อานุภาพผ้ายันต์มหาพิชัยสงคราม
หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: อานุภาพผ้ายันต์มหาพิชัยสงคราม  (อ่าน 2929 ครั้ง)
kittanan_2589
.กลุ่มผู้มีน้ำใจงาม.
member
*

คะแนน630
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2363


NightBaron


เว็บไซต์
« เมื่อ: พฤษภาคม 22, 2010, 01:00:42 PM »


ในสมัยนั้นผกค.มีอิทธิพลสูง ได้ยึดเทือกเขาภูพานเป็นฐานใหญ่ของเขา และยังท้าทายฝ่ายทหารว่า หากจะตีเขาได้จะต้องใช้กำลังหลายกองพล และใช้เวลาหลายเดือนจึงจะสำเร็จ พล.ต. ยุทธศิลป์ เกสรสุข (ยศในขณะนั้นปัจจุบันมียศพล.ท.) ซึ่งเป็นรองแม่ทัพ จึงนำเรื่องนี้มากราบเรียนหลวงพ่อ หลวงพ่อท่านเป็นพระ จะไปรบกับเขาก็ไม่สมควร แต่ท่านก็มีวิธีช่วยเป็นกำลังใจให้กับทหารได้ดังนี้

๑. ท่านเดินทางไปพร้อมกับคณะ เพื่อทำพิธีบวงสรวงก่อนที่ฐานทัพของทหาร
๒. แจกผ้ายันต์ธงมหาพิชัยสงคราม ให้กับทหารในหน่วยนั้นทุกคน (ผ้ายันต์สีแดง)
๓. ให้ฤกษ์แก่ฝ่ายทหาร ทั้งนี้หมายถึงให้ฤกษ์ดีว่าเป็นมงคล ไม่ได้ระบุให้เข้าไปตีกันรบกัน เพราะไม่ใช่กิจของสงฆ์ ส่วนเขาจะไปทำอะไรกันนั้น พระท่านต้องอุเบกขา
ผมจำได้ว่า หลวงพ่อทำพิธีตั้งแต่เช้ามาก เพราะจากรูปถ่ายที่ นาวาตรีประชา สิกขวานิช ร.น.ถ่ายไว้ ปรากฏพุทธนิมิตเป็นฉัตร ๕ ชั้น ทอดมาตามแสงแดดครอบคลุมองค์หลวงพ่อเท่านั้น ยังทำมุมน้อยมาก (มีรูปถ่ายอยู่ที่บ้านสายลม และที่วัดท่าซุง) หลังพิธีแล้ว ฝ่ายทหารก็นำหลวงพ่อ หลวงปู่ครูบาธรรมชัย และคณะเข้าห้องยุทธการ เพื่อฟังบรรยายสรุปของฝ่ายทหาร เมื่อบรรยายจบปรากฏว่ามีนายทหารที่ฉลาดถามได้ถามหลวงพ่อกับหลวงปู่ว่า ขณะนี้พวกผกค.เขาอยู่ที่ไหนบ้าง โดยให้ท่านเอาไม้เท้าช่วยชี้ไปในแผนที่ทหาร ปรากฏว่าท่านชี้จุดให้ทันทีทันใด โดยไม่ต้องคิดหรือต้องเสียเวลา เหล่าทหารต่างร้องอือพร้อม ๆ กันหลายคน และบอกว่าตรงจุดเป๋งเลยครับหลวงพ่อ บางคนไม่ฉลาดถามก็ถามวิธีเข้าโจมตี หลวงพ่อท่านก็ปฏิเสธเพราะไม่ใช่กิจของสงฆ์ ส่วนวิธีถามที่ฉลาดผมขอสงวนไว้ก่อนครับ จากนั้นก็คุยกันในเรื่องอื่น ๆ ผมฟังไป ๆ คงจะตื่นเต้นมาก เลยเกิดทุกข์หนัก ต้องขอตัวขอเวลานอกไปพิจารณาทุกข์ที่ห้องสุขา และผมคงจะพิจารณาทุกข์ ขณะกำลังบรรเทาทุกข์แล้วมีผล คือ เห็นอริยสัจ เพราะธรรมะของพระองค์ท่านแนะนำวิธีปฏิบัติไว้ชัดว่าให้ปฏิบัติตลอดเวลาทุกเวลา ทุกโอกาส ทุกสถานที่ และทุกอิริยาบถ คือ เป็นอกาลิโก ผมก็ปฏิบัติตามท่านอย่างเพลิดเพลิน พอจบภารกิจส่วนตัวของผมแล้ว ก็ออกมารีบเดินเข้าห้องยุทธการ ปรากฏว่าไม่มีใครอยู่เลยสักคนเดียว ชักใจไม่ดีรีบวิ่งออกมาข้างนอก ก็ปรากฏว่ารถหลวงพ่อและคณะหายไป ไม่พบใครสักคนเลย หันรีหันขวางอยู่ บังเอิญมีนายทหารท่านหนึ่งท่านจำผมได้ เห็นผมจึงถามว่าคุณมากับหลวงพ่อใช่ไหม ผมก็ตอบว่าใช่ครับ ทหารผู้นั้นก็บอกว่าหลวงพ่อกับคณะไปนานแล้ว คุณไปอยู่ที่ไหนมา ก็ตอบไปว่าอยู่ในห้องน้ำครับ ท้องมันไม่ค่อยดี ขณะนั้นผมเองรู้สึกเง็งไปหมด (ไม่ใช่งง เพราะมันเป็นความรู้สึกที่เกินกว่างง) แต่เคราะห์ยังดีที่ นายทหารท่านนั้นช่วยแก้สถานการณ์ให้ทันควัน โดยส่งรถจิ๊ปเล็ก พร้อมคนขับให้ผมกระโดดขึ้นพร้อมกับท่านรีบบึ่งตามคณะหลวงพ่อไปจนทัน การปฏิบัติธรรมของผมเป็นที่ครื้นเครงของพวกเราทุก ๆ คนที่ได้หัวเราะกันจนฉี่จะออก

หลังจากที่หลวงพ่อและคณะได้เยี่ยมให้กำลังใจกับทหารตามหน่วยต่าง ๆ แล้วก็กลับไปกทม. และจากนั้นอีกไม่กี่วัน พล.ต.ยุทธศิลป์ ก็สั่งทหารแค่หนึ่งกองร้อยเข้าโจมตีที่มั่นของผกค.เป็นการหยั่งเชิง โดยมีตัวท่านเป็นผู้สั่งการอยู่ข้างบนเครื่องบิน ผลปรากฏว่าดีมากเกินคาดหมาย แต่มีรายงานจากวิทยุว่ามี ทหารเสียชีวิต ๑ นาย ท่านเกิดสงสัยว่ามันตายได้อย่างไร เพราะท่านมั่นใจว่า ทหารของท่านต้องไม่มีใครตาย ท่านให้แค่บาดเจ็บเท่านั้น จึงสั่งลงมาจากเครื่องบินให้ค้นตัวทหารที่ตายว่า พบอะไรติดตัวบ้าง โดยเฉพาะผ้ายันต์แดง ธงมหาพิชัยสงคราม ทหารก็รายงานว่าไม่พบผ้ายันต์แดงเลยในตัว ท่านรู้สึกผิดหวังมากที่เขาไม่พกเอาผ้ายันต์แดงแดงไปด้วยทั้ง ๆ ที่สั่งแล้ว เมื่อถอนตัวกลับฐานทัพ ก็สอบข้อเท็จจริงเรื่องพลทหารที่ตายว่าชื่ออะไร อยู่หน่วยไหน ทำไมจึงไม่มีผ้ายันต์สีแดง ก็พบว่าเป็นทหารที่เพิ่งย้ายกลับเข้ามาเมื่อวานนี้เอง จากหน่วยทหารราชบุรี (อ.ปากห่อ) ท่านจึงถึงบางอ้อ




วันที่ สอง ท่านเพิ่มหน่วยจู่โจมเป็นสองกองร้อย ผลปรากฏว่ามีตาย ๒ คน และก็มีสาเหตุจากไม่มีผ้ายันต์แดงติดตัวเช่นกัน เพราะเพิ่งย้ายเข้ามาจากหน่วยอื่นความลับไม่มีในโลกทั่วทั้งกองทัพรู้ข่าวรู้อิทธิปาฏิหาริย์ของผ้ายันต์ธงมหาพิชัยสงครามกันหมด ผลก็คือ ทหารทุกคนที่ไม่มีผ้ายันต์ สีแดง จะไม่ยอมออกโจมตีในวันต่อไป จึงเดือดร้อนถึงท่านรองแม่ทัพ ดังนั้น เพื่อขวัญและกำลังใจของลูกน้อง ท่านรองจึงต้องบินมาหาหลวงพ่อในคืนนั้นเพื่อขอผ้ายันต์แดงไปแจกลูกน้องให้ครบทุกคน
วันที่ ๓ ทุกคนมีขวัญและกำลังใจเต็ม ๑๐๐% ใช้กำลังเป็น ๓ กองร้อย ปรากฏผลว่าสามารถยึดฐานใหญ่และฐานย่อยของภูพานได้ทั้งหมดชนิดที่ผกค. ขวัญกระเจิงไม่ยอมสู้ด้วย เพราะวันที่ ๓ นี้ทหารทุกคนถือปืนวิ่งเข้ายึดฐานโดยไม่มีใครยอมหมอบ หรือวิ่งเข้าหาที่กำบังเหมือน ๒ วันแรก ทุกคนดาหน้าเข้ายึดเอาดื้อ ๆ โดยไม่กลัว ไม่ยอมหลบลูกปืนสักคน จึงยึดได้ด้วยเวลาอันสั้น และไม่มีใครเสียชีวิตเลย ผมนึกภาพเอาเองนะครับว่า หากผมเป็นผกค. ผมก็คงต้องวิ่งหนีเอาตัวรอด เพราะยิงเท่าใดก็ไม่โดนตัว หรือโดนก็ไม่เข้าคงดาหน้าเข้ามาเต็มไปหมด เหมือนกับยิงทหารที่ทำจากหุ่น (เหมือนในสมัยขุนแผน ท่านเป็นแม่ทัพเสกหุ่นให้เป็นทหารรบที่ไหนก็ชนะหมด) พอหลวงพ่อท่านทราบข่าวจากท่านรองแม่ทัพ ท่านพร้อมคณะไปเยี่ยมทหารหน่วยนั้นในวันต่อมา
หลังจากได้คุยกับทหารหน่วยพิเศษนี้แล้ว ผมพอจะสรุปผลย่อ ๆ ได้ดังนี้
๑. ขณะที่ฝ่าย ผกค.ยิงปืนเข้าใส่พวกเรานั้น ส่วนใหญ่บอกว่าไม่โดนแต่เฉี่ยวหรือเฉียดตัวไป รู้สึกว่าลูกปืนมันวิ่งมาเต็มไปหมด แต่ไม่ยักโดนตัว
๒. บางคนบอกว่า บางครั้งก็โดน แต่ไม่เข้า ไม่รู้สึกเจ็บ มีความรู้สึกคล้าย ๆ มีแมลงหรือผึ้งบินมาชนตัวเท่านั้น
๓. มีอยู่ ๑ ราย ที่เล่าว่าขณะที่เดินไปบ้าง วิ่งไปบ้าง ยิ่งปืนใส่ข้าศึกบ้าง รู้สึกหิวจึงเอามือล้วงมาม่า (เส้นหมี่) กินไปด้วย แต่แปลกใจว่าทำไมมาม่ามันถึงแข็งและเหนี่ยวนัก เลยคายออกมาจากปากดู ปรากฏว่ามันไม่ใช่มาม่า แต่เป็นลูกปืนที่ข้าศึกยิงมาโดนตัวแต่ไม่เข้า ลูกกระสุนแบนเหมือนถูกบี้ แล้วจึงหล่นลงไปในกระเป๋าเสื้อที่มีมาม่าอยู่
๔. บางคนเล่าว่า ขณะวิ่งไปยิงไปนั้น บางครั้งก็มองเห็นข้าศึกที่ซุ่มอยู่ข้างทาง แต่มันไม่ยักยิง เห็นตามันค้างคล้ายกับหุ่นหรือคนตกใจ ข้อนี้ขออนุญาตวิจารณ์ว่าคงเป็นอานุภาพของผ้ายันต์แดง ทำให้เกิดอาการ “ นะจังงัง ” ขึ้น หรือเพราะมันตกใจจริง ๆ ที่ไม่เคยเห็นคนที่ไม่ยอมหลบลูกปืน จึงมีสภาพคล้ายเห็นผี แล้วตกใจตาค้าง
๕. เรายึดได้ฐานใหญ่มาก จนไม่น่าเชื่อ เพราะฐานนี้มีทั้งร.พ.และเวชภัณฑ์มากมาย มีโรงพละศึกษา, สนามบาส, โรงครัวขนาดใหญ่พร้อมเสบียงกินได้เป็นปี, อาวุธมากมาย, เครื่องปั่นไฟและน้ำมัน โดยเฉพาะราวตากผ้า ท่านรองแม่ทัพบอกว่าต้องใส่รถ ๑๐ ล้อทั้งคันอาจจะขนไม่หมด แสดงว่ามันมีกำลังพลไม่ใช่น้อยเกินกว่าที่เราคาดคะเนไว้อีก และมีการทดน้ำไว้ใช้ด้วย แสดงว่าเขาอยู่มานานหลายปี
๖. เนื่องจากเราใช้กำลังพลน้อยแค่ ๓ กองร้อย หากจะยึดพื้นที่ไว้ก็เสี่ยงเกินไปเพราะตอนกลางคืน มันอาจหวนกลับมาใหม่ก็ได้ จึงสั่งทำลายและเผาให้หมด สำหรับผมคิดเอาเองว่าหากผมเป็นผกค. ก็ไม่ขอยอมหันหลังกลับมาตียึดคืนแน่ ๆ เพราะเข็ดไปจนตาย จะไม่ขอพบทหารผี (ทหารหุ่น) เหล่านี้อีก
๗. เป็นจริงตามคาดหมาย เพราะตั้งแต่ครั้งนั้นเป็นตันมา ผกค.ก็หายซ่าไปเลย
เรื่องของหลวงพ่อท่าน ยังมีอีกมาก ยากที่ผมจะเล่าให้ฟังหมดได้ และโดยธรรมแล้ว อะไรก็ตามที่มันมากเกินไป ผลมันแทนที่จะมากตามส่วนกลับไม่ได้ผลหรือกลับเป็นผลเสีย เช่น ยาทุกชนิด หากใช้เกินขนาดล้วนเป็นโทษแก่ผู้ใช้ทั้งสิ้น ร่างกายของคนก็เช่นกัน หากส่วนใดเจริญมากไป ก็กลายเป็นมะเร็ง สมจริงตามคำสอนของพระพุทธองค์ที่ตรัสไว้ใน “ปฐมเทศนา” ความว่าอย่าตึงไป (เครียดเกินไป) อย่าหย่อนไป (อยากมากเกินไป,ขี้เกียจมากไป) จะไม่มี







ผล ให้เดินสายกลาง ผมจึงต้องขอจบเรื่องไว้อีกตอนหนึ่งเพียงแค่นี้ แต่ก่อนจะจบ ขอสรุปเรื่องผ้ายันต์แดงธงมหาพิชัยสงครามไว้ เพื่อเตือนความจำ ดังนี้
๑. ความศักดิ์สิทธิ์ของธงมหาพิชัยสงครามมีมากมาย เขียนอีก ๒-๓ ตอนก็ไม่จบ ที่เล่าให้ฟังนี้เป็นเพียงแค่ตัวอย่างบางเรื่องเท่านั้น
๒. ผู้นำไปใช้หากนำไปใช้ในทางที่ไม่ถูกต้อง เช่น เป็นโจรปล้น-ฆ่าเขา-ขโมยเขา ธงนี้จะไม่คุ้มครอง ซ้ำยังให้ผลร้ายกับผู้นั้นด้วย หากถูกยิงลูกปืนจะเข้าแสกหน้าทะลุออกท้ายทอยทุกราย
๓. ธงมหาพิชัยสงครามไม่ใช่ไสยศาสตร์ แต่เป็นพุทธศาสตร์ จึงไม่เสื่อม (หากใช้ในทางที่ดี)
๔. เวลาทำพิธีพุทธาภิเษกนั้น ธงแดงมหาพิชัยสงครามกับผ้ายันต์เกราะเพชรนั้น ทำเหมือนกัน มีคุณภาพเหมือนกันทุกประการ ใช้แทนกันได้
๕. เรื่องป้องกันหรือบรรเทาอุบัติเหตุไฟไหม้บ้าน, พายุใหญ่ หรือวาตภัย มีผู้เล่าให้ฟังเสมอว่ามีผลดีอย่างอัศจรรย์ ส่วนเรื่องอื่น ๆ ต้องอธิษฐานขอ และผลขึ้นอยู่ที่ความมั่นคงของจิตของแต่ละคนด้วย







แต่ก่อนจะจบขอสรุป เรื่องผ้ายันต์แดงธงมหาพิชัยสงคราม ไว้เพื่อเตือนความจำไว้ดังนี้
๑. ความศักดิ์สิทธิ์ ของธงมหาพิชัยสงครามมีมากมาย เขียนอีก ๒-๓ ตอนก็ไม่จบ ที่เล่าให้ฟังนี้เป็นเพียงตัวอย่างบางเรื่องเท่านั้น
๒.ผู้นำไปใช้ หากนำไปใช้ในทางที่ไม่ถูกต้อง เช่น เป็นโจร-ปล้น-ฆ่าเขา-โขโมยเขา ธงนี้ไม่คุ้มครอง ซ้ำยังให้ผลร้ายกับผู้นั้นด้วย หากถูกยิง ลูกปืนจะเข้าแสกหน้าทะลุท้ายทอยทุกราย
๓. ธงมหาพิชัยสงคราม ไม่ใช่ ไสยศาสตร์ แต่เป็นพุทธศาสตร์ จึงไม่เสื่อม (หากใช้ในทางที่ดี)
๔. เวลาทำ พิธีพุทธาภิเษกนั้น ธงแดงมหาพิชัยสงคราม กับ ผ้ายันต์เกราะเพชรซึ่งมีรูปหลวงพ่อปาน และ รูปยันต์เกราะเพชรนั้น ทำเหมือนกัน มีคุณภาพเหมือนกัน ทุกประการ ใช้แทนกันได้
๕. เรื่องป้องกัน หรือบรรเทาอุบัติเหตุ ไฟไหม้บ้าน พายุใหญ่ หรือวาตภัย
มีผู้เล่าให้ฟังเสมอว่ามีผลดีอย่างอัศจรรย์ ส่วนเรื่องอื่นๆ ต้องอธิษฐานขอ และผลขึ้นอยู่กับความมั่นคงของจิตของแต่ละคนด้วย...สาธุ

:เหตุการณ์ระหว่างปี ๒๕๑๘-๒๕๒๐ เล่าโดยพล.ต.ท.นพ.สมศักดิ์ สืบสงวนคัดบางตอนจากหนังสือ ลูกศิษย์บันทึก

แถมให้ ครับ ได้ไม่ต้อง ตั้งกระทู้ใหม่ และจะลงเพิ่ม ให้ภายหลัง นะครับ


ประสบการณ์ พระคำข้าว






พระคำข้าว รุ่น ๒ (ทันหลวงพ่อ)

มีเรื่องยืนยันจากเจ้าหน้าที่ศูนย์ศิลปาชีพท่านหนึ่ง ซึ่งเดินทางมาร่วมอุปสมบทหมู่ถวายพระราชกุศลฯ ที่วัดท่าซุง ในเดือนสิงหาคม พศ.2547 เจ้าหน้าที่ท่านนี้ปฏิบัติภารกิจอยู่ภาคใต้ ญาติได้มอบพระให้พกติดตัว 1 องค์ เพราะความเป็นห่วง ที่สถานการณ์ไม่ค่อยปกติ ปรากฎว่าก่อนเดินทางมาบวชที่วัดท่าซุง 3 วัน ได้ถูกผู้ร้ายดักยิงจนมอเตอร์ไซล้มลง เจ้าหน้าที่ท่านนี้คิดว่าตัวเองคงต้องตายแน่ เพราะผู้ร้ายได้ตามมายืนจ่อยิงอีกหลายนัด แต่ไม่เข้าเลยสักนัดเดียว ทำให้เกิดความมั่นใจและได้นึกด่าผู้ร้าย ปรากฎภายหลังจากการนึกด่า ถูกผู้ร้ายยิงซ้ำอีกหนึ่งนัด ลูกปืนทะลุเข้าไปฝังอยู่ใต้ผิวหนัง ภายหลังแพทย์ ได้ลงความเห็นว่าสามารถเดินทางมาบวชได้เพราะไม่เป็นอันตราย หากผ่าตัดเอาลูกปืนออกจะต้องรักษาแผลหลายวัน เจ้าหน้าที่ท่านนี้เมื่อมาอุปสมบทที่วัดท่าซุง ได้เล่าเหตุการณ์ ให้พระพี่เลี้ยงฟัง และได้นำพระที่ตนห่อกระดาษทิชชูพกอยู่เพียงองค์เดียวมาให้ดู จึงทราบว่าเป็นพระคำข้าวของหลวงพ่อพระราชพรมยาน วัดท่าซุงนี่เอง
หลวงพ่อท่านเคยเล่าเหตุการต่างๆในระหว่างพิธีพุทธาพิเษกให้ลูกหลานฟัง เช่นครั้งหนึ่งในระหว่างทำพิธี องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จมาเป็นประธาน พระอรหันต์ พรหม เทวดามาร่วมในพิธีมากมาย ทำให้รุกขเทวดาในวัดต้องไปอยู่ไกลถึงขอบจักวาล เพราะเทวดาที่มีบารมีมากกว่ามาห้อมล้อมบริเวณพิธีอยู่เป็นจำนวนมาก ทั้งนี้วัตถุมงคลของท่านทุกชิ้น นอกจากมีพุทธานุภาพแล้ว ยังมีเทวดารักษาอยู่อีก 1 องค์


จากหนังสือ ประวัติวัดท่าซุงและหลวงพ่อพระราชพรหมยาน

เกร็ดความรู้บางอย่างที่หลวงพ่อพูดถึงเกี่ยวกับพระคำข้าว

อันดับแรกที่เราจะทำอะไรทั้งหมด ตื่นขึ้นมาใหม่ ๆ นึกถึงพระพุทธเจ้าก่อน นึกถึงด้วยความเคารพ เพื่อหวังพระนิพพานก็ตาม นึกถึงเพื่อขอลาภสักการะก็ตาม ก็ถือว่าเป็นการนึกถึงพระพุทธเจ้าเหมือนกัน อันดับแรกนะ อย่างมี พระคำข้าว- พระคำข้าวน่ะ หนักไปในทางลาภสักการะ อย่างอื่นก็มีหมด แต่ลาภน่ะหนักมาก และก็หยิบขึ้นมาพนมมือ สาธุ ว่า นะโม ตัสสะ ใช่ไหม ว่านะโมตัสสะ ด้วยความเคารพ และอธิฐานว่า วันนี้ต้องการ...(ลาภอย่างไร)
เป็นอันว่า เราอยากจะให้ค้าขายดี ทำราชการดี เมตตาปราณี อะไรก็ตามเถอะ ก็อย่าลืมว่าเวลานั้นเรานึกถึงพระพุทธเจ้า เราขอบารมีจากท่าน อย่างนี้ถือว่าเป็น ฌาน ในพุทธานุสติกรรมฐาน ถ้านึกถึงทุกวันน่ะ ถ้าถึงเวลาแล้วต้องทำอย่างนั้นทุกวัน ถ้าไม่ทำแล้วไม่สบายใจ นั่นเป็นฌานในพุทธานุสติ เป็นของง่าย ๆ เพราะวันนี้ท่านบอกให้พูดง่าย ๆ ใช้วิธีง่าย ๆ นะ ก็ว่าตามท่าน
...ทีนี้เมื่อเมื่อบรรดาท่านพุทธบริษัท นึกถึงพระพุทธเจ้าแล้ว อย่าลืมพระที่ คอ นี่คือพระพุทธเจ้า อย่าง พระคำข้าว เป็นพระพุทธชินราช อย่าลืมน่ะ คือก็เหมือนกับพระพุทธรูปองค์ใดองค์หนึ่งนั่นแหละ เป็นองค์แทนพระพุทธเจ้าท่าน และเวลาทำจริง ๆ พระพุทธเจ้าท่านก็มาทำ อันนี้ไม่ได้โฆษณานะ พูดให้ฟัง คือเวลาทำจริง ๆ พระพุทธเจ้าทุกองค์เสด็จมาหมด องค์ปฐมเป็นประธาน อยู่ข้างบนใช่ไหม และ องค์ปัจจุบันคุมฉัน ท่านปล่อยกระแสจิตพุ่งสว่างเป็นลำพุ่งมาที่ใจฉัน แล้วบอกเธอนั่งนิ่งๆ อย่าคิดถึงเรื่องอะไรทั้งหมด ห้ามดูอะไรทั้งหมด ให้ทรงอารมณ์เฉยๆ ๑๐ นาที ก็ทำตามท่าน แล้วท่านก็สั่งว่า ให้ว่าอิติปิโสฯ หลัง ๑๐ นาทีแล้ว ท่านบอกดูได้พุ่งใจไปที่ของได้ พอพุ่งใจไปที่ของ ที่เห็นเป็นลำ ไม่เห็นของที่ปลุกเลย แสงพระพุทธเจ้ากลบหมด หนามาก พระคำข้าว เด่นทางมหาลาภ มีรูปพระพุทธชินราช (พระพุทธกัสสป) ด้านหน้า และด้านหลังเป็นรูปหลวงพ่อ
หลวงพ่อเคยบอกว่า สมเด็จเด็จองค์ปฐม ได้ให้พระพุทธกัสสป-พระพุทธทีปังกร คุมเรื่องลาภ (คัดลอกจากหนังสือธัมมวิโมกข์ฉบับที่ ๑๔๕ หน้า ๖๓)
..."องค์ปฐมก็มา และพระพุทธกัสสปก็มา สมเด็จพระพุทธทีปังกรก็มา...องค์ปฐมท่านบอกว่า เรื่องลาภนะ สมเด็จพระพุทธกัสสป หนักที่สุด และรองลงมาคล้ายคลึงกันคือ สมเด็จพระพุทธทีปังกร ก็เลยถามท่านว่า "พระพุทธเจ้ามีบารมีเต็มเหมือนกัน ทำไมแตกต่างกันเรื่องลาภ" ท่านบอกว่า "สุดแล้วแต่การเริ่มต้น คู่อันไหนแรงกว่ากัน"...ท่านบอก "ให้พระพุทธกัสสปคุมเพราะลาภมาก" องค์ปฐมบอกว่า..."ลีลาต่างกันนิดหนึ่ง...
...สมเด็จพระพุทธทีปังกร : มีกำลังแข็งมากสู้แรงมาก
...พระพุทธกัสสป : ท่านนิ่มนวลในทางลาภมหาศาล
...แต่ลาภมหาศาลทั้งคู่ : ท่านก็เลยบอกว่าเป็นหน้าที่ของทั้ง ๒ องค์

(คัดลอกจากหนังสือ ธรรมปฏิบัติ เล่ม ๙ โดย หลวงพ่อพระราชพรหมยาน)


หลวงพ่อเคยบอกเกี่ยวกับราคาพระคำข้าวในอนาคต (ท่านพูดไว้เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๓๔ ในหนังสือธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ ๑๒๓ ประจำเดือนพฤษภาคม หน้า ๑๕)
อีก ๓๐ ปี พระคำข้าวจะมีค่าบูชาหลายหมื่น นี่ก็ผ่านมาแล้ว ๑๖ ปีครับ ก็ประมาณปี พ.ศ. ๒๕๖๔ ครับ...ท่านพูดไว้ดังนี้ครับ
-หลวงพ่อ: ...."ก็ก่อนจะทำ (ทำพระคำข้าว) พระพุทธเจ้าท่านบอกแล้วให้ทำ บอกให้มันรวยทั้งวัดทั้งบ้าน คือว่าเอาไปขึ้นราคานิดหน่อยใชไหม ๑๐๐, ๒๐๐ ไม่หนักนัก อีก ๓๐ ปีหลายหมื่น
- ผู้ถาม: เฉพาะพระคำข้าวนี่หรือครับ? - หลวงพ่อ: ใช่ขอยืนยัน
อานุภาพพระคำข้าวมหาลาภ (คัดลอกบางตอนจาก หนังสือ ประวัติวัดท่าซุง และหลวงพ่อพระราชหรหมยาน หน้า ๔๗ โดย พระบุญมา ปภาธโร เจ้าหน้าที่ธัมวิโมกข์ พิมพ์ สิงหาคม ๒๕๔๙)
..ฯลฯ...ผลในเรื่องความสะอาดของจิตนี้ มีเรื่องยืนยันจากเจ้าหน้าที่ศูนย์ศิปาชีพท่านหนึ่ง ซึ่งเดินทางมาร่วมอุปสมบทหมู่ถวายพระราชกุศลฯ ที่วัดท่าซุง ในเดือนสิงหาคม พ.ศ. ๒๕๔๗ เจ้าหน้าที่ท่านนี้ปฏิบัติภารกิจอยู่ภาคใต้ ญาติให้พระมาพกติดตัว ๑ องค์ เพราะความเป็นห่วงที่สถานการณ์ไม่ค่อยปกติ ปรากฏว่าก่อนเดินทางมาบวชประมาณ ๓ วัน ได้ถูกผู้ร้ายดักยิงจนรถมอเตอร์ไซด์ล้มลง เจ้าหน้าที่ท่านนี้คิดว่าตนเองคงต้องตายแน่ เพราะผู้ร้ายได้มายืนจ่อยิงอีกหลายนัด แต่ไม่เข้าเลยสักนัดเดียว ทำให้เกิดความมั่นใจและนึกด่าผู้ร้าย ปรากฏว่าหลังจากนึกด่า ถูกผู้ร้ายยิงซ้ำอีก ๑ นัด ลูกปืนทะลุเข้าฝังอยู่ใต้ผิวหนัง ภายหลังแพทย์ได้ลงความเห็นว่าสามมารถเดินทางมาบวชก่อนได้เพราะไม่เป็นอันตราย หากผ่าตัดเอาลูกปืนออกจะต้องรักษาแผลหลายวัน เจ้าหน้าที่ท่านนี้เมื่อมาบวชที่วัดท่าซุง ได้เล่าเหตุการณ์ให้พระพี่เลี้ยงฟัง และได้นำพระที่ห่อกระดาศทิชชูพกอยู่เพียงองค์เดียวมาให้ดู จึงทราบว่าพระที่พกอยู่นั้นเป็นพระคำข้าวของหลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดท่าซุงนี้เอง





๖๙. พระคำข้าวมหาลาภ

“ข้าว” มีคุณอนันต์กับคนเรามาตั้งแต่ยุคพระเจ้าสร้างโลก ความจริงโลกเราก็คงอยู่ของมันอย่างนี้แหละ แต่หลังจากไฟบัลลัยกัลป์ล้างโลกแล้ว “อาภัสราพรหม” ที่ท่องเที่ยวผ่านมา ได้กลิ่นหอมของดินเผาไฟ อดใจไว้ไม่ได้ก็แวะมาชิมดู...
ท่านผู้อ่านคงจะพอจำกันได้ เมื่อหลายปีก่อนมีโฆษณาชิ้นหนึ่ง ขึ้นต้นด้วย “มีทุกข์ในเรือนกาย มีความตายในดวงตา น้ำนมแห่งมารดา ในสายเลือดยังเหือดหาย...” ลงท้ายด้วย “ดินเอ๋ยโอ้ดินนี้ ยังพอมีให้แบ่งปัน...” แล้วมีภาพเด็กกินดินกันอยู่...
โฆษณาชุดนี้ฮือฮามาก ถึงขนาดผู้หลักผู้ใหญ่ในบ้านเมืองยุคนั้น ออกมาปฏิเสธเป็นพัลวัน ว่าประชาชนใต้การปกครองของท่าน อยู่ดีกินดีกันทั่วหน้า ไม่มีทางอดอยากขนาดกินดินกันหรอก โถ...ท่านไม่รู้อะไรน่ะ...!
เด็ก ๆ เหล่านั้นรักษาสายเลือดบรรพบุรุษกันต่างหาก พออาภัสราพรหมกินดินเข้าไป ของหยาบก็ทำให้กายทิพย์หยาบ เหาะกลับพรหมโลกไม่ได้ พอนานไปก็ปรากฏเพศชัด ว่า ใครเป็นหญิงใครเป็นชาย เลยช่วยกันผลิตบรรพบุรุษให้เราไงเล่า...!
พอจำนวนมากเข้าดินไม่พอกิน อาศัยบุญเก่าก็เกิดมีต้นข้าวเกิดขึ้น ข้าวสมัยนั้นเป็นข้าวสารเลย ไม่มีเปลือก ใครหิวก็ไปเก็บมาหุงกินกัน นานไปมีคนโลภกักตุนข้าวกันขึ้น ข้าวคงหมั่นไส้ เลยเกิดเปลือกหุ้มเมล็ดอย่างทุกวันนี้...
เห็นมั้ยล่ะ...ว่าคนเรากินดินมาตั้งแต่ดึกดำบรรพ์ และข้าวก็มีมาตั้งแต่สมัยนั้นแล้ว ดังนั้น...การที่เด็กกินดินก็ไม่ใช่ของแปลก ทุกวันนี้เขาก็ยังกินดินกันทั้งเด็กทั้งผู้ใหญ่ และบรรดาคุณแม่ทั้งหลาย ใครแพ้ท้องอยากกินดินขึ้นมา คนแก่คนเฒ่าเขาว่าเด็กเป็นพรหมมาเกิดเชียวนะจะบอกให้...
ข้าวเป็นสัญลักษณ์แทนความมั่งคั่งบริบูรณ์ สมัยพุทธกาลเขานับข้าวเป็นทรัพย์ประเภทเดียวกับเงินทองเลยเชียว มาสมัยนี้ ข้าวยังคงใช้เป็นเคล็ดของความสมบูรณ์พูนสุขเช่นเดิม พิธีกรรมต่าง ๆ มักมีข้าวเปลือก ข้าวสาร ข้าวสุก เข้าไปเกี่ยวข้องด้วยเสมอ...
ในเมื่อถือกันว่าข้าวเป็นสัญลักษณ์แห่งความมั่งคั่งบริบูรณ์ โบราณท่านจึงมีการนำข้าวมาใช้ในพิธีต่าง ๆ เสมอ ทางพระก็มีการสร้างรูปแทนองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ด้วยการใช้ข้าวมาเป็นส่วนผสมเช่นกัน...
รูปแทนองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่เกิดจากข้าวเป็นส่วนผสม ที่โด่งดังที่สุดคือ “สมเด็จวัดระฆัง” นั่นเอง ซึ่ง สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) ท่านใช้ข้าวคำที่รู้สึกว่าอร่อย คายออกมาตากแห้งบดเป็นผงผสมทำพระ จนเกิดสมเด็จวัดระฆังออกมา...
ในสมัยต่อมามีหลายท่านที่เจริญรอยตาม ด้วยการทำพระจากส่วนผสมของคำข้าวบ้าง แต่จะหาใครที่โด่งดังเทียมเท่าต้นตำราไม่ได้เลย ของต้นฉบับกลายเป็นที่ต้องการมาก จนเกิดการทำเลียนแบบขึ้น ของปลอมเลยเต็มตลาด...
“หลวงพ่อ” เล่าให้ฟังว่า หลวงปู่ปานก็สร้างพระจากคำข้าวเช่นกัน แต่หลวงปู่ทำแค่องค์เดียวเท่านั้น เวลาหลวงปู่ฉันข้าว ถ้ารู้สึกว่าคำไหนอร่อย ก็จะคายเก็บไว้ ตากจนแห้ง ทำอย่างนี้ตลอดสามเดือน แล้วเอาข้าวตากมาตำเป็นผง...
จ้างช่างมาปั้นผงเป็นพระพุทธรูป ได้องค์เล็กหน้าตักประมาณ ๕ นิ้ว จากนั้นหลวงปู่ก็ทำพิธีบวงสรวง ขอบารมีพระและเทวดาช่วยรักษา แล้วสั่งว่า เวลาท่านไม่อยู่ ถ้าอาหารในโรงครัวไม่พอฉัน ให้จุดธูปขอกับหลวงพ่อคำข้าวนี้ จะได้อย่างใจทุกอย่าง...
สมัยนั้นหลวงปู่ไปช่วยสร้างวัดสร้างโบสถ์ต่างจังหวัดไกล ๆ ไปทีหลายเดือนกว่าจะกลับ พอหลวงปู่ไม่อยู่ก็เกิดลาภผลน้อย ไม่พอจะเลี้ยงพระในวัด ท่านจึงเมตตาทำหลวงพ่อคำข้าวขึ้นมา หวังจะให้สงเคราะห์เวลาท่านไม่อยู่...
“หลวงพ่อ” ท่านชอบพิสูจน์ ดังนั้น อาหารยังไม่ทันจะขาด ท่านก็จุดธูปขอซะแล้ว จะเอากับข้าวชนิดไหน จากบ้านเหนือบ้านใต้ ได้อย่างใจทุกครั้ง ขอเพลินจนถูกหลวงปู่ซัดด้วยไม้เท้า ไหนว่าไปนานทำไมแค่สี่วันมาซะแล้ว...!
หลวงปู่บอกว่าเทวดาไปฟ้อง ว่าทำตัวไม่สมกับเป็นพระ ติดในรสอาหารจนเกินพอดี แล้วเทศน์กัณฑ์มหาราชซะหูอื้อไปตาม ๆ กัน ขามาจากเขาวงพระจันทร์มาอย่างไรก็ไม่รู้เร็วจัง พอเทศน์เสร็จต้องประคองไปส่งกุฏิ หลวงปู่ขาไม่ค่อยดีเดินไม่ค่อยไหว...!
พอฟังประวัติอาตมาก็อยากได้หลวงพ่อคำข้าวขึ้นมาทันที ถ้าได้มาจะขอยำหัวปลีกับผักบุ้งต้มจิ้มพริกน้ำปลามะนาว อยากฉันมานานแล้ว แต่หลวงพ่อคำข้าวอยู่วัดบางนมโค อาตมาเลยฝันค้างไปคนเดียว...ฮิ...ฮิ...
ปลายปี ๒๕๓๒ อยู่ ๆ “พระ” ท่านก็มาบอกให้หลวงพ่อทำพระคำข้าวขึ้นมาบ้าง เวลาฉันท่านจะมาชึ้เอาคำข้าวคำนี้กับข้าวอย่างนี้ เสกด้วยคาถาบทนี้ แล้วเก็บตากแห้งไว้ ให้ช่างออกแบบพระมาให้เลือก ดูว่าจะเอาแบบไหนดี...
ในที่สุดก็ได้แบบพระสี่เหลี่ยมองค์ขนาดหัวแม่มือ ด้านหน้าเป็นพระพุทธชินราช ด้านหลังเป็นภาพหลวงพ่อนั่งอยู่ในกระจังรูปคล้ายพัดยศ จำนวนพระ ๑๐๐,๐๐๐ องค์ กะว่าจะแจกกันให้หนวดหงอกไปเลย ดูซิว่าเมื่อไรจะหมด...!
พิธีพุทธาภิเษกทำที่วิหารร้อยเมตรในวันที่ ๑๕ มีนาคม ๒๕๓๓ เวลา ๑๘.๐๐ น. มีพระครูองค์หนึ่งจากจังหวัดนนทบุรี ขออนุญาตนำวัตถุมงคลของวัดท่าน จำนวน ๑ คันรถ มาเข้าพิธีด้วย ซึ่งหลวงพ่อก็อนุญาตด้วยดี...
เช่นเดียวกับทุกครั้ง อาตมาจะนำวัตถุมงคลส่วนตัวไปร่วมเข้าพิธีด้วย ในวิหารร้อยเมตรแบ่งวัตถุมงคลเป็นสองที่ คือ ของท่านพระครูและบุคคลภายนอก ๑ ที่ ของวัดอีก ๑ ที่ แต่ก็อยู่ชิดติดกันนั่นเอง...
อาตมาแบกลังวัตถุมงคลส่วนตัว เข้าทางด้านหลังพระประธาน มองไปเห็นพระพุทธรูปปางต่าง ๆ เหลืองอร่ามไปหมด ก็ตั้งใจว่า จะวางลังไว้ใกล้ ๆ พระพุทธรูป พอเดินไปถึงอาตมาก็วางลังลง แล้วก็ยืนเซ่ออยู่ตรงนั้นเอง...?!?
จะไม่ให้งงเป็นไก่ตาแตกได้อย่างไร...? ในเมื่อวางลังวัตถุมงคลลงในกองแล้ว อาตมาไม่เห็นมีพระพุทธรูปแม้แต่องค์เดียว...! เหลียวไปดู...อ้าว...มาอยู่ข้างหลังนี่เอง แล้วอาตมาเดินผ่านไปตั้งแต่เมื่อไร...ของตั้ง ๑ คันรถเชียวนะ...!
ประหลาดดีแท้...ของก็วางเต็มล็อค ไม่มีทางหลบหลีกไปทางไหน อาตมาเดินมาตรง ๆ กลับฝ่าของกองมหึมาไปโดยไม่รู้สึกว่ามีอะไรเลย ดังนั้น...แทนที่จะวางรวมกับของท่านพระครู ก็กลายเป็นวางกับกองของวัดจนได้ ถูกบังคับนี่นา...!
พอพุทธาภิเษกเสร็จ คราวนี้เกิดสงครามย่อย ๆ ขึ้นทันที ต่างคนต่างต้องการพระ เธอถุงฉันถุง ฉันยังไม่ได้นะ ขอฉันสองถุงซิ...แบงค์ห้าร้อยปลิวให้ว่อน อย่างกับเกิดการรบระหว่างอิรักกับคูเวตขึ้นกลางวิหาร ๑๐๐ เมตรก็ไม่ปาน...!
พระเดชพระคุณหลวงพ่อ เมตตาศิษย์อย่างหาที่เปรียบมิได้ ของดีของขลังของท่าน จึงมักตั้งราคาต่ำสุดไว้ก่อน เพื่อจะได้มีกันโดยทั่วถึง คราวนี้ก็เช่นกัน พระคำข้าวชุดนี้ตั้งราคาไว้องค์ละ ๑๐ บาทเหมือนเดิม (มาตรฐานวัดท่าซุง)
พระหนึ่งแสนองค์หมดเกลี้ยงภายในเวลาไม่ถึงสองเดือน...! คิดว่าจะได้แจกจ่ายซักหลายปี กลับหมดลงแทบจะทันทีที่ปลุกเสกเสร็จ ราคาแพงขึ้นทันทีอย่างน่ากลัว ทันทีที่หมดก็มีคนให้องค์ละ ๑,๐๐๐ บาท เข้าไปแล้ว...! “หลวงพ่อ”ทราบดังนั้น จึงมีเมตตาเตือนว่า “อย่าไปซื้อเขาแพง ๆ เลยลูก มันหมดเปลืองโดยใช่เหตุ เอาไว้ในพรรษาหลวงพ่อจะทำให้ใหม่ อดใจรอหน่อยนะลูกนะ...” สาธุ...พระเดชพระคุณท่าน ช่างเมตตาเหลือประมาณ...
อาตมาพอได้พระคำข้าวมา ก็ฝากแม่เบ็ญ(คุณเบ็ญจา วิบูลย์พันธุ์) ให้ไปทำกรอบทองให้ ผลออกมาคือช่างฝีมือห่วยชะมัดเลย อาตมาแค่บ่นว่า “ไม่สวยเลยแม่...” เท่านั้นเอง พระที่พกไม่ถึงครึ่งวันปาฏิหาริย์อันตรธานไปเมื่อไรก็ไม่รู้...หาเท่าไรก็ไม่เจอ...!
ตั้งใจกราบขอขมา บนหลวงพ่อสี่พระองค์ขอให้ได้พระคืน ก็ได้ดังใจไม่ทันข้ามวัน เพราะน้าเล็กเห็นอาตมานั่งหน้าเหี่ยวแล้วสงสาร เอาของตัวเองถวายอาตมาซะเลย องค์นี้ไม่หายแน่ ๆ เพราะสวยถูกใจ...แฮ่...แฮ่...
พระคำข้าวรุ่นนี้ มีอานุภาพคือ “ให้ลาภ ปลอดโรค ศัตรูพินาศ” คือถ้าเราเชื่อถือมั่นคงจริง ๆ หมั่นบูชาด้วยความเคารพ ลาภผลเงินทองจะไหลมาเทมา โดยเฉพาะขอจากงานที่ทำ มีหลายรายต้องขอให้เบาลง เพราะทำไม่ไหว...!
ส่วนด้านโรคภัยไข้เจ็บ อาราธนาบารมีท่านคุ้มครองป้องกันได้ หรือถ้าป่วยอธิษฐานทำน้ำมนต์กินก็หาย ศัตรูคิดร้ายจะแพ้ภัยไปเอง ของแบบนี้พิสูจน์ซะก่อนแหละเป็นดี จะได้ไม่ว่าอาตมาโฆษณาชวนเชื่อสิ่งเหลวไหล...
ด้านลาภผลเงินทอง อาตมาเชื่อร้อยเปอร์เซ็นต์ เพราะตั้งแต่ได้พระมา รับเงินเกินหมื่นหลายวาระด้วยกัน รายที่หนักที่สุด ช่วยใช้หนี้แทนทีหนึ่งห้าหมื่นบาท ที่ถวายเป็นทองรูปพรรณก็มี รวยไม่รู้เรื่องละคุณเอ๋ย...!
ยังดีที่อาตมาใช้เงินเป็น พอรับมาก็หายวับไปกับตา ไม่ชอบให้คั่งค้าง ตอนนี้ก็กำลังมองงานใหญ่เอาไว้ ปลายปีนี้ได้ลุยแน่ และหลวงพ่อกำลังทำผลพระรุ่นใหม่อยู่ ได้ยินว่าปลายปีคงได้เช่นกัน เอาเถอะ...ญาติโยมรวย พระก็สบายไปด้วย...
“หลวงพ่อ”บอกว่า “พวกคุณถ้าจะขอเรียนวิชานี้ ผมก็ไม่รู้ว่าจะถ่ายทอดอย่างไร เพราะตอนเสกคำข้าว “พระ” ท่านจะมาชี้เองว่าเอาข้าวตรงนี้ กับอย่างนี้ เสกด้วยคาถาบทนี้ รุ่งขึ้นเปลี่ยนอีกแล้ว บางทีเหมือนกันสิบกว่าวัน อ้าว...เปลี่ยนบทใหม่อีกแล้ว...”
“ไม่เป็นไรครับหลวงพ่อ...หลวงพ่อทำพระไว้เยอะ ๆ แล้วกัน ญาติโยมเขาคงกักตุนไว้เผื่อลูกเผื่อหลานของเขาเอง ในเมื่อต่างคนต่างมี ถึงสิ้นหลวงพ่อแล้ว ก็คงไม่เดือดร้อนถึงพวกผมที่จะต้องมาสร้างเองหรอกครับ...”
“หลวงพ่อ” หัวเราะชอบใจบอกกับพระปลัดวิรัชว่างวดนี้ให้ทยอยทำไปเรื่อย ๆ “เอาซักห้าล้านองค์ดีไหมหว่า...?” หลวงพ่อถามแบบนี้ พระปลัดท่านถือว่าอนุญาตเลย มีหวังร้านรับพิมพ์พระหากินกับวัดท่าซุงวัดเดียวก็พอแล้ว...!
ความปรารถนาของหลวงพ่อ คือ ต้องการให้ญาติโยมีความเป็นอยู่คล่องตัว คนเราพอไม่หนักใจในการดำรงชีวิต เขาก็มีแก่ใจให้ทาน รักษาศีล เจริญภาวนาเอง เงื่อนไขการใช้พระก็ต้องหมั่นสวดมนต์ – ไหว้พระ เท่ากับบังคับกันอยู่แล้ว...
ใครจะโจมตีว่าเครื่องรางของขลัง การเสกน้ำมนต์ พ่นน้ำหมากเป็นเดรัจฉานวิชา ก็โปรดดูอุบายแฝงที่ทำให้คนปฏิบัติความดีด้วย ถ้าท่านยังไม่ยอมเข้าใจ ก็เชิญท่านตามสบาย เพราะการหลับหูหลับตากัดเขาท่าเดียว ก็ไม่ต่างกับสัตว์เดรัจฉานเท่าไรนัก...! หรือท่านผู้อ่านมีความเห็นว่าอย่างไร...?

๑๔ สิงหาคม ๒๕๓๓
พระเล็ก สุธมฺมปญฺโญ







๗๒. พระสมเด็จหางหมาก

“จะไหวหรือหลวงพี่...?” หัวหน้าชาติชายป่าไม้จอมเฮี้ยบ (ปัจจุบันคือพระชาติชาย สุธมฺมธนปาโล) ถามขึ้นทั้งที่อ้าปากพะงาบ ๆ อย่างกับปลาติดแห้ง อาตมาเองก็มีสภาพไม่ต่างกันเท่าใดนัก...
“สิบเอ็ดลูกเขาของบึงลับแลยังไม่เหนื่อยแทบขาดใจเหมือน ๓๐๐ เมตรของที่นี่...” แดง (มงคล จอมผา) ที่นอนแผ่หราทับเป้หลัง พูดพลางตอบพลาง อากาศแทบทุกอณูของที่นี่ แฝงไว้ด้วยแรงกดดันมหาศาล...
พระและฆราวาสเดนตายทั้งสาม เดินทางมาเพื่อจะพิสูจน์ว่า แร่ยูเรเนียมที่ หลวงพ่อพระราชพรหมยาน เมตตาบอกไว้นั้น มันจะมีมากมายขนาดไหน แล้วก็สมใจนึกบางลำภู แค่ปากประตูก็แทบเอาชีวิตไม่รอดซะแล้ว...!
ดูจากสภาพทั่วไปก็เป็นป่าธรรมดานี่เอง จะผิดจากที่อื่นก็ตรงแห้งแล้งกรอบเกรียมไปหมดเท่านั้น เนินเขาที่ต้องปีนก็เตี้ยนิดเดียว คะเนด้วยสายตาแล้วสูงไม่เกิน ๔๐๐ เมตร แบบนี้ก็หมูตายชัก...
ใช่...เกือบจะตายชักจริง ๆ อากาศมันทั้งแน่นทั้งหนัก เดินเข้าไปคล้ายกับเดินสวนน้ำตกก็ไม่ปาน แต่ละคืบแต่ละศอกเหมือนทวนกระแสคลื่น ต้องทุ่มเทกำลังทั้งหมดถึงตะเกียกตะกายเข้าไปได้ทีละนิด...
ที่ร้ายกาจที่สุดคือ เหมือนกับว่าอ๊อกซิเย่นในอากาศไม่มีเหลืออยู่เลย หายใจแทบสุดชีวิตได้อากาศไม่ถึงครึ่งปอด หน้ามืดวูบวาบ ไม่ทราบว่าจะหมดสติลงไปในวินาทีไหน จะหวังพึ่งใครก็ไม่ได้ ปางตายด้วยกันทั้งนั้น...!
หลังพิธีพุทธาภิเษกที่วิหารแก้ว ๑๐๐ เมตร “หลวงพ่อ” เมตตาเล่าให้ฟังว่า “สมเด็จองค์ปัจจุบัน เสด็จมาเป็นประธานเอง ระหว่างปลุกเสกมองไปเห็นสมเด็จหางหมากแต่ละองค์ เปล่งแสงสว่างจ้า ยิ่งกว่าดวงไฟ ๑๐๐ แรงเทียนซะอีก...”
“สมเด็จท่านตรัสว่า อานุภาพของสมเด็จหางหมากนั้น รอบรัศมี ๔ เมตร กัมมัตภาพรังสีจะเข้าไม่ได้เลย ถ้าใช้ในการรบเพื่อประเทศชาติ คำว่าตายรับรองว่าไม่มี แต่ถ้าใครนำไปใช้ในทางที่ผิด จะถูกปืนที่แสกหน้าตาย...!”
นี่ขนาดกัมมันตภาพรังสีเข้าไม่ได้แล้วนะ ไม่ถึงครึ่งทางยังแทบตายเลย ถ้ามันเข้าได้ จะมีสภาพอย่างไรหนอ...? กัดฟันโซซัดโซเซต่อไป ตายก็ตายซิวะ...มาถึงขนาดนี้แล้ว ถ้าถอยหลังก็เสียชื่อลูกหลวงพ่อหมด...!
“หลวงปู่...มีพระสมเด็จหางหมากเหลือบ้างมั้ยครับ...?” ผู้กองพงษ์เทพ (พ.ต.พงษ์เทพ พุ่มนิคม) ถามอาตมาที่เพิ่งกลับจากทำวัตรเย็น “โดนปล้นหมดตัวไปตั้งนานแล้ว ใจคอเอ็งจะปล้นซ้ำอีกเรอะ...?”
“ผมเพิ่งกลับจากฝึกภาคสนาม เลยเอาพระของหลวงพ่อไปลองด้วย...” น่าน...เจริญล่ะเอ็ง... “แล้วผลเป็นอย่างไร...?” “ผมเอาพระผูกปากกระบอกเครื่องยิงลูกระเบิด ทั้ง ค.๖๐ ทั้ง ค.๘๑ ยิงไม่ออกทั้งนั้น...!” “ฮื้อ...ปืน ค.มันด้านออกจะบ่อยไป...”
“มันคงไม่ด้านทุกนัดหรอกครับ พอปืนค.ยิงไม่ออก เพื่อนผมใช้ปืนพกยิงเสียงดังเชียะ...ลูกปืนหล่นอยู่แค่ปากกระบอกนั่นแหละ...!” ผลก็คือพระสมเด็จรุ่นนี้ที่มีแค่หนึ่งแสนองค์ หมดเกลี้ยงในพริบตา และขึ้นราคาหูดับไปเลย...!
“ไอ้ก้องไปลองมาแล้วหลวงพี่...” แดงมารายงานให้ทราบ “ก้องมันยิงออกครับ แต่ยิงเท่าไรไม่ถูก ห่างองค์พระเป็นศอกทุกที...” อือม์...แบบนี้ค่อยน่าเชื่อถือหน่อย ไอ้เสือก้อง (ศุภฤกษ์ รัชฎาวงศ์) เชื่อมือได้ มันยิงตอกหัวตะปูได้เลย...!
ในงานเป่ายันต์เกราะเพชร ครั้งที่ ๑๖ คุณธนาวุธ เลิศศิริจินดา เอาภาพ พระสมเด็จหางหมาก และ สมเด็จคำข้าว ที่ขึ้นพระธาตุทั้งองค์มาโชว์ให้ดู เป็นที่ฮือฮากันมากเพราะไม่ใช่ของที่จะเกิดขึ้นได้ง่าย ๆ...
เป็นว่า สิ่งที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงให้เป็นพระธาตุ เพื่อรับรองมรรคผลของหลวงพ่อ ปรากฏครบ ๓ สิ่งแล้ว คือ
๑. ชานหมากของหลวงพ่อ
๒. เกศาของหลวงพ่อ
๓. วัตถุมงคลของหลวงพ่อ


ที่มา http://board.palungjit.com/f23/อานุภาพผ้ายันต์มหาพิชัยสงคราม-239219.html
 


บันทึกการเข้า

หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป: