"พระเมตตา"
หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: "พระเมตตา"  (อ่าน 2289 ครั้ง)
Nattawut-LSV Team
E23IUY
.กลุ่มผู้มีน้ำใจงาม.
member
*

คะแนน808
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3581


อีเมล์
« เมื่อ: ธันวาคม 04, 2009, 07:56:30 PM »



พระเมตตา เล่ม 2

โดย หลวงพ่อพระมหาวีระ ถาวโร

๑. คำนำ

หนังสือ "พระเมตตา" เล่มแรก ได้คัดจากเทปที่หลวงพ่อออกวิทยุหลังจาก พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และ สมเด็จ ฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณล้นเกล้าล้นกระหม่อม เสด็จไปทรงประกอบพิธีบรรจุพระบรมสารีริกธาตุในพระเกศมาลา พระประธาน ที่ อุโบสถใหม่ วัดจันทาราม (วัดท่าซุง) จังหวัดอุทัยธานี และทรงเททองรูปหล่อพระครูวิหารกิจจานุการ (หลวงพ่อปาน แห่งวัดบางนมโค อำเภอเสนา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา) (วันที่ ๖ สิงหาคม ๒๕๑๘ - เว็บวัดท่าซุง เพิ่มเติม)


    อัน เป็นครั้งแรกที่ได้ทรงมีพระราชปฏิสันถารกับหลวงพ่อ ต่อจากนั้นมา ได้มีอีกหลายโอกาสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพบปะกับหลวงพ่อ ซึ่งหลวงพ่อได้นำข้อความ (บางส่วน) มาออกรายการประกอบการสอนธรรมทางวิทยุของท่าน จึงได้คัดเทปที่ออกวิยุมาลงไว้ในหนังสือ "พระเมตตา ๒" นี้


    อย่าง ไรก็ดี ลำดับเรื่องที่หลวงพ่อออกอากาศนั้นออกจะสลับสับสนไปมาอยู่บ้าง ซึ่งหลวงพ่อก็รับว่าบันทึกเทปขณะที่เหน็ดเหนื่อย จึงไขว้เขวสับสน และอาจจะซ้ำกันบ้าง ดังนั้น เพื่อความเข้าใจของท่านผู้อ่าน จึงขอนำลำดับโอกาสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพบปะกับหลวงพ่อไว้ (ต่อจากครั้งที่ ๑ ในหนังสือพระเมตตา) ดังนี้


    ครั้งที่ ๒ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จไปพระราชทานปริญญาบัตรที่ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ประจวบกับการก่อสร้างวิหารที่ ตำบลน้ำน้อย อำเภอหาดใหญ่ สำหรับประดิษฐานพระพุทธรูปที่ พล.อ. บุญชัย บำรุงพงศ์ และคุณหญิง เป็นผู้สร้างสำเร็จลงพอดี (วันที่ ๒๖ สิงหาคม ๒๕๑๙ - เว็บวัดท่าซุง เพิ่มเติม)


    ท่านผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลา จึงได้กราบทูลอัญเชิญพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวไปทรงประกอบพิธีบรรจุพระบรม สารีริกธาตุในพระเกศพระพุทธรูปนั้น ในโอกาสนั้นได้ทรงมีพระราชปฏิสันถารกับหลวงพ่อด้วยข้อธรรมะอยู่เป็นเวลา ประมาณ ๔๕ นาที ในครั้งนั้นมีพระอื่นอีกหลายองค์ เช่น หลวงปู่วงศ์ หลวงปู่ธรรมไชย หลวงปู่คำแสน หลวงปู่ชุ่ม พระครูปัญญาภรณ์โสภณ วัดเทพศิรินทร์ และเจ้าคุณธรรมวราลังการ วัดบุปผาราม เป็นต้น


    ครั้งที่ ๓ ม.จ. ภีศเดช รัชนี และเจ้าหน้าที่สถานีทดลองทางการเกษตร โครงการหลวงพัฒนาชาวเขาที่ดอยอ่างขาง จะได้จัดการทำบุญสถานีเป็นครั้งแรก และในการนี้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนางเจ้า ฯ พระบรมราชินีนาถ และสมเด็จพระเจ้าลูกเธอทั้งสองพระองค์ จะได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ เสด็จพระราชดำเนินมาทรงประกอบพิธีด้วยพระองค์เอง


    ทางเจ้าหน้าที่จึงได้นิมนต์ หลวงพ่อพระมหาวีระ ถาวโร หลวงปู่คำแสน หลวงปู่วงศ์ ครูบาธรรมไชย และท่านมหาทองปอน เนื่องจากเป็นระยะเวลาพ้องกับที่หลวงพ่อรับนิมนต์ พระองค์หญิงวิภาวดี รังสิต ไป เยี่ยมราษฎรในถิ่นกันดารของสุโขทัย จึงมีเฮลิคอปเตอร์รับจากสุโขทัยไปที่อ่างขางและส่งกลับ ณ ที่ดอยอ่างขาง ทรงซักถามเรื่องธรรมะกับหลวงพ่อพระมหาวีระอยู่เป็นเวลาประมาณ ๓ ชั่วโมง การบรรยายของหลวงพ่อในตอนนี้ จึงมีการคาบเกี่ยวกันระหว่างสุโขทัยกับดอยอ่างขาง (๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๒๐)


    ครั้งที่ ๔ เมื่อ ๒๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๒๐ สมเด็จพระบรมราชินีนาถ ทรงมีพระราชเสาวนีย์ ขอนิมนต์หลวงพ่อไปที่ตำหนักภูพิงค์ราชนิเวศน์ ในครั้งนั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงไต่ถามข้อธรรมะอยู่เป็นเวลาประมาณ ๕ ชั่วโมง


    ครั้งที่ ๕ เมื่อ ๒ เมษายน ๒๕๒๐ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอเจ้าฟ้าสิรินธรเทพรัตนสุดา ฯ ทรงนิมนต์ หลวงพ่อ กับ หลวงปู่ธรรมไชย ไปในพิธีเปิดที่ทำการ มูลนิธิสายใจไทย ในตอนเช้า และในวันนั้น มีฎีกานิมนต์ทั้งสององค์ไปในพิธีบำเพ็ญพระราชกุศลเกี่ยวกับ พระสยามเทวาธิราช ที่พระที่นั่งไพศาลทักษิณ ในโอกาสนั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงสนทนาธรรมกับหลวงพ่อ หลวงปู่ เป็นเวลาประมาณ ๓ ชั่วโมง


    ครั้งที่ ๖ เมื่อ ๒๔ เมษายน ๒๕๒๐ พล.ร.อ. จิตต์ สังขดุลย์ ในนามของคณะศิษย์ ได้กราบบังคมทูลอัญเชิญพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงประกอบพิธีตัดลูกนิมิต ผูกพัทธสีมา ณ อุโบสถ วัดจันทารามอันเป็นเรื่องต่อเนื่องกับครั้งที่ ๑ ในโอกาสนี้ ทรงมีพระราชปฏิสันถารกับหลวงพ่อ ๒ วาระ ประมาณวาระละ ๑๐ นาที ในโอกาสเดียวกันทรงมีพระราชดำรัสว่า เทปคำสอนธรรมะของหลวงพ่อนับว่ามีประโยชน์มาก สมควรจะเผยแพร่ ดังนั้น จะทรงถวายเครื่องถ่ายเทป ๑ ชุดเพื่อให้ใช้ในการนี้


    ครั้งที่ ๗ เมื่อ ๑๒ พฤษภาคม ๒๕๒๐ เจ้าหน้าที่นัดให้หลวงพ่อและคณะดำเนินการเรื่องเทปเข้าเฝ้าที่ พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน เพื่อรับพระราชทานเครื่องถ่ายเทป ในโอกาสนี้ได้เข้าเฝ้าอยู่ประมาณ ๒ ชั่วโมงครึ่ง เพราะทรงมีหัวข้อธรรมะที่สนทนาด้วย (สำหรับครั้งที่ ๗ นี้ มิได้รวมอยู่ใน "พระเมตตา ๒" ด้วย


    เมื่อได้ลำดับการเข้าเฝ้าได้ดังนี้แล้ว เชื่อว่าท่านผู้อ่านคงจะสามารถอ่าน "พระเมตตา ๒" โดยมีความเข้าใจที่กระจ่างชัด


บันทึกการเข้า

Nattawut-LSV Team
E23IUY
.กลุ่มผู้มีน้ำใจงาม.
member
*

คะแนน808
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3581


อีเมล์
« ตอบ #1 เมื่อ: ธันวาคม 04, 2009, 08:00:03 PM »

บทที่ ๑



    วันนี้ จะปรารภกับบรรดาท่านพุทธบริษัท ถึงความเป็นมาของศูนย์ศิษย์หลวงพ่อปาน วัดบางนมโค อำเภอเสนา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ซึ่งตั้งอยู่ ณ ที่วัดท่าซุง อำเภอเมือง จังหวัดอุทัยธานี

    สำหรับวัดนี้ ตั้งขึ้นก็เพื่อรวมกับวัดท่าซุง ไม่ใช่แบ่งไม่ใช่แยก เป็นการสร้างเสริมวัดท่าซุงให้ใหญ่โตยิ่งขึ้นตามกำลัง ของบรรดาท่านพุทธบริษัทผู้มีความศรัทธาที่ได้ให้การสนับสนุนตลอดมา

    บัดนี้ การก่อสร้างได้เสร็จเรียบร้อยลงแล้ว เดิมทีเดียวให้นาม ว่า ศูนย์ศิษย์หลวงพ่อปาน เพื่อให้เป็นกำลังใจแก่ท่านพุทธบริษัท แล้วก็เป็นการรวมกำลังใจของบรรดาศิษยานุศิษย์ของหลวงพ่อปาน ซึ่งเป็นเหตุให้บรรดาประชาชนทั้งหลายเข้าใจผิด คิดว่าสถานที่นี้สร้างแบ่งแยกแตกออกไปจากวัดท่าซุงเดิม แต่เนื้อแท้จริง ๆ ก็เป็นส่วน ที่รวมกับวัดท่าซุงนั่นเอง

    นอกจากสร้าง ศูนย์ศิษย์หลวงพ่อปานแล้ว ภายในระยะ ๓ ปี ก็ร่วมกันสร้างศูนย์แม่และเด็กสมเด็จพระยุพราชขึ้นอีก รวมเวลาก่อสร้างสถานที่สองแห่งนี้ร่วมกันใช้เวลา ๓๓ เดือน ถ้าจะนับโดยปี ก็ใช้เวลา ๓ ปี

    การก่อสร้างทั้งหมดเฉพาะในด้านตะวันตก ไม่คิดด้านตะวันออกของถนนมโนรมย์-อุทัยธานี มีมูลค่าทั้งสิ้น ๑๕ ล้านบาทเศษ ทั้งศูนย์ศิษย์หลวงพ่อปาน และศูนย์แม่และเด็ก สมเด็จพระยุพราช การก่อสร้างนี้บรรดาช่างก่อสร้างได้มาคำนวณและพิจารณาแล้ว อาตมาได้แจ้งให้ทราบว่าใช้เงินค่าก่อสร้างจริง ๆ ๑๕ ล้านบาทเศษหรือ ๑๖ ล้านบาท คือไม่เกิน ๑๖ ล้าน

    นายช่างผู้รับเหมาต่าง ๆ พากันงุนงง ถึงกับมีนายช่าง ๒ ช่างเป็นผู้รับเหมา และนายช่างของทางราชการอีก ๒ ท่านมาถามตรง ๆ ว่า ทำไมมันถึงผิดจากความเป็นจริงไปมาก เพราะค่าก่อสร้างเฉพาะศูนย์ศิษย์ หลวงพ่อปาน เมื่อคำนวณแล้ว ราคาควรจะไม่น้อยกว่า ๓๐ ล้าน ถ้าแถมศูนย์แม่และเด็กสมเด็จพระยุพราชเข้าด้วยก็จะมีราคาไม่น้อย กว่า ๔๐ ล้าน ความจริงอาตมาก็ไม่ปฏิเสธเรื่องนี้ ทั้งนี้เพราะทราบราคารับเหมาได้ดี แต่การก่อสร้างที่ทำนี้ไม่ใช่ราคาเหมา เป็นราคา ศรัทธา

    ทั้ง นี้ก็เพราะว่า ทุนรอนที่ได้นำมาก่อสร้างก็ได้มาจากศรัทธาของบรรดาท่านพุทธบริษัททั่วประเทศ ไทย ทางด้านสาย เหนือ จากเชียงรายลงมา สายใต้ ถึงนราธิวาส ด้านตะวันออกตราด ด้านตะวันตกก็กาญจนบุรี ซึ่งจะดูบัญชีกันแล้วก็เป็นศรัทธาของ บรรดาท่านพุทธบริษัททั่วประเทศ ถึงแม้ว่าจะไม่ใช่ทุกคน แต่ก็ทั่วเกือบทุกจังหวัดในประเทศไทย

    ท่าน เหล่านั้นพากันส่งจตุปัจจัยมา บ้าง มาด้วยตนเองบ้าง ทุกจังหวัด ก็ถือได้ว่าศาสนสมบัติขององค์สมเด็จพระบรมโลกนาถส่วนนี้ ทั้งวัดก็ดีทั้งบริเวณโรงพยาบาลก็ดี เกิดขึ้นได้จากศรัทธาของบรรดาท่านพุทธบริษัท เงินที่ได้มา ได้ด้วยศรัทธา ช่างผู้ก่อสร้างก็ทำด้วยศรัทธา โดยคิดค่าแรงงานน้อยกว่าที่ เขารับเหมากัน หมายความว่าช่างที่ทำงานทุกคนและทุกราย ต่างก็ตั้งใจทำกุศล รับค่าแรงงานน้อยกว่าที่รับเหมากันตามธรรมดา

    สำหรับ วัตถุก่อสร้าง อาตมาและบรรดาท่านพุทธบริษัทผู้มีศรัทธาเป็นผู้จัดหา การควบคุมงาน อาตมาเป็นผู้อำนวยการควบคุมเอง แล้ว ก็ให้ท่านผู้ชำนาญงานช่วยดูแลงาน เมื่อไม่ต้องผ่านผู้รับเหมา การคำนวณกำไร และการคิดเผื่อค่าของขึ้นราคาและค่าแรงงานขึ้นก็ไม่มี งานก่อสร้างก็ทำเพิ่ม

    คือไม่ตัดทอนวัตถุก่อสร้างลงมา มีแต่เพิ่มให้แข็งแรงยิ่งขึ้น ฉะนั้นราคาจึงถูก ที่ถูกนี้ ไม่ได้ลดราคาค่าของ ของในท้องตลาดราคาเท่าไร ซื้อเท่านั้น แต่ดูเหมือนว่าบรรดาท่านพ่อค้าคงจะขายให้ในราคาพิเศษ เพราะตามที่พิจารณาตามราคาในท้องตลาด ของทุกอย่างที่ซื้อมารู้สึกว่าลดหย่อนผ่อนลงไปมาก

    แสดง ว่าบรรดาพ่อค้าทั้งหลายก็ร่วมบำเพ็ญกุศลในการก่อสร้างด้วย มิได้หวังที่จะหากำไร โดยเฉพาะอย่างยิ่งร้านค้าไม้แปรรูปพนาโชค ท่านผู้จัดการได้คอยมาดูอยู่เสมอถึงวัตถุที่ใช้ในการก่อสร้างทั้งหมด พยายามควบคุมมิให้ช่างใช้ของเปลืองเกินไป ทั้งนี้ ความจริงท่านเป็นผู้ขายวัตถุก่อสร้างให้เป็นส่วนใหญ่

    แต่ ทว่าท่านก็ไม่ยอมให้ใช้ ของเปลืองมาก เช่นไม้แบบ ถ้าใช้น้อยลงได้ก็ให้ใช้น้อยลง ไม่ให้ใช้ของใหม่ทั้งหมด คือย้ายจากจุดนี้ไปจุดโน้น จนกว่าไม้จะใช้ไม่ได้ อีก ท่านหนึ่งที่น่าขอบใจ ก็คือท่านกำนันเยี่ยม เกิดนิยม ท่านผู้นี้มาทำการรับเหมาแต่ทว่าช่างของท่านทำงานทุกอย่างโดยทะนุถนอมของ ใช้ ที่ราคาถูกลงได้ส่วนหนึ่งก็อาศัยศรัทธาของท่านนายช่าง และศรัทธาของร้านค้า

    จากนั้นก็เป็นศรัทธาของบรรดาภิกษุ สามเณรเพราะว่าในขณะที่ทำงาน ก็มีบรรดาภิกษุสามเณรในวัดทั้งหมดที่ยังคง อยู่ในวัดในปัจจุบันก็ดี ที่สึกออกไปแล้วก็ดี ที่ย้ายไปแล้วก็ดี ร่วมกันทำงานตากแดดตากฝน ต้องทนต่อความร้อน มีแต่ความเหน็ด เหนื่อยแต่ก็ไม่มีความย่อท้อ

    แต่ทั้งนี้ ก็ต้องอนุญาตให้ใช้ของกันความร้อน คือสวมหมวก หรือใช้ผ้าเหลืองปกคลุมเป็นเสื้อ เรื่องนี้ ก็มีพระบางท่านเข้ามาในวัด ถามว่านี่ตัวอะไร ก็น่าแปลกใจ อันนี้บางทีเขาจะคิดว่าผิดวินัย อันนี้ก็ยอมผิด แต่มันผิดตรงไหนล่ะ ? อันนี้เป็นการคลุมเพื่อปกปิดความร้อน ถ้าหากจะถือว่าผิด ก็ควรจะถืออีกจุดหนึ่ง ที่ผิดยิ่งไปกว่านั้นคือ

    ที่ ท่านทั้งหลายไม่ปฏิบัติตามพระธรรมวินัย คือบวชเข้ามาแล้วมัวเมาในทรัพย์สิน มัวเมาในสักการะ อย่างนี้น่าจะผิดไหม ? ท่านที่ทำงานอย่างนั้นจะสวมหมวก จะสวมเสื้อกัน ความร้อน ก็ไม่เห็นจะมีความผิดตรงไหน เมื่อคอยจะมองว่าผิดก็เชิญ ตามใจ ไม่ได้วิตกกังวลอะไร

    เป็น อันว่าศูนย์ศิษย์หลวงพ่อปานซึ่ง อยู่ในเครือของวัดท่าซุงหรือวัดจันทาราม อำเภอเมือง จังหวัดอุทัยธานี แล้วก็ศูนย์แม่และเด็กสมเด็จพระยุพราช ที่ตั้งขึ้นก็เพราะอาศัย คณะศิษยานุศิษย์ของหลวงพ่อปาน และบรรดาท่านพุทธบริษัททุกท่านร่วมมือกันทั่วประเทศ

    บัด นี้งานเสร็จเรียบร้อยแล้ว เหลือแต่ทาง ราชการจะมาสร้างตึกอีกหลังหนึ่งที่ศูนย์แม่และเด็ก เป็นตึกสูติกรรม ๓๐ เตียง ทีนี้ในงานนี้ ความดีที่พึงได้ทั้งหมด อาตมาก็ขอถวายแด่ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทั้งนี้เพราะอะไร

    เพราะ ว่าทุกท่านที่มาร่วมกุศลทั้งหมดก็เพราะปรารภความดีที่องค์สมเด็จพระชินสีห์ บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบำเพ็ญมาและท่านผู้กระทำเองก็เป็นศากยบุตรพุทธ ชิโนรส อาตมาเองก็ถือว่าเป็นลูกของ พระพุทธเจ้า ความดีใด ๆ ผลใด ๆ ที่บังเกิดขึ้นจากการกระทำนี้

    อาตมาถือว่าเป็นความดี ขององค์สมเด็จพระชินสีห์บรมศาสดา ที่ทรง แนะนำสั่งสอนมาให้ประพฤติปฏิบัติ เป็นเหตุให้บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายเกิดความเลื่อมใสร่วมใจกันสร้าง ถาวรวัตถุใน พระพุทธศาสนา นี่เป็นเหตุอันหนึ่งที่แจ้งบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายถ้วนหน้าทราบ ว่ามีความเป็นมาอย่างนี้

    ที่นี้ หนังสือเล่มนี้ ให้ชื่อว่าหนังสือ "พระเมตตา" ก็เพราะว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จ พระบรมราชินีนาถ ประกอบไปด้วยพระเจ้าลูกยาเธอ พระเจ้าลูกเธอทุกพระองค์เคยเสด็จมาสงเคราะห์แล้วสองวาระ

    คือใน วาระต้น เมื่อวันที่ ๑๐ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๑๘ แล้วก็ วาระที่ ๒ เมื่อวันที่ ๒๔ เมษายน พ.ศ. ๒๕๒๐ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระบรมราชินีนาถ และสมเด็จพระยุพราช (พระบรมโอรสาธิราช) ได้เสด็จมา

    สำหรับ เมื่อวันที่ ๑๐ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๑๘ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระบรมราชินีนาถและพระเจ้าลูกเธอทั้งสองพระองค์เสด็จมา เพราะระหว่างนั้นสมเด็จพระ ยุพราชยังทรงศึกษาอยู่ต่างประเทศ อาศัยพระเมตตาบารมีที่พระบาทสมเด็จเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระบรมราชินีนาถ พระบรมโอรสาธิราช พระเจ้าลูกเธอทั้งหมดที่ทรงสงเคราะห์ ก็เป็นปัจจัยอันหนึ่งที่สร้างความชุ่มชื่นให้แก่บรรดาท่านพุทธบริษัท แต่ก่อนที่จะพูดถึงการเสด็จ ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ก็จะขอกล่าวตอนเริ่มต้นงานสักนิดหนึ่ง

    การเริ่มงานปีนี้ วันที่ ๒๔ เมษายน ๒๕๒๐ เป็นวันตัดนิมิต วันที่ ๑๖ เมษายนเป็นวันเริ่มงาน การจัดงานเป็นงานที่ แปลกที่สุด ความจริงไม่ได้ตั้งใจจะให้แปลก มันแปลกเอง คืองานฝังลูกนิมิตหรืองานผูกพัทธสีมา ที่ไหน ๆ เขาก็โฆษณากันมีทั้งป้าย ใหญ่ป้ายเล็ก มีฎีกาแจกกัน มีหนังสือประกาศแจก ประกาศสถานีวิทยุกระจายเสียง หรือประกาศในหนังสือพิมพ์ แต่อาศัยที่ยุ่งในงาน เสียจนเพลินไปทุกคนผู้จัดงานลืมไปหมด

    สำหรับ ผู้จัดงาน ประธานในงานก็คือ พลเรือเอก จิตต์ สังขดุลย์ ปลัดกระทรวงกลาโหม รอง ประธานได้แก่ พลอากาศโท หม่อมราชวงศ์ เสริม สุขสวัสดิ์ เจ้ากรมการสื่อสารทหาร ซึ่งเป็นประธานในการก่อสร้าง หรือประธานทายก และคณะทายกทายิกาทั้งหมดที่ร่วมงาน ลืมไปหมด เพราะยุ่งเกี่ยวกับงานขอพระราชทานวิสุงคามสีมา

    ทั้งนี้ เพราะอะไร ? เพราะว่า เป็นการขอในระยะกระชั้นชิด มีเหตุบางอย่างในระยะต้น ๆ เกือบจะบั่นทอนให้งานผูกพัทธสีมานี้ต้องเลิกล้มไป ทั้งนี้เพราะว่างานมัน เสร็จกระชั้นเกินไป ในตอนแรกจึงไม่กล้าที่จะนิมนต์พระ ไม่กล้าที่จะทำอะไรทั้งหมด เกรงว่าหนังสือที่ขอพระราชทานวิสุงคามสีมาจะตกมาไม่ทัน นี่เป็นอุปสรรคสำคัญ

    หนังสือขอพระราชทานวิสุงคาม สีมากระชั้นงานทุกอย่างจึงไม่มีการประกาศ และในช่วงระหว่างงาน ก็มีหลายท่านบอกว่า ที่มานี่น่ะ ไม่ได้ทราบว่ามีงานดอกขอรับ ที่มาก็เพราะว่าตั้งใจจะมานมัสการหลวงพ่อ มาจากจังหวัดแพร่บ้าง มา จากจังหวัดแม่ฮ่องสอนบ้าง แล้วก็มาจากอุดรธานีบ้าง มาจากสุราษฎร์ธานีบ้าง จากจังหวัดตรังบ้าง อย่างนี้เป็นต้น

    หลายท่านด้วยกัน บอกว่าไม่ทราบว่ามีงาน แต่ที่สำคัญที่สุดที่ไม่ได้ประกาศงาน นั่นก็คือบรรดาท่านพุทธบริษัทจังหวัดฉะเชิงเทรามา ๑ คันรถบัส ประมาณ ๘๐ คนเศษ มาถึงก็จอดอยู่หน้าวัดในระหว่างงาน เป็นวันที่ ๔ ของงาน จอดอยู่กลางถนนไม่กล้าลง

    ในที่สุดเจ้าหน้าที่ไป ติดต่อ บอกว่าเชิญลงได้ เขาจึงส่งผู้แทนมา ๒-๓ คน ถามว่างานวัดนี้เริ่มหรือยัง หรือว่าเลิกแล้ว เพราะว่าเงียบ เสียงมหรสพก็ไม่มี เสียง ขยายเสียงเปี้ยวป๊าว ๆ ก็ไม่มี เป็นงานที่เงียบสงัด

    อาตมาก็นั่งรับแขกอยู่ทีศาลานวราช ฯ และนอกจากมีเจ้าหน้าที่นั่งอยู่ตามที่แล้ว ก็มีบรรดาท่านพุทธบริษัทเดินไปเดินมาอยู่ระหว่างสถานที่ต่าง ๆ สัก ๓๐ คน เป็นเหตุให้บรรดาท่านพุทธศาสนิกชนเหล่านั้นสงสัยว่างานจะไม่มี

    เมื่อ ท่านมาถาม จึงได้แจ้งอยู่ว่างานกำลังมีอยู่ ยังไม่เลิก เขาจึงได้ไปแจ้งให้บรรดาพวกของเขาลงมา แล้วมาก็บำเพ็ญกุศล นี่ งานที่แปลก แปลกตรงนี้คือเป็นงานที่ไม่มีโฆษณาแต่ก็เป็นเหตุน่าอัศจรรย์ใจ

    วัน ต้น คือ เสาร์-อาทิตย์ แรก มีบรรดาท่านพุทธบริษัทไป บำเพ็ญกุศลถึง ๑ แสน ๙ หมื่นบาทเศษ ต่อมา ในช่วงระหว่างวันจันทร์ถึงศุกร์ มีคนเพียงห้า-หกสิบคนบ้าง แปดสิบคนบ้าง ไม่ถึงร้อยคนสักวัน แต่ก็มีการบำเพ็ญกุศลกันวันละ ๗ หมื่นบ้าง ๖ หมื่นบ้าง มีอยู่วันเดียวได้ ๔ หมื่นเศษ

    นี่เป็นอันว่าคนที่มาบำเพ็ญกุศล ไม่ได้มาเพื่อดูมหรสพ เพราะไม่มีมหรสพให้ชม ไม่ได้มาเนื่องด้วยการโฆษณา มาด้วยศรัทธาแท้ ความจริงงานนี้ก็เป็นที่พอใจของอาตมา เหมือนกันเพราะถูกใจ ไม่อยากจะเอะอะโวยวาย

    เมื่องานจวนจะเริ่มขึ้น หรือว่าเริ่มขึ้นแล้ว สำนักพระราชวังมา เพื่อจัดเตรียมสถานที่สำหรับการเสด็จมาของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เดิมทีเดียวอาตมาเอง กับคณะกรรมการจัดงานก็คิดว่าจะจัดที่ถวายดังนี้ คือ

    บรรดา พระราชาคณะกับสมเด็จพระราชาคณะ มีสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ วัดสามพระยา เป็นประธาน นั่งรับเสด็จ ในพระอุโบสถ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเข้าพระอุโบสถทรงศีล แล้ว พล.ร.อ. จิตต์ สังขดุลย์ ถวายรายงาน เสร็จแล้วทรงตัดนิมิต แล้วเสด็จออกมาศาลาจตุรมุข ที่อาตมาสร้างเป็นอนุสรณ์ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระบรมราชินีนาถ พร้อมด้วยสมเด็จ พระเจ้าลูกเธอ เสด็จมาประทับที่ตรงนั้นในปี พ.ศ. ๒๕๑๘ แล้วทรงรับเงินโดยเสด็จพระราชกุศล

    ใน งานนี้ อาตมาตัดรายการทั้งหมดที่จะ ไปทรงเปิดศูนย์แม่และเด็กที่ถวายแด่สมเด็จพระยุพราช เพราะเกรงว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระบรมราชินีนาถจะ ไม่มีโอกาสเยี่ยมประชาชน ขอร้องให้เขาจัดรายการอย่างเดียวคือทรงตัดนิมิตที่นี้

    การ ตัดนิมิตก็เตรียมไว้อย่างนี้ คือทรงตัดนิมิตลูก กลางลูกเดียว ให้อีก ๘ ลูกรอบนอกลงพร้อมกันหมด โดยใช้สายสิญจน์โยงไว้ แต่การที่เตรียมไว้ไม่ได้เป็นไปตามนั้น เพราะเจ้าหน้าที่ สำนักพระราชวังที่มาเห็นว่าการจัดอย่างนั้นไม่เหมาะสม

    จึง จัดให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จไปประทับที่ศาลาเรียงข้างพระอุโบสถ ด้านทิศใต้ สมเด็จพระราชาคณะ และพระราชาคณะรับเสด็จที่นั่น พระคณาจารย์ รับเสด็จที่ศาลาเรียงข้างพระอุโบสถด้านทิศ เหนือ หลังจากเสด็จเข้าศาลาเรียงแล้ว

    จึงเสด็จเข้าตัดนิมิต ส่วนการตัดนิมิต ส่วนการตัดนิมิตคราวเดียว ๙ ลูก สำนักพระราชวังเกรงว่า จะเกิดอันตรายแก่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ความจริงเรื่องนี้ทางคณะกรรมการทั้งหมดก็ทดลองกันแล้ว ทำแล้วลองตัดดูไม่มี อันตราย

    เมื่อทางสำนักพระราชวังเกรงว่าสายสิญจน์จะไป ปัดเอาพระพักตร์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเข้า ความจริง คณะกรรมการที่จัดทำลองตัดกันแล้วลองตัดกันอีก ไม่มีอันตรายตามนั้น แต่ทางเจ้าหน้าที่สำนักพระราชวังท่านไม่ได้อยู่ด้วย เรื่องเกรง อันตรายอันนี้อาตมาก็เห็นใจจึงไม่มีการฝ่าฝืน ไม่มีการคัดค้านเพราะว่าเวลาทดลองท่านไม่ได้อยู่ด้วย ถ้าบังเอิญเหตุนั้นมีเข้าก็ย่อมถือ ว่าเป็นความบกพร่องของสำนักพระราชวัง

    เมื่อ ท่านขอเปลี่ยนแปลงให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงตัดลูกเดียวคือลูกกลาง จึงได้ปฏิบัติตามใจท่าน แต่ความจริงในตอนต้นคิดว่าถ้าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงตัดลูกกลางลูก เดียว ก็จะได้อัญเชิญสมเด็จ พระบรมราชินีนาถทรงตัดลูกหน้าพระอุโบสถ แต่การต้องเปลี่ยนแปลงโดยกะทันหัน เพราะเป็นเวลาที่จะเข้างาน คือตัดนิมิตในวันนั้น

    จึงกราบทูลอัญเชิญให้สมเด็จพระ บรมราชินีนาถทรงตัดนิมิตในวันนั้นไม่ทัน ก็เป็นที่น่าเสียดาย ถ้าได้ทราบว่าสมเด็จพระยุพราชเสด็จมา ด้วย ก็จะได้ขอทูลเชิญให้ตัดนิมิตอีกลูกหนึ่ง หรืออาจจะเป็นทุกลูกก็ได้ แต่นี่ไม่ทราบมาก่อน จึงเป็นอันว่าเรื่องนี้ก็ผ่านไป

    ต่อ มา เมื่อวันที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจะเสด็จ เดิมทีมีหมายกำหนดการมาว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระบรมราชินีนาถ จะเสด็จจากหัวหินโดยเครื่องบินปีกหมุน (เฮลิคอปเตอร์) โดยลงเติมน้ำมันที่สนามบินกอง ๔ ตาคลี

    เห็น เจ้าหน้าที่มาดูสถานที่ อาตมาก็ชี้สถานที่ว่าที่ศูนย์แม่และเด็ก สมเด็จพระยุพราชมีลานกว้างที่มี ฮ. มาลงรับอาตมาที่นี่หลายวาระ ลงได้ สบาย ๕ เครื่องก็ลงได้ แต่เจ้าหน้าที่พิจารณาแล้ว เห็นว่าไม่สมควร จึงจัดให้ไปลงที่จังหวัดอุทัยธานี

    เรื่องนี้ อาตมาไม่วิจารณ์ เพราะว่า นั่นเป็นเรื่องของความเหมาะสม ของท่านเจ้าหน้าที่ฝ่ายบ้านเมือง ที่อาตมาเห็นว่าเครื่องควรจะลงที่ศูนย์แม่และเด็ก ๆ ก็เพราะว่า มีรั้วรอบขอบชิด มีกำแพงรอบบริเวณ แต่ท่านมีความเห็นไม่ตรงกัน ก็ไม่เป็นไร

    แต่ทว่ามาภายหลัง พระบาทสมเด็จ พระเจ้าอยู่หัวทรง เปลี่ยนหมายกำหนดการว่าจะเสด็จโดยรถยนต์ เข้าวัดจันทารามก่อน เป็นอันว่าหมายกำหนดการเลื่อนไปอีก ๑ ชั่วโมง หมายกำหนดการแรก จะเสด็จถึงวัดจันทารามหรือวัดท่าซุง เวลา ๑๓.๓๐ น. หมายกำหนดการหลังเสด็จถึงวัดท่าซุง เวลา ๑๔.๓๐ น.

    แล้ว ในการมาตรวจสถานที่ อาตมาก็ไม่ได้พบกับเจ้าหน้าที่สำนักพระราชวังและเจ้าหน้าที่ของจังหวัด เพราะว่าไป คอยอยู่บนศาลานวราช ฯ ท่านมา ท่านก็ไปดูสถานที่กันเอง แต่ความจริงนั่นก็เป็นเรื่องของท่านโดยเฉพาะ อาตมาก็เพียงว่าหากท่าน สงสัยแล้วถามก็แจ้งให้ท่านทราบ มาทราบภายหลังว่าท่านเขียนหมายกำหนดไว้ว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จ พระบรมราชินีนาถจะเสด็จประทับอยู่ที่วัดท่าซุงนับตั้งแต่มาถึงกลับเป็นเวลา ๑ ชั่วโมง

    นี่อาตมาก็คิดว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชประสงค์เพียงเท่านั้น ก็ไม่ได้ติดใจสงสัย เพราะเป็นเรื่องธรรมดา ถ้า เกี่ยวกับหมายกำหนดการแล้วอาตมาไม่ทราบ คือไม่รู้ ต้นสายปลายเหตุว่าหมายกำหนดการนี่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงกำหนดเอง หรือผู้อื่นกำหนดถวาย อันนี้ทราบไม่ได้ เพราะไม่เคยทราบเรื่อง

    แต่ เวลาที่เสด็จมาจริง ๆ กับประทับอยู่นานเกินกว่านั้น จะเสด็จมาถึงเวลาเท่าใดแน่ อาตมาไม่มีนาฬิกาดู แต่ว่ากว่าจะกลับออกจากวัดท่าซุงไปได้ เมื่อได้ยินเสียงมโหระทึกและเพลงสรรเสริญพระบารมี แสดงว่าพระองค์เสด็จกลับออกไปหน้าวัด เวลานั้น ถามเรืออากาศเอก สงบ สุวรรณแสง ว่าเวลาเท่าไร เธอแจ้งบอกว่าเวลานี้ ๑๗ นาฬิกาเศษแล้วขอรับ เป็นอันว่าพระบาทสมเด็จพระ เจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระบรมราชินีนาถ เสด็จอยู่ที่วัดนี้เยี่ยมเยียนประชากรของพระองค์สิ้นเวลา ๒ ชั่วโมงเศษ


บทที่ ๒



    ท่าน พุทธศาสนิกชนทั้งหลาย วันนี้คงพบกับบรรดาท่านพุทธบริษัทเรื่องพระเมตตาตามเดิม สำหรับวันที่แล้วได้ ปรารภในด้านอารัมภบทความเป็นมาและหมายกำหนดการของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่ หัว

    สำหรับวันนี้ ก็จะนำข่าวก่อนที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจะเสด็จมาเล่าให้บรรดาท่านพุทธ บริษัทได้ทราบ ในเมื่อได้ฟังเรื่องนี้แล้ว ขอบรรดาท่านพุทธบริษัทจงอย่าได้แสดงความหวั่นไหวในจิต เพราะองค์สมเด็จพระบรมสามิตทรงแนะนำไว้ บอกว่า จงอย่าถือมงคลตื่นข่าว

    ข่าว ก็มีอยู่ว่า ก่อนที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระบรมราชินีนาถจะเสด็จ พอได้ทราบว่าจะเสด็จ แน่ ก็มีข่าวมาจากหลายกระแส เป็นผู้หวังดี มาแจ้งให้ทราบว่าการที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จมาคราวนี้ จะมีบุคคลปองร้าย ลอบปลงพระชนม์พระองค์และสมเด็จพระบรมราชินีนาถ และว่าถ้าบังเอิญเสด็จมาทุกพระองค์ เขาก็จะปลงพระชนม์ทั้งหมด

    วิธี การที่จะใช้ก็คือใช้ปืนไร้แรงสะท้อน ๓ กระบอก ตั้งอยู่ ๓ จุด มีศูนย์ตรงกับบริเวณศูนย์ศิษย์หลวงพ่อปาน แล้วมีเจ้าหน้าที่ของเขาใช้วิทยุ ติดต่อแจ้งข่าวว่าเวลานี้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระบรมราชินีนาถ และสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชเสด็จมาถึงแล้วหรือยัง ถ้ามาถึงแล้วปืนไร้แรงสะท้อนจะยิงมาพร้อมกันทั้ง ๓ ทิศ

    และ ถ้ากิจนี้ทำไม่ได้ เขาก็จะใช้คนกล้าตายเข้าปลงพระชนม์พระองค์ในหมู่ คนและพร้อมที่จะตายร่วมกัน คือผู้ปลงพระชนม์ก็พร้อมที่จะตายด้วย ข่าวนี้มาจากหลายกระแสด้วยกัน มาแจ้งข่าวกับอาตมาว่า ต้องช่วยกันระวังป้องกันพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

    ถ้า บังเอิญพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็ดี สมเด็จพระบรมราชินีนาถก็ดี หรือ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชก็ดี เป็นอะไรลงไป เป็นการบาดเจ็บก็ดี การเสียพระชนม์ชีพก็ดี ของพระองค์ใดพระองค์หนึ่ง ถ้ามีขึ้นก็จะ โยงไปถึงอาตมาว่าเป็นต้นเหตุให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระบรม ราชินีนาถเสด็จมา ย่อมจะมีโทษให้อาตมาหัวขาด หรือถูกยิงเป้า

    เมื่อ ฟังข่าวนี้ บรรดาท่านพุทธบริษัท อาตมาก็ไม่ได้วิตกอะไร เพราะเชื่อมั่นในความสามารถของเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยไม่ว่าจะไปที่ไหน ก็ปรากฏว่ามีข่าวนี้เสมอและในที่บางจุด ซึ่งอาตมาจะไม่ขอบอกว่าเป็นที่ไหน

    ซึ่ง พระบาทสมเด็จพระ เจ้าอยู่หัว เคยรับสั่งกับอาตมาที่ภูพิงค์ราชนิเวศน์ เมื่อวันที่ ๒๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๒๐ ว่า ในขณะก่อนจะเสด็จไปบางที มีข่าวลือว่ามีคนคิดจะปลงพระชนม์พระองค์และสมเด็จพระบรมราชินีนาถโดยเสี่ยง เอาชีวิตเข้าแลกชีวิต

    พระองค์มีพระราชดำรัสว่า ถ้าเราไม่ไปก็จะกลายเป็นผู้แพ้หากข่าวนี้เป็นข่าวจริง แต่ถ้าเป็นข่าวลือ เราก็จะเป็นผู้แพ้มากขึ้น เพียงแค่เขาออกข่าวนิดเดียว เราก็กลัวกันเสียแล้ว นี่น้ำพระทัยของพระองค์ใสเป็นแก้ว พระองค์ทรงมีพระราชดำริว่าการทุกอย่าง

    เมื่อพระองค์ทรง ทำดีแล้ว คือทำเพื่อสงเคราะห์ปวง ประชากร พระราชกิจที่พระองค์ทรงกระทำ ไม่ได้ทรงกระทำเพื่อประโยชน์ส่วนพระองค์ แต่ทำเพื่อประชาชนทุกคนทุกชั้น ทุกวัย ที่มี พระราชดำริเช่นนี้ เราก็ควรจะนึกได้ว่าพระราชภารกิจทั้งหลายของพระองค์ที่ทรงกระทำไป หากจะทรงหวังความสุขส่วนพระองค์แล้วก็ ไม่ต้องเสด็จไปตามที่ต่าง ๆ ให้ลำบาก อยู่แต่เสียในพระราชฐาน ใครเขาเอางานมาให้เซ็นก็เซ็น เห็นสมควรจะเซ็นก็เซ็น ไม่เห็นสมควร เซ็นก็ไม่เซ็นก็หมดเรื่อง

    ที่ พระองค์ทรงยอมเหน็ดเหนื่อยไปทุกสถานที่ก็เพื่อความสุขของประชากรชาวไทย ฉะนั้นพระองค์จึงตัดสิน พระทัยว่าถ้าหากพระองค์จะต้องสวรรคตเพราะเหตุแห่งการกระทำความดีพระองค์ก็ พร้อม นี่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเองมีพระราชดำรัสอย่างนี้ พระราชดำรัสนี้ถ้าใครกล้าเข้าไปถามพระองค์ได้ อาตมาเข้าใจว่าพระองค์คงไม่ปฏิเสธ เพราะทรงตรัสกับอาตมาเอง

    ฉะนั้น ข่าวนี้ที่เกิดขึ้นอาตมาก็คิด ตามที่สมเด็จพระธรรมสามิตคือพระพุทธเจ้าตรัสว่า นัตถิ โลเก อนินทิโต คนไม่ถูกนินทาเลยไม่มีใน โลก คำว่า “นินทา” ก็คือวิพากษ์วิจารณ์และการปล่อยข่าว การปล่อยข่าวแบบนี้บางทีก็ต้องการให้อาตมายับยั้งกราบทูล พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวไม่ให้เสด็จมา แต่คำว่า ”ข่าว” บรรดาท่านพุทธบริษัท อาตมาได้มาเสียจนชิน

    ข่าวที่มี ความสำคัญที่สุดอีกอันหนึ่ง นั่นก็คือมีคนมาบอกบอกว่าแม้แต่อาตมาเองวันนั้นก็ต้องระวังตัวให้มาก เพราะมี คนเขาจ้างคนฆ่าเหมือนกัน เขาจ้างมือปืนมา ๒ คนหวังจะให้ฆ่าโดยให้สินจ้างรางวัลไม่แพงนัก เพียงมูลค่ามือปืนคนละ ๒ พันบาท เท่านั้น แต่ถึงยังไงก็ดี ถึงแม้ตอนเย็นของวันที่ ๒๓ ก็มีคนส่งข่าวว่าจะต้องถูกฆ่าแน่ ก็ต้องขอบคุณท่านทั้งหลายเหล่านั้นที่มาส่งข่าว

    การส่ง ข่าว ก็เป็นการส่งข่าวด้วยความหวังดี แล้วก็มีคนอีกหลายท่านพร้อมเพรียงกัน บอกว่าจะยอมเสี่ยงชีวิตเพื่ออาตมา จะขอ ป้องกันจนสุดความสามารถ แล้วข่าวนี้คืบหน้าต่อไปอีกว่า ผู้ที่จ้างคนมาฆ่าอาตมานั้น เป็นบุคคลสำคัญผู้มีเกียรติ เขาบอกว่าเป็น ข้าราชการขั้นผู้ใหญ่

    อาตมา ก็สงสัยว่าเอ๊ะข้าราชการชั้นผู้ใหญ่นี่อาตมาก็ไม่ได้ผิดพ้องหมองปากกับใครมี แต่เป็นที่รักกันทั้งหมด เจอะ หน้าใครก็ยิ้มแย้มแจ่มใส คนที่รับช่วงมาก็เป็นบุคคลบางประเภท อาตมาก็จะไม่ขอบอก มันเป็นข่าว ข่าวเขาที่บอกว่าใครเป็นหัวหน้า ต้นคิดจ้างฆ่าอาตมาเอง

    อาตมา ก็คิดว่า ข่าวนี้จะต้องผิดจากความเป็นจริง เพราะมีข้าราชการคนไหนบ้าง ที่จะเป็นปฏิปักษ์กับอาตมา อาตมานั่งนึกไปก็นึกไม่ออก จะว่าเป็นข้าราชการตำรวจ ข้าราชการทหาร โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าพูดถึงตำรวจอุทัยธานีหรือตำรวจ ชัยนาทแล้ว ก็เรียกได้ว่าเป็นคนใกล้เคียงกัน

    นี่ทุกท่านก็มีความ หวังดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งท่านผู้บังคับบัญชาตำรวจอุทัยธานีมีความเป็นห่วงใยถึงกับ ให้เจ้าหน้าที่ ตำรวจมานอนเป็นเพื่อนอยู่ทุกคืน และอยู่เป็นประจำทุกวัน สิ้นกาลเวลาถึง ๔ ปีแล้ว แล้วจะมีเจ้าหน้าที่ตำรวจชั้นผู้ใหญ่คนไหนสั่งฆ่า อาตมา ๆ ก็คิดไม่ออก ถึงจะคิดว่าเป็นเจ้าหน้าที่ข้าราชการพลเรือนของจังหวัดอุทัยธานีหรือจังหวัด ใด ๆ มาคิดฆ่าอาตมาก็มองไม่เห็น เพราะว่าข้าราชการพลเรือนทุกท่าน เจอะหน้าก็โอภาปราศรัยกันดี เป็นที่รักกันทุกคน

    ถ้าจะ คิดว่าข้าราชการทหารจะคิดฆ่าอาตมาก็ยิ่ง มองไม่เห็นใหญ่ เพราะความสัมพันธ์ระหว่างคนทุกชั้นนั้น ข้าราชการทั่วประเทศย่อมเป็นที่รักของอาตมาทุกคน เมื่อพิจารณาข่าวนี้ แล้วก็เข้าใจ คือเข้าใจว่าข่าวนี้อาจจะไม่ตรงตามความเป็นจริง ข่าวมีจริงแต่ความจริงของข่าว ต้องไม่มี ทั้งนี้เพราะอะไร ?

    เพราะ เป็น การยุให้รำตำให้รั่วระหว่างอาตมากับข้าราชการตำรวจ ข้าราชการทหาร ข้าราชการพลเรือนฝ่ายปกครองให้เกิดความแตกแยก ระแวง ระไวซึ่งกันและกัน ข่าวประเภทนี้มีปรากฏมานาน อาตมาจึงไม่หนักใจคิดว่าเกิดมาแล้วมันต้องตาย คนที่เกิดมาแล้วไม่ตายไม่มี เวลานี้ อาตมานับแต่เกิดมาได้สร้างสาธารณประโยชน์ให้มีขึ้นแก่พระพุทธศาสนาด้วย แก่ประชาชนชาวไทยด้วยตามกำลังความสามารถที่จะทำได้

    การ สร้างสรรค์ความเจริญในที่ใดก็ตามสร้างแล้วก็ไม่เคยแบกเอามาเป็นส่วนตัว เวลานี้ นอกจากจะสร้างที่วัดท่าซุงแล้ว ก็ได้ สร้างโรงพยาบาล และขุดบ่อน้ำให้แก่ประชาชนที่ขาดแคลนน้ำ โดยบอกบุญให้แก่บรรดาญาติโยมพุทธบริษัทขุดบ่อน้ำให้เป็น สาธารณประโยชน์ในแดนกันดารนับเป็นร้อย ๆ บ่อ และในแดนกันดารใดที่มีความอดอยากแร้นแค้นไม่สะดวกด้วยความเป็นอยู่ ก็ได้ ร่วมมือกับ ม.จ. หญิงวิภาวดี รังสิต ไปในสถานที่นั้น

    แนะ นำให้เขาเข้าใจในความสามัคคี ร่วมมือกันประกอบสัมมาอาชีวะในรูปแบบ สหกรณ์ รู้จักการช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ถ้าขาดแคลนอะไร ม.จ. หญิงวิภาวดี รังสิตก็ให้เจ้าหน้าที่วิทยุกราบทูลพระบาทสมเด็จพระ เจ้าอยู่หัวเพื่อขอพระราชทาน ในวันรุ่งขึ้นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็ทรงจัดการส่งไปให้

    งาน ประเภทนี้เป็นงานที่เต็มไปด้วยความ ยากลำบากต้องไปในแดนทุรกันดาร อย่างนี้อาตมาก็ทำแล้ว วัดวาอารามก็สร้างเป็นสาธารณะ ช่วยวัดไม่จำกัดวัด เงินทองของอาตมา ไม่มีก็ใช้สติปัญญาเท่านั้นเป็นเครื่องช่วย แต่ก็ถือว่าเป็นคุณประโยชน์อันหนึ่งที่อาตมาได้ทำแล้วในฐานะที่บวชเข้ามาใน พระพุทธศาสนา พยายามปฏิบัติตามจริยาที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงปฏิบัติด้วยพระ พุทธเจ้าทรงมีพระจริยาสามอย่าง คือ

    หนึ่ง พุทธัตตถะ จริยา ทรงประพฤติในฐานะที่เป็นพระพุทธเจ้า สอนคนให้ละความชั่ว ประพฤติความดี มุ่งหวังจิต บริสุทธิ์ มีพระนิพพานเป็นที่ไป

    สอง องค์สมเด็จพระจอมไตรทรงประพฤติเป็นประโยชน์แก่โลก แนะนำประชากรให้ปฏิบัติตนให้มีความสุข ในฐานะ ที่เป็นชาวโลก ในด้านการครองชีพและความเป็นอยู่มีธรรมะ ที่ท่านเรียกว่า คิหิปฏิบัติ คือเป็นข้อวัตรปฏิบัติสำหรับฆราวาสจะปฏิบัติได้ ทุกคนแล้วมีความสุขในปัจจุบัน

    สาม ญาตัตถะ จริยา ทรงประพฤติเป็นประโยชน์แก่พระญาติ เหตุร้ายใด ๆ จะพึงมีแก่พระญาติองค์สมเด็จพระบรม โลกนาถก็ทรงสงเคราะห์ ป้องกันให้ แต่หากว่ากรรมนั้นเป็นกรรมใหญ่ไม่สามารถจะหลีกเลี่ยงได้ ก็ต้องปล่อยไปตามกรรม

    ที่พระพุทธเจ้าทรงปฏิบัติอย่าง นี้ อาตมาก็ปฏิบัติตามแล้วทุกอย่าง ถ้าชีวิตจะต้องมาตายก็เป็นชีวิตที่ได้ปฏิบัติความดีแล้ว ไม่เห็นจะ เป็นที่น่าเสียดายตรงไหน การอยู่ ถ้าอยู่นานไปเท่าใดก็มีความลำบากเท่านั้น ตายเร็วเท่าไรก็มีความสุขเร็วเท่านั้น ตายเมื่อไรก็มี ความสุขเมื่อนั้น

    เวลา นี้อยู่ก็อยู่ด้วยความสุขใจ แต่กายมันไม่สุข แต่ก็ไม่ได้เป็นห่วงกังวลอะไร ถือว่าเป็นเรื่องของคนที่เกิดมาในโลก จะต้องเป็นอย่างนั้น ความพยายามเหน็ดเหนื่อยเพื่อสาธารณประโยชน์เป็นที่พอใจของอาตมา ถ้าอยู่เฉย ๆ สั่งสมทรัพย์สินเพื่อ ความสุขตน อันนี้ไม่มีความสุขใจเลย ขณะใดที่มีโอกาสได้สงเคราะห์มนุษย์เพื่อนร่วมโลกหรือท่านผู้มีคุณทั้งหลายก็ เป็นที่พอใจ

    เรื่องนี้เป็นเรื่องของ “พระเมตตา” แต่ก็ควรประกอบด้วยธรรมะ ที่อาตมาบอกว่าข่าวเกิดขึ้นอาตมาไม่เชื่อ แต่ก็ ขอบคุณผู้บอกข่าว ข่าวนั้นอาจจะเป็นความจริงก็ได้ หรืออาจจะไม่เป็นความจริงก็ได้ แต่ผู้รับข่าว รับข่าวมาจริง ทั้งนี้เพราะว่าทานผู้ บอกเป็นผู้ใหญ่ เป็นบุคคลที่ควรเชื่อถือได้ แล้วก็มีความห่วงใยอาตมาเป็นพิเศษ

    นอกจากนั้น คนของท่านก็ให้การระวังระไวอาตมาเป็น อย่างดี แสดงว่าข่าวนี้เป็นความจริงมีผู้ส่งข่าวมาจริง แต่ว่าสำหรับข่าวที่ว่าข้าราชการชั้นผู้ใหญ่จ้างฆ่า นี่อาจจะเป็นแนวอันหนึ่งยุให้รำตำให้รั่วสร้างความแตกความสามัคคีซึ่งกันและ กัน อาตมาแตกความสามัคคีกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ เพราะเวลานี้เจ้าหน้าที่ตำรวจห่วงใย อาตมาอยู่มาก ได้ส่งเจ้าหน้าที่มาอารักขาอยู่ ๔ ปีแล้ว เพราะความห่วงใย

    เจ้า หน้าที่พลเรือนก็ให้ความสนับสนุนในกิจการที่ทำเป็น อย่างดี ไม่มีใครประกาศตนเป็นศัตรู ฝ่ายเจ้าหน้าที่ทหารก็มีความเคารพนับถือซึ่งกันและกันเป็นอย่างดี มีการโอภาปราศรัย งานใหญ่ ที่จะพึงมีขึ้น เจ้าหน้าที่ทหารก็จัดทหารมาช่วยในกิจการงานหรือมาช่วยพัฒนา ทำความเรียบร้อยให้เกิดขึ้นในสถานที่ แล้วก็เอา ข้าราชการฝ่ายไหนมาสั่งฆ่าอาตมา อันนี้ บรรดาท่านพุทธศาสนิชนพอฟังข่าวอย่างนี้แล้วก็ต้องใคร่ครวญกันไว้ก่อน

    แต่ อีกข่าวหนึ่ง มีว่า ถ้าบังเอิญพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระบรมราชินีนาถ หรือสมเด็จพระยุพราชมี อันตรายลงไป อาตมาก็คงต้องถูกยิงเป้าหรือหัวขาดเพราะว่ามีข้าศึกจะใช้ปืนไร้แรงสะท้อนยิง มา ๓ ทิศพร้อม ๆ กันลงในบริเวณที่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระบรมราชินีนาถประทับอยู่ เรื่องนี้อาตมาไม่ตกใจเลย ถ้าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระบรมราชินีนาถ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชจะต้องสิ้นพระชนม์

    อาตมา มีความมั่นใจ ว่าโทษตัดหัวหรือว่าโทษยิงเป้า สำหรับอาตมาไม่มีแน่ เพราะในระหว่างนี้อาตมายังเป็นผู้อยู่ใต้กฎหมาย แต่ถ้าเรื่องนั้นเกิดขึ้นมาจริง ๆ แล้ว อาตมาก็เป็นผู้อยู่เหนือ กฎหมาย ทั้งนี้เพราะว่าอะไร เพราะว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระบรมราชินีนาถและสมเด็จพระ บรมโอรสาธิราช เสด็จมาอยู่ตรงไหนอาตมาก็อยู่บริเวณนั้น ถ้าอันตรายจะพึงเกิดขึ้นแก่พระองค์ อาตมาก็ต้องอยู่ในอันตรายนั้นด้วย

    ใน เมื่อถูกถล่ม อย่างนั้น อย่าว่าแต่คนเลย แม้แต่วัดก็พัง กระสุนแบบนั้นเป็นกระสุนระเบิด ยิงพร้อมกันมา ๓ นัด วัดถึงแม้จะมีสภาพแข็งแรงก็พังหมด แล้วอาตมาก็ต้องตาย เมื่อตายแล้วจะเอากฎหมายที่ไหนมาลงโทษ

    ตอนนั้นอยู่ เหนือกฎหมายจริง ๆ กฎหมายจะมาตัดสินลงโทษผี คือ ตัดคอ ตัวหัวผี อันนี้ไม่เกิดประโยชน์ เพราะตายแล้วกฎหมายไม่มีการบังคับให้ลงโทษผี จำคุกผีกี่ปี ยิงเป้าผี หรือประหารชีวิตผีนี่มันไม่ มี แล้วหากบรรดาท่านพุทธบริษัทจะถามว่าเมื่อได้ข่าวอย่างนี้จริง ๆ ทำไมจึงไม่กราบทูลให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวยับยั้งการ เสด็จ อาตมาก็ขอตอบว่าถ้าอาตมาทำอย่างนั้น อาตมาก็ควรจะศึกไปเป็นฆราวาสเสีย ทั้งนี้เพราะอะไร ?

    ก็เพราะว่าการทำอย่างนั้น เป็นการถือมงคลตื่นข่าวจนเกินไป เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมีมาก มีทั้งทหาร มีทั้งตำรวจ มีทั้งศูนย์รักษาความปลอดภัย มีทั้งเจ้าหน้าที่สันติบาลแล้วก็มีบุคคลอื่นอีกหลายท่านซึ่งเป็นบุคคลที่ตก อยู่ในระหว่างความทุกข์ เขาจะ เข้ามาเฝ้าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระบรมราชินีนาถ

    ท่าน เหล่านี้มาด้วยกันหลายร้อยคน และเมื่อได้ทราบว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระบรมราชินีนาถซึ่งเป็นที่เคารพรัก ยิ่งกว่าบิดามารดาของเขาจะต้องมีอันตราย พวกนี้ก็ กระจายออกไปรวมกลุ่ม เพื่อเฝ้าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอยู่เพียงครึ่งเดียว

    นอก จากนั้นก็ปะปน แทรกแซงอยู่กับบรรดาประชาชน ทั้งหลาย พร้อมที่จะสละชีพของตนเพื่อป้องกันพระชนม์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและ สมเด็จพระบรมราชินีนาถ และพระบรม โอรสาธิราชทั้ง ๆ ที่เขาไม่ติดอาวุธ แต่เขาก็พร้อมที่จะตาย เอาร่างกายเข้าป้องกันสรรพาวุธที่จะไปทำร้ายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

    นี่ แสดงว่าคนที่จงรักภักดีต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมีมาก นอกจากคนพวกนี้แล้วก็มีชาวบ้านอีกมาก ที่ได้รับ ฟังข่าว คือมีบางคนนั่งรับฟังข่าวอยู่กับอาตมา มีบุคคลเข้ามาส่งข่าว ผู้นี้ก็พร้อมที่จะพลีชีพเพื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและ สมเด็จพระบรมราชินีนาถ ต่างคนต่างพร้อมกันอย่างนี้

    นั่น ก็หมายความว่า ถ้าข้าศึกจะทำลายพระชนม์ชีพของพระบาทสมเด็จพระ เจ้าอยู่หัวด้วยอาวุธสั้น เช่นปืน หรือลูกระเบิดมือ หรือว่ามีด พวกนี้พร้อมที่จะตายแทน คือจะเอาร่างกายเข้าป้องกัน หรือมิฉะนั้นก็ต่อสู้ ด้วยมือเปล่า แต่ถ้าบังเอิญข้าศึกจะยิงมาด้วยปืนไร้แรงสะท้อนอันนี้ไม่ต้องช่วยกันป้องกัน ช่วยกันตายพร้อมกัน

    เป็นอันว่าต่างคนก็ต่าง ตาย แล้วก็น้ำพระทัยของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวตามที่ตรัสที่ภูพิงค์ราช นิเวศน์ว่าข่าวการลอบปลงพระชนม์ทั้งสองพระองค์มีมา นาน พระองค์ทรงมีพระราชดำรัสว่า ถ้าเราไม่ไป ก็จะกลายเป็นผู้แพ้ นี่เป็นกระแสพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ใน เมื่อเป็นเช่นนี้ ถ้าอาตมาส่งข่าวไปขอยับยั้งการเสด็จ ท่านผู้รับฟังทั้งหลายก็ลองคิดดูว่า

    พระบาทสมเด็จพระเจ้า อยู่หัวจะทรงมี พระราชดำริอย่างไรในตัวอาตมา คงจะมีพระราชดำริว่าข่าวเพียงแค่นี้ ก็กลัวเสียแล้ว นี่หรือสาวกขององค์สมเด็จพระประทีปแก้ว ที่เขา เรียกกันว่าปูชนียบุคคล เป็นศากยบุตรพุทธชิโนรสขององค์สมเด็จพระทศพล เพียงแค่นี้ก็แสดงอาการขี้ขลาดให้ปรากฏ

    ถ้าจะถามต่อไป ว่า คิดอย่างนั้นมิเป็นการเย่อหยิ่งเกินไปหรือ จะเป็นการโง่แกมหยิ่งไปกระมัง อาตมาก็ต้องของตอบ ว่า เป็นเรื่องธรรมดา จะวิพากษ์วิจารณ์อะไรยังไง ๆ อาตมาก็ไม่ว่าทั้งหมด ในฐานะที่องค์สมเด็จพระบรมสุคตตรัสไว้ว่า จงอย่าถือ มงคลตื่นข่าว แล้วอาตมาเองก็พร้อมที่จะตาย ถ้าความตายนั้นเป็นไปเพื่อสาธารณประโยชน์

    และ ถ้าจะถามว่า การที่กราบบังคมทูล อัญเชิญให้พระบาทสมเด็จพะเจ้าอยู่หัวเสด็จมาทรงตัดลูกนิมิตมีประโยชน์อะไร อาตมาก็ต้องขอตอบว่าเป็นประโยชน์ใหญ่ที่สุดที่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระบรมราชินีนาถเสด็จมา คือนอกจากประโยชน์จะได้แก่วัดและภิกษุสามเณรทั้งหลายแล้ว ประโยชน์ใหญ่คือกำลังใจของประชากร มีมากจนบอกไม่ถูก พระองค์ได้ทรงแสดงความเมตตาปรานีต่อพสกนิกรของพระองค์อย่าง คาดไม่ถึง ทุกคนในขณะนี้ ซึ่งเวลาล่วงเลยไปนานแล้ว

    ยังปรารภ เรื่องราวที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จมาคราวนี้ บางท่าน ถึงกับน้ำตาคลอ บางท่านถวายของที่ระลึกแล้วก็ร้องไห้ไปด้วย ที่ร้องไห้ไม่ได้เสียดายของ แต่เป็นเพราะอำนาจความปลื้มใจ บางคนก็ ถึงกับสะอึกสะอื้น โดยที่ไม่เคยคิดเลยว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระบรมราชินีนาถ และสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช จะทรงแสดงความสนิทสนมกับปวงชนชาวไทยที่มาในงานอย่างนั้น เข้าใจกัน

    แต่ ว่าจะไปที่ไหนเขาก็กีดเขาก็กัน จะถวายอะไรแด่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จะต้องทำอย่างนั้น ต้องทำอย่างนี้ ต้องใส่พานทอง ต้องใส่พานเงิน แต่เนื้อแท้จริง ๆ ในคราวนี้พระองค์ ทรงแสดงให้เห็นว่า พระองค์กับประชากรนั้นไม่ใช่ใคร ทรงถือว่าคนทั้งหลายเป็นพระราชโอรส พระราชธิดาของพระองค์

    เอาละ บรรดาท่านพุทธบริษัท เวลาวันนี้ก็หมดลงเสียอีกแล้วนี่ ก็ขอยุติลงแต่เพียงเท่านี้ ขอความสุขสวัสดีจงมีแก่ บรรดาท่านพุทธศาสนิกชนผู้รับฟังทุกท่าน
บันทึกการเข้า
Nattawut-LSV Team
E23IUY
.กลุ่มผู้มีน้ำใจงาม.
member
*

คะแนน808
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3581


อีเมล์
« ตอบ #2 เมื่อ: ธันวาคม 04, 2009, 08:02:49 PM »

มีทั้งหมด 18 บท
ท่านใดสนใจ อ่านต่อได้ที่นี่ครับ.... 
พระเมตตา

ขอขอบคุณที่มา
บันทึกการเข้า
หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป: