พระไตรปิฎก
kusol-LSV team:
พระไตรปิฎก:พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรคยักขสังยุตต์ เล่มที่ ๗
ยักขสังยุตอินทกสูตรที่ ๑
สมัยหนึ่ง พระพุทธองค์ประทับอยู่บนภูเขาอินทกูฏ ซึ่งอินทกยักษ์ ครอบครอง เขต
กรุงราชคฤห์ ฯ
ครั้งนั้น อินทกยักษ์เข้าไปเฝ้าพระพุทธเจ้าถึงที่ประทับได้
กราบทูลด้วยคาถาว่า
ท่านผู้รู้ทั้งหลายกล่าวว่า รูปหาใช่ชีพไม่ สัตว์นี้จะประสพ
ร่างกายนี้ได้อย่างไรหนอ กระดูกและก้อนเนื้อ จะมาแต่ไหน สัตว์นี้จะ
ติดอยู่ในครรภ์ได้อย่างไร
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า
รูปนี้เป็นกลละก่อนจากกลละเป็นอัพพุทะ จากอัพพุทะเกิดเป็นเปสิ จากเปสิเกิดเป็นฆนะจากฆนะเกิดเป็น ๕ ปุ่ม (ปัญจสาขา) ต่อจากนั้น มีผมขนและเล็บ (เป็นต้น) เกิดขึ้น มารดาของสัตว์ในครรภ์บริโภคข้าวน้ำโภชนาหารอย่างใด สัตว์ผู้อยู่ในครรภ์
มารดา ก็ยังอัตภาพให้เป็นไปด้วยอาหารอย่างนั้นในครรภ์นั้น ฯ
สักกสูตรที่ ๒
สมัยหนึ่ง พระพุทธเจ้าประทับอยู่บนภูเขาคิชฌกูฏ เขตกรุงราชคฤห์ ฯ
ครั้งนั้น ยักษ์มีชื่อว่าสักกะเข้าไปเฝ้าพระองค์ถึงที่ประทับ แล้ว
ได้กราบทูลด้วยคาถาว่า
การสั่งสอนคนอื่นนั้น ไม่เหมาะแก่สมณะเช่นท่าน ผู้ละกิเลสได้
ทั้งหมด ผู้พ้นจากไตรภพ
พระพุทธเจ้าตรัสว่า
ดูกรสักกะ ธรรมเครื่องอยู่ร่วมกัน ย่อมเกิดด้วยเหตุอย่างใดอย่างหนึ่ง คนมีปัญญาไม่ควรที่จะไหวตามเหตุนั้นด้วยใจ
ถ้าคนมีใจผ่องใสแล้วสั่งสอนคนอื่นบุคคลนั้นย่อมไม่เป็นผู้พัวพันด้วย
เหตุนั้น นอกจากจะอนุเคราะห์เอ็นดูฯ
สูจิโลมสูตรที่ ๓
สมัยหนึ่ง พระพุทธเจ้าประทับบนเตียงชนิดมีเท้าตรึงติดกับแม่แคร่ อัน
kusol-LSV team:
เป็นที่ครอบครองของสูจิโลมยักษ์ เขตบ้านคยา ฯ
สมัยนั้นยักษ์ชื่อขระและยักษ์ชื่อสูจิโลมะเดินผ่านเข้าไปไม่ไกลพระองค์
ครั้งนั้น ยักษ์ชื่อขระได้พูดกับสูจิโลมยักษ์ว่า
นั่นสมณะ ฯ
นั่นไม่ใช่สมณะ เป็นสมณะน้อย แต่จะเป็นสมณะหรือสมณะน้อยเราพอจะรู้ได้ ฯ
ครั้งนั้น สูจิโลมยักษ์ได้เข้าไปใกล้พระพุทธเจ้ายังที่ประทับ แล้ว
ได้เข้าไปเหนี่ยวพระกายของพระองค์ ฯ
พระพุทธเจ้าทรงกระเถิบถอยพระกายไปเล็กน้อย ฯ
ครั้งนั้น สูจิโลมยักษ์ได้ถามพระองค์ว่า ท่านกลัวเราไหมสมณะ ฯ
พระพุทธเจ้าตรัสตอบไปว่า
เราไม่กลัวท่านเลย แต่สัมผัสของท่านเลวทราม ฯ
สูจิโลมยักษ์ทูลว่า
สมณะ เราจักถามปัญหากะท่าน ถ้าท่านไม่กล่าวแก้แก่เรา เราจักทำจิตของท่านให้
พลุ่งพล่าน หรือจักฉีกหัวใจของท่าน หรือจักจับที่เท้าแล้วเหวี่ยงไปฝั่งโน้นแห่งแม่น้ำคงคา ฯ
พระพุทธเจ้าตรัสว่า
เราไม่เห็นใครเลยในโลก ทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลก ในหมู่สัตว์พร้อม
ทั้งสมณะ พราหมณ์ เทวดาและมนุษย์ ที่จะพึงทำจิตของเราให้พลุ่งพล่าน หรือฉีกหัวใจเรา
หรือจับเราที่เท้าแล้วเหวี่ยงไปฝั่งโน้นแห่งแม่น้ำคงคาได้ เอาเถอะ ท่านจงถามตามที่ท่านจำนงเถิด ฯ
สูจิโลมยักษ์ จึงถามว่า
ราคะและโทสะ มีอะไรเป็นเหตุความไม่ยินดี ความยินดี และความสยดสยอง เกิดแต่อะไรความตรึกในใจเกิดแต่อะไรแล้วดักจิตไว้ได้
เหมือนพวกเด็กดักกา ฉะนั้น ฯ
พระพุทธเจ้าตรัสตอบว่า
ราคะและโทสะมีอัตภาพนี้เป็นเหตุ ความไม่ยินดี ความยินดี และความ
สยดสยองเกิดแต่อัตภาพนี้ ความตรึกในใจเกิดแต่อัตภาพนี้แล้ว ดักจิต
ไว้ได้เหมือนพวกเด็กดักกา ฉะนั้น ฯ
อกุศลวิตกเป็นอันมาก เกิดแต่ความเยื่อใยคือตัณหา เกิดขึ้นในตน
kusol-LSV team:
แล้วแผ่ซ่านไปในวัตถุกามทั้งหลาย เหมือนย่านไทร เกิดแต่ลำต้นไทรแล้วแผ่ซ่านไปในป่า ฉะนั้น ฯ
ชนเหล่าใดย่อมรู้ อัตภาพนั้นว่าเกิดแต่สิ่งใด ชนเหล่านั้นย่อมบรรเทา
เหตุเกิดนั้นเสียได้ ดูกรยักษ์ ท่านจงฟัง ชนเหล่านั้นย่อมข้ามห้วง
กิเลสนี้ ซึ่งข้ามได้ยาก และไม่เคยข้ามเพื่อความไม่มีภพอีกต่อไป ฯ
มณิภัททสูตรที่ ๔
สมัยหนึ่ง พระพุทธเจ้าประทับอยู่ที่เจดีย์ชื่อมณิมาฬกะ อันเป็นที่ครอบครอง
ของยักษ์ชื่อมณีภัท ในแคว้นมคธ ฯ
ครั้งนั้น ยักษ์ชื่อมณิภัททะเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ครั้นแล้ว
ได้กล่าวคาถานี้ว่า
ความเจริญย่อมมีแก่คนมีสติทุกเมื่อ คนมีสติย่อมได้ความสุข ความดี
ย่อมมีแก่คนมีสติเป็นนิตย์ และคนมีสติย่อมหลุดพ้นจากเวร ฯ
พระพุทธเจ้าตรัสว่า
ความเจริญย่อมมีแก่คนมีสติทุกเมื่อ คนมีสติย่อมได้ความสุข ความดี
ย่อมมีแก่คนมีสติเป็นนิตย์ แต่คนมีสติยังไม่หลุดพ้นจากเวร ฯ
แต่ผู้ใดมีใจยินดีในความไม่เบียดเบียนตลอดวันและคืนทั้งหมด และ
เป็นผู้มีส่วนแห่งเมตตาในสรรพสัตว์ ผู้นั้นย่อมไม่มีเวรกับใครๆ ฯ
สานุสูตรที่ ๕
สมัยหนึ่ง พระพุทธเจ้าประทับอยู่ในพระวิหารเชตวัน อารามของท่าน
อนาถบิณฑิกเศรษฐี เขตเมืองสาวัตถี ฯ
สมัยนั้น บุตรของอุบาสิกาคนหนึ่งชื่อสานุ ถูกยักษ์เข้าสิง ฯ
ครั้งนั้น อุบาสิกานั้นได้คร่ำครวญกล่าวคาถาเหล่านี้ในเวลานั้นว่า
ฉันได้สดับต่อพระอรหันต์ทั้งหลายว่า ชนเหล่าใดเข้าอยู่อุโบสถอัน
ประกอบด้วยองค์ ๘ ประการด้วยดี ตลอดดิถีที่ ๑๔ ที่ ๑๕ และที่ ๘
แห่งปักษ์ ทั้งตลอดปาริหาริกปักษ์ ประพฤติพรหมจรรย์อยู่ ยักษ์
ทั้งหลายย่อมไม่เล่นกับชนเหล่านั้นบัดนี้ ฉันเห็นในวันนี้ ยักษ์เล่น
กับสามเณรสานุ ฯ
ยักษ์กล่าวว่า
kusol-LSV team:
ท่านได้สดับต่อพระอรหันต์ทั้งหลายว่า ชนเหล่าใดเข้าอยู่อุโบสถอัน
ประกอบด้วยองค์ ๘ ประการ ตลอดดิถีที่ ๑๔ ที่ ๑๕ และที่ ๘ แห่ง
ปักษ์ ทั้งตลอดปาริหาริกปักษ์ ประพฤติพรหมจรรย์อยู่ ยักษ์ทั้งหลาย
ย่อมไม่เล่นกับชนเหล่านั้น เป็นการชอบ ท่านพึงบอกสานุผู้ฟื้นขึ้นแล้ว
ว่า ยักษ์สั่งคำนี้ไว้ว่าท่านอย่าได้กระทำกรรมอันลามกทั้งในที่แจ้งและ
ที่ลับ ถ้าท่านจักกระทำหรือกำลังกระทำกรรมอันลามกไซร้ ถึงท่านจะ
เหาะหนีไปก็ไม่พ้นจากทุกข์ ฯ
สามเณรสานุฟื้นขึ้นแล้วกล่าวว่า
โยม ญาติ และมิตรทั้งหลายย่อมร้องไห้ถึงคนที่ตายแล้ว หรือยังเป็นอยู่
แต่หายไป โยมยังเห็นฉันเป็นอยู่ ไฉนเหตุไรโยมจึงร้องไห้ถึงฉัน ฯ
อุบาสิกากล่าวว่า
ลูกเอ๋ย ญาติและมิตรทั้งหลายย่อมร้องไห้ถึงคนที่ตายแล้วหรือยังเป็นอยู่
แต่หายไป แต่คนใดละกามทั้งหลายแล้วจะกลับมาในกามนี้อีก ลูกรัก
ญาติและมิตรทั้งหลายย่อมร้องไห้ถึงคนนั้น เพราะเขาเป็นอยู่ต่อไปอีกก็เหมือนตายแล้ว แน่พ่อเรายกท่านขึ้นจากเถ้ารึงที่ยังร้อนระอุแล้ว
ท่านอยากจะตกลงไปสู่เถ้ารึงอีก แน่พ่อ เรายกท่านขึ้นจากเหวแล้ว
ท่านอยากจะตกลงไปสู่เหวอีก เราจะโพนทะนาแก่ใครเล่าว่า ขอท่านจง
ช่วยกัน ขอความเจริญจงมีแก่ท่าน ประดุจสิ่งของที่ขนออกแล้วจาก
เรือนที่ไฟไหม้ แต่ท่านอยากจะเผามันเสียอีก ฯ
ปิยังกรสูตรที่ ๖
สมัยหนึ่ง ท่านพระอนุรุทธอยู่ในพระวิหารเชตวัน อารามของท่านอนาถบิณฑิก
เศรษฐี เขตกรุงสาวัตถี ฯ
สมัยนั้น ท่านพระอนุรุทธลุกขึ้นในเวลาใกล้รุ่งแห่งราตรี กล่าวบทแห่งพระธรรมอยู่ ฯ
ครั้งนั้น นางยักษิณีผู้เป็นมารดาของปิยังกระปลอบบุตรน้อยอย่างนี้ว่า
ปิยังกระ อย่าอึกทึกไป ภิกษุกำลังกล่าวบทพระธรรมอยู่ อนึ่ง เรารู้แจ้ง
บทพระธรรมแล้วปฏิบัติ ข้อนั้นจะพึงมีเพื่อประโยชน์เกื้อกูลแก่เรา ฯ
เราสำรวมในเหล่าสัตว์มีปราณ เราไม่กล่าวเท็จทั้งที่รู้อยู่ เราศึกษา
ทำตนให้เป็นผู้มีศีลดีนั่นแหละ เราจะพ้นจากกำเนิดปีศาจ ฯ
kusol-LSV team:
ปุนัพสุสูตรที่ ๗
สมัยหนึ่ง พระพุทธเจ้าประทับอยู่ในพระวิหารเชตวัน อารามของท่าน
อนาถบิณฑิกเศรษฐี เขตกรุงสาวัตถี ฯ
สมัยนั้น พระองค์ทรงยังภิกษุทั้งหลายให้เห็นแจ้ง ให้สมาทาน ให้อาจหาญ
ให้รื่นเริงอยู่ด้วยธรรมีกถาอันปฏิสังยุตด้วยพระนิพพาน ฯ
ภิกษุเหล่านั้นตั้งใจมนสิการ ประมวลไว้ด้วยใจทั้งหมด เงี่ยโสตลงสดับพระธรรม ฯ
ครั้งนั้น นางยักษิณีผู้เป็นมารดาของปุนัพสุปลอบบุตรน้อยอย่างนี้ว่า
นิ่งเสียเถิดลูกอุตรา นิ่งเสียเถิดลูกปุนัพสุ จนกว่าแม่จะฟังธรรมของพระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐ ผู้เป็นพระศาสดาจบ พระผู้มีพระภาคตรัสนิพพานอันเป็นเครื่องเปลื้องตนเสีย จากกิเลสเครื่องร้อยกรองทั้งปวง เวลาที่ปรารถนาในธรรมนั้นจะล่วงเลยแม่ไปเสีย ลูกของตนเป็นที่รักในโลกผัวของตนเป็นที่รักในโลก แต่ความปรารถนาในธรรมนั้น เป็นที่รักของ
แม่ยิ่งกว่าลูกและผัวนั้น เพราะลูกหรือผัวที่รัก พึงปลดเปลื้องจากทุกข์ไม่ได้ เหมือนการฟังธรรมย่อมปลดเปลื้องเหล่าสัตว์จากทุกข์ได้ ในเมื่อโลกอันทุกข์วงล้อมแล้วประกอบด้วยชราและมรณะ แม่ปรารถนาจะฟังธรรม ที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ด้วยพระปัญญาอันยิ่ง เพื่อพ้นจากชราและมรณะจงนิ่งเสียเถิดลูกปุนัพสุ ฯ
ปุนัพสุพูดว่า
แม่จ๋า ฉันจักไม่พูด อุตราน้องสาวของฉันก็จักเป็นผู้นิ่งเชิญแม่ฟังธรรมอย่างเดียวการฟังพระสัทธรรมนำความสุขมาให้ แม่จ๋า เราไม่รู้พระสัทธรรมจึงได้เที่ยวไปลำบาพระพุทธเจ้าพระองค์นี้ เป็นผู้ทำความสว่างไสวแก่เทวดาและมนุษย์ผู้ลุ่มหลง มีพระสรีระครั้งสุดท้าย มีพระจักษุ แสดงธรรมอยู่ ฯ
ยักษิณีพูดว่า
น่าชื่นชมนัก ลูกผู้นอนบนอกของแม่เป็นคนฉลาด ลูกของแม่ย่อมรักใคร่พระธรรมอันบริสุทธิ์ของพระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐ ปุนัพสุเจ้าจงมีความสุขเถิด วันนี้แม่เป็นผู้ย่างขึ้นไปในพระศาสนา แม่และเจ้าเห็นอริยสัจแล้ว แม้แม่อุตราก็จงฟังแม่ ฯ
สุทัตตสูตรที่ ๘
สมัยหนึ่ง พระพุทธเจ้าภาคประทับในสีตวัน เขตกรุงราชคฤห์ ฯ
สมัยนั้น อนาถบิณฑิกคฤหบดีไปถึงกรุงราชคฤห์ด้วยกรณียกิจบางอย่าง ฯท่านคฤหบดีได้สดับว่า เขาลือกันว่าพระพุทธเจ้าเสด็จอุบัติแล้วในโลก
นำร่อง
[0] ดัชนีข้อความ
[#] หน้าถัดไป