ผู้ชนะย่อมเขียนประวัติศาสตร์เสมอ !
LSVคลังสมองออนไลน์ "ปีที่21"
มีนาคม 29, 2024, 01:57:49 PM *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
   หน้าแรก   ช่วยเหลือ เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก  
หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: ผู้ชนะย่อมเขียนประวัติศาสตร์เสมอ !  (อ่าน 1607 ครั้ง)
eskimo_bkk-LSV team♥
.กลุ่มผู้มีน้ำใจงาม..
member
*

คะแนน1882
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 13199


ไม่แล่เนื้อเถือหนังพวก


อีเมล์
« เมื่อ: ตุลาคม 15, 2014, 06:47:45 AM »



 เมื่อวานเป็นวันหยุดของอเมริกาที่เรียกว่า “วันโคลัมบัส”
สถานที่ราชการธนาคารและโรงเรียนหยุดหนึ่งวัน
เพื่อเฉลิมฉลองวันอันน่าปิติที่คนขาวคนแรกจากสเปนได้เหยียบย่าง
เข้ามาชำเราแผ่นดินแปลกหน้านามว่า “อเมริกา”
และปล้นฆ่าข่มเหงจนแทบจะไม่เหลือที่อยู่ที่ยืน
ให้เจ้าของแผ่นดินดั้งเดิมจนกระทั่งถึงปัจจุบัน

               ในทางประวัติศาสตร์แล้วถือว่า วันที่ 12 ตุลาคม ค.ศ.1492
เป็นวันที่ต้องจารึกในหน้าประวัติศาสตร์ว่าเป็นวันแห่งการค้นพบอเมริกา
แต่ไม่ใช่ของชนชาติอินเดียนอย่างแน่นอน
เพราะการมาถึงของโคลัมบัสนั้นนำมาซึ่งความตายของเผ่าพันธุ์ตน!   

               คริสโตเฟอร์ โคลัมบัส เกิดเมื่อ ค.ศ. 1451 ที่เมืองเจนัว
ซึ่งเป็นเมืองท่าทางการค้าประเทศอิตาลี
ชาวยุโรปในยุคนั้นต้องการเดินทางไปประเทศอื่นๆ เช่น อินเดีย หรือ ประเทศจีน
เพื่อดูลาดเลาว่าควรจะปล้นชิงอะไรมาเป็นของตนดี
เพราะดินแดนเหล่านั้นมักมีสินค้าที่ชาวยุโรปต้องการ
นั่นคือเครื่องเทศ ผ้า ไม้ และอัญมณี 



คริสโตเฟอร์ โคลัมบัส

     โคลัมบัส ออกเดินเรือตั้งแต่อายุ 14  จนกระทั่งอายุ 30 ปี จึงเป็นผู้เชี่ยวชาญทางการเดินเรือ
กษัตริย์แห่งสเปนทรงให้ความช่วยเหลือ โดยพระราชทานเรือ 3 ลำ
พร้อมกับลูกเรือให้แก่โคลัมบัส  เมื่อ 12  ตุลาคม คศ. 1492 
โคลัมบัสได้นำเรือเทียบท่าสู่ดินแดนที่ไม่เคยมีผู้ใดค้นพบมาก่อน (ในความคิดตัวเอง) 
จึงเรียกดินแดนแห่งนี้ว่า “ซาน ซัลวาดอร์” (San Salvador) แปลว่า “พระเจ้าช่วย”
ซึ่งปัจจุบันก็คือ "เกาะบาฮามาส" ในรัฐฟลอริดา สหรัฐอเมริกานั่นเอง

               วันแรกที่ โคลัมบัส ย่างเท้าเข้าไปสัมผัสแผ่นดินอเมริกา
ก็นำมาแต่ความโหดร้ายและความตายในหมู่ชนพื้นเมือง
มีหลักฐานบันทึกไว้ว่า โคลัมบัส ได้สถาปนาตนเป็นเจ้าเมืองและปกครองชนพื้นเมืองอย่างโหดร้าย
ทั้งจับอินเดียนแดงมาใช้แรงงาน อีกทั้งปล้นระดมทรัพย์สิน
หากใครขัดขืนก็จะทรมานร่างกายอย่างทารุณ และเมื่ออินเดียนแดงต่อต้านระบอบของโคลัมบัส
โคลัมบัสก็สั่งปราบปรามอย่างรุนแรง เชื่อกันว่าการค้นพบอเมริกาของโคลัมบัส
นำไปสู่การเสียชีวิตของอินเดียนแดงกว่า 3 ล้านคน!

               หลังจากปราบปรามอินเดียนแดงอย่างป่าเถื่อน
โคลัมบัส ก็เสาะหาของดีมีค่าตามที่ประเทศตนต้องการส่งไปบรรณาการพระเจ้าแผนดินของตนอย่างไม่ขาดสาย
พูดง่ายๆ แบบชาวบ้านก็คงต้องเรียกว่า “ปล้น” นั่นแหละ
เพราะมองเป็นอย่างอื่นไมได้เลย รวมทั้งเอาอินเดียนแดงไปอวดพระเจ้าแผ่นดินตนเองราวกับสัตว์เลี้ยงที่จับมาได้

               หลังจากนั้นชาวยุโรปก็หลั่งไหลกันเข้ามาตั้งถิ่นฐานในทวีอเมริกา
เกิดความต้องการพื้นที่ในการเพาะปลูกจึงเริ่มมีการจับจองที่ดิน
ในขณะที่อินเดียนแดงไม่มีความคิดนี้อยู่ในหัวเลยแม้แต่น้อย
ดังสะท้อนในคำพูดของหัวหน้าเผ่าอินเดียนแดงว่า

“ท้องฟ้าและความอบอุ่นของแผ่นดินนั้น เขาซื้อขายกันได้อย่างไร
ความคิดเช่นนี้เป็นสิ่งที่แปลกประหลาดสำหรับพวกเรา
หากความสดชื่นของอากาศและความใสสะอาดของธารน้ำมิได้เป็นทรัพย์สมบัติส่วนตัวของเราแล้ว
ท่านจะซื้อสิ่งเหล่านี้ไปจากเราได้อย่างไร วิญญานของคนขาวนั้นไม่มีความผูกพันกับถิ่นกำเนิดของเขา
แต่วิญญานของพวกเราไม่มีวันรู้ลืมแผ่นดินอันแสนงดงาม
และเปรียบเสมือนเป็นแม่ของชาวอินเดียนแดง
เราเป็นส่วนหนึ่งของแผ่นดิน และแผ่นดินก็เป็นส่วนหนึ่งของเราเช่นกัน”


        เมื่อชาวยุโรปอพยพเข้ามาอาศัยในอเมริกามากขึ้นก็ย่อมต้องการที่ทำกินเพิ่มขึ้น 
จนกระทบกระทั่งกับอินเดียนแดง  ในปี ตศ. 1834 รัฐสภาสหรัฐจึงกำหนดเส้นเมอร์เดียนที่ 95
เป็นเส้นแบ่งเขตแดนระหว่างฝรั่งอั้งม้อกับอินเดียนแดง
แต่ถึงกระนั้นคนขาวก็รุกล้ำเข้าไปในเขตแดนของอินเดียนแดงตลอดเวลา
จนถึงขั้นต้องจับอาวุธปกป้องตนเองจากคนขาว 
อินเดียนแดงต้องถอยร่นไปทางตะวันตกเรื่อย ๆ

               จนในที่สุดชาวอินเดียนแดงก็ลุกขึ้นต่อต้านการรุกรานของนักล่าดินแดนและพวกนักขุดทอง
หลังสงครามกลางเมืองในสหรัฐอเมริกาสงบลง ในปี ค.ศ.1865
อินเดียนแดงที่เคยมีอยู่เกือบล้านคนทั่วประเทศถูกสังหารหมู่ลดลงเหลือไม่ถึงสามแสนคน
ขณะที่คนขาวหลั่งไหลกันเข้ามาแย่งชิงดินแดนของอินเดียนร่วม 30 ล้านคน

               ดังนั้นวันโคลัมบัสจึงเป็นเพียงวันแห่งการเชิดชูจักรวรรดินิยม
และเหยียดเชื้อชาติผ่านการบิดเบือนทางประวัติศาสตร์
เช่นเดียวกับวันขอบคุณพระเจ้า ซึ่งอินเดียนแดงถือว่า
ทั้งสองวันคือวันอันอัปยศแห่งชาติตน
และเป็นเรื่องน่าเศร้าที่ว่าประวัติศาสตร์นั้น
มักถูกเขียนโดยผู้ชนะเสมอ


Cr. http://www.naewna.com/



บันทึกการเข้า

หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1 RC2 | SMF © 2001-2006, Lewis Media

lsv2555Please follow the new website at https://www.pohchae.com

Valid CSS!