคานก็ถือเป็นกรรมด้วยหรือค่ะ? อาจารย์มีคำแนะนำสำ หรับผู้หญิงที่อยู่เป็นโสดตลอดชีวิตอย่างไรค่ะ? (กาญจนา/ กทม)
คำตอบ: มีคำกล่าวว่า ‘อยู่คนเดียว เปลี่ยวกาย แสนสบายแต่ไม่สนุก อยู่สองครองสุข แสนสนุกแต่ไม่สบาย’ หมายความว่ามีคู่หรืออยู่คนเดียวสนุกกันคนละแบบ ว่ากันว่าการแต่งงานนั้น

คนในอยากออกคนนอกอยากเข้า ผู้หญิงบางคนบ่นว่า‘แต่งไปแล้วอยู่อย่างทาสของสามี รับใช้สามีทุกอย่าง’ ฝ่ายสามีก็มีบ่นให้ผมฟังว่า ‘แต่งไปแล้วจะรู้ว่านรกมีจริง’ ก็ต้องขึ้นกับว่าแต่งกับใคร คนที่เรารักชอบพอนั้นเป็นอย่างไร

ถ้าได้คู่ดี มีศีลธรรมใกล้กัน คิดคล้ายกัน มีอุดมการณ์ อยู่กันจนแก่เฒ่าเป็นชีวิตที่มีความสุขมากในวงฆราวาสวิสัย แต่ที่เห็นๆ อยู่ขณะนี้สถิติหย่าร้างกันมีเพิ่มมากขึ้น ไม่แน่ว่าการได้แต่งงานจะเป็นความสุขหรือทุกข์ เพราะทุกวันนี้ มักจะสุขตอนต้นแล้วลงเอยเป็นโศกนาฎกรรม คือหย่าร้างกันซึ่งมีมากขึ้นทุกวัน

ในความเป็นจริง คนเราเกิดมาตัวคนเดียว ยามไปก็จะไปตัวคนเดียว พ่อแม่พี่น้องที่คลานตามกันมาก็มาตามกรรม สามี และภรรยาก็มาตามกรรม กล่าวคือพบกัน และอยู่ด้วยกันชั่วคราวเท่านั้น ถึงยามจากก็จะจากไปตามกรรมของแต่ละคนเมื่อถึงเวลา และกรรมเท่านั้นที่จะบงการชีวิตเขาต่อไป ว่าจะไปเกิดในภพภูมิที่ดีหรือเลว

กรรมเท่านั้นที่จะกำหนดว่าต่อไปเขาจะได้เจอใคร อยู่กับใครอีก พระพุทธเจ้ายังเคยตรัสทำนองว่าสัตว์โลกล้วนแต่เคยเกิดเป็นพ่อ,เป็นแม่, เป็นพี่, เป็นน้อง, เป็นภรรยาสามีกันทั้งนั้น คู่แต่งงานที่ประเสริฐตามหลักคำสอนของพระพุทธเจ้าก็คือ ต้องส่งเสริมหรือให้สติกันในการปฏิบัติธรรมยิ่ง ๆ ขึ้น รักกันชอบกันก็ต้องตักเตือนกัน คอยเป็น ‘เบรก’ ให้กัน และกัน เพราะจิตมนุษย์เต็มไปด้วยความอยากที่ไม่จำกัดปริมาณ ถ้าไม่มีเบรก ไม่มีวินัยก็จะมัวเมาได้ทุกเมื่อ


ถ้าการครองชีวิตคู่ไม่ได้ทำให้ภรรยาหรือสามีมีคุณธรรมดีขึ้น กลับต้องเลวร้ายลง กล่าวคือต้องไปอยู่ในสถานการณ์หวานอมขมกลืน ทะเลาะกันประจำ การมีคู่แบบนี้สู้อยู่คนเดียวไม่ได้หรอกครับ เมืองไทยมีพระสงฆ์กว่าสามแสนรูป หลายท่านไม่ยอมสึก ท่านก็คิดอย่างนี้แหละครับ คือชอบชีวิตอยู่คนเดียว จะได้พัฒนากุศลธรรมได้สะดวกขึ้น

แต่ถ้ามีสามีหรือภรรยาแล้ว ชีวิตที่เคยห่างเหินธรรม มาเข้าใจธรรมมากขึ้น คู่สมรสนำพาให้เข้าถึงธรรม มีธรรมที่ตัวเองรู้ถ่ายทอดไปยังลูกหลานที่เกิดมาให้มีคุณธรรมตาม การแต่งงานแบบนี้ประเสริฐ เพราะจะทำให้คู่สมรส มีชีวิตสุขในบั้นปลายคือมีชีวิตที่สงบ พ่อแม่หลายคนคงรู้สึกเหนื่อยที่จะต้องเสียเวลาไปกับการอบรมลูกให้เป็นคนดี แต่ถ้าลูกดีตามตั้งใจ ความดีนั้นจะส่งผลให้พ่อแม่นั้นมีชีวิตที่สงบและความสุขในบั้นปลาย เพราะลูก ๆ ก็จะพากันกตัญญูมารับใช้ดูแลพ่อแม่ไม่ได้ขาด

จะบอกว่า ‘ขึ้นคาน’ เป็นผลกรรมเก่าหรือปล่าว ? คำตอบก็คือใช่ แต่จะเป็นผลกรรมดี หรือชั่วก็ขึ้นกับสถานการณ์แต่ละคนอีกที ถ้าผู้หญิงคนนั้น จิตใจไม่ออกห่างโลกียสุข ปรารถนาโลกียสุขตลอดแต่ไม่มีคู่ให้มีสุขได้ นี้ชื่อว่าเป็นผลกรรมชั่วในอดีตเพราะไม่ได้ดั่งหวัง พระไตรปิฎก อธิบายเหตุผลที่ทำให้ผู้หญิงลำบากอยู่หลายกรณี เช่น สังยุตตนิกาย (18/471/299) พระพุทธเจ้าตรัสว่า มาตุคาม (หญิงสาว) จะตายไปแล้วตกนรก ครั้นตกนรกแล้ว มาเกิดเป็นมนุษย์ เศษวิบากจะทำให้ลำบาก หวังสิ่งใดก็ไม่ได้ดั่งใจปรารถนา เพราะมีพฤติกรรม 5 อย่าง


1.อสัทโธ ไม่มีศรัทธาในพระรัตนตรัย ไม่เชื่อกฎแห่งกรรม
2.อหิริโก ไม่มียางอายสมแก่ที่เป็นสตรี
3.อโนตตัปปี ไม่กลัวผลบาปที่ทำ กล้าท้าทายกรรมชั่ว ไม่กลัวบาป
4.อุปนาหี มักผูกโกรธหรืออาฆาตพยาบาท ไม่เจริญเมตตาพรหมวิหาร
5.ทุปปัญโญ ไม่ศึกษาว่าสิ่งไรดี-ชั่ว สิ่งไรบุญ-บาป จนแยกไม่ออกว่าอะไรดี อะไรชั่ว


ผู้หญิงที่ไร้ยางอาย ชอบถ่ายรูปเปลื้องผ้า แก้ผ้าถ่ายรูป อ้างว่าเป็นศิลปะเพราะถูกอิทธิพลตะวันตกล้างสมองก็เข้าข่ายไม่มีหิริและโอตตัปปะ ชาตินี้ดูเขาจะเป็นสุข แต่ถ้าชาติหน้าจะเป็นอย่างไร เป็นอีกเรื่องหนึ่ง

แต่ถ้าผู้หญิงคนนั้น มีจิตใจออกห่างจากโลกียสุข โน้มเอียงไปทางธรรมะมาก การที่เธอไม่มีคู่ก็อาจเพราะเธอหาคนมีคุณธรรมใกล้เคียงไม่ได้ ถ้าแต่งงานไป จะทำให้ธรรมะที่เธออบรมมาแย่ลงกว่าเดิม ดังนั้น เธอจึงยินดีประพฤติธรรมยิ่งขึ้น ผู้หญิงประเภทนี้ อาจบวชเป็นชี อาจรักษาศีล ๘ อาจฟังเทศน์ฟังธรรมประจำ ถ้าใครมีอุปนิสัยโน้มเอียงไปทางอย่างนี้แสดงว่ากุศลธรรมชักพาให้เธอหลีกห่างชีวิตคู่ ซึ่งควรต้องดีใจจึงจะถูก เพราะชีวิตจะได้อบรมจิตยิ่ง ๆ ขึ้น
http://www.bodhinanda.com/webboard.php?id=5&wpid=0030


บันทึกการเข้า

หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป: