วัดหน้าพระเมรุ วัดที่ไม่ถูกพม่าเผา
LSVคลังสมองออนไลน์ "ปีที่21"
เมษายน 27, 2024, 04:39:14 PM *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
   หน้าแรก   ช่วยเหลือ เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก  
หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: วัดหน้าพระเมรุ วัดที่ไม่ถูกพม่าเผา  (อ่าน 18863 ครั้ง)
supoj007
member
*

คะแนน286
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1555



อีเมล์
« เมื่อ: สิงหาคม 27, 2009, 11:37:52 AM »




วัดหน้าพระเมรุ
ตั้งอยู่ริมคลองสระบัวด้านทิศเหนือของคูเมือง (เดิมเป็นแม่น้ำลพบุรี)  ตรงข้ามกับพระราชวังหลวง สร้างในสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนต้น พุทธศักราช 2046 มีชื่อเดิมว่าวัดพระเมรุราชิการาม ที่ตั้งของวัดนี้เดิมคงเป็นสถานที่สำหรับสร้างพระเมรุถวายพระเพลิงพระบรมศพ ของพระมหากษัตริย์พระองค์ใดพระองค์หนึ่งสมัยอยุธยาตอนต้นต่อมาจึงได้สร้าง วัดขึ้น มีตำนานเล่าว่าพระองค์อินทร์ในรัชกาลสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 2 ทรงสร้างวัดนี้เมื่อ พ.ศ. 2046  วัดนี้มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ สมเด็จพระมหาจักรพรรดิเมื่อครั้งทำศึกกับพระเจ้าบุเรงนองได้มีการทำสัญญาสงบ ศึกเมื่อ พ.ศ. 2106ได้สร้างพลับพลาที่ประทับขึ้นระหว่างวัดหน้าพระเมรุกับวัดหัสดาวาส

วัดนี้เป็นวัดเดียวในกรุงศรีอยุธยาที่ไม่ได้ถูกพม่าทำลายและยังคงปรากฏ สถาปัตยกรรมแบบอยุธยาอยู่ในสภาพสมบูรณ์มากที่สุดในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา


เดี๋ยวจะพาเดินชมเที่่ยวกราบ มะมาด้วยกันครับ



บันทึกการเข้า

supoj007
member
*

คะแนน286
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1555



อีเมล์
« ตอบ #1 เมื่อ: สิงหาคม 27, 2009, 11:39:49 AM »



อันดับแรกก็ขึ้นพระอุโบสถ กราบพระพุทธนิมิต  อายุ 500 ปี


    "พระพุทธนิมิตรวิชิตมารโมลีศรีสรรเพชญ์บรมไตรโลกนาถ" พระประธานวัดหน้าพระเมรุ
    พระพุทธรูปสำริดทรงเครื่องกษัตริย์ที่งดงามองค์หนึ่งของกรุงศรีอยุธยา
    หน้าตักกว้าง 4.5 เมตร สูง 6 เมตร ซึ่งไม่ถูกพม่าเผาทำลายในการเสียกรุง

    สิ่งสำคัญที่ปรากฏภายในวัดนี้ คือ พระอุโบสถและพระพุทธรูปประธานทรงเครื่องใหญ่ ซึ่งคงสร้างขึ้นราวรัชกาลของพระเจ้าปราททอง หน้าบันของพระอุโบสถเป็นไม้แกะสลักปิดทองที่แสดงรูปพระนารายณ์ทรงครุฑแวดล้อมด้วยเหล่าเทวดา คติดังกล่าวเป็นที่นิยมในสมัยโบราณที่ถือว่าพระมหากษัตริย์ทรงเป็นสมมติเทพ คือเป็นพระนารายณ์อวตาร ดังนั้น หน้าบันของโบสถ์ วิหาร หรือปราสาทราชวังที่พระมหากษัตริย์ทรงสร้างหรือทรงบูรณะก็มักจะทำรูปพระนารายณ์ทรงครุฑเป็นสำคัญ อันมีความหมายว่าวัดแห่งนี้เป็นวัดหลวง
    สำหรับ พระพุทธรูปประธานทรงเครื่องใหญ่ก็สร้างในคติของพระพุทธเจ้าาปางโปรดพญามหา ชมพู ตามความในมหาชมพูบดีสูตร ซึ่งเป็นรูปแบบของพระพุทธรูปที่นิยมมากในสมัยอยุธยาตอนกลางต่อลงมาจนถึงสมัย รันตโกสินทร์ตอนต้น พระพุทธรูปองค์นี้อาจเปรียบเทียบได้กับพระพุทธรูปทรงเครื่องภายในเมรุทิศ เมรุรายของวัดไชยวัฒนารามที่สร้างขึ้นในรัชกาลพระเจ้าปราททองได้เป็นอย่างดี ด้วยเหตุนี้จึงอนุมานได้ว่าพระพุทธรูปประธานภายในพระอุโบสถวัดหน้าพระเมรุก็ คงจะสร้างขึ้นในช่วงเวลานั้นด้วยเช่นกัน





วิหารน้อย กราบหลวงพ่อคันธารราฐ อายุ 1500 ปี





สถานที่ประดิษฐาน    วิหารน้อย  วัดหนาพระเมรุ  ตำบลท่าวาสุกรี  อำเภอพระนครศรีอยุธยา

                                จังหวัดพระนครศรีอยุธยา

พุทธลักษณะ             ศิลปะแบบทวารวดีพระพุทธรูปประทับนั่งห้อยพระบาท

                                ปางปฐมเทศนา

                                ขนาด  สูง ๔.๒ เมตร  วัสดุ  หินปูนสีเขียวแก่  (Bluish  Limestone)

        พระพุทธรูปศิลาขนาดใหญ่ประทับนั่งห้อยพระบาทศิลปะแบบทวารวดีเช่นนี้ในประเทศไทยพบเพียง  ๕ องค์ ซึ่งนับว่าน้อยอย่างยิ่ง  และในจำนวนนี้มีเพียงองค์นี้องค์เดียวที่สร้างจากศิลาเขียว  อีก ๔ องค์ที่เหลือเป็นพระชุดเดียวกันที่สร้างจากศิลาขาวทั้งสิ้น  ถึงกระนั้นก็ยังก่อให้เกิดความสับสนกันอยู่เนือง ๆ

        พระพุทธรูปศิลา (เขียว) องค์นี้  ประดิษฐานอยู่  ณ วิหาน้อยวัดหน้าพระเมรุพระนครศรีอยุธยา  ในขณะที่พระพุทธรูปศิลาชุดขาว ๔ องค์  มีแหล่งเดิมอยู่ที่วัดพระเมรุ  จังหวัดนครปฐม  การขุดพบพระพุทธรูปศิลาองค์หนึ่งซึ่งเป็น  พระพุทธรูปศิลาขาวที่นครปฐมในปี  ๒๔๘๒  และ ร่องรอยที่แสดงว่ามีพระพุทธรูปลักษณะเช่นนี้ทั้งหมดสี่องค์  ทำให้เกิดความพยายามที่จะติดตามหาพระสามองค์แรกขึ้น  พระพุทธรูปสามองค์ถูกเคลื่อนย้ายไปยังที่ต่าง ๆ ก่อนที่จะขุดพบองค์ที่ ๔ เป็นเวลานาน  จึงค่อนข้างลำบากและมืดมน  จากการติดตามพบว่า  องค์หนึ่งนั้นเคลื่อนย้ายไปไว้ยังวัดพระปฐมเจดีย์นั้นเอง  แต่อีกสององค์เมื่อติดตามหาอยู่เป็นเวลานานก็พบว่าได้ถูกเคลื่อนย้ายมาถึง  ยังจังหวัดพระนครศรีอยุธยา  สันนิษฐานกันว่าได้เคลื่อนย้ายมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา  จนกระทั่งปรักหักพังเป็นชิ้นส่วนทั้งจากกาลเวลา  และการถูกลักลอบขโมยชิ้นส่วนไปขายในร้านค้าของเก่า  ย่านเวิ้งนาครเขษม

         ในระหว่างการติดตามหาพระพุทธรูปศิลา  (ขาว)  จากวัดพระเมรุ  นครปฐม  ให้ครบสี่องค์ได้เกิดความสับสนขึ้น  โดยมีผู้เข้าใจว่าพระพุทธรูปศิลา (เขียว) ที่วัดหน้าพระเมรุ  พระนครศรีอยุธยาเป็นพระองค์หนึ่งในชุดดังกล่าว แต่ได้ถูกซ่อมแปลงส่วนพระกรผิดจากยกพระหัตถ์เสมอพระอุระ  ในท่าแสดงปฐมเทศนาไปเป็นวางพระหัตถ์บนพระชานุ ซึ่งผู้รู้จากกรมศิลปากรได้นำมาเขียนชี้แจงในประวัติพระพุทธรูปศิลาขาวในเวลาต่อมาแล้ว

        พระพุทธรูปศิลา (เขียว) เก่าแก่ร่วมพันปีองค์นี้  ประดิษฐานอยู่ ณ วัดหน้าพระเมรุมาเป็นเวลานานโดยไม่ทราบประวัติความเป็นมา  ลักษณะองค์พระกล่าวได้ว่าสมบูรณ์มีเพียงส่วนเรือนแก้วที่หักหายไป  ภายหลังเมื่อมีการขุดแต่งวัดมหาธาตุพระนครศรีอยุธยา  พบเศษเรือนแก้วที่หายไปจมอยู่ในดินลึกลงไปชั้นล่างท่านผู้รู้สันนิษฐานว่าพระพุทธรูปศิลานี้คงเคยประดิษฐานอยู่ ณ วัดมหาธาตุมาก่อน  วัดมหาธาตุนั้นเป็นวัดเก่าแก่มีมาก่อนกรุงศรีอยุธยา เมื่อมาบูรณะในสมัยอยุธยาคงขุดพบพระพุทธรูปศิลาองค์นี้แต่ขุดขึ้นมาไม่หมด  ภายหลังจึงมีการเคลื่อนย้ายไปไว้ยังวัดหน้าพระเมรุและประดิษฐานอยู่  ณ วัดนั้นสืบมาปัจจุบัน









เดินอ้อมไปด้านหล้งพระอุโบสถ  เพื่อไปกราบหลวงพ่อขาว กัน ครับ







อ่านประวัติดู  ช่วยตอบหน่อยว่า พม่าเผ่าวัดอื่นๆวอดวาย แต่ทำไมไม่ยอมเผา วัด หน้าพระเมรุ









บันทึกการเข้า
หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1 RC2 | SMF © 2001-2006, Lewis Media

lsv2555Please follow the new website at https://www.pohchae.com

Valid CSS!