สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม
หน้า: 1 2 [3]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม  (อ่าน 111297 ครั้ง)
ช่างเล็ก(LSV)
Administrator
member
*

คะแนน1346
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 18613


คิดดี ทำดี ชีวิตมีแต่สุข


อีเมล์
« ตอบ #58 เมื่อ: เมษายน 25, 2007, 07:27:42 AM »

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม - ๕๖

 

สุทัสสา อ่อนค้อม

ธันวาคม ๒๕๓๗

S00056
๕๖...

          “หลวงพ่อครับ เป็นไปได้หรือครับ ที่คนเราจะอยู่ได้ตั้งสามเดือนโดยไม่ต้องกินอาหาร ผมว่ามันขัดกับหลักวิทยาศาสตร์นะครับ” อาจารย์ชิตเอ่ยถามหลังจากนายจรินทร์ลุกออกไปแล้ว

          “ขัดสิโยม ถ้าโยมเอาหลักวิทยาศาสตร์มาตัดสิน มันขันแน่ ๆ แต่สำหรับอาตมาไม่ได้คิดอย่างนั้น อาตมาไม่ได้ยกย่องวิทยาศาสตร์ว่าสามารถแก้ปัญหาทุกอย่างให้มนุษย์ได้ ทั้งนี้เพราะยังมีอีกหลายอย่างหลายเรื่องที่วิทยาศาสตร์ยังเข้าไม่ถึง เช่น เรื่องของกรรมและเรื่องของจิตวิญญาณเป็นต้น ยกตัวอย่างให้เห็นง่าย ๆ ในกรณีของโยม การที่หมอเขาไม่สามารถรักษาโรคให้โยมได้ เพราะเขาใช้วิธีการทางวิทยาศาสตร์ แต่อาตมาจะใช้วิธีการทางจิตรักษาให้หาย อย่าลืมว่าจิตวิญญาณนั้นมีพลังมากว่าสสารหลายเท่านัก การที่ร่างของท่านสุวินไม่เน่าเปื่อยเพราะอาศัยพลังจิตซึ่งตามหลักวิทยาศาสตร์ มันเป็นไปไม่ได้ ใช่ไหม”

          “ครับ เป็นไปไม่ได้”

          “นั่นแหละ อาตมาถึงไม่ยึดเอาวิทยาศาสตร์มาเป็นเกณฑ์ตัดสินในทุกกรณี เพราะมีบางกรณีที่วิทยาศาสตร์ตัดสินไม่ได้ แต่มนุษย์ทุกวันนี้ เขายึดวิทยาศาสตร์เป็นสรณะ เพราะเขาให้ความสำคัญกับร่างกายมากกว่าจิตใจ อะไรที่พิสูจน์ไม่ได้ด้วยวิธีการทางวิทยาศาสตร์ เขาก็ถือว่าเป็นเรื่องเหลวไหลไร้สาระ เช่น เรื่องจิตวิญญาณเป็นต้น” ท่านกล่าวถึงความเชื่อพื้นฐานของคนส่วนใหญ่ในยุคปัจจุบัน

          “เรื่องฌานสมาบัติที่หลวงพ่อพูดถึงเมื่อตะกี้ ก็เป็นเรืองของจิตใช่ไหมครับ” ผู้อาวุโสถามอีก นายขุนทองรู้สึกว่าฟังไม่รู้เรื่อง จึงขอตัวไปนอน

          “ถูกแล้ว เป็นเรื่องของจิตโดยตรงทีเดียว”

          “คนธรรมดาจะสามารถเข้าฌานได้หรือเปล่าครับ”

          “ได้ หากมีการฝึกจิต”

          “ถ้าเช่นนั้น ถ้าหากผมฝึกจิต ผมก็สามารถจะเข้านิโรธสมาบัติได้ใช่ไหมครับ”

          “ไม่ได้หรอกโยม บุคคลที่สามารถเข้านิโรธสมาบัติได้นั้น มีเพียงสองประเภท คือ พระอนาคามีที่ได้สมาบัติ ๘ กับพระอรหันต์ประเภทอุภโตภาควิมุตตะ นอกนั้นเข้าไม่ได้”

            “พระโสดาบันและพระสกทาคามี ก็เข้าไม่ได้หรือครับ”

          “ไม่ได้ ถึงแม้ท่านจะได้สมาบัติ ๘ แต่ก็ยังเข้านิโรธสมาบัติไม่ได้ เอาละ อาตมาว่า โยมปฏิบัติไปดีกว่า เรื่องเหล่านี้ยังไกลตัว เอาเรื่องใกล้ตัวก่อน เรื่องไกลเอาไว้ทีหลัง” ท่านพระครูพูดตัดบท

          “ครับ แต่...หลวงพ่อครับ หลวงพ่อบอกผมตอนก่อนไปว่า กลับมาจะเล่าอะไรให้ฟัง” เขาถือโอกาสทวงสัญญา

          “ตกลง เล่าก็เล่า ความลับนะ ห้ามเอาไปพูดต่อ สัญญาได้ไหม”

          “ได้ครับ ผมให้สัญญา” คนอยากฟังรับคำหนักแน่น

          “เอาละ ถ้าอย่างนั้นอาตมาก็จะเล่าให้ฟัง” แล้วท่านจึงเล่าว่า

          “ที่อาตมาถามถึงตาวนน่ะ เพราะเคยทำกรรมกับแกไว้สมัยที่อาตมาเป็นเด็ก นี่ก็ไปจัดการชดใช้มาเรียบร้อยแล้ว”

          “กรรมอะไรครับ” อาจารย์ชิตถาม

          “โกงค่าเรือจ้าง สมัยก่อนแกมีอาชีพพายเรือข้ามฟาก เก็บค่าโดยสารเที่ยวละหนึ่งสตางค์ อาตมาตอนนั้นเป็นนักเรียน ต้องข้ามฟากไปเรียนหนังสือฝั่งโน้น ก็ใช้บริการแกทุกวัน พอขึ้นทำก็แกล้งโยนหินก้อนเล็ก ๆ ลงไปที่ท้ายเรือ ทำเป็นว่าจ่ายค่าโดยสาร แกก็ไม่ติดใจสงสัย เพราะผู้โดยสารคนอื่น ๆ เขาก็ทำอย่างนี้”

          “โยนก้อนหินลงไปน่ะหรือครับ”

          “เปล่า โยนสตางค์จริง ๆ คือพอขึ้นท่า เขาก็จะโยนสตางค์ลงไปที่ท้ายเรือ มีอาตมาคนเดียวที่ใช้ก้อนหิน”

          “แกเคยจับได้บ้างไหมครับ” ผู้สูงอายุถามอีก

          “มือชั้นนี้แล้ว ถ้าถูกจับได้ก๊อเสียชื่อหมดน่ะซี” ท่านถือโอกาส “คุย”

          “หลวงพ่อเก่งจังนะครับ” คนฟังแกล้งชม

          “อ้าวเก่งซี ไม่เก่งได้หรือ แต่ขอโทษเถอะ เก่งในทางเลวทั้งนั้น” แล้วท่านก็หัวเราะ คนฟังพลอยหัวเราะตาม จากนั้นท่านเจ้าของกุฏิจึงเล่าอีกว่า

          “อาตมาก็โกงแกทุกวัน กระทั่งย้ายโรงเรียน พูดแล้วอย่าหาว่าคุยนะ อาตมานี่ย้ายโรงเรียนเป็นว่าเล่น จังหวัดสิงห์บุรีสมัยนั้นมีโรงเรียนมัธยมอยู่ ๘ แห่ง อาตมาเรียนมาหมดทุกแห่ง แห่งละเดือนบ้าง สองเดือนบ้าง อย่างเก่งไม่เกินหกเดือน เสร็จแล้วก็ย้ายไปอีก”

          “ทำไมย้ายบ่อยจังครับ” ถามอย่างสนใจ ท่านพระครูตอบอย่างภาคภูมิว่า

          “ก็เขาเชิญออก เรียนได้เดือนสองเดือนเขาก็เชิญออก เพราะอาตมาเก่งเกินไป พวกครูเขาปวดหัว เพราะตามความเก่งกาจของลูกศิษย์ไม่ทัน ก็เลยเชิญให้ออก อาตมาก็ต้องย้ายไปหาที่เรียนใหม่”

          “พอครับ ๘ แห่งแล้ว หลวงพ่อทำอย่างไรครับ วนรอบสองหรือเปล่า” คนเป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลืองถามอย่างนึกสนุก

          “วนสิ วนรอบสอง แต่เขาไม่รับสักแห่งเดียว เขาบอกแค่รอบเดียว ครูก็จะพากันลาออกหมดโรงเรียนแล้ว ถ้าขืนรับอาตมาเข้าเรียนรอบสอง มีหวังภารโรงก็ต้องขอลาออก อาตมาก็เลยต้องไปเรียนที่บางกอกโน่น เอาละ จบเรื่องโรงเรียนก่อนมาเล่าเรื่องตาวนต่อ”

          “ครับ ตกลงแกรู้เรื่องที่หลวงพ่อโกงค่าจ้างหรือยังครับ” คนฟังถาม รู้สึกสนุกจนลืมปวดแผล

          “รู้แล้ว อาตมาบอกแกเมื่อกี้เอง แต่เชื่อเถอะ แกไม่บอกใครหรอก อาตมารับรองได้

          “หลวงพ่อจะแน่ใจได้อย่างไรครับ พอหลวงพ่อลงเรือนมา แกอาจจะบอกลูกเมียแกก็ได้” ผู้อาวุโสคาดการณ์

          “แกไม่บอกหรอกโยม เพราะแกนอนพะงาบ ๆ จะไปอยู่แล้ว อาตมาดูแล้วว่า สี่ทุ่มคืนนี้แกไปแน่ เห็นไหมนโยบายของอาตมาใช้ได้หรือเปล่า เลือกสารภาพตอนที่แกพูดไม่ได้แล้ว” ท่านหัวเราะอีก

          “แล้วนายขุนทองทราบเรื่องนี้หรือเปล่าครับ” ถามเสียงเบา

          “ให้รู้ไม่ได้ซี เจ้าหมอนี่เก็บความลับได้ที่ไหนล่ะ” ท่านวิจารณ์คนมีศักดิ์เป็นหลาน

          “พออาตมาไปถึง พวกลูก ๆ เขาดีใจใหญ่ บอก “แหม หลวงพ่อใจดีจัง อุตส่าห์มาเยี่ยม แถมเอาทั้งของทั้งเงินมาให้ พระวัดอื่นเขามีแต่จะเอาของญาติโยม แต่หลวงพ่อวัดนี้กลับเอามาให้ญาติโยม” อาตมาก็นึกขำที่เขาชมต่อหน้า ที่แท้เปล่าหรอก อาตมามาใช้หนี้ต่างหาก เขาก็พาอาตมาเข้าไปหาพ่อเขา อาตมาก็เข้าไปใกล้ ๆ กระซิบข้างหูแก ว่า “ตาวน จำอาตมาได้ไหม ที่เคยโดยสารเรือจ้างโยม เมื่อสามสิบปีก่อนน่ะ” แกก็พยักหน้า อาตมาก็พูดต่ออีกว่า

          “โยมรู้หรือเปล่า อาตมาโกงค่าเรือจ้างโยมทุกวัน ไม่เคยให้สตางค์เลย แต่โยนก้อนหินไปแทน นี่นะโยมก็ป่วยหนัก ถ้าอยากได้บุญก็อโหสิกรรมให้อาตมานะ เพราะตอนนี้อาตมาเป็นพระแล้ว และก็นี่เงินสองร้อยบาท อาตมาใช้หนี้ค่าเรือจ้าง ส่วนพวกเครื่องดื่มนี่คิดว่าเป็นดอกเบี้ย แต่โยมห้ามไปบอกลูกหลานนะ สัญญาได้ไหมเล่า ขืนบอกเขาก็จะพากันเลิกนับถืออาตมา” แกก็พยักหน้าอีก

          อาตมาก็โล่งใจที่ได้ใช้หนี้ไปอีกหนึ่งราย เสร็จแล้วอาตมาก็เทศน์โปรดแกเรื่อง เกิด แก่ เจ็บ ตาย แกก็ฟังอย่างสงบ ก่อนกลับอาตมาก็สอนกรรมฐานให้ บอกว่าให้แกนอนกำหนดพอง-ยุบ ไปเท่าที่จะทำได้ ไม่ต้องไปห่วงลูกหลานหรือสมบัติ ให้เอาสติไว้ที่ท้องเท่านั้น แกก็พยายามทำตามที่อาตมาสอน ตกลงเรื่องนี้มีแกกับอาตมารู้กันสองคนเท่านั้น” ท่านสรุป รู้สึกโล่งอกโล่งใจเสียนัก

          “แต่ตอนนี้สามแล้วนะครับหลวงพ่อ เพราะเพิ่มผมเข้ามาอีกคนหนึ่ง” คนฟังแย้ง

          “ไม่เป็นไร เดี๋ยวก็เหลือสองเท่าเดิม หลังสี่ทุ่มไปแล้วก็เหลือสองเท่าเดิม” ท่านพระครูพูดยิ้ม ๆ อดีตอาจารย์จึงประเมินผลว่า

          “ผมว่าเรื่องนี้ นายวนแกได้กำไรนะครับ ที่หลวงพ่อเทศน์โปรดแก แถมยังสอนกรรมฐานให้ กำไรหลายสิบเท่าตัวเชียวแหละ ไม่เหมือนเรื่องเจ๊ลี้ รายนั้นขาดทุนอานไปเลย” พูดแล้วก็หัวเราะ

          “เจ๊ลั้งโยม ไม่ใช่เจ๊ลี้ แล้วกันไปเปลี่ยนชื่อให้เขาเสียแล้ว เอาละ ทีนี้โยมก็ปฏิบัติต่อได้แล้ว อย่าลืมดื่มยาบ่อย ๆ นะ ดื่มต่างน้ำเลย จะได้หายเร็ว ๆ เอาละ ให้เดินจงกรมหนึ่งชั่วโมง นั่งหนึ่งชั่วโมง วันนี้จะมีทุกขเวทนามากกว่าทุกวัน อย่าตกใจ ให้ตั้งสติกำหนด “ปวดหนอ ปวดหนอ” ถ้าไม่หายก็ให้กำหนดว่า “อดทนหนอ อดทนหนอ” แล้วก็หันมากำหนด พอง-ยุบ ต่อไป จนกว่าจะครบหนึ่งชั่วโมง อาตมาเห็นจะต้องขึ้นไปทำงานต่อข้างบนละนะ” พูดจบท่านก็ลุกออกไปปิดประตูด้านหน้าและด้านหลังของกุฏิ แล้วจึงขึ้นไปข้างบน นายสมชายมีกุญแจอีกดอกหนึ่ง ที่จะไขเข้ามาเองได้ โดยไม่ต้องตะโกนเรียกคนขี้เซาอย่างนายขุนทองมาเปิดให้เช่นที่แล้ว ๆ มา

          เมื่ออยู่คนเดียว อาจารย์ชิตจึงเริ่มเดินจงกรม รู้สึกปวดหนึบ ๆ ที่แผล หากเขาไม่สนใจ พยายามเอาสติจดจ่อกับอาการเคลื่อนไหวของเท้า เหลือบมองนาฬิกาที่แขวนอยู่ข้างฝา ขณะนั้นเป็นเวลาสองทุ่มครึ่ง จากนั้นก็จะนั่งไปจนกว่าจะครบหนึ่งชั่วโมง ตามที่หลวงพ่อท่านสั่ง แต่ปัญหาอยู่ตรงที่ว่า จะรู้ได้อย่างไรว่าหมดเวลา คงจะต้องลืมตาขึ้นดูนาฬิกาเป็นครั้งเป็นคราว ทว่าการกระทำเช่นนั้น จะทำให้สมาธิไม่ต่อเนื่อง บุรุษวัยหากสิบรู้สึกสับสนทางความคิด จนต้องหยุดเดินแล้วตั้งสติกำหนด “สับสนหนอ สับสนหนอ” ยังไม่ทันจะหายสับสน ก็ได้ยินเสียงทุบประตูปัง ๆ พร้อมกับเสียงเรียกเข้ามาว่า

          “ท่านพระครูอยู่หรือเปล่าครับ ช่วยเปิดประตูหน่อย” อาจารย์ชิตจึงจำต้องเดินไปที่ประดูเพื่อจะเปิด หากก็ไม่สามารถเปิดได้ เพราะไม่มีลูกกุญแจ จึงหันกลับ เพื่อจะไปปลุกนายขุนทอง พอดีกับนายสมชายไขกุญแจเข้ามาทางประตูด้านหลัง

          “มีคนมาเรียกหาหลวงพ่อแน่ะ” เขาบอกศิษย์วัด

          “ครับ เดี๋ยวผมเปิดให้เอง” ชายหนุ่มเดินไปหยิบพวงกุญแจที่ห้อยอยู่ตรงบันไดทางขึ้น แล้วจึงไขประตูเปิดให้ผู้ที่อยู่ข้างนอกเข้ามา

          “ท่านพระครูจำวัดหรือยัง” ภิกษุวัยเดียวกับเจ้าของกุฏิถาม ท่านมากับฆราวาสสองคน เป็นชายหนึ่งหญิงหนึ่ง

          “ยังหรอกครับ นิมนต์หลวงพ่อนั่งรอก่อน ประเดี๋ยวผมจะขึ้นไปตามให้” ภิกษุรูปนั้น จึงไปนั่งรอที่หน้าอาสนะ ส่วนผู้ติดตามทั้งสองก็เข้ามานั่งในกุฏิ นายสมชายจัดการชงน้ำชามาประเคนท่าน สำหรับฆราวาสสองคน เขาแถมขนมปังกรอบชิ้นเล็ก ๆ มาให้ด้วย ปริการแขกเสร็จจึงขึ้นไปตามท่านพระครู

          อาจารย์ชิตหลบออกไปเดินจงกรมที่ด้านหลังโรงรถ เขาไม่ต้องการนั่งอยู่ ณ ที่นั้น ด้วยเหตุผลสองประการ คือ อาคันตุกะของท่านพระครูจะได้ไม่เหม็นกลิ่นเน่าจากแผลของเขาประการหนึ่ง และอีกประการหนึ่ง เขาจะได้ไม่เสียเวลาปฏิบัติกรรมฐาน

          เมื่อท่านพระครูเปิดประตูหน้าบันไดออกมา ภิกษุอาคันตุกะยกมือไหว้ทำความเคารพ ท่านรับไหว้ ผู้ติดตามทั้งสองก้มลงกราบท่านเจ้าของกุฏิสามครั้ง

          “ผมต้องขอโทษที่มารบกวนท่านพระครูในยามวิกาลเช่นนี้” ภิกษุวัยห้าสิบ เอ่ยขึ้นก่อน

          “อย่าถือว่าเป็นการรบกวนเลยครับ วัดป่ามะม่วงยินดีต้อนรับท่านพระครูทุกเวลา” ท่านเจ้าของกุฏิพูดกับภิกษุผู้มีวัยและสมณศักดิ์เสมอกับท่าน

          “ผมมีเรื่องด่วนจะมาเรียนปรึกษาท่านพระครู รอให้ถึงพรุ่งนี้ไม่ได้ เลยชวนญาติโยมเขามา คือ เณรลูกวัดผมก่อปัญหาเสียแล้ว”

          “ลูกชายผมเองครับ นี่แม่เขา” ฆราวาสที่มาด้วยพูดขึ้น ทั้งเขาและภรรยามีท่าทางทุกข์ร้อน โดยเฉพาะภรรยานั้นมีดวงตาแดงช้ำ แสดงว่าเพิ่งผ่านการร้องไห้มา

          “เกิดอะไรขึ้นกับเณรลูกชายของโยมหรือ” ท่านถามสองสามีภรรยา

          “นิมนต์หลวงพ่อเล่าดีกว่าครับ” บุรุษวัยสี่สิบบอกภิกษุผู้เป็นอุปัชฌาย์ของเณรลูกชาย

          “คืออย่างนี้ครับท่านพระครู โยมสองคนนี่เขาพาลูกชายมาบวชเณรที่วัดผม ก็บวชมาตั้งแต่อายุสิบสี่จนอายุจะครบบวชพระเข้าปีนี้แล้ว เณรรูปนี้ขยันนั่งสมาธิมาก พอฉันเสร็จก็นั่งสมาธิ ไม่พูดไม่คุยกับใคร เป็นอย่างนี้มาตั้งแต่บวชใหม่ ๆ นี่สั่งสมาธิข้ามวันข้ามคืนเลย ข้าวปลาอาหารก็ไม่ยอมฉัน” ภิกษุผู้มาเยือนเล่าความ

          “ก็ดีแล้วนี่ มีลูกศิษย์ขยันปฏิบัติอย่างนี้ ท่านน่าจะภูมิใจ” เจ้าอาวาสวัดป่ามะม่วงพูดขัดขึ้น

          “ครับ ผมภูมิใจ โยมพ่อโยมแม่เขาก็ภูมิใจ แต่ตอนนี้มันเกิดเรื่องยุ่งแล้วละครับ ท่านพระครู”

          “ยุ่งยังไงล่ะ” ท่านเจ้าของกุฏิซัก

          “คือตอนหกโมงเย็น เณรเขาออกจากสมาธิ แล้วก็ถือบาตรเดินออกจากวัด จะไปบิณฑบาต”

          “บิณฑบาตตอนหกโมงเย็นน่ะหรือ”

          “ครับ”

          “ทำไมเป็นยังงั้นไปได้”

          “นั่นสิครับ เขาถือบาตรออกมาแถมสบงจีวรก็ไม่มี เดินตัวล่อนจ้อนออกมาจากห้อง พระเณรก็พากันตกใจ ถามว่า “เณรจะไปไหน” เขาก็ว่า “ผมไม่ใช่เณรนะ ผมสำเร็จเป็นพระอรหันต์แล้ว พวกคุณต้องกราบผมสิ” พูดจบก็ถือบาตรเดินโทง ๆ ไปทางประตูหน้าวัด ผมก็เลยสั่งให้พระเณรช่วยกันจับ เขาก็วิ่งหนี ก็เกิดการไล่จับกันขึ้น ญาติโยมที่บ้านอยู่ใกล้วัดก็พากันมาดู แล้วก็วิพากษ์วิจารณ์ว่าเณรบ้า ผมก็เลยบอกให้โยมผู้ชายช่วยกันจับ กว่าจะได้ก็เล่นหอบไปตาม ๆ กัน”

          “แล้วตอนนี้อยู่ที่ไหนล่ะ”

          “อยู่ที่วัดครับ ผมให้เขามัดไว้แล้วไปตามโยมพ่อโยมแม่เขามา เขาก็จำอะไรไม่ได้ พูดแต่ว่า “ผมเป็นพระอรหันต์ ผมเป็นพระอรหันต์ คุณมาจับพระอรหันต์มัดไว้อย่างนี้ จะต้องตกนรก”

            “ลูกดิฉันเป็นอะไรไปคะหลวงพ่อ” ผู้เป็นแม่ถามเสียงเครือ

          “เท่าที่ฟังเล่ามา อาตมาขอลงความเห็นว่า เขาหลงทางเสียแล้ว แบบนี้ลำบาก แก้ยาก” ท่านส่ายหน้าช้า ๆ

          “แล้วจะทำยังไงดีคะ” คราวนี้หล่อนร้องไห้

          “ต้องให้สึก เอาเถอะ พอสึกออกมา อีกหน่อยเขาก็มีลูกมีเมีย แล้วก็จะหายไปเอง” ท่านพระครูบอกหนทางแก้ไข

          “แต่ดิฉันอยากให้ลูกบวชตลอดชีวิตค่ะ อยากให้เขาบรรลุมรรค ผล นิพพาน” สตรีวัยสี่สิบรำพัน ภิกษุอาคันตุกะ จึงถามขึ้นว่า

          “บวชต่อไปไม่ได้หรือครับท่านพระครู โยมแม่เขาอยากให้ลูกบวชตลอดชีวิต”

          “ไม่ได้แน่ เขาสร้างบุญบารมีมาแค่นี้ ถ้าไม่ให้สึก รับรองว่ากู่ไม่กลับ เชื่ออาตมาเถอะ”

          “แต่ดิฉันทำใจไม่ได้ค่ะหลวงพ่อ ดิฉันมีลูกชายคนเดียว แล้วก็หวังมากว่าเขาจะได้เป็นพระอรหันต์” คนเป็นแม่รำพัน

          “มนุษย์เราไม่ได้อย่างที่ใจหวังไปทุกคนหรอกโยม อาตมาว่า โยมจะต้องทำใจให้ได้ เอาเถอะ อีกหน่อยพอมีหลานมาให้อุ้ม โยมก็จะทำใจได้เองนะโยมนะ” เมื่อพูดถึงหลาน สตรีวัยสี่สิบ รู้สึกอบอุ่นเล็ก ๆ ด้วยสัญชาตญาณของการดำรงเผ่าพันธุ์

          “จริงสินะ หากคนบรรลุนิพพานเป็นพระอรหันต์กันหมด เผ่าพันธุ์ของมนุษย์ก็จะต้องสูญสิ้นไปจากโลกเป็นแน่แท้” หล่อนคิด หารู้ไม่ว่าสิ่งที่คิดนั้นมันเป็นไปไม่ได้

          “ต้องพาส่งโรงพยาบาลปากคลองสานหรือเปล่าคะ” หล่อนถามอีก คราวนี้ด้วยความรู้สึกห่วงลูกมากกว่าห่วงมรรค ผล นิพพาน

          “ไม่ต้องหรอกโยม ถ้าให้สึก ไม่ต้องส่งโรงพยาบาล แต่ถ้าไม่สึก ถึงจะส่งโรงพยาบาล ก็ไม่มีโอกาสหาย” ท่านพระครูพูดตามที่ “เห็น”

          “แต่ถ้าเขาไม่ยอมสึกเล่าครับ” ท่านพระครูผู้เป็นอาคันตุกะยังวิตก

          “ท่านก็ต้องเลือกโอกาสพูดกับเขาซีครับ คือเลือกพูดตอนที่เขาสงบแล้ว ตอนกำลังคลั่งอย่าเพิ่งพูด” ท่านเจ้าของกุฏิแนะนำ

          “จริงของท่าน แหม ผมก็ลืมข้อนี้ไปเสียสนิทเลย ถ้าอย่างนั้นเห็นจะต้องลาละ ของพระคุณที่ท่านกรุณาแนะนำ” แล้วภิกษุอาคันตุกะหนึ่งรูปกับฆราวาสสองคน ก็ลาท่านเจ้าของกุฏิกลับ ท่านพระครูให้นายสมชายไปเรียกอาจารย์ชิตมาปฏิบัติภายในกุฏิ แล้วจึงขึ้นไปเขียนหนังสือต่อ

          เมื่อเดินจงกรมครบหนึ่งชั่วโมง บุรุษวัยหกสิบจึงกำหนดนั่ง เขาไม่ต้องกังวลเรื่องเวลา เพราะนายสมชายเกิดใจดี นำนาฬิกาปลุกมาให้ยืมพร้อมทั้งตั้งเวลาให้เสร็จสรรพ อาการพองยุบชัดเจนในตอนแรก ๆ ครั้นเวลาผ่านไปชั่วครู่ ความรู้สึกปวดที่แผลทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น และน้ำเหลืองก็ออกมามากผิดปกติ จนเสื้อกล้ามเปียกชื้น นึกถึงถ้อยคำของท่านพระครูที่ว่า “วันนี้จะมีทุกขเวทนามากกว่าทุกวัน” จึงไม่ใส่ใจกับมัน เพราะรู้ล่วงหน้าแล้วว่าจะต้องเป็นเช่นนี้

          ขณะเผชิญกับเวทนากล้า บุรุษสูงอายุปลุกปลอบใจตนเองด้วยการนึกไปถึงนางสาวส้มป่อย ป่านฉะนี้หล่อนก็คงกำลังทุกข์ทรมานไม่แพ้เขา ความรู้สึกว่า “มีเพื่อน” ทำให้เกิดกำลังใจมาต่อสู้กับทุกขเวทนาที่ได้รับ ถึงอย่างไรก็จะทนนั่งอย่างนี้ตอไปจนกว่าจะหมดเวลา ทั้งจะไม่ยอมเปลี่ยนอิริยาบถเป็นอันขาด

          เสียงเคาะประตูดังขึ้นอีก หากคราวนี้คนเป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลืองนั่งเฉย เพราะได้ตั้งใจไว้แล้วว่า จะไม่ขยับลุกไปไหนจนกว่าจะหมดเวลา เสียงนั้นดังขึ้นกว่าเดิม ตามด้วยเสียงเรียกชื่อนายสมชาย คนถูกเรียกอาบน้ำเสร็จพอดี จึงเดินออกมาเปิดประตู

          “สมชาย ช่วยไปเรียนหลวงพ่อให้ไปดูส้มป่อยด้วย อาละวาดใหญ่แล้ว ฉันห้ามยังไงก็ไม่ฟัง เล่นเอาคนอื่นไม่เป็นอันได้ปฏิบัติกันละ” แม่ชีเจียนบอกลูกศิษย์วัด เธอมากับเพื่อนชีอีกสองคน เพราะท่านเจ้าของกุฏิเคยสั่งไว้ว่า หากมีธุระด่วน และจำเป็นต้องมาพบท่านในยามวิกาล จะต้องมีเพื่อนมาด้วยสองคนเป็นอย่างน้อย

          แม้จะมิได้ลืมตาขึ้นดู หากหูของคนที่กำลังนั่งสมาธิก็ได้ยินเรื่องที่แม่ชีบอกนายสมชาย แล้วใจก็เลยนึกสงสารท่านพระครูที่ต้องถูกผู้คนรบกวนทั้งกลางวันกลางคืน โดยไม่เลือกข้างขึ้นหรือข้างแรม...

 

มีต่อ........๕๗

 
บันทึกการเข้า

ช่างเล็ก(LSV)
Administrator
member
*

คะแนน1346
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 18613


คิดดี ทำดี ชีวิตมีแต่สุข


อีเมล์
« ตอบ #59 เมื่อ: เมษายน 25, 2007, 07:28:33 AM »

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม - ๕๗

 

สุทัสสา อ่อนค้อม

ธันวาคม ๒๕๓๗

S00057
๕๗...

          หากเป็นปุถุชนคนทั่วไป คงจะรู้สึกเหนื่อยหน่ายและหงุดหงิดรำคาญใจที่ต้องถูกรบกวนครั้งแล้วครั้งเล่า จนแทบจะหาเวลาเป็นของตัวเองไม่ได้

          แต่สำหรับท่านพระครูผู้เปี่ยมด้วยเมตตาธรรมรูปนี้ ความรู้สึกดังกล่าวไม่เคยบังเกิดขึ้น เพราะท่านยึดหลักว่าการสงเคราะห์ญาติโยมเป็นหน้าที่โดยตรงของท่าน ซึ่งแม้จะเหนื่อยยากสักปานใดก็ไม่คิดทดถอย ดังนั้นเมื่อนายสมชายบอกกล่าวเรื่องที่แม่ชีเจียนมารายงาน ท่านจึงออกคำสั่งว่า “ไปตามตัวมา บอกฉันให้มาพบที่กุฏิโดยด่วน” ครั้นนึกถึงภาพที่ศิษย์หนุ่มจ้องอกสาวเมื่อตอนสายจึงสั่งอีกว่า “ปลุกเจ้าขุนทองไปเป็นเพื่อนด้วย”

          “ไม่ต้องหรอกครับ ผมไปคนเดียวดีกว่า ขี้เกียจฟังมันบ่นในยามวิกาล” เขาว่า เพราะเคยรู้ฤทธิ์กันมาแล้ว

          “งันก็ชวนแม่ชีไปด้วยสองคน จะได้ไม่น่าเกลียด”

          “ครับ” ชายหนุ่มรับคำแล้วลงมาบอกให้แม่ชีเจียนทราบ

          “งั้นฉันจะเดินไปเป็นเพื่อนอีกคน” แม่ชีพูดพลางหันไปมองอาจารย์ชิต แม้ฝ่ายนั้นจะกำลังนั่งสมาธิอยู่ หากก็คงไม่เหมาะถ้าเธอจะนั่ง ณ ที่นั้นโดยไม่มีคนที่สามอยู่ด้วย

          เมื่อคนทั้งสี่เดินไปถึงสำนักชี ก็ได้ยินเสียงร้องไห้คร่ำครวญสลับกับเสียงก่นด่า เสียงสาปแช่งที่ออกมาจากปากของนางสาวส้มป่อย

          “ได้ยินไหม เห็นฤทธิ์แม่เจ้าประคุณหรือยัง ฉันเอาไม่ไหวจริง ๆ ถึงต้องไปเรียนให้หลวงพ่อท่านทราบ ทั้งที่แสนที่จะเกรงใจ” แม่ชีเจียนว่านายสมชาย ทั้งขำทั้งนึกสมเพชเมื่อได้ยินได้ฟัง

          “โอ๊ย ปวดโว้ย ปวดจะตายอยู่แล้ว โธ่เว้ย ไม่มีใครเห็นใจอีกส้มป่อยเลย แม่ชีโว้ย ไปตามหลวงพ่อมาหน่อย ฮือ ๆ โธ่เอ๋ย กูนะกู เกิดมาอาภัพ ฮือ ๆ พ่อแม่พี่น้องก็พากันหายหัวไปหมด...ฮือ ๆ อีแม่ ..อีแม่นั่นแหละทำกรรมให้กู เสือกใช้ให้กูเอาลูกหมาไปปล่อย กูก็เลยต้องมาเป็นอย่างนี้ ฮือ ๆ อีแม่เฮงซวย แม่หมา ๆ ยังงี้ก็มีด้วย...” หล่อนก่นด่าแม่บังเกิดเกล้า

          “ส้มป่อย หลวงพ่อให้มาตามไปพบด่วน” ชายหนุ่มบอก ได้ยินว่าท่านพระครูให้ไปพบ หญิงสาวก็ได้สติและหยุดร้องครวญคร่ำรำพัน

          “จริงหรือ ไปเดี๋ยวนี้เลยหรือ” หล่อนถามด้วยหวังใจว่า การได้พบท่านจะทำให้ความเจ็บปวดที่กำลังได้รับอยู่นั้นบรรเทาลง

          “เขาจะมาโกหกเอ็งทำไมกัน ไปรีบไปเดี๋ยวนี้แหละ เดินไหวหรือเปล่า หรือจะต้องให้หาม” แม่ชีเจียนพูดอย่างรำคาญ

          “ไหวจ้ะไหว” หญิงสาวว่า ออกเสียในที่ “แผลงฤทธิ์” จนทำให้คนเขาเดือดร้อน ทั้งที่ท่านพระครูกำชับนักหนาว่าให้อดทน

          “งั้นก็ไปกันเดี๋ยวนี้แหละ” นายสมชายพูดพลางออกเดินนำหน้านางสาวส้มป่อย กับชีอีกสามคนเดินตาม ต่างพากันเดินไปเงียบ ๆ โดยไม่มีผู้ใดปริปากพูด ชีสาวสองคนที่มาเป็นเพื่อนแม่ชีเจียนนั้นไม่ผิดกับคนใบ้ เพราะไม่พูดไม่จาทั้งตอนไปและตอนกลับ

          เมื่อคนทั้งห้าเดินมาถึงกุฏิ ท่านสมภารวัดป่ามะม่วงนั่งรออยู่ที่อาสนะแล้ว อาจารย์ชิดยังคงนั่งสมาธิอยู่ที่เดิม เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าท่านเจ้าของกุฏิลงมาข้างล่าง คนทั้งห้าทำความเคารพด้วยการกราบสามครั้ง แล้วท่านพระครูจึงพูดกับนางสาวส้มป่อยว่า

          “ไง อาละวาดใหญ่เลยหรือ ข้าเพิ่งเตือนไปหยก ๆ ทำไมลืมเสียได้” ท่านมิได้แผ่เมตตาให้หล่อนด้วยเหตุผลที่ว่า “เดี๋ยวจะเคยตัว” กระนั้นหญิงสาวก็ยังรู้สึกว่าความเจ็บปวดทุเลาลง เมื่อได้มานั่งต่อหน้าท่าน เป็นอุปาทานที่เกิดจากความยึดมั่นถือมั่นในตัวบุคคล เวลานี้ หล่อนเสมือนคนไร้ที่พึ่ง จึง “ยึด” เอาท่านพระครูเป็นสรณะ

            “ฉันปวดจ้ะหลวงพ่อ มันทนไม่ไหวจริง ๆ”

          “ก็เลยอาละวาดงั้นหรือ การทำเช่นนั้นทำให้เอ็งหายปวดใช่ไหม”

          “ไม่หายจ้ะ มันก็ยังปวดเหมือนเดิม แต่มันแปลกนะหลวงพ่อ เวลาฉันมานั่งต่อหน้าหลวงพ่อ ฉันรู้สึกสบายขึ้น”

          “นั่นเป็นอุปาทานของเอ็งต่างหาก เอ็งดูโยมเขาซิ เขาก็ปวดไม่แพ้เอ็งเหมือนกัน แต่ทำไมเขาไม่โวยวายอย่างเอ็ง” หญิงสาวมองดูอาจารย์ชิต เห็นเขานั่งนิ่งเหมือนไม่มีความรู้สึกใด ๆ จึงเถียงว่า

          “เขาไม่ปวดอย่างฉันน่ะซี ถ้าปวดเขาต้องทำอย่างที่ฉันทำนั่นแหละ”

          “งั้นเดี๋ยวเอ็งลองถามเขาดูก็ได้ รอให้หมดเวลาเสียก่อน”

          “เกิดเขานั่งอยู่อย่างนี้ทั้งคืน ฉันมิรอแย่หรือ” หล่อนพูดอย่างวิตก

          “ถ้าเอ็งอยากรู้จริง ๆ ก็น่าจะรอได้”

          “งั้นฉันไม่อยากรู้ดีกว่า” หล่อนเปลี่ยนใจ พอดีกับเสียงนาฬิกาปลุกดังกังวานขึ้น อาจารย์ชิตถอนจิตออกจากสมาธิ แล้วลืมตาช้า ๆ เขาก้มลงกราบท่านพระครูสามครั้งแล้ว อุทธรณ์ว่า

          “ปวดเหลือเกินครับหลวงพ่อ ปวดมากกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา”

          “ได้ยินหรือยังส้มป่อย ไหนเอ็งว่าเขาไม่ปวดไงล่ะ” ท่านพระครูหันไปพูดกับสาวคนป่วย

          “ปวดแล้วทำไมลุงนั่งเฉยราวกับไม่ปวดล่ะจ้ะ” หล่อนถามอาจารย์ชิต

          “ก็ลุงพยายามใช้สมาธิข่มเวทนา แล้วลุงก็คิดว่ากำลังใช้หนี้กรรม ทั้งที่ยังไม่รู้ว่าลุงทำกรรมอะไรไว้ ถึงอย่างไรหนูก็ยังดีกว่าลุงตรงที่รู้กรรมของตัวเองแล้ว อีกประการหนึ่งหนูก็ปวดอย่างเดียว ไม่มีกลิ่นน่ารังเกียจเหมือนของลุง เพราะฉะนั้นหากจะเปรียบเทียบกันแล้ว ลุงอยู่ในสภาพที่แย่กว่าหนูมากนัก แต่ลุงก็พยายามอดทนสู้กับมัน” ฟังอาจารย์ชิตพูดแล้ว นางสาวส้มป่อยก็เถียงไม่ออก ท่านพระครูจึงพูดเสริมอีกว่า

          “ฟังข้านะส้มป่อย ฟังแล้วก็เก็บไปคิดเป็นการบ้าน ปราชญ์เขาสอนไว้ว่า “หัสดินย่อมไม่ทิ้งลีลาแม้ออกศึก ไม้จันทน์ย่อมไม่ทิ้งความหอมแม้แห้ง อ้อยย่อมไม่ทิ้งความหวานแม้ผ่านหีบ...บัณฑิตแม้มีความทุกข์ย่อมไม่ทิ้งธรรม” โยมชิตเขาเป็นบัณฑิตนะ แม้เขาจะมีความทุกข์ก็ยังรักษาธรรมไว้ได้ ส่วนเอ็งทำตัวเยี่ยงคนพาล พอประสบทุกข์ก็ทิ้งธรรม มีอย่างที่ไหน แม้แต่แม่บังเกิดเกล้าของตัวเอง ก็ยังด่าได้” ท่านตำหนิติเตียน

          “หลวงพ่อได้ยินหรือจ๊ะ” คนถามมองหน้านายสมชาย ด้วยคิดว่าเขามาฟ้อง

          “ก็ถ้าไม่ได้ยินแล้วข้าจะพูดถูกหรือ เอ็งไม่ต้องไปสงสัยว่าจะมีใครมาบอกข้าหรอก ข้ารู้ของข้าเองโดยไม่ต้องมีคนบอก ขอให้เอ็งรู้ไว้เสียด้วยว่า ข้ารู้ได้หากอยากจะรู้ ฉะนั้นก็อย่าพูด อย่าคิดอะไร ๆ ที่มันไม่ดี ขอให้สำเหนียกไว้ว่า อย่างน้อยข้าก็รู้ ถึงคนอื่นจะไม่รู้แต่ข้ารู้” ท่านพระครูย้ำ มิใช่จะอวดอุตริมนุสสธรรม หากต้องการจะสอนบุคคลผู้สอนยากเช่นนางสาวส้มป่อยผู้นี้

          “ฟังหลวงพ่อท่านสอนแล้วก็เก็บไปคิดทบทวนนะส้มป่อย คิดแล้วก็ต้องทำให้ได้ ขืนเอ็งอาละวาดอีก ข้าคงถูกคนอื่น ๆ เขาเล่นงานแน่” แม่ชีเจียนพูดเสริม ชีสาวสองคนไม่ปริปากพูดเช่นเคย

            “หลวงพ่อจ๊ะ ฉันไม่ชอบชื่อส้มป่อยเลย มันทำให้ฉันนึกถึงกรรมที่ปล่อยลูกหมา หลวงพ่อช่วยเปลี่ยนชื่อใหม่ให้ฉันด้วยได้ไหมจ๊ะ” หญิงสาวเปลี่ยนเรื่องเสียทันใด ทั้งนี้ทั้งนั้นเพราะไม่อยากฟังคำตำหนิติเตียน

          “ไม่ชอบชื่อส้มป่อยหรือ งั้นก็เปลี่ยนเป็นส้มแป้น เอาไหมเล่า หรือ จะเอาส้มเช้ง” คราวนี้ทั้งแม่ชีทั้งฆราวาสต่างพากันหัวเราะ คนป่วยจึงว่า

          “ไม่เอาจ้ะ ฉันไม่อยากได้คำว่า “ส้ม” ด้วย หลวงพ่อช่วยเปลี่ยนให้ใหม่ ไม่เอาทั้ง “ส้ม” ทั้ง “ป่อย” แล้วก็ไม่เอาอักษร ป. ด้วยนะจ๊ะ

          “งั้นชื่อเพชราก็แล้วกัน เผื่อได้เป็นนางเอกหนังกะเขาบ้าง ชอบไหมล่ะ ชื่อเพชราน่ะ” คราวนี้คนป่วยยิ้มหน้าบาน รีบสนองว่า

          “ดีจ้ะ ฉันก็เคยคิดไว้เหมือนกัน” แล้วพูดกับทุกคนในที่นั้นว่า “ต่อไปนี้อย่าเรียกฉันว่าส้มป่อยนะจ๊ะ ฉันเปลี่ยนชื่อเป็นเพชราแล้ว หลวงพ่อท่านเปลี่ยนให้ นี่ฉันต้องไปแจ้งอำเภอไหนจ๊ะ” ประโยคหลัง หล่อนถามท่านพระครู

          “ถ้าเอ็งจะเปลี่ยนจริง ๆ ก็คงต้องแจ้ง แต่เอาเถอะ ให้หายป่วยเสียก่อนค่อยดำเนินการ อันที่จริงมันก็ไม่เกี่ยวกับชื่อหรอกนะ คนเราจะดีหรือเลว จะสุขหรือทุกข์ไม่เกี่ยวกับชื่อ แต่อยู่ที่กรรม จะชื่อไพเราะเพราะพริ้งแค่ไหน หากทำกรรมชั่วก็ชื่อว่าเป็นคนชั่ววันยังค่ำ จริงไหมโยม” ท่านถามอาจารย์ชิต

          “จริงครับ” บุรุษวัยหกสิบรับคำ

          “แล้วเอ็งละ ที่ข้าพูดมานี่เอ็งเห็นด้วยไหมเพชรา” คนถูกถามยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ก่อนตอบว่า

          “จริงจ้ะ” เห็นชีสาวสองคนนั่งยิ้มหากไม่ยอมพูดจา ท่านพระครูจึงถามแม่ชีเจียนว่า

          “แม่ชีสองคนนี้เขาถือ “วจีวิรัติ” หรือยังไง ถึงไม่ยอมพูดจา”

          “ถูกแล้วจ้ะหลวงพ่อ เขาถือมาสามวันเข้านี่แล้ว”

          “ดีจริง อาตมาขออนุโมทนา การปฏิบัติธรรมนั้นหากจะให้ได้ผลจะต้องไม่พูดไม่คุยกับใครเลย เอาละกลับที่พักกันได้แล้ว หวังว่าเอ็งคงไม่ทำฤทธิ์อีกนะจ๊ะแม่เพชรา” ท่านกำชับนางสาวเพชรา คนได้ชื่อใหม่รับคำหนักแน่น แล้วก็เหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้ จึงถามท่านเจ้าของกุฏิว่า

          “หลวงพ่อจ๊ะ ด่าพ่อแม่นี่ต้องตกนรกใช่ไหมจ๊ะ ฉันกลัวตกนรกจังเลยจ้ะ”

          “กลัวก็ต้องรีบเจริญกรรมฐานเข้า หากเอ็งปฏิบัติได้ถึงขั้นบรรลุญาณ ๑๖ เอ็งก็จะสามารถตัดอบายภูมิได้ ตายไปก็ไม่ต้องไปตกนรก” ท่านพระครูตอบ

          “แล้วฉันต้องปฏิบัติอยู่นานสักกี่ปีจ๊ะถึงจะบรรลุ”

            “อันนี้ข้าตอบไม่ได้ เพราะมันขึ้นอยู่กับความเพียรพยายามของเอ็ง คนอื่นจะมากะเกณฑ์ให้ไม่ได้”

          “ด่าพ่อแม่ที่บาปกว่าเอาลูกหมาไปปล่อยอีกใช่ไหมจ๊ะ” หล่อนถามอีก

          “ถูกแล้ว ทั้งนี้เพราะพ่อแม่นั้นมีบุญคุณต่อเรามาก ในมาตาปิตุคุณสูตร พระพุทธองค์ทรงแสดงไว้ว่า ลูกจะให้แม่นั่งบนบ่าขวา ให้พ่อนั่งบนบ่าซ้าย ถ่ายอุจจาระปัสสาวะรดลงไปบนบ่าลูก ลูกเป็นผู้เช็ดให้ หาอาหารมาป้อนให้ กระทั่งจนท่านตายหรือกระทั่งลูกตายไป ก็ไม่สามารถจะตอบแทนพระคุณค่าป้อนข้าว ป้อนน้ำนมที่ท่านได้ถนอมกล่อมเกลี้ยงบำรุงเลี้ยงมาอย่างดีได้” พุทธวจนะที่ท่านพระครูหยิบยกมากล่าวอ้าง ทำให้คนฟังต่างระลึกนึกถึงบิดามารดาของตน โดยเฉพาะคนที่ชื่อยังใหม่เอี่ยมอ่องอยู่นั้นถึงกับน้ำตาซึม

          “แล้วทำอย่างไรจึงจะได้ชื่อว่าได้ทดแทนบุญคุณพ่อแม่อย่างเลิศที่สุดครับ” อาจารย์ชิตถาม

          “กล่าวโดยสรุปก็คือ ถ้าพ่อแม่เป็นมิจฉาทิฐิแล้วลูกสามารถชักจูงพ่อแม่ให้กลับเป็นสัมมาทิฐิได้ นั่นถือว่าได้ทดแทนบุญคุณอย่างเลิศ”

          “อันนี้ฉันไม่เข้าใจจ้ะ” คนจบชั้นประถมปีที่สี่ว่า อาจารย์ชิตจึงช่วยอธิบายให้หล่อนฟังเป็นการ “ผ่อนแรง” ท่านพระครู

          “หมายความว่า ถ้าพ่อแม่ของหนูมีความเห็นผิดเป็นต้นว่า ไม่เชื่อเรื่องบาปบุญคุณโทษ แล้วหนูสามารถชักจูงชี้แจ้งให้ท่านมีความเห็นที่ถูกต้อง เชื่อว่าทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว บุญบาปมีจริง ถ้าทำอย่างนี้ได้ถือว่าทดแทนบุญคุณอย่างเลิศที่สุด”

          “แล้วถ้าฉันพาพ่อแม่มาเข้ากรรมฐานล่ะจ๊ะ”

          “ถ้าทำเช่นนั้นก็ถือว่า เอ็งได้ทดแทนบุญคุณพ่อแม่อย่างเลิศที่สุด แต่ก็มีข้อแม้ว่าพ่อแม่เอ็งจะต้องตั้งอกตั้งใจปฏิบัติ ไม่ใช่มานั่งกิน นอนกิน เปลืองข้าวสุกวัด คนประเภทนี้มีมากเหมือนกัน โดยเฉพาะที่วัดนี้ พอออกจากวัดเลยไม่ได้อะไรกลับไป แล้วก็เที่ยวไปพูดว่ามานั่งหลับหูหลับตาเสียเวลาทำมาหากิน”

            “หลวงพ่อจ๊ะ ฉันอยากพาพ่อกะแม่มาเข้ากรรมฐาน แต่ก็จนใจ เพราะไม่รู้ว่าเขาไปอยู่กันที่ไหน จะยังมีชีวิตอยู่หรือเปล่าก็ไม่รู้” นางสาวเพชราพูดน่าสงสาร ท่านพระครูจึงจำต้อง “ช่วย” โดยบอกหล่อนว่า

          “ยังอยู่ทั้งสองคนนั่นแหละ เอาเถอะ เอ็งช่วยตัวเองเสียก่อน ขอให้ตั้งใจปฏิบัติ หายป่วยเมื่อใดค่อยคิดช่วยพ่อแม่”

          “ช่วยยังไงจ๊ะ”

          “ข้ายังไม่บอกเอ็งตอนนี้หรอก เอาไว้เวลานั้นมาถึงแล้วค่อยว่ากันใหม่ เอาละ กลับไปได้แล้ว แม่ชีสองคนที่ถือ “วจีวิรัติ” นั้น อาตมาขออนุโมทนา ขอให้ปฏิบัติก้าวหน้ายิ่ง ๆ ขึ้น” คนทั้งสี่กราบลาท่านพระครูแล้วจึงลุกออกมา นายสมชายจัดการปิดประตูด้านหน้าและด้านหลัง แล้วเตรียมขึ้นนอนเพราะใกล้สองยามแล้ว

          “หลวงพ่อง่วงหรือยังครับ” อาจารย์ชิตถาม เขายังอยากคุยกับท่านพระครูต่อ เนื่องจากมีข้อข้องใจสงสัยที่อยากจะเรียนถาม

          “อาตมาไม่เคยง่วงหรอกโยม จิตมันเป็นอัตโนมัติเสียแล้ว ปกติอาตมานอนตอนตีสอง พอนอนปุ๊บก็หลับปั๊บโดยไม่รู้สึกง่วง พอตีสี่ก็ตื่นเองโดยอัตโนมัติ”

          “ถ้าเช่นนั้นผมขออนุญาตเรียนถามเรื่องฌานต่อได้ไหมครับ เพราะมันค้างใจผมอยู่ จนเกิดเป็นความกังวลเวลานั่งสมาธิ”

          “งั้นก็ถามมาเถอะ อาตมาจะได้ตอบให้หายข้องใจสงสัย แต่ต้องบอกไว้ก่อนนะว่า ถ้าเข้าใจเรื่องนี้แล้วก็อย่าไปสงสัยเรื่องอื่นต่อไปอีก ประเดี๋ยวจะกลายเป็นวิจิกิจฉา ทำให้การปฏิบัติไม่ก้าวหน้า”

          “ครับ ผมจะพยายาม สิ่งที่ผมจะเรียนถามหลวงพ่อคือ ผมอยากทราบว่า ฌานที่จะนำมาเป็นบาทฐานของวิปัสสนานั้น เป็นฌานขั้นไหน และถ้าเราไม่ได้ฌานก็จะไม่สามารถเจริญวิปัสสนาได้ เป็นอย่างนั้นหรือเปล่าครับ”

            “เอาละ อาตมาจะตอบคำถามหลังก่อน ที่โยมถามมานี้แสดงว่ายังแยกไม่ออก ระหว่างฌานกับสมาธิ อาตมาจะอธิบายคำหลังก่อน คำว่า “สมาธิ” แปลว่า ความตั้งมั่นของจิต หรือ ภาวะที่จิตแน่วแน่ต่อสิ่งที่กำหนด จึงเป็นภาวะจิตที่มีอารมณ์เป็นหนึ่ง ไม่ฟุ้งซ่านหรือส่ายไป สมาธิมี สามระดับคือ ขณิกสมาธิ เป็นสมาธิชั่วขณะ อุปจารสมาธิ เป็นสมาธิจวนแน่วแน่ และอัปปนาสมาธิ เป็นสมาธิแน่วแน่อันเป็นสมาธิระดับสูงสุดซึ่งมีในฌานทั้งหลาย

          ดังนั้น ภาวะจิตที่มีสมาธิถึงขั้นอัปปนาสมาธิแล้วจึงจะเรียกว่าฌาน ฌานมีหลายขั้น ยิ่งเป็นขั้นสูงขึ้นไปเท่าใด องค์ธรรมต่าง ๆ ที่เป็นคุณสมบัติของจิตก็ยิ่งลดน้อยลงไปเท่านั้น ฌานโดยทั่วไปแบ่งเป็น ๒ ระดับใหญ่ ๆ คือ รูปฌาน ๔ และอรูปฌาน ๔ รูปฌาน ๔ ได้แก่ ปฐมฌาน ทุติยฌาน ตติยฌาน และจตุตถฌาน ส่วนอรูปฌาน ๔ ได้แก่ อากาสานัญจายตนฌาน วิญญญาณัญจายตนฌาน อากิญจัญญายตนฌาน และ เนวสัญญานาสัญญายตนฌาน”

          ท่านพระครูอธิบายช้าและชัดเจน คนฟังกำหนด “ฟังหนอ” แล้วตั้งอกตั้งใจฟัง ใจจดจ่ออยู่กับเรื่องที่ฟัง จึงเกิดความเข้าใจแจ่มแจ้งแม้เป็นเรื่องยาก

          “ที่อาตมาพูดมาทั้งหมดนี้ โยมเข้าใจใช่ไหม”

          “ครับ ผมเข้าใจแจ่มแจ้งเลยครับ”

          “ถ้าอย่างนั้นลองอธิบายให้อาตมาฟังหน่อยซิว่า ฌานคืออะไร”

          “คือ ภาวะจิตขั้นอัปปนาสมาธิครับ ขั้นขณิกสมาธิกับอุปจารสมาธิ ยังไม่เรียกว่าฌาน”

          “ดีมาก ทีนี้อาตมาก็จะได้อธิบายถึงสมาธิที่ใช้เป็นบาทฐานของวิปัสสนาหรือจะเรียกว่า วิปัสสนาสมาธิก็ได้ วิปัสสนาสมาธิ ได้แก่ สมาธิในระดับระหว่างขณิกสมาธิ กับ อุปจารสมาธิ ทีนี้โยมตอบมาซิว่า การที่จะเจริญวิปัสสนานั้นจำเป็นต้องได้ฌานหรือไม่”

          “ไม่จำเป็นครับ”

          “เอาละ ทีนี้ก็มาถึงคำถามแรกที่โยมถามว่า ฌานที่จะนำมาเป็นบาทฐานของวิปัสสนา เป็นฌานขั้นไหน โยมพอจะมองเห็นคำตอบไหม”

          “เป็นขั้นไหนก็ได้ใช่ไหมครับ”

          “ถูกแล้ว เพราะเมื่อจะยกจิตขึ้นสู่อารมณ์วิปัสสนา จะต้องถอนจิตออกจากฌานเสียก่อน หรือถ้าหากไม่ได้ฌาน ก็ต้องถอนจิตออกจากสมาธิเสียก่อน

          ในสมัยพุทธกาล ภิกษุรูปหนึ่งชื่อ พระมหาติสสเถระ ท่านเจริญอัฏฐิกรรมฐาน จนบรรลุปฐมฌาน แล้วใช้ปฐมฌานนั้นเป็นบาทฐาน เจริญวิปัสสนาจนได้บรรลุเป็นพระอรหันต์”

          “ถ้าอย่างนั้นฌานก็ไม่มีความสำคัญมากนัก สำหรับผู้ที่มุ่งในทางวิปัสสนากรรมฐานใช่ไหมครับ”

          “ถูกแล้ว แต่ถ้าผู้ปฏิบัติมุ่งในเรื่องอิทธิปาฏิหาริย์ ฌานมีความสำคัญมากและต้องเจริญให้ถึงจตุตถฌาน แต่ทั้งนี้ก็มิได้หมายความว่าผู้ที่ได้จตุตถฌานทุกคนจะมีอิทธิปาฏิหาริย์ จะได้เฉพาะบางคนที่มีสมาธิแก่กล้าเท่านั้น ในคัมภีร์วิสุทธิมรรคยังระบุไว้ด้วยว่า ผู้ที่จะได้อิทธิปาฏิหาริย์นั้น ต้องมีบุญบารมีอันสำเร็จมากแต่ชาติก่อน มิใช่ได้เพราะความเชี่ยวชาญในสมาบัติ”

            “อย่างพระอาจารย์สุวินท่านก็ต้องเคยสร้างบารมีมาจากชาติก่อน ๆ ใช่ไหมครับ”

          “ถูกแล้ว”

          “แต่ท่านก็ไม่สามารถฝืนกฎแห่งกรรมไปได้ แสดงว่าอิทธิปาฏิหาริย์ก็ยังอยู่ใต้กฎแห่งกรรม ใช่ไหมครับ”

            “แน่นอน บางคนไม่เข้าใจ คิดว่า ถ้าได้อิทธิปาฏิหาริย์แล้วจะพ้นเวรพ้นกรรม มันพ้นไม่ได้หรอกโยม เอาละ นี่ก็ดึกมากแล้ว โยมควรจะพักผ่อนเสียที อาตมาก็จะขึ้นไปเขียนหนังสือต่อ” เมื่อท่านบอกจะขึ้นข้างบน อาจารย์ชิตก็รู้สึกปวดแผลขึ้นมาทันที จึงพยายามประวิงเวลาการสนทนาด้วยการถามว่า

          “หลวงพ่อเคยเจริญฌานหรือเปล่าครับ”

          “เคยโยม อาตมาเคยปฏิบัติเตโชกสิณ กับ อาโปกสิณ อยู่หลายปี”

          “แล้วเป็นอย่างไรบ้างครับ หลวงพ่อกรุณาเล่าประสบการณ์ที่ได้จากการเจริญฌานให้ผมฟังเป็นธรรมทานได้ไหมครับ” ท่านพระครูไม่ตอบ หากลุกขึ้นไปหยิบคัมภีร์พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๑ มาจากตู้ เปิดตรงหน้า ๗๗ แล้วส่งให้ผู้สูงอายุ

          “โยมช่วยอ่าน อจินติสูตร ให้อาตมาฟังหน่อยซิ” อาจารย์ชิตจึงอ่านตามที่ท่านสั่ง ในสูตรนั้นมีข้อความว่า

          ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อจินไตย ๔ ประการนี้ อันบุคคลไม่ควรคิด เมื่อบุคคลคิดพึงเป็นผู้มีส่วนแห่งความบ้า เดือดร้อน อจินไตย ๔ ประการเป็นไฉน

            ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พุทธวิสัยของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ๑ ฌานวิสัยของผู้ได้ฌาน ๑ วิบากแห่งกรรม ๑ ความคิดเรื่องโลก ๑

            ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อจินไตย ๔ ประการนี้แลไม่ควรคิด เมื่อบุคคลคิดพึงเป็นผู้มีส่วนแห่งความบ้า เดือดร้อน

            เมื่อบุรุษนั้นอ่านจบ ท่านเจ้าของกุฏิ จึงถามขึ้นว่า

          “เป็นยังไง อยากรู้เรื่องฌานอีกไหม”

          “ไม่อยากแล้วครับหลวงพ่อ ผมยังไม่อยากเป็นบ้า และก็ไม่อยากเดือดร้อนมากกว่านี้ เท่าที่เดือดร้อนเพราะโรคภัยไข้เจ็บก็หนักแทบจะรับไม่ไหว ผมไม่อยากรู้เรื่องนี้อีกแล้วครับ”

          เสียงเคาะประตูตามด้วยเสียงเรียกท่านพระครูดังขึ้นอีก เจ้าอาวาสวัดป่ามะม่วงเดินไปหยิบลูกกุญแจ

          “ผมเปิดเองครับ” อาจารย์ชิตขันอาสา แล้วรับลูกกุญแจจากท่านไปไขประตู ท่านเจ้าของกุฏิกลับไปนั่งยังอาสนะเพื่อรอรับการร้องทุกข์ บุรุษวัยห้าสิบ เข้ามากราบท่าน ตามด้วยเพื่อนบ้านวัยไล่เลี่ยกันอีกสองคน

          “หลวงพ่อครับ อีเช้าเมียผมถูกผีเข้า หลวงพ่อช่วยไปดูมันหน่อยเถิดครับ” บุรุษนั้นรายงาน

          “ผีที่ไหนมาเข้าล่ะ”

          “ไม่ทราบเหมือนกันครับ แหมมันด่าเป็นไฟลามทุ่งเลย หลวงพ่อช่วยไปไล่มันออกหน่อยเถอะครับ”

          “ตกลง ไปก็ไป เดี๋ยวนะ ขอขึ้นไปเอาของหน่อย” ท่านขึ้นไปปลุกนายสมชาย แล้วหยิบย่ามพร้อมไฟฉายหนึ่งกระบอก ก่อนออกจากวัดท่านสั่งอาจารย์ชิตว่า

          “โยมพักผ่อนตามสบายนะ ไม่ต้องกังวลเรื่องเปิดประตู อาตมาจะเอาลูกกุญแจไปด้วย”

 

มีต่อ........๕๘

 
บันทึกการเข้า
ช่างเล็ก(LSV)
Administrator
member
*

คะแนน1346
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 18613


คิดดี ทำดี ชีวิตมีแต่สุข


อีเมล์
« ตอบ #60 เมื่อ: เมษายน 25, 2007, 07:29:16 AM »

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม - ๕๘

 

สุทัสสา อ่อนค้อม

ธันวาคม ๒๕๓๗

S00058
๕๘...

          คนทั้งสามพาท่านพระครูกับนายสมชาย เดินตัดท้องทุ่งอันเป็นทางลัดไปสู่บ้ายของนางเช้า เพราะหากเดินไปตามถนนลูกรัง จะต้องใช้เวลามากกว่าถึงสองเท่า ขณะเดินลัดเลาะไปตามคันนา ท่านพระครูก็แผ่เมตตาให้สิงสาราสัตว์ จำพวกงูเงี้ยวเขี้ยวขอเพื่อให้สัตว์เหล่านั้นอยู่เย็นเป็นสุข ปราศจากการเบียดเบียนซึ่งกันและกัน และเพื่อให้ฆราวาสสี่คนกับนักบวชอีก ๑ รูปที่กำลังเดินอยู่ภายใต้แสงสลัวของพระจันทร์ครึ่งดวง ได้ปลอดภัยจากสัตว์เหล่านั้นอีกด้วย

          เวลาผ่านไปประมาณสี่สิบนาทีก็ถึงบ้านของนางเช้า เป็นบ้านไม้ชั้นเดียว ใต้ถุนสูง หลังคามุงสังกะสี บนบ้านจุดตะเกียงเจ้าพายุสว่างไสว เสียงผู้หญิงด่าอย่างหยาบคายดังมาจากบนบ้าน นายสมชายได้ยินถึงกับขนลุก ขนาดฟังนางสาวส้มป่อยด่ามาหยก ๆ ก็ยังรู้สึกว่า เสียงด่าที่กำลังได้ยินอยู่ขณะนี้ หยาบคายกว่าหลายเท่า ทั้งไม่ก่อให้เกิดความรู้สึกนึกขำแต่ประการใด

          นายบ่ายนำท่านพระครูไปนั่งข้าง ๆ ภรรยาผู้ซึ่งนอนหลับหูหลับตาด่าอยู่บนเสื่อจันทบูรผืนใหม่ มีหมอนสีขาวหนุนที่ศีรษะ ลูก ๆ นั่งล้อมวงดู ด้วยไม่อาจจะช่วยอะไรได้ และทุกครั้งที่มารดาเป็นเช่นนี้ พวกเขาก็จะนั่งเฝ้าดูกระทั่งผีมันออกไปเอง หากคราวนี้มันเข้านานกว่าทุกครั้ง และไม่มีทีท่าว่าจะออกไปง่าย ๆ บิดาจึงชวนเพื่อนบ้าน แล้วพากันไปนิมนต์ท่านพระครูมาช่วยไล่ผี

          “นี่แหละครับหลวงพ่อ ผีเข้าทีไรมันด่าลูกด่าผัวไม่พัก ไม่รู้ผีห่าผีเหวที่ไหนมาเข้า” นายบ่ายบอกท่านพระครูพร้อมด่าผีไปด้วย ได้ยินสามีพูดกับท่านพระครู คนถูกผีเข้าลืมตาขึ้นดูนิดหนึ่ง เป็นเวลาเดียวกับที่ท่านพระครูจ้องดูนางพอดี เสียงด่าหยุดชะงักลงประเดี๋ยวหนึ่ง แล้วคนถูกผีเข้าก็หลับหูหลับตาด่าต่อไปอีก หากคราวนี้เสียงเบาลงกว่าเดิมมาก

          “ผีมันคงจะเกรงใจพระ” นายสมชายคิด เจ้าอาวาสวัดป่ามะม่วงให้สงสัยยิ่งนักว่าผีที่มาเข้านางเช้านั้น เป็นผีจริงหรือผีปลอมกันแน่ ท่านต้องใช้ “เห็นหนอ” เข้าตรวจสอบ จึงได้รู้ว่าเป็นผีปลอม

          “เห็นหนอ” รายงานว่า วันไหนเล่นไพ่เสีย วันนั้นจะต้องถูกผีเข้า แล้วก็จะด่าลูกด่าผัวกระทั่งหลับไปเอง แต่ถ้าวันไหนเล่นได้ วันนั้นผีไม่เข้า วันนี้เสียมากกว่าทุกวัน ผีก็เลยเข้าตั้งแต่หัวค่ำ แล้วก็ยังไม่ยอมออก จนนายบ่ายสามีต้องไปนิมนต์ท่านมาไล่ผี

          “ช่วยหน่อยเถอะครับหลวงพ่อ ดูท่าทางมันจะด่ายันรุ่งแน่เลย ผมกับลูกเต้าคงไม่ได้หลับไม่ได้นอนกัน” นายบ่ายพูดท่าทางน่าสงสาร

          “ช่วยแน่โยม อาตมาช่วยแน่ เดี๋ยวเถอะ เดี๋ยวจะไล่ให้ออกแทบไม่ทันเชียว คอยดูฝีมืออาตมาก็แล้วกัน” ท่านพูดข่มขวัญผีปลอม

          “ต้องทำน้ำมนต์หรือเปล่าครับ ผมจะได้ให้ลูกไปหาขันน้ำกับเทียน” นายบ่ายถาม

          “ไม่ต้อง ไม่ต้อง ผีรายนี้มันไม่กลัวน้ำมนต์”

          “แล้วจะใช้อะไรไล่ละครับ” ท่านพระครูนั่งนึกอยู่ประเดี๋ยวหนึ่ง จึงตอบว่า

          “ใช้ยา เดี๋ยวอาตมาจะปรุงยาให้ผีกิน รับรองว่ากินปุ๊บออกปั๊บเลย”

          “ต้องใช้อะไรบ้างครับ”

          “ใช้พริกขี้หนูกับเกลือ มีหรือเปล่า”

          “แห้งหรือสดครับหลวงพ่อ”

          “เอาสด ๆ ดีกว่า มีไหมพริกขี้หนูน่ะ”

          “มีครับ ที่ต้นมีเยอะ เดี๋ยวผมจะเอาไฟฉายลงไปเก็บมาให้” นายเย็นบุตรชายคนโตของนางเช้าตอบ

          “ดี ๆ เอาที่แก่ ๆ นะ ยิ่งได้สีแดงยิ่งดี ผีมันจะได้กลัว เอามาสักกำมือนึงแล้วตำกับเกลือ มาให้หลวงพ่อ”

          “ครับ” ชายหนุ่มรับคำแล้วเดินไปหยิบไฟฉายในห้อง ด้วยการลงไปเก็บพริกมาหนึ่งกำมือ แล้วนำไปโขลกกับเกลือที่ในครัว เสร็จแล้วจึงตักใส่ถ้วยนำมาให้ท่านพระครู

          “ขอช้อนด้วย” คราวนี้ลูกสาวคนรองเป็นคนไปหยิบมาให้ ได้อุปกรณ์ครบถ้วนแล้ว เจ้าอาวาสวัดป่ามะม่วงจึงสั่งว่า

          “เอาละ ช่วยกันจับผีไว้แล้วป้อนยาเข้าไปทางปาก กรอกลงไปให้หมดถ้วยเลย” นายบ่ายและลูก ๆ ทำตามที่ท่านสั่ง แต่กว่าจะง้างปากผีให้อ้าได้ก็ต้องออกแรงกันพอสมควร เพราะผีดิ้นรนขัดขืน ไม่ยอมให้กรอกยา เมื่อยาเข้าปาก ผีหลอมก็พ่นออกมาเพราะความแสบร้อน นายบ่ายและลูก ๆ ต่างพากันหลบเป็นพัลวัน

          “โอย...เผ็ด เผ็ดฉิบหายเลย” เสียงผีปลอมโอดครวญ

          “ขอน้ำหน่อย..น้ำ หลวงพ่อไม่น่าทำฉันเลย” นางเช้าตัดพ้อ

          “ฉันน่ะใคร ผีหรือคน” ท่านพระครูย้อนถาม

          “คนจ้ะ อีเช้าไงล่ะ หลวงพ่อไม่น่าทำกับอีเช้าอย่างนี้เลย” นางลืมตาลุกขึ้นนั่ง สั่งลูกชายคนโตว่า

          “ไอ้เย็น ขอน้ำให้ข้าหน่อย เผ็ดจะตายอยู่แล้ว” นายเย็นกำลังจะลุกออกไปหาน้ำ แต่ท่านพระครูห้ามไว้ ท่านบอกเขาว่า

          “อย่าเพิ่ง ถ้าได้น้ำตอนนี้ ผีจะไม่ยอมออก เดี๋ยว ต้องให้หลวงพ่อเจรจากับผีก่อน” ทั้งนี้ทั้งนั้นเพราะท่านต้องการจะ “ดัดสันดานผี” นางเช้าเห็นดังนั้น จึงต่อว่าท่านพระครูเป็นการใหญ่

          “ฉันไปทำอะไรให้หลวงพ่อหรือ หลวงพ่อถึงทำกับฉันแบบนี้”

          “อาตมาไม่ได้ทำโยม อาตมาทำผีต่างหาก ก็ผีมันเข้าโยม อาตมาก็จะช่วยไล่มันออกไป เห็นไหมพอให้กินยามันรีบออกเลย ทีหน้าทีหลังถ้ามันมาเข้าอีก ก็เอายานี่กรอกปากมันนะหนูนะ” ท่านหันไปบอกลูก ๆ ของนางเช้า

          “โอ๊ย พอแล้วจ๊ะ พอแล้ว มันไม่เข้าอีกแล้ว ฉันรับรอง” นางเช้าบอกเสียงลั่น

          “แน่นา” ท่านพระครูย้ำ

          “แน่จ้ะ” คนถูกผีปลอมเข้ารับคำหนักแน่น นางนึกในใจว่า ต่อแต่นี้ไปถึงจะเสียไพ่มากแค่ไหน ก็จะไม่ยอมทำเป็นผีเข้าอย่างเด็ดขาด เข็ดแล้ว เข็ดเป็นตอนแมวเชียวละ

          “ขอน้ำฉันกินหน่อยเถอะจ้ะหลวงพ่อ” นางอ้อนวอน เจ้าอาวาสวัดป่ามะม่วง จึงสั่งให้นายเย็นไปนำน้ำมาให้มารดาดื่ม เพื่อนบ้านสองคนที่นั่งดูท่านพระครูไล่ผี เมื่อเห็นว่าผีออกเป็นที่เรียบร้อยแล้วจึงกล่าวลา

          “หลวงพ่อครับ ผมเห็นจะต้องกราบลา ดึกมากแล้ว ชักง่วง” หนึ่งในสองพูดขึ้น คนทั้งสองกราบท่านพระครูสามครั้งแล้วพากันลุกออกมา

          “ขอบใจมากนะที่ไปเป็นเพื่อน” นายบ่ายขอบใจเพื่อนบ้าน แล้วเหมือนจะนึกอะไรได้ จึงบอกบุรุษทั้งสองว่า

          “แล้วใครจะไปเป็นเพื่อนข้า ส่งหลวงพ่อกลับวัดล่ะ”

          “ไม่ต้องไปส่ง อาตมากลับเองได้ โยมสองคนไปเถอะ อาตมาจะอยู่อีกสักพักแล้วค่อยกลับ” เมื่อท่านพูดเช่นนี้ เพื่อนบ้านสองคนจึงลงเรือนไป อาคันตุกะไปแล้ว เจ้าอาวาสวัดป่ามะม่วง จึงพูดกับลูก ๆ ของนางเช้าว่า

          “เอาละ พวกหนู ๆ พากันไปนอนได้แล้ว หลวงพ่อจะดูแลแม่เขาให้ ปลอดภัยแล้ว ผีออกไปแล้ว” ลูกชายหญิงทั้งห้าคน จึงลุกออกมาแล้วต่างแยกย้ายกันไปนอน ท่านพระครูพูดกับนางเช้าว่า

          “เอาละ ทีนี้อาตมาจะเทศน์โยมละ เห็นไหมนี่ยังไว้หน้าโยมนะ ถึงได้รอให้เพื่อนบ้านและลูก ๆ ของโยมลุกออกไปเสียก่อน แต่โยมบ่ายต้องอยู่ฟัง จะได้ช่วยอบรมสั่งสอนและฝึกนิสัยให้โยมเสียใหม่” คนถูกผีปลอมเข้านั่งฟังตาปริบ ๆ สูดลมเข้าปากซี๊ด ๆ เพราะยังเผ็ดไม่หาย

            “นี่โยมบ่าย รู้ไหมว่าผีอะไรมันมาเข้าโยมเช้า” ท่านถามสามีคนถูกผีเข้า

          “ผีอะไรครับหลวงพ่อ”

          “ผีการพนัน โยมเช้าถูกผีการพนันเข้าสิง หนีไปเล่นไพ่ทุกวัน วันไหนเล่นได้ ผีไม่อาละวาด วันนี้เล่นเสียไปแยะ เลยอาละวาดนานกว่าทุกวัน โยมรู้ไว้ด้วย”

          “อ้อ ยังงี้นี่เอง ผมถึงว่าทำไมเงินทองมันถึงไม่คอยพอใช้ เพราะมันเอาไปเสียไพ่นี่เอง” นายบ่ายโมโหโกรธา มองหน้าคนเป็นเมียอย่างจะกินเลือดเนื้อ

          “หลวงพ่อ เรื่องอะไรมายุให้ผัวเมียเขาทะเลาะกัน เป็นพระทำไมทำยังงี้” นางเช้าต่อว่าพลางสูดปากซี๊ด ๆ

          “อาตมาไม่ได้ยุ โยมอย่าเข้าใจผิด นี่อาตมาจะช่วยโยมนะ ช่วยไม่ให้โยมต้องตกนรกไงล่ะ” ท่านพระครูชี้แจง

          “โธ่ หลวงพ่อ นรกยังอยู่อีกไกล แล้วจะมีจริงหรือเปล่าก็ยังไม่รู้แน่ แต่ที่ใกล้ตัวนี่ซี ฉันยังวิตก รับรองพอหลวงพ่อลงเรือนไป ไอ้บ่ายมันเตะฉันแน่” นางคาดการณ์เมื่อเห็นสายตาท่าทางของสามี

          “หลวงพ่อครับ ผมบอกตามตรงว่า ผมเกลียดขี้หน้ามันเหลือเกิน อีนี่มันหาความดีไม่ได้เลย” คนเป็นสามีพูดอย่างแค้นใจ

          “ไม่ดีแล้วมึงเอากูมาเป็นเมียทำไม แถมยังมีลูกหัวปีท้ายปี นี่ถ้ากูไม่ทำหมันป่านนี้มิเป็นโหลแล้วรึ” นางเช้าคุยอวด “เสน่ห์” ของตัว

          “เอาละ ๆ อย่ามาทะเลาะเบาะแว้งกันต่อหน้าพระสงฆ์องค์เจ้า บาปกรรมรู้หรือเปล่า” เจ้าอาวาสวัดป่ามะม่วงปราม

          “เดี๋ยวเถอะมึง หลวงพ่อลงเรือนเมื่อไหร่ มึงถูกกูเตะแน่ คอยดูก็แล้วกัน” นายบ่ายผูกอาฆาต

          “ขอที ๆ อาตมาขอบิณฑบาตเถอะ การทำร้ายร่างกายกันไม่ใช่สิ่งดี คนเราไม่ใช่เดรัจฉาน พูดจากันได้ สัตว์มันพูดไม่ได้ ถึงต้องใช้กำลังเข้าปะทะกัน โยมอยากเป็นยังงั้นหรือ”

          “ไม่อยากครับ” คนตอบก้มหน้าดูพื้น

          “มันซ้อมฉันประจำเลยแหละหลวงพ่อ สงสัยจะเป็นสัตว์เดรัจฉานมากเกิด” นางเช้าถือโอกาสฟ้องและด่าสามีไปด้วย

          “ก็โยมมันร้ายกาจนักนี่ ปากคอยังกะตะไกรโรงพยาบาล นี่อาตมาไม่ได้เข้าข้างโยมบ่ายนะ” ท่านพระครูพูดอย่างเหลืออด

          “ถึงว่าซีครับหลวงพ่อ ผมถึงได้เบื่อมันนัก อยากจะทิ้งไปหาเมียใหม่ ก็สงสารลูก ๆ”

          “เอาละ ๆ เลิกพูดเลิกทะเลาะกันเสียที ต่อไปนี้ก็ทำตัวเสียใหม่นะโยมเช้า ส่วนโยมบ่ายก็ห้ามทำร้ายกันแบบนั้น ค่อย ๆ พูด ค่อย ๆ จากัน เดี๋ยวอาตมาจะช่วยอบรมให้” แล้วท่านจึงพูดกับนางเช้าว่า

          “โยมต้องปรับปรุงตัวเสียใหม่นะ ต้องเป็นตัวอย่างที่ดีของลูก ๆ อีกหน่อยก็จะเป็นย่าเคนยายคนแล้ว อย่าให้ลูกหลานมาถอนหงอกเอาได้ ประการแรกโยมต้องเลิกเล่นไพ่อย่างเด็ดขาด อาตมารู้ว่ามันทำยาก เพราะคนที่ถูกผีการพนันเข้าสิงนั้น มักจะเลิกไม่ได้”

          “นั่นซีจ๊ะหลวงพ่อ บอกตามตรงว่า ฉันคงอกแตกตายแน่ ๆ หากไม่ได้เล่น บางวันฉันก็คิดจะเลิก แต่มันก็เลิกไม่ได้ ขาไพ่เขามาตาม”

          “ทีนี้ถ้าเขามาตาม ก็บอกให้ไปหาอาตมาที่วัดนะ ไปตั้งวงกันที่วัดโน่น บอกเขาอย่างนี้นะ แล้วโยมก็ควรจะไปอยู่วัดสักระยะนึง ไปอบรมจิตใจให้กิเลสตัณหามันเบาบางลงเสียบ้าง”

          “ทิดบ่ายเขาจะยอมให้ฉันไปหรือเปล่าก็ไม่รู้” คราวนี้นางเปลี่ยนจาก “ไอ้” มาเป็น “ทิด”

          “โอ๊ย เชิญเลย เชิญไปวันนี้พรุ่งนี้เลย ถ้าไปแล้วจะทำให้แกดีขึ้น จะไปอยู่นาน ๆ ก็ได้ ข้าไม่ว่าหรอก ช่วยดัดสันดานให้มันหน่อยนะครับหลวงพ่อ” คนเป็นสามีถือโอกาสฝากฝัง

            “ตกลง งั้นพรุ่งนี้โยมเตรียมข้าวของไปอยู่วัดได้” แล้วหันไปพูดกับนายบ่ายว่า “แน่ใจนะว่าจะไม่ไปตามกลับมา ประเดี๋ยวไม่ทันถึงสามวัน ก็จะไปบอก “แม่อีหนูกลับบ้านเถอะ ลูก ๆ มันคิดถึง” ที่แท้ตัวเองนั่นแหละคิดถึงแต่เอาลูกบังหน้า อาตมาเห็นมาหลายรายแล้ว”

            “คงไม่หรอกครับหลวงพ่อ ผมกับลูก ๆ คงจะสบายขึ้น เพราะอย่างน้อย ๆ ก็ไม่ต้องถูกมันด่าตอนผีการพนันเข้า”

          “ต่อไปนี้ผีไม่เข้าแล้ว ข้ารับรองได้” นางเช้ารีบบอกสามี ด้วยยังแสบปาก แสบคอไม่หาย

          “ดีแล้ว โยมต้องเลิกให้ได้นะ เพราะการพนันมันเป็นอบายมุข”

          “อบายมุขคืออะไรจ๊ะ หลวงพ่อ”

          “คือเหตุแห่งความเสื่อม หรือเหตุแห่งความฉิบหาย มี ๖ ประการ คือ เสพสุราและของมึนเมา ๑ เที่ยวกลางคืน ๑ เที่ยวดูการละเล่น ๑ เล่นการพนัน ๑ คบคนชั่วเป็นมิตร ๑ และเกียจคร้านการงาน ๑ ทั้งหกประการนี้ หากใครประพฤติปฏิบัติ บุคคลนั้นจะไม่ประสบกับความเจริญรุ่งเรือง ในกรณีของโยมก็เช่นกัน ขืนไม่เลิกเล่นไพ่ รับรองวันหนึ่งต้องหมดเนื้อหมดตัว คนโบราณเขาสอนไว้ว่า โจรปล้นสิบครั้งก็ยังดีกว่าไฟไหม้ เพราะบ้านและที่ดินยังเหลือ ไฟไหม้สิบครั้งก็ยังดีกว่าเล่นการพนัน เพราะบ้านไหม้ที่ดินยังอยู่ แต่การพนันนั้นหมดทั้งบ้านทั้งที่ โยมเคยเห็นไหมที่เศรษฐีต้องกลายเป็นยาจก เพราะถูกผีการพนันเข้าสิง โยมอยากเป็นอย่างนั้นใช่ไหม”

          “แต่ฉันไม่ใช่เศรษฐีนี่นา” นางเช้าเถียงไปข้าง ๆ คู ๆ

          “ฟังมันเถอะหลวงพ่อ แล้วอย่างนี้จะไม่ให้ผมอยากเตะมันได้ยังไง” นายบ่ายพูดอย่างหมั่นไส้เมียเต็มแก่

          “จริง ๆ นะ โยมเช้า โยมนี่กวนโทสะเขาจริง ๆ นั่นแหละ อาตมาเองก็ชักเบื่อที่จะพูดกับโยมแล้ว ก็ในเมื่อเศรษฐียังหมดเนื้อหมดตัว แล้วคนไม่ใช่เศรษฐี จะไม่แย่ยิ่งกว่าหรือ ยังจะมีหน้ามาเถียงอีก”

          “เอาเถอะจ้ะ ฉันยอมแพ้ ตกลงเป็นอันว่า ฉันจะเลิกเล่นไพ่อย่างเด็ดขาด แต่เรื่องไปอยู่วัด ขอคิดดูก่อน อ้อ แล้วที่หลวงพ่อบอกจะช่วยได้จริง ๆ หรือ แล้วนรกที่ว่า มันมีอยู่จริง ๆ ใช่ไหม” นางเช้าถามอย่างสนใจ

          “อาตมาช่วยได้ก็แค่บอกทางให้ว่าทางนี้ไปนรก ทางนี้ไปสวรรค์ เมื่อรู้แล้วโยมจะยังเลือกไปนรก อาตมาก็ช่วยอะไรโยมไม่ได้ โยมต้องช่วยตัวเอง ทำกรรมแทนกันไม่ได้”

          “แล้วนรกมันมีจริง ๆ อย่างที่คนเขาเชื่อกันหรือจ๊ะ” นางถามอีก

          “ถามอย่างนี้ แปลว่าโยมไม่เชื่อใช่ไหม”

          “ก็เชื่อเหมือนกัน แต่ไม่ค่อยมั่นใจนัก”

          “ถ้าโยมอยากมั่นใจ ก็ต้องปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน ถ้าตั้งใจปฏิบัติอย่างเอาจริงเอาจัง เมื่อบรรลุญาณที่ ๑๓ เมื่อไหร่ เมื่อนั้นโยมก็จะไม่สงสัยเรื่องนรกสวรรค์อีกต่อไป ถ้าอยากรู้ก็ต้องลงมือพิสูจน์ด้วยตนเอง”

          “ญาณ ๑๓ คืออะไรจ๊ะ”

          “คือ โคตรภูญาณ ใครปฏิบัติได้ถึงญาณนี้ ก็จะเลิกสงสัยเรื่องการมีอยู่ของนรกสวรรค์ ถ้าบรรลุถึงญาณ ๑๖ ก็จะได้เป็นพระอริยบุคคลระดับต้นที่เรียกว่า พระโสดาบัน เอาเถอะ พูดไปโยมก็ไม่เข้าใจหรอก ของอย่างนี้ไม่อาจเข้าใจด้วยคำพูด ต้องลงมือปฏิบัติ ถึงจะเข้าใจ ถ้าโยมอยากพิสูจน์เรื่องนรกสวรรค์ ก็ต้องปฏิบัติให้ได้ถึงญาณ ๑๓”

          “ไม่มีวิธีอื่นเลยหรือหลวงพ่อ คือรู้โดยวิธีอื่นน่ะจ้ะ”

          “มี วิธีที่ว่านี้คือ ให้ลองตายดู ถ้าอยากรู้ก็ลองตายเดี๋ยวนี้เลยก็ได้ รับรองได้เห็นนรกแน่”

          “โอ๊ย ไม่เอาหรอกหลวงพ่อ ฉันไม่กล้าลอง กลัวมันจะตายจริง ๆ “ นางรีบปฏิเสธ

          “ในเมื่อไม่กล้าลอง แล้วจะรู้ได้ยังไง อยากรู้มันก็ต้องลอง จริงไหมโยม” ท่านถามนายบ่าย

          “จริงครับ แต่สำหรับผม ผมเชื่อร้อยเปอร์เซ็นต์เลยครับหลวงพ่อ เชื่อโดยไม่ต้องลอง”

          “ทำไมโยมถึงเชื่อล่ะ”

          “เพราะผมเชื่อพระพุทธเจ้าน่ะครับ ที่เชื่อเพราะมั่นใจว่าท่านไม่ได้หลอกลวง ท่านจะมาหลอกลวงเราเพื่อประโยชน์อะไร จริงไหมครับ หลวงพ่อ”

          “แหม พูดเข้าที นี่แหละเขาถึงเรียกว่าคนฉลาด หรือโยมเช้าว่ายังไง”

          “งั้นก็แปลว่า ฉันโง่ใช่ไหม หลวงพ่อว่าฉันโง่ใช่ไหม” ถามอย่างไม่พอใจ

          “อันนี้โยมคิดเอาเอง เอาละ จะตีสองแล้ว อาตมาเห็นจะต้องกลับเสียที” ท่าน “รู้” โดยไม่ต้องดูนาฬิกา นายสมชายนั่งสัปหงกอยู่ใกล้ ๆ ได้ยินว่าท่านจะกลับก็ตาสว่าง

          “อย่าลืมนะโยมเช้า เลิกเล่นไพ่ แล้วโยมบ่ายเลิกทุบตีเมีย” ท่านกำชับกำชาสองผัวเมีย

          “แต่ถ้ามันยังขืนเล่นอีกล่ะครับ หลวงพ่อจะให้ผมทำยังไง”

          “ก็ปรุงยาให้กินซี พริกขี้หนูโขลกกับเกลือ จะยากอะไร” ท่านพระครูบอกเคล็ดลับในการปราบผีการพนัน นางเช้ารีบยืนยันด้วยเสียงหนักแน่นว่า

          “เลิกจ้ะหลวงพ่อ ฉันเลิกเด็ดขาด ทิดบ่ายอย่าให้ฉันกินยานั่นอีกเลย ฉันเข็ดแล้วจ้ะ”

          ขากลับ เจ้าอาวาสวัดป่ามะม่วงช้าเวลาเพียงยี่สิบนาทีก็ถึงวัด กระนั้นก็เป็นเวลาตีสองพอดี นายสมชายง่วงเสียใจไม่อยากจะวิเคราะห์หาเหตุผลว่า ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น เขาจัดการปิดประตูกุฏิ แล้วล้างมือล้างเท้าขึ้นนอน พอหัวถึงหมอนก็หลับเป็นตาย...

         

มีต่อ........๕๙

 
บันทึกการเข้า
ช่างเล็ก(LSV)
Administrator
member
*

คะแนน1346
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 18613


คิดดี ทำดี ชีวิตมีแต่สุข


อีเมล์
« ตอบ #61 เมื่อ: เมษายน 25, 2007, 07:29:58 AM »

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม - ๕๙

 

สุทัสสา อ่อนค้อม

ธันวาคม ๒๕๓๗

S00059
๕๙...

            ผลการไล่ผีเมื่อคืนเป็นอย่างไรบ้างครับหลวงพ่อ” อาจารย์ชิตถามหลังจากสอบอารมณ์เสร็จแล้ว ท่านเจ้าของกุฏิจึงเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้เขาฟังอย่างละเอียด แล้วสรุปว่า

            “โชคดีที่อาตมาได้วิชาพิสูจน์ผีมา ถึงได้รู้เดี๋ยวนั้น สมัยที่ผีตาเหล็งฮ้วยมาเข้ายายเภา ต้องพิสูจน์อยู่หลายวันเพราะตอนนั้นยังไม่ได้วิชา” ท่านหมายถึงวิชา “เห็นหนอ”

            “จะเป็นการรบกวนมากไปหรือเปล่าครับ หากผมจะนิมนต์ให้หลวงพ่อเล่าเรื่องตาเหล็งฮ้วย เพราะหลวงพ่อเคยเกริ่น ๆ ไว้แล้ว ตอนเล่าเรื่องยายสะอิ้ง” บุรุษวัยหกสิบถามอย่างเกรงใจ

            “โยมอยากฟังหรือ”

            “ครับ ผมอยากฟัง ฟังหลวงพ่อเล่าแล้ว รู้สึกเพลินจนลืมปวดแผลน่ะครับ” เขาว่า

            “อ้อ ลืมปวดก็ได้ด้วย งั้นก็น่าจะลืมบ่อย ๆ นะ” ท่านสัพยอก

            “ครับ ถ้าหลวงพ่อเล่าบ่อย ๆ ผมก็คงลืมบ่อย ๆ ได้” อดีตอาจารย์สนองด้วยได้โอกาส

            “เอาละ ถ้าอย่างนั้นก็จะเล่าให้ฟังเสียเลย เรื่องนี้เกิดก่อนเรื่องยายสะอิ้งปีนึง ตอนนั้นอาตมาอยู่วัดพรหมนคร ยังไม่ได้มาอยู่ที่วัดนี้”

            “หลวงพ่อมาอยู่วัดนี้ ปีอะไรครับ”

            “ปี ๒๕๐๐ ก่อนหน้านั้นอยู่ที่วัดพรหมนคร เรื่องของตาเหล็งฮ้วยเกิดเมื่อปี ๒๔๙๙ อาตมาจำได้ว่า วันนั้นเป็นวันโกน รุ่งขึ้นจะเป็นวันสารทไทย อาตมาก็ออกบิณฑบาตตามปกติ อาตมาออกบิณฑบาตเวลาหกโมงเช้าทุกวัน ในวันเกิดเหตุพอออกประตูวัดมา ก็เห็นคนแขวนโตงเตงอยู่บนต้นแมงเม่า โยมรู้จักต้นแมงเม่าไหม ผลมันเล็ก ๆ เท่าไข่แมงดา กินอร่อย อมเปรี้ยวอมหวาน สมัยเด็ก ๆ อาตมาชอบกิน” ท่านถามคนฟัง

            “ไม่รู้จักครับ” บุรุษวัยหกสิบตอบ

            “เอาละ ไม่รู้ก็ไม่เป็นไร ทางเชียงใหม่คงไม่มีต้นไม้ชนิดนี้ ถึงภาคกลางก็หายากแล้ว เพราะคนขยันตัดไม้ทำลายป่ากันเหลือเกิน ไม้หลายชนิดต้องสูญพันธุ์ไปเพราะความเห็นแก่ตัวของมนุษย์ อีกหน่อยเถอะ แผ่นดินจะกลายเป็นทะเลทราย ถ้าไม่ลดละความเห็นแก่ตัวลง รับรองได้เห็นทะเลทรายแน่” ท่านพระครูทำนายทายทัก

            “เรื่องอย่างนี้พูดยากครับหลวงพ่อ เพราะผู้ที่เกี่ยวข้อง เป็นคนใหญ่คนโตทั้งนั้น เจ้าหน้าที่ก็เลยทำงานได้ไม่เต็มความสามารถ เพราะมักจะไปขัดผลประโยชน์ของผู้มีอิทธิพล ก็เลยต้องทำเอาหูไปนาเอาตาไปไร่ เพื่อความปลอดภัยของตัวเองและลูกเมีย คนทุกวันนี้ไม่ค่อยจะกลัวบาปกลัวกรรม ไม่มีหิริโอตัปปะกันเลย” บุรุษสูงวัยพูดพลางทอดถอนใจ

            “มันเป็นกรรมของเขาแหละโยม คนพวกนี้ถ้าจะเปรียบก็เหมือนคนที่เห็นกงจักรเป็นดอกบัว ต่อเมื่อกฎแห่งกรรมทำหน้าที่เมื่อไหร่ เมื่อนั้นเขาก็จะรู้ว่ากงจักรก็คือกงจักร คนทำชั่วก็ต้องได้ชั่ววันยังค่ำ โยมคอยดูไปก็แล้วกัน เอาละ ทีนี้มาเล่าเรื่องตาเหล็งฮ้วยต่อ พออาตมาเห็นคนห้อยโตงเตงอยู่บนต้นแมงเม่า ก็เข้าไปดูใกล้ ๆ โอ้โฮ น่ากลัวเชียว ตาถลนโปนออกมา ลิ้นห้อยยาวตั้งคืบ”

            “แล้วหลวงพ่อกลัวหรือเปล่าครับ” เจ้าอาวาสวัดป่ามะม่วงตอบตามตรงว่า “กลัวซิ ทำไมจะไม่กลัว เพราะตอนนั้นยังไม่ได้วิชา แต่ต่อมาหลังจากได้วิชาพิสูจน์ผีแล้ว อาตมาก็เลิกกลัวผี เพราะไม่มีอะไรน่ากลัว คนบางคนยังน่ากลัวเสียยิ่งกว่าผี จริงไหม”

            “จริงครับ แล้วหลวงพ่อทำอย่างไรครับ วิ่งหนีหรือเปล่า”

            “ก็อยากวิ่งเหมือนกัน แต่เกรงใจผ้าเหลือง เป็นพระวิ่งไม่ได้นะโยม มันผิดวินัย อาตมาจึงไม่วิ่ง ได้แต่เดินเร็ว ๆ ไปบอกคนในตลาดให้มาช่วยกันเอาศพลง โยมจำไว้นะ วิธีเอาศพคนที่ผูกคอตายลงนั้น อย่าไปแก้เชือก ห้ามแก้เชือกเด็ดขาด แต่ให้ใช้มีดโต้ฟันจนเชือกขาดแล้วศพหล่นลงมาเอง อาตมาก็แนะวิธีให้เขา พอศพหล่นลงมา จึงได้รู้ว่าเป็นตา  เหล็งฮ้วย เลยไปตามเจ๊เซียมไน้ หลานสาวแกที่ขายของอยู่ในตลาดปากบางมาดู เจ๊แกก็เอาศพไปฝังตามประเพณี”

            “ทำไมแกถึงผูกคอตายครับ” อาจารย์ชิตถาม

         “ตอนนั้นยังไม่มีใครทราบสาเหตุ แต่ตอนที่แกมาเข้ายายเภา อาตมาถามถึงได้รู้ แกบอกอาตมาว่า แกน้อยใจที่หลานสาวคือเจ๊เซียมไน้ไม่ให้เงินซื้อฝิ่นสูบ เลยผูกคอตาย ซึ่งก็ตรงกับที่เจ๊เซียมไน้เล่าว่า ตาเหล็งฮ้วยเป็นพี่ชายของเตี่ยแก หนีมาจากเมืองจีนเมื่อสี่สิบปีก่อน มาอยู่กับน้องชายคือเตี่ยของแก พอเตี่ยแกตายก็เลยอยู่กับแก

         ตั้งแต่มาอยู่เมืองไทย ตาเหล็งฮ้วยไม่คบหาสมาคมกับใคร แล้วก็พูดไทยไม่ได้ ตอนหลังเจ๊แกจับได้ว่าลุงติดฝิ่นและขโมยเงินแกไปซื้อฝิ่นสูบทุกวัน ก็เลยเก็บเงินไว้อย่างมิดชิด ไม่ให้ลุงขโมยได้ ตาเหล็งฮ้วยเมื่อขโมยไม่ได้ก็เปลี่ยนมาขอแทน เจ๊แกก็ไม่ให้ พออดฝิ่นมาก ๆ ตาแป๊ะคงจะกลุ้มใจ ก็เลยผูกคอตาย”

         “แสดงว่า แกเจตนาฆ่าตัวตายใช่ไหมครับ แบบนี้ก็ต้องตกนรกซีครับ” คนฟังออกความเห็น

         “ถูกแล้วโยม ตาเหล็งฮ้วยไปตกนรก ที่อาตมาทราบเพราะแกเป็นคนบอกตอนที่มาเข้ายายเภา รายนี้ผีจริงมาเข้า จะเรียกว่าผีนรกก็ได้ เพราะเขาหนีมาจากเมืองนรก”

         “หนีมาอย่างไรครับ แกบอกหรือเปล่า”

         “บอกละเอียดเลยแหละโยม พอแกตายครบปีก็มาเข้ายายเภา วันนั้นตรงกับวันโกน รุ่งขึ้นจะเป็นวันสารทซึ่งตรงกับวันที่แกผูกคอตายครบปีพอดี ประมาณตีหนึ่ง คนเขามาตามอาตมาไปช่วยไล่ผี บอกว่ายายเภาถูกผีเข้า อาตมาก็ไปกับเขา พอถึงบ้านก็เห็นยายเภานอนหลับตาส่งภาษาจีนล้งเล้งเลย เป็นเสียงผู้ชายแก่ ๆ ไม่ใช่เสียงยายเภา อาตมาฟังไม่รู้เรื่อง คนอื่น ๆ ก็ไม่รู้ เลยไปตามอาเฮียคนหนึ่งมาจากตลาด ให้มาช่วยเป็นล่าม อาตมาก็สัมภาษณ์ตาเหล็งฮ้วย โดยผ่านล่าม

         อาตมาถามว่าแกเป็นใคร มาจากไหน แกก็ตอบผ่านล่ามว่า แกชื่อตาแป๊ะเหล็งฮ้วย ที่ผูกคอตายใต้ต้นแมงเม่าเมื่อปีกลาย อาตมาถามถึงสาเหตุที่ผูกคอตาย แกก็ว่า น้อยใจหลานสาวที่ไม่ให้เงินไปซื้อฝิ่นสูบ ตอนนี้แกอยู่ในนรก อยู่กับฮ่วยเสี่ยเถ้าชื่อมด โยมรู้ไหมว่า นรกอยู่ที่ไหน” ท่านถามคนฟัง

         “ไม่ทราบครับ คนเฒ่าคนแก่เขาเคยบอกว่า นรกอยู่ใต้ดินใช่ไหมครับ”

         “นั่นสิ อาตมาก็เคยเชื่ออย่างนั้นเหมือนกัน ถึงกับลงทุนขุดดู แต่ไม่ยักเจอนรก เจอแต่ไส้เดือน กิ้งกือ” คนฟังหัวเราะแล้วถามว่า

         “แล้วหลวงพ่อถามตาแป๊ะหรือเปล่าครับ ว่านรกอยู่ตรงไหน”

         “ถามสิ แกตอบว่ายังไงรู้ไหม”

         “ไม่ทราบครับ”

         “แกตอบว่า ก็อยู่ตรงที่ที่แกผูกคอตายนั่นแหละ แกยังเห็นอาตมาเดินไปบิณฑบาตทุกวัน แกว่า แกทักอาตมา แต่อาตมาไม่พูดกับแก ก็อาตมาไม่รู้นี่ว่าแกทัก ถ้ารู้ก็ต้องคุยกันแล้วจริงไหม” ท่านถาม

         “คงจริงมังครับ” บุรุษสูงวัยตอบ

         “อาตมาก็เลยถามอีกว่า นรกเป็นยังไง นรกมีจริงหรือ แกก็ว่ามีจริง แกกับฮ่วยเสี่ยเถ้าที่ชื่อมด ถูกเขาทำโทษทุกวัน เขาเฆี่ยนจนแขนขาขาด พอขาดแล้วมันก็มาต่อกันใหม่อีก เป็นอย่างนี้ทุกวัน ๆ อันนี้ภายหลังอาตมาได้ตรวจสอบกับคัมภีร์พระไตรปิฎก ปรากฏว่ามีข้อความคล้าย ๆ กัน อย่างเช่น ในเล่มที่ ๑๔ ถ้าอาตมาจำไม่ผิดนะ ในเล่มที่ ๑๔ ที่อธิบายสภาพของมหานรกแล้วก็จะสรุปลงท้ายว่า “สัตว์นั้นจะเสวยเวทนาอันเป็นทุกข์กล้า เจ็บแสบ อยู่ในมหานรกนั้น และยังไม่ตายตราบเท่าบาปกรรมยังไม่สิ้น” อันนี้เหมือนกับที่ตาแป๊ะเหล็งฮ้วยเล่าว่า เขาเฆี่ยนจนแขนขาดขาขาด แล้วมันก็มาต่อกันใหม่ คงจะเป็นทำนองเดียวกันนี้ โยมเห็นด้วยไหม”

         “เห็นด้วยครับ แล้วหลวงพ่อถามแกหรือเปล่าครับว่ามาเข้ายายเภาได้ยังไง”

         “ถามซิ แกว่าหนีเขามา วันโกนวันพระเขาหยุดลงโทษทัณฑ์เพื่อให้พวกสัตว์นรกไหว้พระสวดมนต์ และเจริญสติปัฏฐาน ๔ อันนี้ก็มาตรงกับที่ยายสะอิ้งเล่าในปีถัดมา หลังจากที่อาตมาย้ายมาอยู่วัดนี้แล้ว มันก็แปลกนะ หรือโยมว่ายังไง” ประโยคหลังเป็นคำถามเช่นเคย

         “ครับ ผมก็ว่าแปลก แปลกแต่จริง ผมเชื่อครับว่าเป็นเรื่องจริง บางคนอาจจะไม่เชื่อ แต่ผมเชื่อ”

         “รู้สึกว่า โยมจะเชื่อง่ายจริงนะ ระวังเถอะ คนที่เชื่ออะไรง่าย ๆ มักจะถูกหลอก” ท่านเย้า

         “หลวงพ่อไม่เชื่อหรือครับ” เขาย้อนถาม

         “ตอนแรกก็ยังไม่เชื่อ เพราะอาตมาเป็นคนเชื่ออะไรยาก ต้องพิสูจน์ให้เห็นดำเห็นแดงกันเสียก่อนถึงค่อยเชื่อ”

         “แล้วที่แกบอกว่า อยู่กับฮ่วยเสี่ยเถ้า ที่ชื่อมดนั้น ใครครับ”

         “อาตมาถามอาเฮียที่เป็นล่ามดู เขาบอกฮ่วยเสี่ยเถ้าแปลว่าสมภาร ตาเหล็งฮ้วยบอก อยู่กับสมภารชื่อมด เรื่องนี้อาตมาไม่รู้มาก่อน ก็ได้ไปสืบถามคนเฒ่าคนแก่ดู ก็ได้ความอย่างเดียวกัน แสดงว่าเรื่องนี้เชื่อถือได้ คนแรกที่ถามก็คือ ยายของอาตมาเอง ยายเล่าว่า สมภารมดตายไปเมื่อห้าสิบปีก่อน ตอนนั้นอาตมายังไม่เกิด ท่านเป็นสมภารอยู่วัดพรหมนคร ที่ตายเพราะผูกคอตาย แบบเดียวกับตาเหล็งฮ้วย อาตมาก็ได้ข้อคิดอีกอย่างหนึ่งว่า ทำกรรมอย่างเดียวกัน ก็ต้องไปเกิดด้วยกัน สมภารมดกับตาเหล็งฮ้วยไม่เคยรู้จักกันมาก่อน แต่ได้ผูกคอตายเหมือนกัน เลยไปได้รู้จักกันในนรก มันก็แปลกดีนะ โยมนะ”

         “ครับ แปลกมากทีเดียว ถ้าอย่างนั้น พวกที่ร่วมวงกันดื่มเหล้า เมาเช้าเมาเย็นด้วยกัน พอตายก็คงไปอยู่ในกระทะทองแดงใบเดียวกันใช่ไหมครับ” บุรุษสูงอายุถาม

         “มันก็คงจะเป็นอย่างนั้นมั้ง อาตมาก็ยังไม่เคยดื่มเหล้าสักที ตั้งแต่บวชมานี่ ยังไม่เคยดื่มเลยสักหยดเดียว” แล้วท่านก็หัวเราะหึหึ คนฟังหัวเราะตามแล้วถามว่า

         “ทำไมสมภารมดจึงผูกคอตายครับ”

         “ยายเล่าว่า ท่านกลุ้มใจ แก้ปัญหาไม่ได้ เลยผูกคอตาย คือญาติโยมเขาบริจาคเงิน เพื่อสมทบทุนสร้างโบสถ์ เสร็จแล้วพวกกรรมการเอาเงินไปใช้หมด พอญาติโยมเขามาทวงกับท่านว่าเมื่อไรจะสร้างโบสถ์เสียที ท่านหาทางออกไม่ได้ ในที่สุดเลยตัดสินใจผูกคอตาย”

         “ไม่น่าเลยนะครับ อุตส่าห์บวชมานาน กระทั่งได้เป็นสมภาร พอตายกลับไปตกนรก น่าอนาถใจเหลือเกิน” เงียบกันไปพักหนึ่ง คนเป็นอาจารย์จึงถามขึ้นว่า

         “แล้วหลวงพ่อใช้วิธีไหนไล่ผีตาเหล็งฮ้วยครับ ปรุงยาให้กินแบบยายเช้าหรือเปล่า”

         “ทำอย่างนั้นไม่ได้ซิ ผีจริงกับผีปลอม จะใช้วิธีเดียวกันได้ยังไง อาตมาก็ถามแกว่า ที่มาเข้ายายเภานี่ต้องการอะไร แกก็ว่าจะมาบอกอาตมาให้ช่วยไปบอกหลานสาวแกว่า ไม่ต้องทำบุญกรวดน้ำไปให้ เพราะแกไม่ได้รับ ถ้าจะให้แกได้รับต้องเจริญกรรมฐานแล้วอุทิศส่วนกุศลไปให้ อาตมาก็รับปากว่าจะบอกให้ แกก็ขอบอกขอบใจอาตมา แล้วบอกจะต้องรีบกลับแล้ว ประเดี๋ยวเขารู้ว่าหนีมา จะถูกทำโทษ พอแกล่ำลาเสร็จ ยายเภาก็แน่นิ่งไป ครู่หนึ่งก็ลืมตา พอเห็นอาตมาก็รีบลุกขึ้นนั่ง ถามว่า หลวงพ่อมายังไงดึก ๆ ดื่น ๆ อาตมาบอกว่ามาไล่ผีให้แก แกก็ไม่เชื่อหาว่าอาตมาล้อเล่น อาตมาถามแกต่อหน้าคนอื่น ๆ ว่า

         “โยมเภา เจี๊ยะปึ้งแปลว่าอะไร” แกบอก “ไม่ทราบเจ้าค่ะ” ก็สรุปความได้ว่า ผีจริงนั้นไม่ต้องไล่ เขามาธุระพอเสร็จธระเขาก็ออกเอง

         พอรุ่งเช้า อาตมาก็ไปหาเจ๊เซียมไน้บอก “เจ้ อาแปะลื้อมาเข้ายายเภา สั่งให้ลื้อเจริญกรรมฐานแล้วอุทิศส่วนกุศลไปให้” เจ๊เซียมไน้แกตะคอกใส่อาตมาว่า “กรรมฐานกรรมโถนอะไร อั๊วะไม่สนใจหรอก เสียวเวลาทำมาหากิน” แหม พอแกพูดยังงี้ อาตมาเลยรีบกลับวัดเลย”

         “ตกลงตาเหล็งฮ้วยก็เลยไม่ได้รับส่วนกุศลจากหลานสาว น่าสงสารแกนะครับ

         “นั่นสิ อาตมาก็ได้ข้อคิดอีกอย่างหนึ่งว่า บุญกุศลนั้น เราจะต้องสร้างของเราเอง อย่าไปหวังคอยว่า ลูกหลานจะส่งให้หรืออุทิศไปให้ตอนตาย คนเดี๋ยวนี้เขาไม่ค่อยเข้าวัด ไม่ค่อยคิดสร้างความดี แล้วจะเอาบุญกุศลที่ไหนไปอุทิศให้คนอื่น โยมว่าจริงหรือเปล่า”

            “จริงครับ ผมว่าตัวของตัวเองก็ยังจะเอาไม่รอด ประสาอะไรจะไปช่วยคนอื่น ผมไม่หวังรอรับส่วนบุญจากใครหรอกครับ ผมจะสร้างของผมเอง ที่จริงผมน่าจะขอบใจโรคภัยไข้เจ็บของผมนะครับ ถ้าผมไม่ป่วย ป่านนี้ก็คงไม่คิดเข้าวัด”

         “แต่การเข้าวัดก็ไม่ได้หมายความว่า จะมาสร้างบุญสร้างกุศลกันหมดทุกคนหรอกนะโยม บางคนก็เข้าวัดมาทำธุรกิจกับพระ เช่น มาขายของ มาขอหวย พวกนี้มาวัดบ่อย แต่ไม่เคยเอาธรรมะกลับไปบ้าน ถึงคนที่อยู่กับวัดเองก็เถอะ ไม่งั้นยายสะอิ้งคงไม่บอกอาตมาว่า พระก็ไปตกนรก” ท่านพระครูหยิบยกเรื่องจริงขึ้นมาพูด

         “ครับ หรืออย่างสมภารมดที่หลวงพ่อเล่าก็เหมือนกัน พูดถึงเรื่องพระตกนรกนี่ ทำให้ผมนึกถึงมหาเสมียน องค์นี้ผมก็คิดว่าไม่พ้นอเวจีนรก พระที่เสพเมถุนนี่ต้องตกนรกอเวจี ใช่ไหมครับ”

         “ในพระวินัยบอกไว้อย่างนั้น” ท่านเจ้าของกุฏิกล่าวอ้างพระวินัย

         “ครับ ผมว่าป่านนี้มหาเสมียนก็คงชดใช้กรรมอยู่ในอเวจีนรก คงอีกนานกว่าจะได้ผุดได้เกิด คนชั่วนี่บางทีฟ้าดินก็ลงโทษนะครับหลวงพ่อ ลงโทษทันตาเห็นเลย มหาเสมียนที่ว่านี้ ท่านเสพเมถุนครับ พวกชาวบ้านเขารู้ เขาเห็น ก็ไปฟ้องเจ้าอาวาส เจ้าอาวาสท่านก็บอกไม่รู้จะจัดการอย่างไร เพราะท่านไม่เห็นกับตาว่าเขาผิดจริง แต่เวลาคนเขามานิมนต์ท่านไปดู ท่านก็ไม่ยอมไป อ้างว่า เดี๋ยวจะเป็นอาบัติ มหาเสมียนก็ได้ใจกำเริบเสิบสานเป็นการใหญ่ วันหนึ่งกำลังเสพเมถุนกับชีอยู่ในโบสถ์ ปรากฏว่าฟ้าผ่าลงมา ตายทั้งคู่เลยครับ พวกชาวบ้านพากันสมน้ำหน้า แบบนี้เขาเรียกว่า ฟ้าดินลงโทษ ใช่ไหมครับหลวงพ่อ”

         ก็คงเป็นยังงั้นมั้ง  ฟ้าดินคงรำคาญที่เจ้าอาวาสไม่มีน้ำยา พระลูกวัดทำผิดขนาดนั้น ยังไม่ดำเนินการให้เป็นเรื่องเป็นราว ปล่อยให้ชาวบ้านเขาตำหนิติฉินอยู่ได้ อาตมายอมไม่ได้นะ ถ้าเรื่องอย่างนี้เกิดในวัดอาตมา อาตมาต้องจัดการ ไม่งั้นก็ทำให้คนอื่นเขาเสื่อมศรัทธา”

         “นั่นสิครับ แล้วพระแบบนี้ก็มีมากขึ้นทุกวัน บางวัดเจ้าอาวาสเป็นเสียเอง นี่ผมไม่ได้ใส่ร้ายพระนะครับหลวงพ่อ ผมมีหลักฐาน มีพยานยืนยัน” อดีตอาจารย์พูดออกตัวไว้ก่อน

         “อาตมาก็ยังไม่ได้ว่าอะไรโยมนี่นา” ท่านพระครูพูดด้วยเสียงปกติ

         “ครับ ถ้าเผื่อหลวงพ่อจะว่า ผมก็มีพยานหลักฐานครับ” หลวงพ่ออย่าหาว่าผมเอาพระมานินทานะครับ”

         “อาตมาไม่ว่าหรอกน่า โยมสบายใจได้ ไม่ต้องกลัวว่าอาตมาจะเข้าข้างพระ ถึงเป็นพระก็ไม่เข้าข้างพระ อาตมาไม่เข้าข้างคนผิดอยู่แล้ว” เมื่อท่านพูดเช่นนี้ อาจารย์ชิตจึงเล่าต่ออีกว่า

         “เจ้าอาวาสองค์นี้ ท่านมีตำแหน่งด้วยนะครับ คือเป็นถึงเจ้าคณะจังหวัด เห็นคนเขาเล่าว่า ตำแหน่งนี้ก็ซื้อมา อันนี้ผมไม่มั่นใจนะครับว่า จะจริงหรือเปล่า ไม่ทราบจริง ๆ ว่า สมณศักดิ์ก็มีการซื้อการขายกันด้วย หลวงพ่อทราบหรือเปล่าครับ” เขาถามท่านพระครู

         ไม่ทราบ อาตมาก็เคยได้ยินคนเขาพูดกันทำนองนี้ จะเท็จจริงยังไง อาตมาไม่ทราบ แล้วก็ไม่ขอออกความเห็นใด ๆ  คงไม่ว่ากันนะ

         “ครับ แต่ผมภาวนาขออย่าให้เป็นความจริง ขอให้เรื่องคอรัปชั่น เรื่องกินสินบาทคาดสินบนมีอยู่เฉพาะในวงการคฤหัสถ์เถิด อย่าได้มีอยู่ในวงการสงฆ์เลย สาธุ ผมขอภาวนา” บุรุษวัยหกสิบยกมือขึ้นประนมขณะพูด “สาธุ”

         “อาตมาก็ขอภาวนาอย่างนั้นเหมือนกัน ภาวนาอย่าให้เกลือต้องจืดเลย เพราะถ้าเกลือจืด หนอนมันก็จะขึ้น เพราะถ้าเกลือจืด หนอนมันก็จะขึ้น ที่เขาเรียกว่า “เกลือเป็นหนอน” ไงล่ะ

         “นั่นสิครับ เพราะสงฆ์มีหน้าที่สอนคนให้ทำความดี แต่ถ้าคนสอนมาทำชั่วเสียเองแล้ว จะไปสอนใครเขาได้ สรุปเป็นว่า เจ้าอาวาสองค์ที่ผมเล่า ท่านมีตำแหน่งเป็นเจ้าคณะจังหวัดนะครับ แล้วก็คงได้มาโดยไม่ต้องซื้อ แม้ว่าท่านจะรวยมีเงินเป็นสิบ ๆ ล้าน ฝากธนาคารไว้ก็ตาม

         วันหนึ่งเด็กลูกศิษย์วัด แกไปปีนต้นมะพร้าว จะกินมะพร้าวอ่อน ขณะอยู่บนยอดมะพร้าว ก็มองเข้าไปในกุฏิท่าน ก็เห็นเข้า กลางวันแสก ๆ เสียด้วย แกก็ไปบอกพวกกรรมการวัด พวกกรรมการก็เชื่อเพราะรู้มานานแล้ว แต่เขาก็ไม่กล้าว่าอะไร เพราะเห็นว่าท่านเป็นถึงเจ้าคณะจังหวัด ก็พูดเป็นนัย ๆ ว่าพวกเขารู้ท่านก็กลุ้มใจ หน้าดำ หมองคล้ำ ไม่มีสง่าราศี เวลาเขานิมนต์ไปงานต่าง ๆ ท่านก็นั่งหน้าเศร้าไม่กล้าสบตากับใคร

         ต่อจากนั้นอีกไม่นาน ท่านก็ถูกปล้นแล้วก็ถูกคนร้ายฆ่าตาย หลวงพ่อคงเคยได้ข่าวนะครับ เพราะเรื่องลงหนังสือพิมพ์ด้วย พอท่านถูกฆ่า พวกกรรมการไปค้นกุฏิท่าน พบจดหมายรักเป็นสิบ ๆ ฉบับ บางฉบับก็เขียนพรรณนาถึงความรัก ยังกับนิยายน้ำเน่า ผมก็เป็นกรรมการวัดด้วย อ่านแล้วต้องยอมรับว่า พวกสีกาเหล่านั้นเขียนจดหมายได้เก่งจริง ๆ แล้วก็ยังทราบอีกว่า ท่านมีเงินส่วนตัวฝากธนาคารไว้เกือบยี่สิบล้าน น่าเสียดายที่เงินทองเหล่านั้นช่วยท่านไม่ได้เลย ผมเห็นแล้วก็ได้แต่ปลงสังเวช” บุรุษสูงอายุพูดอย่างสลดหดหู่ใจ ท่านเจ้าของกุฏิจึงปลอบเขาว่า

         “อย่าคิดอะไรมากเลยโยม ขอให้ทำใจเถอะ ในอนาคตโยมจะยิ่งเห็นอะไรที่เลวร้ายมากกว่านี้ คนชั่วจะครองเมืองนะ ต่อไปเงินจะกลายเป็นพระเจ้า เหล็กที่ว่าแข็งแกร่งปานใด ก็จะถูกเงินง้างให้อ่อนลงได้ เงินซื้อได้ทุกอย่าง อย่างเดียวที่ซื้อไม่ได้คือ กฎแห่งกรรม ถึงอย่างไรเงินก็ฝืนกฎแห่งกรรมไม่ได้”

         “ครับ ก็ยังดีที่กรรมไม่คอรัปชั่น หลวงพ่อครับ สงสัยยุคนี้คงจะเป็น ยุคทองของคนชั่วนะครับ” อาจารย์ชิตพูดพลางทอดถอนใจ...

           

มีต่อ........๖๐

 
บันทึกการเข้า
ช่างเล็ก(LSV)
Administrator
member
*

คะแนน1346
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 18613


คิดดี ทำดี ชีวิตมีแต่สุข


อีเมล์
« ตอบ #62 เมื่อ: เมษายน 26, 2007, 07:29:13 AM »

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม - ๖๐

 

สุทัสสา อ่อนค้อม

ธันวาคม ๒๕๓๗

S00060
๖๐...

          เช้าวันพฤหัสบดีที่ ๒๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๑๗ หลังจากปฏิบัติกรรมฐานเป็นเวลาสองชั่วโมงแล้ว เจ้าอาวาสวัดป่ามะม่วง ก็แผ่เมตตาอุทิศส่วนกุศลไปให้สรรพสัตว์และเจ้ากรรมนายเวร ก่อนที่ท่านจำกำหนด “ลืมตาหนอ” ก็มีเสียงก้องดังอยู่ในโสตประสาท “วันนี้ใช้หนี้นกกระยาง วันนี้ใช้หนี้นกกระยาง” ฉับพลันท่านก็ระลึกถึงกรรมที่ได้ทำไว้กับเจ้านกตัวนั้น จึงตอบในใจว่า “รู้แล้ว เอาเถอะ เราขอชดใช้บาปที่เคยทำ กรรมที่เคยก่อ จะได้ไม่ต้องมีหนี้สินติดตัวไปในภพหน้า” แล้วท่านจึงกำหนดลืมตา เหลือเวลาอีกสิบห้านาทีสำหรับการเตรียมตัว พันโทวิชญ์จะมารับท่านไปในการทำบุญขึ้นบ้านใหม่ ซึ่งนางสาวบงกชรัตน์ เป็นผู้นิมนต์ไว้

          เวลาหกโมงสิบห้านาที นายขุนทองก็ขึ้นมารายงาน

          “หลวงลุงฮะ ผู้พันมาแล้วฮะ” ท่านเจ้าของกุฏิรับทราบ และชมว่า

          “มาแล้วหรือ ตรงเวลาดีจริง” นายสมชายถือย่ามเดินลงมาก่อน เขาดีใจที่วันนี้ไม่ต้องทำหน้าที่ขับรถ เพราะท่านพระครูบอกว่า ผู้พันรับอาสาขับรถมารับและมาส่ง ศิษย์วัดลงไปแล้ว ท่านพระครูจึงกำหนด “ยืนหนอ” พร้อมกับลุกขึ้นยืน เมื่อเดินไปยังบันไดก็กำหนด “เดินหนอ เดินหนอ” และเมื่อก้าวลงบันได ท่านก็กำหนด “ลงหนอ”

          อนิจจา..แม้จะมีสติรู้ตัวทั่วพร้อมอยู่ตลอดเวลาทุกขณะจิต แต่ในเมื่อถึงกาลที่อกุศลกรรมมาให้ผล ก็เกิดเหตุขึ้นจนได้ ท่านพลัดตกลงมานั่งพับเพียบแต้อยู่บนแท่นพักบันได รู้สึกปวดแปลบที่ขาข้างขวา และท่านก็รู้ว่ามัน “หัก” เรียบร้อยไปแล้ เพราะกรรมที่เคยหักขานก!

            เสียงเหมือนของหนักตกลงมา ทำให้นายสมชายเปิดประตูเข้าไปดู เห็นท่านเจ้าของกุฏินั่งพับเพียบอยู่บนแท่นพัก ชายหนุ่มก็พอจะเดาออกว่าเกิดอะไรขึ้น

          “หลวงพ่อตกบันไดหรือครับ” ถามอย่างตกใจ

          “เจ้ากรรมนายเวรเขามาทวง” ท่านพระครูตอบ พลางกำหนด “ปวดหนอ ปวดหนอ” อยู่ในใจ

          “แล้วเป็นอย่างไรบ้างครับ” ถามพลางวิ่งเข้าไปประคอง

          “ไม่เป็นอะไรมากหรอก แค่ขาหัก” ตอบหน้าตาเฉย

          “ขาหัก” นายสมชายพูดเสียงดัง เมื่อได้ยินคำตอบ เขารีบเปิดประตูออกมารายงานพันโทวิชญ์

          “ผู้พันครับ หลวงพ่อตกบันไดขาหัก” พันโทหนุ่มใหญ่รีบเข้ามาช่วยกันกับนายสมชาย ประคองท่านออกมานั่งยังอาสนะ อาจารย์ชิตต้องพักการเดินจงกรม แล้วเข้ามานั่งใกล้ ๆ ด้วยความเป็นห่วง

          “ผมจะนำท่านส่งโรงพยาบาลนะครับ” พันโทวิชญ์พูด ใจนั้นนึกกังวลว่า คงจะไปไม่ทันฤกษ์อย่างแน่นอน ท่านพระครูรู้ใจจึงว่า

          “ไม่ต้องหรอกผู้พัน ยังไง ๆ อาตมาก็ต้องไปให้ทันฤกษ์เขา ขอพักห้านาทีเท่านั้น” อาจารย์ชิตแย้งขึ้นว่า

          “แต่หลวงพ่อขาหักนะครับ จะทนปวดไหวหรือครับ”

          “ไหวหรือไม่ไหว อาตมาก็ต้องทน เพราะอาตมากำลังใช้หนี้กรรม โยมเห็นแล้วใช่ไหมว่า ทุกคนก็ต้องมีกรรมด้วยกันทั้งนั้น”

          “ถ้าอย่างนั้น เมื่อเสร็จพิธีแล้ว ผมจะนำหลวงพ่อส่งโรงพยาบาลนะครับ” นายทหารพูดอย่างโล่งอก

          “ไม่ต้อง ผู้พันไม่ต้อง อาตมาขอขอบใจในความปรารถนาดีของผู้พัน อาตมาตั้งใจไว้แล้วว่า จะชดใช้กรรม เดือนเดียวก็หายเป็นปกติ” พูดจบ ท่านก็หลับตา สำรวมจิตให้ตั้งมั่นแล้วจึงร่าย “คาถาพระโมคคัลลาน์ประสานกระดูก” รักษาขาข้างที่หัก เสร็จแล้วจึงลืมตา บอกนายสมชายและนายทหารผู้นั้นว่า

          “เรียบร้อยแล้ว ไปกันหรือยัง” คนทั้งสองเข้ามาจะประคองท่านให้ลุกขึ้น หากท่านห้ามไว้

          “ไม่ต้อง อาตมาลุกเองได้” แล้วท่านค่อย ๆ ลุกขึ้น เมื่อเท้าแตะพื้น ความเจ็บปวดประดังขึ้นมาอีกเป็นร้อยเท่าทวีคูณ กระท่านท่านก็แข็งใจเดิน แต่ละย่างก้าว สร้างความเจ็บปวดแก่ท่านจนแทบน้ำตาร่วง จึงจำต้องกำหนด “ปวดหนอ ปวดหนอ” อยู่ตลอดเวลา

          “หลวงลุงแน่ใจหรือฮะว่าจะเดินไหว” นายขุนทองถามพลางเดินตามไปส่งที่รถ อาจารย์ชิตนั้นรู้สึกสงสารท่าน จนอยากจะร้องไห้ ท่านคงจะเจ็บปวดมากยิ่งกว่าเขาปวดแผลหลายเท่านัก

          “แน่ใจสิ ว่าแต่ว่าเอ็งช่วยดูแลโยมเขาให้ดี วันนี้ข้าไม่ได้ออกบิณฑบาต เพราะฉะนั้น เอ็งต้องไปเอาอาหารที่โรงครัว มาให้โยมเขาทั้งมื้อเช้าและมื้อเพล อย่าเอาแต่นอนล่ะ” ท่านแสดงความห่วงใยคนป่วย ทั้งที่ตัวเองก็กำลังเผชิญกับทุกขเวทนาอย่างแสนสาหัส เห็นท่านเดินเกือบเหมือนคนปกติ เพียงแต่ช้ากว่า พันโทหนุ่มใหญ่จึงคิดว่าขาของท่านคงไม่ถึงกับหัก อาจจะเพียงแค่กระดูกร้าว เพราะถ้าขาหัก ต้องเดินไม่ได้

          เมื่อถึงรถ นายสมชายเปิดประตูให้ท่านเข้าไปนั่งเบาะหลัง ส่วนตัวเขานั่งหน้าคู่กับคนขับ ออกรถแล้ว พันโทวิชญ์จึงออกความเห็นว่า

          “ผมว่า ขาของหลวงพ่อคงไม่ถึงกับหักนะครับ เพราะถ้าหักต้องเดินไม่ได้”

          “หักสิผู้พัน อาตมารู้ว่าหักแน่ เพราะเขามาเตือนก่อนแล้วว่า วันนี้ใช้หนี้นกกระยาง และอาตมาก็ได้ใช้หนี้แล้ว”

          “ถ้าอย่างนั้น ก็เป็นเรื่องอัศจรรย์มาก ที่หลวงพ่อยังเดินได้ อัศจรรย์เหลือเกิน” เขาว่า และหากไม่มาเห็นกับตา ก็คงไม่เชื่อ

          “แต่มันก็ปวดจนน้ำตาแทบหยดเชียวละ นี่ถ้าเป็นคนธรรมดาก็ต้องเดินไม่ได้ อาตมาไม่ได้คิดว่าตัวเองเป็นผู้วิเศษนะ ผู้พันอย่าเพิ่งเข้าใจผิด” ท่านรีบออกตัวไว้ก่อน

          “เพราะคนธรรมดาในที่นี้ อาตมาหมายถึงคนที่ไม่เคยฝึกจิตน่ะ เพราะเขาจะไม่สามารถทนต่อความเจ็บปวดได้”

          “ต้องอาศัยพลังจิตใช่ไหมครับ”

          “ถูกแล้ว”

          “ตอนที่หลวงพ่อนั่งหลับตาทำปากขมุบขมิบนั่น หลวงพ่อท่องคาถาหรือเปล่าครับ” คนกำลังขับรถถามอีก

          “ใช่ อาตมาใช้คาถาของพระโมคคัลลานะ เป็นคาถาประสานกระดูก ตอนที่ท่านถูกพวกโจรทุบจนกระดูกแหลกเป็นเม็ดข้าวสารหัก ซึ่งที่จริงต้องปรินิพพาน เพราะคนที่ถูกทุบจนกระดูกแหลกอย่างนั้น ต้องตายจริงไหม”

          “ครับ นองจากผู้วิเศษเท่านั้น ถึงจะไม่ตาย”

          “นั่นสิ ท่านพระโมคคัลลานะ ท่านเป็นผู้วิเศษ เพราะนอกจาท่านจะเป็นพระอรหันต์แล้ว ท่านยังได้ อภิญญา ๖ อีกด้วย คือท่านเป็นพระอรหันต์ประเภท “ฉฬภิญญา” แต่ถึงกระนั้นท่านก็ยังหนีกรรมไม่พ้น ในอดีตชาติท่านเคยทุบตีพ่อแม่ เมื่อจะปรินิพพานก็ต้องชดใช้กรรมนั้น”

          “แต่ท่านก็มีคาถาประสานกระดูกนี่ครับ ถึงยังไงก็คงไม่รู้สึกว่ามันเจ็บปวด” นายสมชายออกความเห็นบ้าง

          “ถึงมีคาถาก็ปวด ฉันเองก็ปวดแทบขาดใจอยู่นี่ คาถาไม่ได้ช่วยให้หายปวดนะ เพียงแต่ช่วยให้กระดูกมันมาประสานกันพอที่จะดำรงอัตภาพอยู่ได้ แต่ก็ไม่เหมือนเดิม ท่านถึงเหาะไปเฝ้าพระพุทธเจ้า เพื่อทูลขออนุญาตปรินิพพาน”

          “แปลว่า ถ้าพระพุทธองค์ไม่ทรงอนุญาต ท่านพระโมคคัลลานะก็ปรินิพพานไม่ได้ใช่ไหมครับ” ศิษย์วัดถามอีก

          “ต้องเป็นอย่างนั้น แต่พระพุทธเจ้าทรงอนุญาต เพราะทรงทราบว่าอัครสาวกทั้งสอง จักต้องปรินิพพานก่อนพระองค์ หลังจากพระโมคคัลลานะปรินิพานได้ไม่นาน พระสารีบุตรก็ปรินิพพาน”

          “หลวงพ่อครับ พระโมคคัลลานะ ท่านเหาะเหินเดินอากาศได้จริง ๆ หรือครับ” คราวนี้คนถามเป็นนายทหาร

          “โยมไม่เชื่ออย่างนั้นหรือ” ท่านย้อนถาม

          “ก็เชื่อเหมือนกันครับ แต่ไม่ค่อยมั่นใจ เพราะมันขัดกับหลักการทางวิทยาศาสตร์

          “ถ้าผู้พันอยากจะเชื่ออย่างมั่นใจก็ต้องทิ้งวิทยาศาสตร์ แล้วก็หมั่นเจริญกรรมฐาน เอาละ อาตมาจะไม่พูดอะไรมาก แต่จะขอทำนายไว้ว่า ในอนาคตพวกฝรั่งเขาจะเชื่อเรื่องเหล่านี้กันมากขึ้น พวกเขาจะหันมานับถือพระพุทธศาสนากันอย่างจริงจัง และพระพุทธศาสนาก็จะไปเจริญรุ่งเรืองอยู่ในประเทศตะวันตก”

            “หลวงพ่อครับ ผมอยากได้คาถาที่หลวงพ่อพูดถึงเมื่อกี้นี้” นายสมชายหันมาบอกเสียงอ้อมแอ้ม คิดว่าอย่างไรเสีย ท่านพระครูก็คงไม่ว่าต่อหน้าแขก

          “เธอจะเอาไปทำอะไร คาถานั้นจะศักดิ์สิทธิ์ก็เฉพาะคนที่ฝึกสมาธิเท่านั้น คนที่ไม่เคยฝึกจิต ถึงได้ไปก็ไร้ประโยชน์ ถ้าเธออยากได้จริง ๆ ก็ต้องหมั่นเจริญกรรมฐาน จิตถึงขั้นเมื่อไหร่แล้วจะให้”

          “ถ้าอย่างนั้นผมไม่เอาก็ได้ครับ เพราะผมคงไม่มีเวลาปฏิบัติ อย่างที่หลวงพ่อว่า” ชายหนุ่มปฏิเสธอย่างนุ่มนวล

          “ชื่อคาถาอะไรนะครับ” คนกำลังขับรถถาม

          “คาถาพระโมคคัลลาน์ประสานกระดูก แต่พูดก็พูดเถอะ ถึงจะมีคาถาอาคมขลังเพียงใด ก็หนีกฎแห่งกรรมไปไม่พ้น ก็พระโมคคัลลานะท่านเป็นถึงผู้วิเศษ มีฤทธิ์เดชเหาะเหินเดินอากาศได้ ก็ยังต้องถูกกฎแห่งกรรมลงโทษจนต้องปรินิพพาน”

          “แล้วที่หลวงพ่อตกบันไดเพราะกรรมอะไรครับ” นายทหารถามทั้งที่แสนจะเกรงใจ ท่านพระครูจึงเล่าให้ฟังว่า

          “เพราะกรรมที่อาตมาเคยหักขานกกระยาง สมัยที่อาตมาอายุสิบสองสิบสาม อาตมาชอบฆ่าสัตว์ตัดชีวิต เกเรมาก หาความดีไม่ได้เลย วันหนึ่งก็ออกไปยิงนกในทุ่ง ใช้หนังสติ๊กยิง ยิงให้มันตายเล่น ๆ ยังงั้นแหละ ไม่ได้เอาไปกินไปอยู่อะไร ทีนี้เจ้านกกระยางตัวนั้น มันไม่ตาย แต่ปีกหักบินไม่ได้ แต่สัญชาตญาณแห่งการรักชีวิตทำให้มันวิ่งหนี อาตมาก็วิ่งตาม ตามจนเหนื่อยหอบแฮ่ก ๆ มันเองก็คงเหนื่อย ประกอบกับเจ็บที่ปีกด้วย พออาตมาหยุดหอบมันก็หยุดวิ่ง พออาตมาวิ่ง มันถึงจะวิ่ง ก็ตามจับกันอยู่นาน กระทั่งมันวิ่งไม่ไหว ด้วยความแค้น พอจับได้ อาตมาหักขามันทันที โทษฐานทำให้เหนื่อย อยากวิ่งเก่งนัก เลยหักขามันทั้งสองข้างเลย หักเขาแล้วอาตมาก็โยนทิ้ง แถมพูดกับมันว่า “เอาซี วิ่งหนีอีกซี เก่งจริงก็วิ่งไปเลย” โอ้โฮ ตอนนั้น อาตมาใจคอโหดเหี้ยมมาก ไม่นึกกลับบาปกลัวกรรม ทั้งที่ยายสอนจนปากเปียกปากแฉะ ที่ไม่กลัวเพราะไม่เชื่อว่า บาปกรรมจะมีจริง” ท่านระลึกนึกย้อนไปถึงอดีตขณะเล่า

          “แล้วตอนนี้หลวงพ่อเชื่อหรือยังครับ” นายสมชายถือโอกาสเย้า ท่านพระครูไม่ตอบ ด้วยไม่ต้องการจะปะทะคารมกับเขาต่อหน้าพันโทหนุ่มใหญ่

          เมื่อรถมาจอดหน้าบ้าน เจ้าภาพกุลีกุจอลงมาต้อนรับ โดยเฉพาะนางสาวบงกชรัตน์ ซึ่งเฝ้าชะเง้อชะแง้ด้วยใจจดจ่ออยู่กับนายทหารหนุ่มใหญ่ผู้นั้น ก่อนลงจากรถ ท่านพระครูพูดกับคนทั้งสองว่า “เรื่องอาตมาขาหัก ไม่ต้องบอกให้เจ้าภาพเข้ารู้นะ ประเดี๋ยวเขาจะเป็นกังวล”

          บิดาของนางสาวบงกชรัตน์ ทำหน้าที่เปิดประตูรถให้ท่านพระครู ส่วนนายสมชายกับพันโทวิชญ์ต่างก็เปิดประตูรถลงมาเอง คนเป็นทหารทำความเคารพ “ว่าที่พ่อตา” พลางหันไปมองคนรัก ชุดไทยสีครีมที่หล่อนสวมใส่กับกิริยานบไหว้ท่านพระครูอย่างอ่อนน้อม ทำให้หล่อนดูเป็นกุลสตรีเต็มตัว เขาชอบผู้หญิงที่แต่งตัวแบบไทย ๆ ชอบมาก แล้วก็ไม่อยากเห็นพวกหล่อนนุ่งยีนส์

          “นิมนต์ข้างในเลยครับ” เจ้าภาพเชื้อเชิญพลางเดินนำท่านเข้าไปข้างในซึ่งมี “พระอันดับ” แปดรูป และแขก   เหรื่อ นั่งอยู่เต็ม

          เจ้าอาวาสวัดป่ามะม่วงเดินพลางกำหนด “ปวดหนอ ปวดหนอ” ไปด้วย กระทั่งเข้าไปนั่งพับเพียบอยู่ตรงหัวแถว แม้จะรู้สึกเจ็บปวดรวดร้าวตรงขาข้างที่หัก แต่ท่านก็ใช้สติข่มเวทนา ด้วยการระลึกรู้อยู่ว่า กำลังเสวยผลของกรรมดำ!

          “คุณแม่ไปไหน” ท่านพระครูถามนางสาวบงกชรัตน์

          “กำลังดูแลเรื่องอาหารอยู่ในครัวค่ะ” หล่อนตอบ

          “ไปตามมานั่งฟังพระเจริญพระพุทธมนต์ด้วยกันที่นี่ บอกหลวงพ่อให้ตาม” หญิงสาวจึงลุกออกไป ครู่หนึ่งก็เดินตามหลังมารดาเข้ามา สตรีวัยห้าสิบ กราบท่านพระครูสามครั้งแล้วว่า

          “ดิฉันต้องขอตัวค่ะหลวงพ่อ ต้องไปเตรียมอาหารถวายพระค่ะ”

          “ไปไม่ได้ อาตมาไม่อนุญาต เพราะอยากให้โยมได้บุญ โยมอยากได้บุญไหมเล่า” ท่านถาม

          “อยากค่ะหลวงพ่อ ที่ดิฉันทำบุญ นี่ก็เพราะอยากได้บุญค่ะ” มารดานางสาวบงกชรัตน์ตอบ

          “นั่นสิ เพราะฉะนั้น โยมจะต้องตั้งใจรับศีลรับพร ไม่ใช้ไปขลุกอยู่ในครัว เรื่องอาหารเป็นหน้าที่ของพวกแม่ครัวเขาจัดการกันเอง เอาละได้เวลาตามฤกษ์แล้ว ญาติโยมตั้งใจรับศีลและฟังพระเจริญพระพุทธมนต์กันต่อไป” ท่านพระครูบอกเจ้าภาพและบรรดาผู้ที่มาร่วมงาน

          พิธีทำบุญขึ้นบ้านใหม่เสร็จสิ้นลงเมื่อเวลาประมาณเก้านาฬิกา พระสงฆ์ ๘ รูป ลาท่านพระครูกลับวัดซึ่งอยู่ใกล้ ๆ กับบ้านงาน เจ้าอาวาสวัดป่ามะม่วงยังไม่กลับ ท่านให้เหตุผลว่า

          “อาตมามาทีหลัง ก็ต้องกลับทีหลัง” หากเหตุผลที่แท้จริงนั้น ท่านต้องการให้คนเป็นทหารกับคนเป็นศิษย์ได้รับประทานข้าวปลาอาหารเสียก่อน โดยเฉพาะคนเป็นทหารนั้นคงจะยังไม่อยากกลับแน่

          บิดาของนางสาวบงกชรัตน์ รับหน้าที่เดินไปส่งพระสงฆ์ทั้งแปดรูป ขณะที่ภรรยาและบุตรสาวช่วยกันจัดอาหารและเครื่องดื่มมาบริการแขกที่ไปร่วมงาน ทุกคนต่างมีจิตใจผ่องใสเพราะ “อิ่มบุญ” ท่านพระครูเองก็มีจิตผ่องใสแม้กายจะทุกข์ทรมาน!

          เจ้าอาวาสวัดป่ามะม่วงออกจากบ้านงาน เมื่อเวลาสิบนาฬิกาพอดิบพอดี พันโทวิชญ์ขับตรงเข้าตัวจังหวัดสิงห์บุรีเพื่อจะนำท่านไปโรงพยาบาล

          ทั้งที่นั่งหลับตา ท่านพระครูก็รู้ว่าไม่ใช่เส้นทางไปวัดป่ามะม่วง จึงถามว่า

          “ผู้พันจะพาอาตมาไปไหน”

          “ไปให้หมอเขาดูขาของหลวงพ่อหน่อยครับ”

          “ขอบใจ แต่อาตมาบอกแล้วว่าจะชดใช้กรรม อย่าให้อาตมาต้องเสียความตั้งใจเลยนะ โปรดเลี้ยวรถกลับเถอะ อาตมาขอร้อง” นายทหารหนุ่มใหญ่ จึงจำต้องทำตามความประสงค์ของท่าน

          “ไปให้หมอเขาดูหน่อยไม่ดีหรือครับหลวงพ่อ” นายสมชายว่า

          “ไม่ดีแน่ ก็ฉันบอกแล้วว่า มันเป็นโรคกรรม มดหมดที่ไหนก็ช่วยไม่ได้ นี่ยังดีนะที่หักข้างเดียว ที่จริงตัองหักทั้งสองข้างเหมือนอย่างที่ทำเขาไว้” ท่านหมายถึงเจ้านกกระยางตัวนั้น

          “เขาอาจจะเอาทีละข้างก็ได้ คราวนี้ข้างขวา คราวหน้าข้างซ้าย” นายสมชายพูดตามประสาคนพูดมากปากมอม

          “สมชาย รู้สึกว่าคุณพูดไม่ค่อยจะสวยนะ” นายทหารเตือนกราย ๆ ศิษย์วัดจึงจำต้องปิดปากเงียบ

          “หลวงพ่อยังรู้สึกปวดอยู่หรือเปล่าครับ” คนกำลังขับรถถาม

          “ปวดสิผู้พัน ปวดตลอดเวลาเชียวละ แต่ตอนนั่งปวดน้อยกว่าตอนเดิน ไม่เป็นไรหรอก ผู้พันไม่ต้องเป็นห่วง อีกเดือนเดียวก็จะหายเป็นปกติ โชคดีที่ไม่ได้รับนิมนต์ใครไว้ ก็ว่าจะถือโอกาสพักผ่อนและเขียนหนังสือให้เสร็จ”

          “หลวงพ่อทราบล่วงหน้าหรือเปล่าครับ ว่าต้องเป็นเช่นนี้”

          “ไม่ทราบหรอกผู้พัน เขาเพิ่มมาบอกเมื่อเช้าตอนหกโมง อาตมาหมายถึงเจ้ากรรมนายเวรน่ะ อีกสิบห้านาทีหลังจากนั้น อาตมาก็ตกบันได ผู้พันคิดดูก็แล้วกัน อาตมาขึ้นลงบันไดนี้ทุกวัน แล้วก็ทำอย่างนี้มาเกือบจะยี่สิบปีโดยไม่เคยตก เรียกว่า หลับตาเดินขึ้นเดินลงก็ยังได้”

          “หมายความว่า ถ้าไม่เป็นเพราะกรรมที่เคยหักขานก หลวงพ่อก็จะไม่พลัดตกลงมาใช่ไหมครับ”

          “ก็ต้องเป็นอย่างนั้น เพราะอาตมากำหนดสติอยู่ตลอดเวลา ทุกอิริยาบถ ผู้พันเห็นหรือยังว่า กฎแห่งกรรมนั้นไม่เคยปรานีใคร แล้วก็ไม่เคยคอรัปชั่น”

            “ครับหลวงพ่อ แต่คนทุกวันนี้เขาไม่ค่อยเชื่อกันว่า กรรมนั้นมีจริง บ้านเมืองก็เลยเต็มไปด้วยการฉ้อราษฎร์บังหลวง”

            “นั่นเพราะคนที่เชื่อ มักจะถูกคนอื่นหัวเราะเยาะว่าโง่เขลาเป็นเต่าล้านปี ไม่มีใครอยากเป็นคนโง่ จริงไหม” ท่านเจตนาทดสอบ “คุณธรรมประจำใจ” ของคนเป็นทหาร

            “แต่สำหรับผม ผมคิดว่า เป็นคนโง่แต่ได้ขึ้นสวรรค์ ก็ยังดีกว่าเป็นคนฉลาด แล้วตกนรกครับ” นายทหารตอบเสียงดังฟังชัด

          “โอ้โฮ ผู้พันตอบสมกับเป็นชายชาญทหารกล้าเลยเชียว อาตมาขออนุโมทนา” เจ้าอาวาสวัดป่ามะม่วงชมพลางกำหนด “ปวดหนอ ปวดหนอ” อยู่ในใจ..

 

มีต่อ........๖๑

 
บันทึกการเข้า
ช่างเล็ก(LSV)
Administrator
member
*

คะแนน1346
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 18613


คิดดี ทำดี ชีวิตมีแต่สุข


อีเมล์
« ตอบ #63 เมื่อ: เมษายน 26, 2007, 07:30:07 AM »

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม - ๖๑

 

สุทัสสา อ่อนค้อม

ธันวาคม ๒๕๓๗

S00061
๖๑...

            ส่งท่านพระครูแล้ว พันโทวิชญ์ก็กลับไปทำงาน เพราะลามาครึ่งวัน

          ที่กุฏิ นายขุนทองกำลังนั่งคุยประจ๋อประแจ๋กับชายหญิงคู่หนึ่ง ครั้นเห็นหน้าชัดเจน จึงได้รู้ว่า คนคู่นั้นคือหลานชายและหลานสะใภ้ของท่านนั่นเอง

          เมื่อคนทั้งสองก้มลงกราบท่านเรียบร้อยแล้ว นายจ่อยก็เอ่ยทักขึ้นว่า “หลวงน้าสบายดีหรือครับ เห็นเจ้าขุนทองมันว่าหลวงน้าตกกระไดขาหัก จริงหรือเปล่าครับ”

          “เอ็งว่าจริงหรือเปล่าเล่า” ท่านย้อนถามคนเป็นหลาน

          “ไม่รู้ซีครับ ก็เห็นหลวงน้าเดินปกติดีอยู่” นายจ่อยตอบ

          “แต่ก็ปวดนะครับ หลวงพ่อท่านบอกผมว่า ท่านปวดเกือบตลอดเวลา แต่ที่พี่เห็นว่าปกติเพราะท่านใช้คาถา “พระโมคคัลลาน์ประสานกระดูก” นายสมชายบอกกล่าว หลังจากที่ได้ทักทายคนทั้งสองด้วยการ “ไหว้” แล้ว

          “อ้อ ยังงั้นหรอกหรือ แล้วหลวงน้าไม่ไปหาหมอหรือครับ”

          “ผู้พันจะพาไป แต่หลวงพ่อท่านไม่ยอม ท่านบอกว่า ต้องการจะชดใช้กรรม อีกเดือนเดียวก็จะหายเป็นปกติ” ศิษย์วัดตอบอีก นายจ่อยรู้สึกไม่พอในที่นายสมชายตอบคำถามแทนท่านพระครู เขาอุตส่าห์ลงท้ายด้วย “ครับ” ก็เพราะต้องการจะให้ท่านตอบ

          “คุณรู้ได้ยังไงว่า อีกเดือนเดียวจะหาย” คราวนี้เขาถามชายหนุ่มและไม่มี “ครับ” ลงท้าย

          “หลวงพ่อท่านบอก” คนตอบไม่ยอมลง “ครับ” เช่นกัน

          “อ้าว โยมเขาไปไหนเสียล่ะ ท่านเจ้าของกุฏิถามหาอาจารย์ชิต เมื่อไม่เห็นเขาอยู่ ณ ที่นั้น

          “ไปเดินจงกรมอยู่หน้าโบสถ์ฮ่ะ เขากระซิบบอกหนูว่ารู้สึกเกรงใจจมูกของพี่จ่อยกับพี่จุก” นายขุนทองเป็นคนตอบ

          “แล้วเอ็งจัดการให้เขากินข้าวกินปลาหรือยัง”

          “เรียบร้อยแล้วฮ่ะ พอเขาอิ่ม พี่จุกกับพี่จ่อยก็มาถึง เขาก็ไปหน้าโบสถ์”

          “ลมอะไรหอบเอ็งสองคนมาล่ะ แล้วนี่กินข้าวกินปลาแล้วหรือยัง” ท่านถามสองสามีภรรยา

          “ยังเลยจ้ะหลวงน้า ฉันก็รู้สึกหิวอยู่เหมือนกัน พี่จ่อย เราไปกินข้าวกันก่อนดีไหม” นางจุกชวนสามี ท่านพระครูจึงว่า

          “พากันไปกินให้อิ่มท้องเสียก่อน เรื่องอื่นไว้ค่อยคุยกันทีหลัง จะค้างไหมเล่า”

          “คงไม่ค้างหรอกหลวงน้า ผมจะเอารถมาให้หลวงน้าช่วยเจิม ผมออกรถใหม่แล้วครับ” คนเป็นหลานบอกอย่างภาคภูมิใจ

          “ยังงั้นหรือ ไปรวยอะไรมาล่ะ”

          “ผมไม่ได้รวยหรอกครับ เงินจุกเขา”

          “เอ็งถูกรางวัลที่หนึ่งหรือไงจุก” ท่านสัพยอกคนเป็นหลานสะใภ้ หากหล่อนกลับยอมรับหน้าตาเฉยว่า

          “จ้ะหลวงน้า เรื่องมันประหลาดมาก เดี๋ยวกินข้าวอิ่มแล้ว ฉันจะเล่าให้หลวงน้าฟัง ไปกันเถอะพี่จ่อย” คนทั้งสองลุกออกไปแล้ว ท่านพระครูจึงถามนายขุนทองว่า

          “แล้วเอ็งล่ะ กินแล้วหรือยัง”

          “เรียบร้อยแล้วฮ่ะหลวงลุง ตอนหนูไปเอามาให้อาจารย์เขา หนูก็อัดใส่ท้องตัวเองให้เต็มเสียก่อน” หลานชายตอบ

          “การกินการอยู่ ใครไม่สู้พ่อ” นายสมชายเปรยขึ้น

          “การพายการถ่อ พ่อไม่สู้ใคร” นายขุนทองต่อให้ แล้วอรรถาธิบายว่า “พ่อ” ในที่นี้หมายถึงพี่นะ เพราะพี่เป็นผู้ชาย ถ้าพี่จะว่าหนู ต้องใช้คำว่า “แม่” ถึงจะถูก”

            “ขนาดนั้นเชียว” นายสมชายเย้า

          “ใช่สิ ว่าแต่ว่าพี่ไม่หิวเหรอ น่าจะไปกินพร้อมกับพี่จ่อยกะพี่จุกเขา”

          “ข้ายังอิ่มแปล้อยู่เลย อาหารบ้านงานเขาอร่อย ๆ ทั้งนั้น แล้วข้าก็หิวด้วย เลยว่าซะท้องกางไปเลย”

          “เอาละ เป็นอันว่าเอ็งสองคนอิ่มหมีพีมันกันดีแล้ว ทีนี้ฟังข้า ตั้งใจฟังให้ดีนะ”

            “ครับ”

          “ฮ่ะ” คนทั้งสองรับปาก ท่านพระครูจึงว่า

          “เอาละ ประเดี๋ยวข้าจะขึ้นข้างบน ถ้าสองคนนั่นมา ก็ให้ขึ้นไปคุยกับข้าข้างบน แล้วขุนทอง เอ็งไปตามโยมเขามาปฏิบัติข้างในนี้ ส่วนสมชาย เธอจัดการทำความสะอาดกุฏิชั้นบนให้เรียบร้อย จัดข้าวของเสียใหม่ ฉันคงจะอยู่แต่ข้างบนจนกว่าขาจะหายเป็นปกติ จะไม่ลงมาข้างล่าง ยกเว้นเวลาถ่ายหนักถ่ายเบา”

            “แล้วเวลาสรงน้ำล่ะครับ”

          “ฉันก็จะงด จะใช้เช็ดตัวแทน หรือไม่ก็สรงตอนลงมาถ่าย”

          “งั้นก็เหม็นแย่ซิฮะหลวงลุง ไม่อาบน้ำตั้งเดือน อยู่ได้ไง”

          “ก็ทน ๆ อยู่มันไปงั้นแหละ ทำยังไงได้ล่ะ ในเมื่อเกิดมาแล้ว หรือเอ็งจะให้ข้าทำยังไงก็ลองว่ามา” แม้จะปวดขา หากก็ยังมีแก่ใจยั่วเย้า

          “หนูก็ว่าทนอยู่ไปนั่นแหละดีแล้วดีกว่าฆ่าตัวตาย จริงไหมพี่” คนมากวัยกว่า จึงย้อนว่า

          “นี่ถ้าเป็นเอง คงฆ่าใช่ไหม ใช่ไหม”

          “เรื่องอะไร กว่าจะได้เกิดเป็นคนนั้นแสนยาก จริงไหมฮะหลวงลุง” ท่านพระครูจึงตัดสินอย่างรำคาญ ๆ ว่า

          “เอาเถอะ ๆ เลิกต่อล้อต่อเถียงกันได้แล้ว ฟังข้าพูดคนเดียวก็พอ เอ็งสองคนไม่ต้องพูด ห้ามพูดห้ามเถียง”

          “แล้วหลวงพ่อจะออกบิณฑบาตไหมครับ” เมื่อท่านไม่ให้เถียง นายสมชายจึงเปลี่ยนเป็นถาม

          “นี่สมชาย ถ้ามีเวลาก็ลองไปวัด ไอ. คิว. ดูเสียบ้าง รู้สึกว่า มันจะต่ำเกินพิกัดไปแล้วนะ”

          “ครับ ถ้าผมมีเวลาจะทำตามที่หลวงพ่อแนะนำครับ” ศิษย์วัดตอบหน้าตาเฉย ท่านพระครูมิรู้ว่าจะยอกย้อนประการใด จึงนิ่งเสีย

          “หลวงพ่อยังไม่ตอบคำถามของผมเลยครับ” ชายหนุ่มทวง

          “เอาละ เมื่ออยากรู้ ฉันก็จะตอบ แต่ถ้าคน ไอ. คิว. สูงหน่อย เขาจะรู้เอง แล้วก็จะไม่ถามอย่างที่เธอถามมานี่หรอก” ท่านถือโอกาสเหน็บแนมก่อนตอบว่า

          “ฉันจะไม่ออกบิณฑบาต เพราะแม้จะลงไปสรงน้ำ ฉันยังไม่ลง แล้วทำไมจะต้องไปเดินเป็นกิโล ๆ การทำเช่นนั้นเป็นการทรมานตัวเองมากเกินไป เข้าข่าย “อัตตกิลมถานุโยค” ที่พระพุทธองค์ทรงติเตียนว่าเป็นทางปฏิบัติที่สุดโต่ง ฉันเป็นศิษย์พระตถาคต จึงต้องดำเนินรอยตามพระพุทธองค์ เข้าใจหรือยัง”

          “เข้าใจแล้วครับ เป็นอันว่า ผมจะไปนำอาหารจากโรงครัวมาถวายหลวงพ่อทุกเช้า ส่วนเรื่องหนักเรื่องเบา ผมว่าหลวงพ่อไม่ต้องลงมาก็ได้ ผมจะเป็นคนเทกระโถนเอง นะครับ”

          “ขอบใจเธอมาก แต่ฉันคงจะไม่รบกวนเธอถึงขนาดนั้น เท่าที่มาคอยปรนนิบัติรับใช้ ก็ขอบใจเหลือเกินแล้ว”

          “ไม่เป็นไรครับ ถึงคราวผมบ้าง หลวงพ่อจะได้ช่วย หลวงพ่ออย่าลืมสัญญานะครับ ปีหน้าฟ้าใหม่ หลวงพ่อบอกว่าผมจะได้แต่งงาน” คำบอกกล่าวนั้นกินความไปถึง “ค่าสินสอด-ทองหมั้น” ที่ท่านพระครูจะช่วยอนุเคราะห์

          “ผมเห็นพี่จุกเขาถือถุงสีน้ำตาลมาด้วย สงสัยจะนำปัจจัยมาถวายหลวงพ่อ ยังไงก็อย่าลืมผมนะครับ” เขาเกริ่น

          “หนูด้วยฮ่ะหลวงลุง แล้วหนูก็เป็นญาติกะพี่จ่อยเขาด้วย เพราะฉะนั้นก็ไม่ควรจะได้น้อยกว่าพี่สมชายเขา” คนทั้งสองต่างตั้งความหวัง

          “เอ็งจะเอาเงินไปทำอะไร” ท่านถามคนเป็นหลาน

          “ดัดผมแล้วก็ซื้อเสื้อ กระโปรง รองเท้าส้นสูง” นายขุนทองตอบด้วยใฝ่ฝันอยากได้มานาน

          “น้อย ๆ หน่อย ถ้าเอ็งจะเอาไปซื้อสิ่งเหล่านี้ ข้าไม่ให้เอ็งหรอก ที่ให้มาอยู่ด้วย ก็เพื่อจะให้เอ็งเป็นผู้ชายเต็มตัว” ท่านพระครูว่า

          “แต่หนูอยากเป็นผู้หญิงเต็มตัวมากกว่า” หลานชายทำกระเง้ากระงอด

          “เจ้าขุนทอง” ท่านพระครูเรียกชื่อหลาน ด้วยเสียงหนัก ๆ

          “ขา” หลานชายตัวดีขานรับเสียงใส

          “นี่ข้าขอร้องเถอะนะ ข้ากำลังปวดขา อย่าให้ต้องมาปวดหัวอีกเลย เธออีกคน” ท่านหันไปเล่นงานนายสมชาย

          “ร่วมมือกันทำให้ฉันปวดหัวดีนัก จะไปไหนก็ไปเถอะไป๊ ฉันไม่อยากเห็นหน้าพวกเธอ”

          “ก็หลวงพ่อให้ผมทำความสะอาดกุฏิชั้นบน แล้วผมจะไปไหนได้ล่ะครับ” นายสมชายยังยั่ว

          “หนูก็เหมือนกัน หลวงลุงให้คอยดูว่า ถ้าพี่สองคนเขามา ให้เขาขึ้นไปหาหลวงลุงข้างบน แล้วก็ให้ไปตามอาจารย์เขามาปฏิบัติข้างในนี้ แล้วหนูจะไปไหนได้ล่ะฮะ” ประโยคท้ายเขาเลียนแบบนายสมชาย

          “งั้นก็ทำหน้าที่กันไป หยุดพูดได้แล้ว ข้าชักจะเวียนหัวเต็มแก่แล้ว ข้าจะขึ้นข้างบนละ” แล้วท่านจึงค่อย ๆ ลุกจากอาสนะ รู้สึกปวดที่ขาข้างขวาเป็นกำลัง นายสมชายกับนายขุนทองจะช่วยพยุง ท่านก็ว่า “ไม่ต้อง ข้าไปเองได้” แล้วท่านก็เดินขึ้นชั้นบนอย่างเชื่องช้า ในใจนั้นกำหนด “ปวดหนอ ปวดหนอ” เกือบตลอดเวลา

          เรื่องที่ท่านพระครูตกบันไดขาหักแพร่สะพัดไปอย่างรวดเร็ว โดยนายขุนทองเป็นผู้กระจายข่าว พระสงฆ์องค์เณรตลอดจนอุบาสกอุบาสิกาที่อาศัยอยู่ในวัดป่ามะม่วง ต่างพากันห่วงใยท่าน

          ครั้นทราบจากคนกระจายข่าวว่า ท่านยังคงปฏิบัติกิจนิมนต์ได้ พวกเขาก็โล่งใจและคอยหาโอกาสมากราบเยี่ยม เมื่อเห็นท่านกลับมา จึงพากันมาที่กุฏิ ด้วยความเป็นห่วงคนกระจ่ายข่าวจึงต้องขึ้นไปรายงานให้ท่านทราบ

          “ลงไปบอกเขาว่า ข้าขอบใจที่เป็นห่วง ข้าไม่เป็นอะไรมาก แล้วก็ขอโทษที่ไม่ได้ลงไปให้พบ ครั้นจะให้มาพบข้างบน ก็ไม่มีที่จะให้นั่ง ขอให้ทำหน้าที่ของตัวเองไป ใครมีปัญหาอะไร ก็ให้ไปปรึกษาพระมหาบุญหรือพระบัวเฮียวก็ได้” ท่านเจ้าของกุฏิสั่งการ

          “แล้วถ้าหลวงพี่สององค์นี้ท่านไม่สามารถแก้ปัญหาให้เขาได้ล่ะฮะ”

          “ก็ให้เขารอถามข้า ถ้าไม่ด่วนมาก ก็บอกเขาว่าให้ข้าหายเสียก่อน แต่ถ้าเป็นเรื่องด่วน ข้าก็อนุญาตให้เขาขึ้นมาพบเป็นกรณีพิเศษ เข้าใจหรือยัง”

          “เข้าใจแล้วฮะ”

          “งั้นก็ลงไปบอกเขาได้แล้ว” หนุ่มวัยยี่สิบเอ็ดจึงลงมาแจ้งแก่ภิกษุสามเณร และอุบาสก อุบาสิกา ที่นั่งรออยู่เต็มกุฏิชั้นล่าง คนทั้งหมดรับทราบ และพากันกลับ ยกเว้นพระบัวเฮียวซึ่งลุกขึ้นไปจด ๆ จ้อง ๆ อยู่ที่ตู้พระไตรปิฎก ครั้นเห็นคนอื่น ๆ ไปกันหมดแล้ว จึงบอกนายขุนทองว่า

          “อาตมามีเรื่องด่วน ช่วยไปบอกหลวงพ่อว่า อาตมาขอเข้าพบเป็นกรณีพิเศษ” นายขุนทองจึงต้องขึ้นไปรายงานอีกครั้ง

          “ถ้าอย่างนั้น ก็ลงไปบอกให้ขึ้นมาได้” ท่านพระครูกล่าวอนุญาตประเดี๋ยวหนึ่ง ภิกษุวัยย่างยี่สิบเจ็ดก็เดินเข่าเข้ามากราบท่านสามครั้ง แล้วนั่งในที่อันสมควร ประนมมือกล่าวว่า

          “พระเดชพระคุณหลวงพ่อที่เคารพอย่างสูง กระผมพระบัวเฮียวขอกราบขอบพระคุณที่ท่านอนุญาตให้เข้าพบเป็นกรณีพิเศษขอรับ” แล้วจึงเอามือลง ท่านพระครูนึกขำ ทั้งรู้สึกว่าความเจ็บปวดนั้นลดลงไปเกือบครึ่ง จึงถามยิ้ม ๆ ว่า

          “ไม่ได้เจอกันหลายวัน เธอพูดเก่งขึ้นเยอะ ไปเรียนมาจากใครล่ะ”

          “จากพระมหาบุญครึ่งหนึ่ง แล้วก็เรียนรู้ด้วยตนเองอีกครึ่งหนึ่งขอรับ” คนถูกชมยิ้มหน้าบานก่อนตอบ

          “ดีมาก แสดงว่าเธอเป็นคนชอบขวนขวายหาความรู้ ทั้งจากผู้อื่นและค้นคว้าด้วยตนเอง เรียกว่าดีทั้งขึ้นทั้งล่อง” ท่านพระครูชมอีก คราวนี้ภิกษุหนุ่มยิ้มแก้มแทบปริ เพราะปีติยินดีในคำชมนั้น

          “แต่ในด้านการปฏิบัติ รู้สึกว่าจะย่อหย่อนลงไปนะ มีอย่างที่ไหน พอฉันชม ก็ดีอกดีใจ ยิ้มแย้มแจ่มใสจนลืมกำหนด “ดีใจหนอ” แสดงว่า “จิตยังหวั่นไหวในโลกธรรม” ชมอยู่หยก ๆ ท่านก็เปลี่ยนเป็นติเสียแล้ว พระบัวเฮียวหุบยิ้มลงทันใด พร้อมต่อว่าต่อขานพระอุปัชฌาย์

          “แหม หลวงพ่อ ผมเคยได้ยินคำพังเพยเขาว่า “ตบหัวแล้วลูบหลัง” แต่หลวงพ่อเล่นลูบหลังแล้วตบหัว จนผมตั้งตัวไม่ติด นึกแล้วเชียวว่าจะต้องมีอะไรผิดปกติ แล้วก็มีจริง ๆ” นายสมชายกำลังทำความสะอาดพื้น และจัดข้าวของอยู่ ได้ยินการสนทนามาตั้งแต่ต้น เลยอมยิ้มไปทำงานไป ชายหนุ่มนึกขำในใจ “ดูเอาเถอะ เราแซวหลวงพ่อ หลวงพ่อกลับไปแก้แค้นเอากับหลวงพี่ แล้วนี่หลวงพี่จะไปแก้แค้นใครต่อก็ไม่รู้” ชายหนุ่มเฝ้าพะวงสงสัย

          “แล้วตอนนี้ตั้งตัวติดหรือยัง จะต้องใช้เวลาซักกี่นาที กี่ชั่วโมง” พระอุปัชฌาย์ยั่วอีก ตั้งแต่ตู้ว่าพระบัวเฮียวเคยเป็นน้องชายของท่านในอดีตชาติ ความรู้สึกอยากยั่วเย้าก็มีมากขึ้น ภิกษุหนุ่มไม่ตอบ หากตั้งจิตกำหนด “ตั้งตัวหนอ ตั้งตัวหนอ” สักครู่ก็รายงานว่า

          “เอาละครับ ผมพร้อมแล้ว ขอกราบเรียนเชิญพระเดชพระคุณหลวงพ่อสอบอารมณ์ได้เลย” พระบัวเฮียวประชด ความจริงท่านมิได้มาเพื่อการนี้

          “เรื่องสอบอารมณ์พักไว้ก่อน แต่ฉันอยากรู้ว่า เธอมีธุระอยากพบฉันเรื่องอะไร” คำถามของพระอุปัชฌาย์ ทำให้พระบัวเฮียวนึกขึ้นได้ จึงว่า

          “แหม ผมมัวแต่พูดเรื่องอื่นเสียเพลิน เกือบลืมเรื่องสำคัญที่จะมาเรียนถาม คือผมอยากทราบว่า หลวงพ่อขาหักแล้วทำไมยังปฏิบัติกิจนิมนต์ได้ ผมเป็นห่วงมาก แล้วหลวงพ่อไปหาหมอหรือเปล่าครับ” ท่านพระครูจึงต้องเล่าเรื่องทั้งหมดให้ภิกษุหนุ่มฟังแล้วสรุปแบบยาว ๆ ว่า

            “กรรมเก่าต้องใช้หนี้ทั้งนั้น แต่กรรมใหม่อย่าไปสร้าง กรรมที่ฉันพูดถึงนี่ หมายเฉพาะอกุศลกรรมเท่านั้นนะ คนที่สร้างกรรมไว้แล้ว เมื่อสำนึกได้ก็ต้องยอมรับใช้ ยอมรับผิด กรรมเก่านั้นไม่มีอะไรที่จะแก้ได้ เพราะมันทำไปแล้ว ผ่านไปแล้ว หน้าที่ของเราคือต้องชดใช้ ต้องใช้กรรมนะ”

          “เราทำบุญเพื่อล้างบาปไม่ได้หรือครับ เช่นเราเคยทำบาปไว้ในอดีต ปัจจุบันเราก็ทำบุญลบล้าง” ภิกษุหนุ่มถาม

          “อะไรกันบัวเฮียว นี่เธอบวชมาตั้งหลายเดือนแล้วนะ ทำไมถึงถามอะไรเปิ่น ๆ ยังงี้ ฉันก็นึกว่าเธอก้าวหน้าไปถึงไหน ๆ แล้ว ที่แท้ก็ยังเหมือนเดิม”

          “เหมือนเดิมอย่างไรครับ” ผู้อ่อนวัยกว่าถามกลับ

          “ก็ไม่ก้าวหน้าน่ะซี ยังอยู่กับที่ตามเดิม”

          “แหม หลวงพ่อครับ การปฏิบัติธรรมให้ได้ผลนั้น มันต้องตั้งหลักให้ดี ๆ ที่ผมไม่ก้าวหน้าเพราะยังไม่มั่นใจน่ะครับ ขอเวลาตั้งหลักอีกหน่อยเถอะครับ ผมให้สัญญาว่า จะไม่ทำให้หลวงพ่อต้องเสียชื่อในฐานะที่เป็นพระอุปัชฌาย์ของผม”

          “ตกลง ฉันจะยอมเชื่อเธออีกสักครั้ง อีกครั้งเดียวเท่านั้นนะ”

          “ครับผม และเมื่อหลวงพ่อเชื่อผมแล้ว ก็โปรดตอบคำถามผมด้วยว่า เราทำบุญเพื่อล้างบาปได้หรือไม่”

          “ดูเหมือนฉันจะเคยพูดเรื่องนี้กับเธอไปแล้วนะ แต่เอาเถอะ ไม่เป็นไร ฉันจะอธิบายซ้ำอีกก็ได้ว่า เราทำบุญล้างบาปไม่ได้ นี่เป็นกฎตายตัวเลยนะ บุญก็ไปตามบุญ บาปก็ไปตามบาป เหมือนน้ำกับน้ำมัน ย่อมเข้ากันไม่ได้ฉะนั้น”

            “ถ้าอย่างนั้น ผมก็คงต้องชดใช้กรรมที่ฆ่าวัวฆ่าควาย ที่ผมมาปฏิบัติกรรมฐานนี่ ผมนึกว่าจะล้างบาปได้” พระภิกษุหนุ่มพูดเสียงเศร้า และรู้สึก “จิตตก” ขึ้นมาทันที

          “อย่าให้จิตตก ตั้งสติไว้ ดูฉันเป็นตัวอย่าง ฉันก็กำลังใช้กรรมอยู่นี่ไง ฉันเคยบอกเธอแล้วใช่ไหมว่า กรรมของฉันนั้นหนักกว่าของเธอหลายเท่านัก ของเธอน่ะไม่ถึงกับตาย แต่ของฉันตายหยังเขียดเลยแหละ” ท่านตั้งใจจะให้คนฟังรู้สึกขำ หากพระบัวเฮียวก็ขำไม่ออก ท่านพระครูจึงปลอบอีกว่า “ไม่ดีหรือ เธอใช้กรรมให้หมด ๆ ไปเสียในชาตินี้ ดีกว่าไปใช้ในนรกอเวจี ถ้าเธอปฏิบัติกรรมฐานอย่างเคร่งครัด เธอจะไม่ต้องไปเกิดในอเวจีนรกอย่างแน่นอน ไฟนรกนั้นท่านว่าร้อนแรงกว่าไผในโลกมนุษย์หลายเท่านัก”

          “หลวงพ่อไปเห็นมาหรือครับ”

          “ฉันไม่ตอบดีกว่า เอาไว้ให้เธอรู้เอาเองจากการปฏิบัติ แต่ก็จะขอยกตัวอย่างให้ฟังนะ แล้วเธอไปเปรียบเทียบเอาเอง อยากฟังไหม”

          “อยากครับ” พระหนุ่มตอบ นายสมชายเองก็เงี่ยหูฟังด้วยความสนใจ ท่านเจ้าของกุฏิจึงหยิบยกเรื่องราวของพระเถระรูปหนึ่ง มาเล่าว่า

          “ในครั้งพุทธกาล พระโลมสนาคเถระ ท่านนั่งเจริญกรรมฐานอยู่ภายนอกที่จงกรม อากาศขณะนั้นร้อนอบอ้าวเพราะเป็นฤดูร้อน ท่านนั่งอยู่ ณ ที่ตรงนั้น จนเหงื่อไหลออกมาจากรักแร้ทั้งสองข้าง ก็ไม่ยอมลุกไปไหน พวกลูกศิษย์ได้มาอาราธนาให้ไปนั่งในที่ร่ม ซึ่งอากาศร้อนน้อยกว่า ท่านบอกลูกศิษย์ว่าที่ต้องนั่ง ณ ที่นั้น เพราะกลัวความร้อน แล้วนั่งพิจารณาอเวจีนรกอยู่ ท่านเคยตกนรกอเวจีมาแล้วหลายชาติ จึงเห็นว่า ความร้อนของแดดนั้นยังน้อยกว่าความร้อนของอเวจีนรก ซึ่งร้อนแรงกว่าหลายร้อยเท่า ด้วยเหตุนี้ ท่านจึงไม่ลุกไปไหนและตั้งใจเจริญกรรมฐานต่อไป” พระบัวเฮียวฟังแล้วถึงกับขนลุก จนต้องกำหนด “ขนลุกหนอ” อยู่ชั่วครู่ แล้วจึงบอกพระอุปัชฌาย์ว่า

          “หลวงพ่อครับ ถ้าผมระลึกชาติได้ ผมคงรู้ว่าตัวเองเคยตกนรกอเวจีมาแล้วเช่นกัน เพราะแค่ได้ยินชื่อก็ขนลุกเสียแล้ว หลวงพ่อช่วยตรวจสอบได้ไหมครับว่า ผมตกนรกอเวจีมากี่ครั้งแล้ว”

          “เหลวไหลน่าบัวเฮียว เธอจะอยากรู้ไปทำไม อดีตเป็นสิ่งที่ผ่านไปแล้ว และจะไม่คืนกลับมาอีก ส่วนอนาคตก็ยังมาไม่ถึง ฉะนั้นเธอไม่ต้องไปพะวงทั้งอดีตและอนาคต ให้มีสติตั้งมั่นอยู่กับปัจจุบันเป็นพอ เข้าใจหรือยัง”

          “เข้าใจแล้วครับ”

          “เข้าใจแล้ว ก็ต้องทำให้ได้ ต้องทำให้ได้นะ”

          “ครับผม” ภิกษุวัยย่างยี่สิบเจ็ดรับคำหนักแน่น

          อิ่มข้าวแล้ว นายจ่อยกับภรรยาก็กลับมาที่กุฏิ เห็นอาจารย์ชิตกำลังนั่งสมาธิอยู่ จึงถามนายขุนทองด้วยเสียงที่ค่อนข้างเบาว่า “หลวงน้าจะลงมากี่โมง”

          “ไม่ลงหรอกพี่จ่อย ขาท่านหัก ขึ้น ๆ ลง ๆ จะทำให้หายช้า”

          “อ้าว ก็พี่บอกแล้วว่า จะเอารถมาเจิม ท่านน่าจะรอก่อน” นายจ่อยพูดอย่างผิดหวัง

          “ขอขึ้นไปข้างบนได้ไหม ขุนทองช่วยไปบอกท่านว่า พี่ขออนุญาตขึ้นไปพบข้างบน นะน้องนะ” นางจุกปะเหลาะญาติสามี

          “พี่จะเอาของในถุงนั่นไปถวายหลวงลุงหรือ” นายขุนทองถามด้วยคิดว่า สิ่งที่อยู่ในนั้นเป็นเงิน

          “ถูกแล้ว พี่ตั้งใจมาถวายท่านเทียวแหละ” ภรรยานายจ่อยตอบ

          “งั้นก็ขึ้นไปได้เลยพี่ ขึ้นไปเถอะหนูอนุญาต” หนุ่มวัยยี่สิบเอ็ดพูดเอาบุญเอาคุณ ด้วยได้โอกาส เขามั่นใจว่า จะต้องได้ส่วนแบ่งไม่มากก็น้อย..

 

มีต่อ........๖๒

 
บันทึกการเข้า
ช่างเล็ก(LSV)
Administrator
member
*

คะแนน1346
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 18613


คิดดี ทำดี ชีวิตมีแต่สุข


อีเมล์
« ตอบ #64 เมื่อ: เมษายน 26, 2007, 07:31:54 AM »

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม - ๖๒

 

สุทัสสา อ่อนค้อม

ธันวาคม ๒๕๓๗

S00062
๖๒...

          เห็นพระบัวเฮียวนั่งคุยอยู่กับท่านพระครู นายจ่อยให้ดีใจยิ่งนัก กราบท่านสามครั้งแล้ว ชายหนุ่มจึงว่า

          “ผมคิดถึงหลวงพี่เหลือเกิน นี่ก็ว่าเสร็จธุระแล้วจะแวะไปกราบเยี่ยม ดีใจจริง ๆ ที่ได้พบ”

          “โยมจ่อยมาตั้งแต่เมื่อไหร่ โยมจุกล่ะ สบายดีหรือ หายไปหลายเดือนเลยนะ” พระหนุ่มทักทายสองสามีภรรยา

          “หลวงพี่ดูอ้วนขึ้นนะจ๊ะ จวนสำเร็จหรือยังจ๊ะ”

          “สำเร็จอะไรล่ะโยม”

          “สำเร็จมรรคผลน่ะจ้ะ หลวงพี่จวนสำเร็จหรือยัง”

          “ยังหรอกโยม ยังอีกไกลเชียวแหละ นี่ก็ถูกหลวงพ่อท่านตำหนิว่า ปฏิบัติไม่ก้าวหน้า” ท่านชิงบอกเสียก่อน ก็ยังดีกว่าให้ท่านพระครูเป็นผู้บอก เพราะจะทำให้ท่านต้อง “เสียหน้า” มากกว่านี้

          “เธอจะน้อยอกน้อยใจไปใยนะบัวเฮียว ฉันติเพื่อก่อต่างหาก ฉันรู้ว่าเธอเป็นคนบ้ายอ ถ้าฉันชมเธอ เธอก็คิดว่าตัวเองเก่งแล้ว ดีแล้ว ก็เลยไม่ขวนขวายทำความเพียร จริงไหมล่ะ” ท่านเจ้าของกุฏิชี้แจง พระบัวเฮียวรู้สึกใจชื้นขึ้นเป็นกอง จึงถือโอกาสยั่วพระอุปัชฌาย์ว่า

          “ผมเพิ่งรู้เดี๋ยวนี้เองว่าที่หลวงพ่อติผมเป็นเพียงอุบายเท่านั้นเองใช่ไหมครับ ถ้าอย่างนั้นก็หมายความว่า หลวงพ่อเป็นบุคคลผู้มากด้วยอุบาย”

          “เธอจะว่าฉันมากเล่ห์เพทุบายใช่ไหมล่ะ” ท่านเจ้าของกุฏิรู้เท่าทัน

          “หามิได้ครับ ผมจะบังอาจว่าพระอุปัชฌาย์ยังงั้นได้ยังไง หลวงพ่อเห็นผมเป็นคนเนรคุณไปแล้วหรือครับ พระบัวเฮียวได้ชื่อว่า เนรคุณพระอุปัชฌายาจารย์หรือครับ”

          “นี่หลวงน้ากะหลวงพี่จะโต้คารมกันอีกนานไหมครับ ถ้านานผมจะได้ขออนุญาตหลับรอ” นายจ่อยขัดขึ้น เมื่อเห็นว่าภิกษุสองรูปต่างก็มีคุณสมบัติ “ช่างเจรจา” ไม่ย่อหย่อนกว่ากัน

            “พอหนังท้องตึง หนังตาก็หย่อนหรือไง เอ็งนี่ไม่ไหวเลยนะ แบบนี้เขาเรียกว่าคนขี้เกียจ ใช่ไหมจุก” ท่านพระครูหันมา “เล่นงาน” ลูกชายของพี่สาว

          “พี่จ่อยเขาไม่ขี้เกียจหรอกจ้ะหลวงน้า เขาขยันทำมาหากิน ใคร ๆ ก็ออกปากชมกันทั้งนั้น” นางจุกแก้ต่างให้สามี

          “แสดงว่ามันเพิ่งจะขยันตอนมีเมีย สมัยที่อยู่กะข้า มันขี้เกียจยังกะอะไรดี” ท่านเจ้าของกุฏิไม่ยอมแพ้ เห็นหลานสะใภ้ไม่เข้าข้าง ท่านจึงถือโอกาสเล่าเรื่องในอดีตที่พาดพิงไปถึงหล่อนว่า

          “คิดถึงตอนนั้นแล้วข้ายังนึกขำไม่หาย สองคนน้าหลานเทข้าวทิ้งน้ำทุกวัน เพราะรังเกียจขี้มูกเอ็ง เอ็งทำให้ข้าต้องผิดวินัยข้อไม่เคารพบิณฑบาต”

          “ใช่ หลวงน้า เรื่องมันผ่านไปเป็นสิบปีแล้วยังจะขุดขึ้นมาเล่าอีก” นางจุกชักโมโหโกรธา พระบัวเฮียวได้โอกาสแก้แค้นจึงว่า

          “นั่นสิโยม หลวงพ่อเพิ่งสอนอาตมาอยู่หยก ๆ ว่าไม่ให้พะวงถึงอดีตและอนาคต ให้อยู่กับปัจจุบันเท่านั้น ยังไม่ทันไรหลวงพ่อลืมซะแล้ว

          “โอ้โฮ สนุกกันใหญ่ ช่วยกันตะลุมบอนฉันอยู่คนเดียว วันนี้วันอะไรนะ ฉันถึงได้ดวงตกขนาดนี้ ขาหักแล้วยังมาถูกคนเขารุมว่า” ท่านเจ้าของกุฏิโอดครวญ ใจจริงนั้นรู้สึกอบอุ่นที่คนใกล้ชิดทั้งในอดีตและปัจจุบันมาชุมนุมกันพร้อมหน้า

          “วันพฤหัสบดี ขึ้นเจ็ดค่ำ เดือนสี่ ปีขาลครับ” นายสมชายหันไปอ่านปฏิทินที่แขวนอยู่ข้างฝา ท่านเจ้าของกุฏิหันไปมองลูกศิษย์ แล้วค้อนงาม ๆ หนึ่งวง นายจ่อยโวยวายว่า

          “ต๊าย หลวงน้าค้อนก็เป็นด้วย นี่เพราะอยู่ใกล้เจ้าขุนทองใช่ไหมครับ” นายสมชายรีบสนับสนุนว่า

          “นั่นซีครับพี่จ่อย หลวงพ่อพูดเสมอ ๆ ว่า นายขุนทองมาอยู่รับใช้ใกล้ชิดท่าน จะได้หายเป็นกระเทย ไป ๆ มา ๆ หลวงพ่อกลับจะมาเอาเยี่ยงอย่างเจ้าขุนทองเสียแล้ว”

          “อะไร ๆ ใครเอาเยี่ยงอย่างใคร” นายขุนทองเข้ามาได้ยินพอดี เขาเลือกนั่งตรงหัวบันไดด้วยไม่มีที่จะนั่ง เพราะความคับแคบของห้อง

          “ดีจริง ๆ มากันพร้อมหน้าพร้อมตาดีจริง เอาเลย พากันเล่นงานข้าเสียให้สมแค้น” ท่านพระครูประชด

          “หลวงลุงกำลังถูกเล่นงานหรือฮะ”

          “แน่ละซี เอ็งจะช่วยข้าหรือเปล่าล่ะ” ท่านหาพวก

          “ช่วยซี้ ไม่ช่วยหลวงลุงแล้วหนูจะช่วยใครล่ะ” หลานชายว่า ครั้นมองไปที่ถุงกระดาษสีน้ำตาลซึ่งวางอยู่บนตักนางจุก จึงพูดใหม่ “หนูอยู่ฝ่ายพี่จุกดีกว่า เพราะเป็นผู้หญิงเหมือนกัน พี่จุกอยู่ฝ่ายไหน หนูก็อยู่ฝ่ายนั้น”

          “อ้าว ไหงเปลี่ยนใจเร็วนักล่ะ ว่าแต่ว่าที่ขึ้นมานี่มีธุระอะไรกับข้าหรือเปล่า” ท่านพระครูถาม

          “ไม่มีหรอกฮ่ะ หนูนั่ง ๆ นอน ๆ อยู่ในห้อง รู้สึกเซ็ง เลยลองขึ้นมาฟังดูซิว่าคุยเรื่องอะไรกันบ้าง และที่สำคัญคือ อยากจะรู้ว่าพี่จุกทำยังไงถึงได้ถูกรางวัลที่หนึ่ง”

          “โยมจุกถูกรางวัลที่หนึ่งหรือ” พระบัวเฮียวถาม

          “จ้ะหลวงพี่ เรื่องมันประหลาดมาก ฉันว่าจะมาเล่าให้หลวงน้าฟัง” นางจุกตอบ ท่านพระครูจึงว่า

          “งั้นเล่าได้เลย อยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตาแล้วนี่ หรือว่าจะไปตามโยมเขามาฟังอีกคน” ท่านหมายถึงอาจารย์ชิต

          “อย่าเลยจ้ะหลวงน้า ตัวแกเหม็นยังไงก็ไม่รู้ เหมือนกลิ่นหนูตาย ฉันคงทนไม่ได้ ยิ่งห้องแคบ ๆ ยังงี้ ฉันคงเป็นลมเสียก่อนที่จะเล่าจบ” ภรรยานายจ่อยว่า

          “หลวงลุงค่อยเล่าให้เขาฟังทีหลังก็ได้นี่ฮะ” นายขุนทองตัดสิน เขาเองแม้จะชินกับกลิ่นนั้น แต่หากเลี่ยงได้ ก็อยากจะเลี่ยง

          “ตกลง เมื่อจะเอายังงั้นก็ตกลง เอาละ เอ็งเล่าไปเลยจุก”

          “เรื่องมันประหลาดมากจ๊ะหลวงน้า” นางจุกอารัมภบท

          “นี่เอ็งพูดยังงี้สามครั้งแล้วนะ” ท่านพระครูขัดขึ้น

          “พูดยังไงจ๊ะ” นางจุกชักงง

          “ก็พูดว่า “เรื่องมันประหลาดมาก” น่ะซี

          “โธ่ หลวงน้า ก็มันประหลาดจริง ๆ นี่นา” หล่อนเถียง

          “งั้นก็เล่าไปเลย เล่าไปเสียก่อนที่ข้าจะเปลี่ยนใจ”

          “เปลี่ยนใจเรื่องอะไรหรือหลวงน้า”

          “ก็เปลี่ยนใจไม่ฟังเอ็งเล่าไงล่ะ” ท่านเล่นตัว

          “งั้นฉันก็เปลี่ยนใจไม่เล่า” หล่อนถือโอกาสเล่นตัวบ้าง นายขุนทองต้องคะยั้นคะยอว่า

          “เล่าเถอะฮ่ะพี่จุก หนูอยากฟัง ใครไม่อยากฟังก็เอามืออุดหูไว้” เขาประชดผู้เป็นลุง

          “อาตมาขอฟังด้วยคน” พระบัวเฮียว “เว้าซื่อ ๆ”

          “ผมด้วยครับ” นายสมชายพูดบ้าง

          “ข้าในฐานะเจ้าของห้อง ถึงจะไม่อยากฟังก็ต้องฟัง” ท่านเจ้าของกุฏิพูดเลี่ยงไปอีกทางหนึ่ง

          “ถ้างั้นเราลงไปเล่ากันข้างล่างดีไหม” นายจ่อยชวน

          “อย่าเลย ฉันเหม็นลุงคนนั้น” คนเป็นเมียว่า

          “พวกเอ็งเป็นอะไรกันไปแล้วนี่ พูดจาเลอะเลือนล่ามป้ามกันอยู่ได้ เอาละ ๆ จะเล่าก็เล่าไป อย่ามัวโอ้เอ้” ท่านพระครูตัดบทอย่างรำคาญ นางจุกจึงตั้งต้นเล่า

          “เรื่องมันประหลาดมากจ้ะหลวงน้า”

          “รู้แล้ว ๆ เอ็งพูดยังงี้มาสี่หนแล้ว” ท่านพระครูขัดขึ้น

          “เอาอีกแล้วหลวงน้าขัดคอฉันอีกแล้ว เป็นยังงี้ทุกที แล้วก็มาหาว่า พวกฉันพูดจาเลอะเลือนล่ามป้าม” นางจุกต่อว่าและได้รับเสียงสนับสนุนจากผู้ที่นั่งอยู่ ณ ที่นั้นทุกคน ยกเว้นพระบัวเฮียว ผู้ซึ่งเพิ่งจะรู้สึกสงสารพระอุปัชฌายาจารย์

          “เอาเถอะ ๆ ทีนี้ข้าไม่ขัดคอเอ็งแล้ว เล่าต่อไปซิว่ามันประหลาดยังไง”

          “เรื่องมันประหลาดมากจ้ะหลวงน้า” หล่อนพูดประโยคเดิมอีก คราวนี้คนฟังต่างพากันเห็นคล้อยตามท่านพระครู ว่าคนเล่าพูดจาซ้ำ ๆ ซาก ๆ น่ารำคาญ แล้วก็น่าขัดคอจริง ๆ นั่นแหละ ครั้นไม่มีผู้ใดขัดคอ คนเล่าจึงพูดต่อ

          “เมื่อเดือนที่แล้วนี่เอง ขณะที่ฉันนั่งเย็บเสื้อโหลส่งเขาอยู่ในร้านของฉัน ซึ่งอยู่ตรงข้ามกับร้านขายกาแฟ ฉันก็เห็นตัวเงินตัวทองคลานมาที่หน้าร้านกาแฟ...”

          “เป็นยังไง ตัวเงินตัวทองที่ว่าน่ะ” นายสมชายถาม นายจ่อยจึงอธิบายแทนคนเป็นเมียว่า

          “ตัวคล้าย ๆ กิ้งก่า แต่ใหญ่กว่าหลายสิบเท่า ดูเผิน ๆ คล้ายน้องจระเข้ จะเรียกว่าพี่กิ้งก่าหรือน้องจระเข้ก็ได้”

          “อ๋อ ตัวเหี้ย” นายขุนทองโพล่งออกมา นางจุกจึงว่า

          “ถูกแล้ว แต่พ่อแม่ปู่ย่าตายายฉันสอนไว้ว่า ให้เรียก “ตัวเงินตัวทอง” ทีนี้คนขายแกแฟนั่นก็ไล่ใหญ่ ตาผัวก็ไล่ ยายเมียก็ไล่เสียง “ไป๊ ไอ้ตัวเหี้ย ไปให้พ้น” ตัวเงินตัวทองเขาก็ไม่ไป แล้วยังคลานเข้าไปในร้าน เสียงเมียร้องว่า “ตายแล้ว ซวยตายเลยกู ตัวเหี้ยเข้ามาในร้าน” ส่วนผัวก็เอาน้ำร้อนในหม้อที่ใช้สำหรับชงกาแฟขาย ราดลงบนตัวเขา เขาคงร้อนเลยวิ่งหนีมาเข้าร้านฉัน ฉันกลัวก็กลัว เขามาชะเง้ออยู่ตัวหน้าฉัน ฉันก็ปลดสายสร้อยหนักสองสลึงโยนใส่เขา ปากก็ว่า “เงินไหลนองทองไหลมา” พร่ำอยู่อย่างนี้ ยกมือไหว้เขาด้วย เขาก็ยังไม่ไป ฉันก็มีเงินอยู่ห้าบาท เป็นแบงค์ ๔ ใบ เหรียญห้าสิบสตางค์ ๒ เหรียญ ฉันก็โยนใส่เขาและว่า “เงินไหลนอง ทองไหลมา” เขาก็ผงกหัวแล้วแลบลิ้นออกมา

          สักครู่ก็คลานไปที่หลังร้าน ฉันก็มองตาม ก่อนออกไป เขายังเอี้ยวตัวมาดูฉัน แลบลิ้นแผล็บ ๆ แล้วก็ไป สักพักนึงก็มียายซิ้มเอาล็อตเตอรี่มาขายให้ แกบอกเหลือใบเดียว ช่วยซื้อแกหน่อย ฉันก็บอกมีเงินอยู่แค่ ๕ บาท ถ้าจะช่วยซื้อได้เสี้ยวเดียว แกบอกเอาไว้ทั้งใบแล้วกัน แกก็ยัดเยียดให้ฉันจนได้ ฉันก็เลยต้องเป็นหนี้แกอีกห้าบาท ปกติฉันไม่เคยเล่นหวยนะหลวงน้า ไม่เคยซื้อแกเลย เพราะหลวงน้าเคยสอนว่ามันเป็นการพนัน เป็นสิ่งไม่ดี แต่วันนั้นยายซิ้มแกมายัดเยียด ฉันสงสารแกเลยซื้อไว้ โดยไม่ได้คิดไม่ได้หวังอะไร แล้วฉันก็ไม่รู้ด้วยว่าฉันถูก ยายซิ้มแกเป็นคนมาบอก พี่จ่อยเขาก็เลยเอไปซื้อรถโดยสารมาขับรับคน เขาเคยรับจ้างขับรถอยู่กับเถ้าแก่ ทีนี้เลยมีรถของเราเอง เรื่องมันประหลาดมาก ใช่ไหมจ๊ะหลวงน้า” หล่อนพูดประโยคเดิมอีก

          “เออ มันก็ประหลาดเหมือนกันแต่ไม่มาก เป็นเรื่องของกฎแห่งกรรมนั่นแหละ แล้วสองผัวเมียที่ขายกาแฟเป็นยังไงบ้าง” ท่านถามด้วยต้องการตรวจสอบ “ทฤษฎี” ของท่าน

          “ก็แปลกอีกนั่นแหละหลวงน้า ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา เขาก็ขายไม่ค่อยดี แถมทะเลาะเบาะแว้งกันทุกวัน ในที่สุดก็เลิกกัน ผัวไปทาง เมียไปทาง” ภรรยานายจ่อยเล่า

          “นั่นไง ตรงกับทฤษฎีของข้าทุกประการเลย เห็นไหม นี่ กรรม สองผัวเมียได้รับกรรมทันตาเห็น เขาทำอกุศลกรรม ก็เลยต้องมีอันเป็นไป ทำครบสามเลย กาย วาจา ใจ กายก็คือเอาน้ำร้อนไปราดเขา วาจาก็ไปด่าเขา ใจก็โหดร้ายต่อเขา ส่วนเอ็งก็ครบสามเหมือนกัน แต่เป็นกุศลกรรม เอ็งก็เลยถูกล็อตเตอรี่ แต่ถ้าจะดูให้ลึกซึ้งลงไปกว่านั้น ข้าก็เห็นว่า เพราะเอ็งทำบุญมาตั้งแต่เล็กแต่น้อย เอ็งใส่บาตรทุกวัน ถึงจะขี้มูกย้อยลงไปในบาตร แต่ก็ชื่อว่าเอ็งได้ทำบุญ” ท่านพูดถึงอดีตหลานสะใภ้

          “เอาอีกแล้ว หลวงน้าเอาเรื่องขี้มูกฉันมาประจานอีกแล้ว เมื่อไหร่จะลืม ๆ เสียทีก็ไม่รู้” หล่อนบ่น

          “เถอะน่า พอข้าตายข้าก็ลืมเองแหละ” ท่านพระครูว่า

          “งั้นฉันคงถูกหลวงน้าประจานไปอีกหลายสิบปี เผลอ ๆ ฉันอาจจะตายก่อนก็ได้”

          “ไม่ถึงขนาดนั้นหรอก ยังไง ๆ เอ็งก็ไม่มีวันที่จะตายก่อนข้า เอ็งเกิดทีหลังก็ต้องตายทีหลังสิ”

          “มันก็ไม่แน่เสมอไปหรอกหลวงน้า มีออกถมเถไปที่พ่อแม่ไปงานเผาศพลูก” หล่อนว่า ท่านพระครูเห็นสมควรแก่เวลาที่จะบอกความลับเรื่องการมรณภาพของท่านให้ผู้เป็นหลานทราบ จึงออกอุบายว่า

          “ขุนทอง เอ็งขึ้นมานานแล้ว ลงไปดูโยมเขาซิ เผื่อขาดเผื่อเหลืออะไรจะได้หามาให้เขา” นายขุนทองกราบสามครั้ง แล้วลุกออกไป หลานชายออกไปแล้ว ท่านจึงพูดกับนายจ่อยและภรรยาว่า

          “ข้ามีความลับจะบอกเอ็งสองคน แต่ยังไม่อยากให้เจ้าขุนทองมันรู้ เดี๋ยวก็จะไปบอกคนหมดวัด ยิ่งปากสว่างอยู่ด้วย”

          “หลวงน้ามีอะไรจะบอกผมกับจุกหรือครับ”

          “มีสิ ฟังให้ดีนะ เอ็งสองคนไม่ค่อยจะมาให้ข้าเห็นหน้าเห็นตา ยิ่งมีรถใหม่ ก็จะไม่มีเวลามา ข้อนั้นข้าไม่ว่าหรอก เพราะเอ็งต้องทำมาหากิน แต่จำไว้นะ วันที่ ๑๔ ตุลาคม ๒๕๒๑ ให้มาหาข้าหน่อย”

            “มาตอนไหนครับ เช้าหรือบ่าย”

          “ถ้าอยากเห็นข้าตอนเป็นก็มาแต่เช้า แต่ถ้าอยากเห็นตอนตายแล้วจะมาตอนบ่ายก็ได้”

          “หมายความว่าอย่างไรจ๊ะหลวงน้า” นางจุกถาม

          “ก็หมายความว่า วันที่ ๑๔ ตุลาคม ๒๕๒๑ ข้าจะได้รับอุบัติเหตุรถคว่ำคอหัก เวลาเที่ยงสี่สิบห้า”

          “จริงหรือครับ” นายจ่อยถาม

          “จริงหรือไม่จริง พอถึงวันนั้น เอ็งอย่าลืมมาก็แล้วกัน” เจ้าอาวาสวัดป่ามะม่วงตอบด้วยสีหน้าปกติ

          “แต่ผมว่าหลวงพ่อต้องไม่ตาย เอ๊ย ไม่มรณภาพครับ ผมมั่นใจว่า หลวงพ่อจะต้องไม่เป็นเช่นนั้น” พระบัวเฮียวขัดขึ้นด้วยความรู้สึกแสนรันทด แสนเสียดาย ผู้มีเมตตาธรรมสูงส่งเช่นนี้จะหาได้ที่ไหนอีก

          “มันเป็นกฎแห่งกรรมนะบัวเฮียว ใครเลยจะฝืนได้”

          “แต่ ผมไม่อยากให้หลวงพ่อมรณภาพนี่ครับ” พระหนุ่มแย้ง

          “จะอยากหรือไม่อยาก ฉันก็ต้องตาย เอาเถอะ แล้วคอยดูกันไปว่าจะจริงอย่างที่เขาเตือนมาหรือเปล่า”

          “เขาน่ะใครครับ” นายจ่อยถาม

          “เจ้ากรรมนายเวรน่ะซี เอาละ เลิกพูดเรื่องนี้กันได้แล้ว ขอให้เอ็งจำไว้อย่างเดียวว่าข้าจะต้องตายในวันนั้น” นางจุกร้องไห้กระซิก ๆ ข้างฝ่ายนายจ่อยก็ตาแดงก่ำ ท่านเจ้าของกุฏิจึงว่า

          “เอ็งสองคนไม่ต้องมาแสดงความโศกเศร้าล่วงหน้าไว้ก่อนหรอก อีกตั้งสี่ปีข้าถึงจะตาย”

          “หลวงน้าไม่ตายไม่ได้หรือจ๊ะ” นางจุกอ้อนวอน

          “ฟังเมียเอ็งพูดนะเจ้าจ่อย ฟังเอาไว้” ท่านบอกหลานชาย

          “ครับ ผมกำลังฟังอยู่ แล้วก็อยากจะพูดแบบเดียวกับเขา หลวงน้าไม่ตายไม่ได้หรือครับ”

          “เอ็งสองคนนี่พอกันเลย ไอ.คิว. พอกัน อย่างนี้นี่เอง ถึงอยู่ด้วยกันได้”

          “ไอ.คิว. คืออะไรครับหลวงน้า” หลานชายถาม

          “คือภูมิปัญญา เอ็งกับเมียเอ็งมีภูมิปัญญาเสมอกัน ไม่มีใครสูงกว่าใคร” ท่านพระครูอธิบายแกมประชด

          “แล้วดีไหมครับ” นายจ่อยถามอีก

          “ดี แต่ดีสำหรับเองนะ ไม่ใช่สำหรับข้า”

          “งั้นก็ดีไม่จริงน่ะซีครับหลวงน้า เพราะถ้าดีจริงจะต้องดีสำหรับทุกคน ไม่ใช่เฉพาะคนใดคนหนึ่ง” นายจ่อยพูดเหมือนนักปรัชญา ทั้งที่ไม่เคยเรียนปรัชญา

          “คิดเอาเอง” ท่านเจ้าของกุฏิตอบด้วยคร้านที่จะต่อนัดต่อแนงด้วย

          “ผมคงไม่คิดแล้วละครับ ชักปวดหัวแล้ว ว่าแต่ว่าหลวงน้าจะลงไปเจิมรถให้ผมได้ไหมครับ” เขาพูด “ธุระ”

          “อย่าเลยครับพี่จ่อย หลวงพ่อท่านตั้งใจว่าจะไม่ลงไปไหน จนกว่าขาท่านจะหายเป็นปกติ หลวงพ่อเสกแป้ง แล้วให้หลวงพี่เป็นคนไปเจิมก็ได้นี่ครับ” ศิษย์วัดแนะนำด้วยความเป็นห่วงท่านพระครู

          “ดีเหมือนกัน เพราะสองย่อมดีกว่าหนึ่ง หลวงพ่อก็ขลัง หลวงพี่ก็ขลัง ก็เป็นขลังกำลังสอง” นายจ่อยว่า

          “ถ้าเอ็งอยากจะให้ขลังกำลังสามเอ็งก็ต้องอยู่ในศีลในธรรม หากินด้วยความซื่อสัตย์สุจริต และหมั่นปฏิบัติกรรมฐาน” เจ้าอาวาสวัดป่ามะม่วง “อบรม” ลูกชายของพี่สาว

          “ครับ” คนเป็นหลานรับคำ นายสมชายจัดการหาวัสดุอุปกรณ์มาให้ มีขันจอกทำด้วยทองเหลือง ดินสอพอง และน้ำมันจันทน์ ท่านพระครูหยิบดินสอพองใส่ลงในขันจอก ใช้นิ้วบดจนเป็นผง แล้วเทน้ำมันจันทน์ลงไป ผสมเสร็จแล้วจึง “เสก” ด้วยคาถามหานิยม

          “เอาละ เรียบร้อยแล้ว อย่าลืมนะ คาถาจะศักดิ์สิทธิ์หรือไม่ศักดิ์สิทธิ์ขึ้นอยู่กับพลังจิตของผู้ใช้ อันที่จริงข้าไม่อยากยุ่งกับเรื่องเสกเรื่องเป่านักหรอก แต่ในเมื่อเอ็งมาขอให้ทำก็ไม่อยากขัดใจ เพราะอะไร ๆ ก็สู้กรรมฐานไม่ได้ เอาละ พระบัวเฮียวช่วยไปเจิมให้เขาหน่อย” นายจ่อยถือขันจอกบรรจุแป้งเสกลงบันไดไป ตามด้วยพระบัวเฮียวและนางจุก ครู่ใหญ่ ๆ ภิกษุรูปหนึ่งกับฆราวาสสองคนก็ขึ้นมา นายขุนทองถือโอกาสตามขึ้นมาด้วย

          “เสร็จธุระแล้ว ผมเห็นจะต้องกราบลา” นายจ่อยเอ่ย อดใจหายไม่ได้ เมื่อคิดไปว่าอีกสี่ปีเขาจะไม่มี “หลวงน้า” อีกแล้ว

          “หลวงน้าจ๊ะ ฉันมีของมาถวายจ้ะ” นางจุกพูด พร้อมกับหยิบถุงกระดาษสีน้ำตาลส่งให้สามี

          “พี่จ่อยช่วยประเคนแทนฉันด้วย” นายจ่อยจึงประเคนสิ่งนั้นให้ท่านพระครู

          “อะไรของเอ็งล่ะ”

          “หลวงน้าเปิดดูเองก็แล้วกัน” หล่อนว่า นายสมชายกับนายขุนทองจ้องเขม็ง ขณะที่ท่านเจ้าของกุฏิหยิบสิ่งนั้นออกมาจากถุง เป็นรองเท้าหนังสีน้ำตาลหนึ่งคู่!

          “เอ็งถูกรางวัลที่หนึ่งตั้งห้าแสน ซื้อรองเท้าแตะมาให้ข้าคู่เดียวเองหรือจุก” ท่านสัพยอกหลานสะใภ้ด้วยความรู้สึก “ซาบซึ้ง” ในความตระหนี่ถี่เหนียวของหล่อน

          “คู่เดียวก็ตั้งแปดสิบบาทนะหลวงน้า แพงกว่าของฉันตั้งสิบเท่า ฉันใช้คู่ละแปดบาทเอง” คนขี้เหนียวว่า

          “ของผมก็คู่ละแปดบาทเหมือนกันครับหลวงน้า” นายจ่อยเข้าข้างภรรยา

          “เอาเถอะ ๆ ข้าไม่ว่าอะไร จะกลับก็กลับได้แล้ว ข้าจะได้พักผ่อน” สองสามีภรรยาจึงกราบท่านสามครั้ง แล้วลุกออกมา นายสมชายกับนายขุนทองรู้สึกผิดหวังจนไม่มีเรี่ยวแรงที่จะลุกออกไปส่ง

          “เอาซี เอาไปแบ่งกันคนละครึ่ง” ท่านพระครูพูดพลางส่งถุงกระดาษสีน้ำตาลให้นายสมชาย

          “โธ่ หลวงพ่อ ใครเขาจะใส่รองเท้าข้างเดียว” ศิษย์วัดว่า

          “หนูก็ไม่เอา นั่นมันรองเท้าสำหรับผู้ชาย หนูอยากได้รองเท้าส้นสูง” นายขุนทองว่า

          “งั้นก็ถวายพระบัวเฮียวก็แล้วกัน” ท่านพระครูตัดสิน

          “อย่าเลยครับหลวงพ่อ โยมจุกเขาตั้งใจถวายหลวงพ่อ” พระบัวเฮียวปฏิเสธ

          “ก็ในเมื่อเขาให้ฉัน ก็เป็นของฉัน แล้วฉันจะให้ใครมันก็เป็นสิทธิ์ของฉันใช่ไหมล่ะ”

          “ใช่ครับ”

          “งั้นฉันให้เธอ รองเท้าฉันยังดีอยู่ ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องใช้ของใหม่” ผู้พูดถือสันโดษ

          “แต่คู่นี้ราคาตั้งแปดสิบนะครับ คู่ของหลวงพ่อแค่สามสิบเท่านั้น” นายสมชายแย้ง ที่จำได้เพราะเขาเป็นคนไปซื้อ

          “ก็เพราะมันแพงน่ะซี แล้วฉันก็คิดว่าของแพงคงจะเป็นของดี เมื่อจะให้อะไรใครก็ต้องให้แต่ของดี ๆ ดังนั้นฉันจึงให้เธอไงล่ะบัวเฮียว” ประโยคหลัง ท่านพูดกับภิกษุหนุ่ม

          “แล้วคนให้เขาจะได้บุญหรือครับ เขาตั้งใจให้หลวงพ่อ แต่หลวงพ่อกลับมาให้ผม” พระบัวเฮียวพูดเพราะจิตของท่านไม่ถูกครอบงำด้วย “โลภะ”

          “ได้สิ ได้สองต่อเลยแหละ สมมุติว่าเขาให้ฉัน เข้าได้บุญห้าสิบ ฉันเอาให้เธอ ฉันก็ได้บุญห้าสิบ คนให้คนแรกได้บุญสองต่อ เขาได้บุญร้อยนะ ฉันได้ห้าสิบ เขาได้ร้อย”

          “งั้นถ้าผมเอาไปถวายพระมหาบุญ ผมก็จะได้บุญห้าสิบ หลวงพ่อก็ได้ร้อย โยมจุกก็ได้ร้อยห้าสิบใช่ไหมครับ”

          “ก็คงจะเป็นยังงั้น แต่ฉันว่าเธอเก็บไว้เป็นที่ระลึกดีกว่า อีกสี่ปีฉันก็ไม่อยู่ให้เธอเห็นหน้าอีกแล้ว เวลาเธอใส่รองเท้าจะได้คิดถึงฉันไง”

          “ครับ ถ้าเช่นนั้นผมจะเก็บไวอย่างดีที่สุด อีกสี่ปีค่อยเอาออกมาใช้” ภิกษุวัยยี่สิบหกตอบ แล้วกราบลาเพื่อกลับไปปฏิบัติกรรมฐานยังกุฏิ...

 

 

 

มีต่อ........๖๓

 
บันทึกการเข้า
ช่างเล็ก(LSV)
Administrator
member
*

คะแนน1346
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 18613


คิดดี ทำดี ชีวิตมีแต่สุข


อีเมล์
« ตอบ #65 เมื่อ: เมษายน 26, 2007, 07:32:59 AM »

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม - ๖๓

 

สุทัสสา อ่อนค้อม

ธันวาคม ๒๕๓๗

S00063
๖๓...

            นับตั้งแต่อาจารย์ชิตเข้ามาพักรักษาตัวที่วัดป่ามะม่วง แขกของท่านพระครูก็ร่อยหรอลงไป ไม่มีการมานั่งรอคิวตั้งแต่เช้ามืดเหมือนเช่นแต่ก่อน ทั้งนี้และทั้งนั้นก็เพราะพวกเขาไม่อาจทานทนต่อ “กลิ่น” ที่มาจากแผลของบุรุษวัยหกสิบได้

          ครั้นเจ้าอาวาสวัดป่ามะม่วงได้รับอุบัติเหตุตกบันไดขาหัก นายขุนทองก็ประกาศงดรับแขกเป็นเวลาหนึ่งเดือน นอกจากผู้ที่มีธุระสำคัญเร่งด่วนเท่านั้น จึงจะได้รับอนุญาตให้เข้าพบ

          บรรดาผู้ประสบทุกข์ทั้งหลาย เมื่อมาด้วยตนเองไม่ได้ ก็ใช้วิธีเขียนจดหมายมา ดังนั้นแทนที่จะได้พักผ่อน ท่านพระครูก็ต้องมานั่งตอบจดหมาย ซึ่งแรก ๆ ก็มาวันละ ๙-๑๐ ฉบับ ต่อมาก็เพิ่มจำนวนขึ้น จนท่านต้องขอให้นายสมชายและอาจารย์ชิตมาช่วยตอบ คนทั้งสองยินดีปรีดาที่ได้ช่วยแบ่งเบาภาระของท่าน

          ส่วนนายขุนทองไม่ได้รับเกียรติให้ทำหน้าที่นี้ ท่านเจ้าของกุฏิให้เหตุผลว่า “เจ้าหมอนี่มันปากสว่าง เดี๋ยวก็ได้เอาความลับของเขาไปเปิดเผย เสียชื่อวัดป่ามะม่วงหมด”

          “เช้าวันที่ ๕ มีนาคม หลังจากรับประทานอาหารกันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว อาจารย์ชิตกับนายสมชายก็ขึ้นไปช่วยงานท่านพระครูเป็นวันที่สอง ส่วนนายขุนทองก็รับหน้าที่เก็บล้างถ้วยชามลามไหและทำความสะอาดกุฏิชั้นล่าง

          ทำงานเสร็จก็จับเจ้าหมี เจ้าโฮม และเจ้าขาวมาอาบน้ำอาบท่าแถมโรงแป้งฝุ่นให้เสร็จสรรพ เป็นแป้งยี่ห้อเดียวและกระป๋องเดียวกับที่ตัวเขาใช้ แม้ตัวเองจะอาบน้ำวันละสองครั้ง เช้า-เย็น แต่สำหรับสุนัขสามตัวนี้ เขาอาบน้ำและโรยแป้งให้มันอาทิตย์ละครั้งเท่านั้น

          เมื่อขึ้นไปถึง อาจารย์ชิตก็ทำหน้าที่เปิดผนึกจดหมายแล้วอ่านให้ท่านพระครูฟัง จากนั้นก็จะเขียนตอบ โดยท่านพระครูจะเป็นผู้บอกว่าตอบอย่างไร เขียนเสร็จก็เป็นน้าที่ของนายสมชายที่จะพับใส่ซองปิดผนึก ติดแสตมป์ และจ่าหน้าซองถึงผู้รับ

          บางร้าย เจ้าของจดหมายก็สองซองติดแสตมป์ และจ่าหน้าซองถึงตัวเองไว้เสร็จสรรพ นายสมชายจึงเพียงแต่พับจดหมายตอบใส่ซองและปิดผนึกเท่านั้น

          จดหมายฉบับแรกมาจากเด็กชายหาญกล้า บุญเสริมส่ง อาจารย์ชิตอ่านให้ท่านพระครูฟังตั้งแต่ต้นจนจบ ความว่า

          เขียนที่บ้านเลขที่ ๖๗/๘ หมู่ ๑ ถนนเพชรบุรี อ.พญาไท กรุงเทพฯ

          กราบนมัสการหลวงตา ที่เคารพอย่างสูง

          กระผมเด็กชายหาญกล้า นามสกุลบุญเสริมส่ง อายุ ๑๔ ปี กำลังเรียนอยู่ ชั้น ม.ศ. ๒ ผมไม่เคยรู้จักหลวงตามาก่อน แต่คุณลุงข้างบ้านเขารู้จักและให้ที่อยู่ผมมา ผมจึงเขียนมาขอความเมตตาให้ช่วยแก้ปัญหาให้ผมด้วย

          ผมอยู่กับแม่สองคนครับ แม่ผมอายุ ๓๖ ปี แม่บอกว่าพ่อทิ้งเราไปตั้งแต่ผมยังแบเบาะ แล้วผมก็ไม่เคยเห็นหน้าพ่อเลยตั้งแต่จำความได้ แม่ไม่ยอมบอกว่าพ่อผมชื่ออะไร อยู่ที่ไหน แม้นามสกุลที่ผมใช้อยู่ก็เป็นนามสกุลของแม่ ผมจึงไม่มีโอกาสได้รู้จักพ่อเลย ผมพยายามสืบถามจากเพื่อนบ้าน ก็ไม่มีใครให้ความกระจ่างแก่ผม จนผมหมดหวังที่จะได้พบพ่อ ผมอยู่กับแม่สองคนก็มีความสุขตามอัตภาพ แม่ทำงานบริษัท เงินเดือนสองพันบาท ก็มากพอสมควร สำหรับเราสองคนแม่ลูก

          มาเมื่อต้นปีที่แล้ว แม่เริ่มประพฤติตัวเหลวไหล ด้วยการกลับบ้านดึกทุกคืนและมีกลิ่นเหล้าติดตัวมาด้วย หนักเข้าก็เมาแอ๋มาเลย แล้วก็เป็นอย่างนี้เกือบทุกวัน เงินทองก็เริ่มไม่พอใช้ ผมก็คิดมากจนเรียนไม่รู้เรื่อง เมื่อเงินไม่พอใช้ แม่ก็เที่ยวไปหยิบยืมจากเพื่อนบ้าน กระทั่งกลายเป็นคนมีหนี้สินรุงรัง

          วันไหน ไม่มีเงินซื้อเหล้ากิน แม่จะอารมณ์เสีย พาลด่าผมอย่างหยาบ ๆ คาย ๆ ผมกลัวว่าแม่จะกลายเป็นโรคพิษสุราเรื้อรัง และกลัวถูกไล่ออกจากงานจึงต้องเขียนจดหมายมารบกวนหลวงตาให้ช่วยแนะนะผมด้วยว่า ผมจะสอนแม่อย่างไรดี จึงจะทำให้เขาเกิดความสำนึกและกลับตัวเป็นคนดีเหมือนแต่ก่อน ขอหลวงตาโปรดตอบผมด้วย ผมจะรอคำตอบพร้อมกันนี้ ผมได้ส่งซองติดแสตมป์มาด้วยครับ

                                                นมัสการมาด้วยความเคารพอย่างสูง

                                                                   หาญกล้า บุญเสริมส่ง

ป.ล. ผมเคยเป็นเด็กเรียนดี สอบได้ไม่เคยต่ำว่า ๘๐% แต่เดี๋ยวนี้ผมกลายเป็นคนคิดมาก การเรียนตกต่ำลง และคงจะสอบตก ถ้าแม่ยังเป็นอย่างนี้

          “น่าสงสารแกนะครับ” อาจารย์ชิตเอ่ยเมื่ออ่านจบ

          “คนเราต่างก็มีกรรมต่าง ๆ กันไป ตัวเองทำเองทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นกรรมดีหรือกรรมชั่ว ทำไว้แต่ครั้งอดีตชาติบ้าง มาทำในปัจจุบันบ้าง พอกรรมมาให้ผล จึงสุขบ้าง ทุกข์บ้าง ตามชนิดของกรรมที่ทำ แต่ทั้งสุขและทุกข์ มันก็ไม่เที่ยงหรอกโยม ประเดี๋ยวก็เปลี่ยนแปลงผันแปรไปตามเหตุปัจจัย ไม่มีใครทำแต่กรรมชั่วอย่างเดียว แล้วก็ไม่มีใครทำแต่กรรมดีอย่างเดียว หากจะทำดีบ้างทำชั่วบ้าง คละเคล้ากันไป”

          “เว้นแต่คนที่เป็นพระอรหันต์เท่านั้น จึงจะทำแต่กรรมดีอย่างเดียว ไม่ทำกรรมชั่วเลยใช่ไหมครับ” นายสมชายถาม

          “นั่นเป็นความเข้าใจผิดของเธอ พระอรหันต์ท่านเป็นผู้อยู่เหนือกรรม การกระทำของท่าน เราไม่เรียกว่า กรรม แต่เรียกว่า กิริยา เพราะถ้าเป็นกรรม ก็ยังมีผลต่อการเวียนว่ายตายเกิด เช่น กรรมดีทำให้ไปเกิดในสุคติ กรรมชั่วทำให้ไปเกิดในทุคติ แต่พระอรหันต์ท่านตัดขาดจากสงสารวัฏแล้ว จึงไม่ต้องเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในสงสารสาครเฉกเช่นปุถุชนทั้งหลาย” ท่านพระครูอธิบายทั้งที่รู้ว่า คนถามไม่เข้าใจ แต่คนที่เข้าใจกลับเป็นอาจารย์ชิตผู้ซึ่งมิได้ถาม

          “ยังข้องใจสงสัยอะไรอีกหรือเปล่า ฉันให้โอกาสซักถาม”

          “มีครับ แต่คงจะไม่ถาม เพราะที่หลวงพ่ออธิบายมานั้น ผมก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี ไม่อยากให้หลวงพ่อต้องเป่าปี่ให้ควายฟังครับ” ชายหนุ่มว่า

          “ก็ดีที่รู้ตัว แต่คำถามของเธอก็มิใช่จะไม่มีประโยชน์เสียเลย เพราะคนที่เข้าใจก็มีอยู่”

          “หลวงพ่อหมายถึงอาจารย์หรือครับ”

          “ก็จะมีใครเสียอีกล่ะ มีกันแค่สองคน ไม่น่าถาม”

          “แล้วรายนี้ หลวงพ่อจะให้ตอบว่าอย่างไรครับ คนสูงวัยถาม ท่านเจ้าของกุฏิจึงบอก

          “ตอบไปว่า ให้อดทน แล้วก็ไม่ต้องไปคิดสอนแม่เขา ลูกไม่ได้มีหน้าที่สั่งสอนพ่อแม่ เขาจะดีจะชั่วยังไง ก็เป็นผู้ให้กำเนิดเรามา ใส่แผ่นปลิวบทสวดมนต์ไปให้ด้วย บอกให้สวดพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ และพาหุงมหากาฯ อย่างละหนึ่งจบ จากนั้นก็สวดพุทธคุณอย่างเดียวอีก ๑๕ จบ เขาอายุ ๑๔ ใช่ไหม”

          “ครับ”

          “อายุ ๑๔ ก็สวด ๑๕ จบ บอกหลวงตาให้สวดทุกคืน เสร็จแล้วแผ่เมตตาอุทิศส่วนกุศลให้แม่เขา ปฏิบัติสม่ำเสมอจนจิตถึงขึ้นเมื่อไหร่ แม่เขาก็จะกลับตัวได้เอง แต่ถ้าไม่ทำตาม หลวงตาก็ไม่รู้จะช่วยได้ยังไง บอกเขาไปอย่างนี้ก็แล้วกัน” อาจารย์ชิตจัดการเขียนตามที่พระครูบอก นายสมชายหยิบแผ่นปลิวบทสวดมนต์พับใส่ซองลงไปก่อน เมื่ออาจารย์ชิตเขียนเสร็จ ท่านพระครูให้เขาอ่านทวนให้ฟังอีกครั้ง แล้วท่านจึงลงนาม จากนั้นนายสมชายก็จะพับจัดหมายใส่ซองปิดผนึก

          ฉบับที่สองมาจากนางนนทรี จันทร์กระพริบ เขียนเล่ามาว่า

          หนูมาที่วัดเมื่อวันที่ ๑ มีนาคม แต่ลูกศิษย์บอกว่า หลวงพ่องดรับแขกหนึ่งเดือน เพื่อพักรักษาตัว เนื่องจากได้รับอุบัติเหตุตกบันได แต่หนูคงรอไม่ได้ เพราะมีเรื่องร้อนใจมาก จึงเขียนจดหมายมาขอคำปรึกษาหลวงพ่อค่ะ ปัญหาของหนูมีดังนี้คือ

          เมื่อประมาณปีที่แล้ว หนูได้รู้จักกับเพื่อนใหม่คนหนึ่ง เรารู้จักกันที่วัดแห่งหนึ่ง เขามาทำบุญเช่นเดียวกับหนู ผู้หญิงคนนี้ชื่อ สุธาวดี เป็นคนสวย น่ารัก พูดจาไพเราะ เราก็คบกันมาเรื่อย ๆ เพราะหนูเห็นเขาเป็นคนดีและชอบทำบุญทำทาน เพื่อน ๆ ของเขาได้มาเตือนหนูว่า ผู้หญิงคนนี้เป็นคนไม่ดี อย่าไปคบ หนูก็ไม่เชื่อ เพราะเชื่อว่าตัวเองคงดูคนไม่ผิด แต่ก็แปลกอยู่อย่างหนึ่งคือ สุธาวดีเขาไม่ค่อยมีเพื่อน ดังนั้นเขาจึงมาสนิทกับหนู

          อยู่มาวันหนึ่งก็มีสุภาพสตรีคนหนึ่งมาที่วัด และมาเล่าให้เจ้าอาวาสฟังว่า ผู้หญิงคนชื่อสุธาวดี ได้เที่ยวไปพูดกับคนอื่น ๆ ว่า เจ้าอาวาสมีความสัมพันธ์ฉันชู้สาวกับหนู เจ้าอาวาสท่านโกรธมาก จะให้หนูไปตามเพื่อนคนนี้มาพูกันต่อหน้าท่าน และสุภาพสตรีผู้นั้น ซึ่งยินดีจะเป็นพยานให้ หนูได้นำเรื่องนี้มาให้สามีฟัง สามีบอกว่าคนเช่นนี้เป็นคนพาล ฉะนั้นไม่ต้องไปคบหาสมาคม แล้วก็ไม่ต้องไปชี้แจงอะไรกับเขา เพราะคนพาลย่อมไม่ยอมรับในสิ่งที่ถูกต้อง เป็นการเสียวเวลาเปล่า หนูไม่ทราบจะเชื่อใครดี เจ้าอาวาสหรือสามี จึงคิดถึงหลวงพ่อ และมั่นใจว่าหลวงพ่อจะช่วยแก้ปัญหาให้หนูได้ค่ะ

          หนูขอสาบานว่า ไม่เคยคิดสกปรกลามก อย่างที่ผู้หญิงคนนี้กล่าวหา หนูไม่เข้าใจเลยว่า ทำไมเขาใส่ร้ายหนูได้ ทั้งที่ไม่มีมูลความจริง เวลาไปวัดหนูก็ไปกับเขาทุกครั้ง เพราะตอนหลัง ๆ เขาน่าสงสารมาก สามีก็ขอหย่า เพื่อนฝูงซึ่งมีอยู่ไม่กี่คนก็พากันเลิกคบเขา ธุรกิจการค้าก็ขาดทุน หนูสงสารเขา ก็พยายามปลอบใจเขา

          มีอยู่ครั้งหนึ่ง เขาชวนหนูไปวัดและขอร้องให้หนูช่วยพูดกับเจ้าอาวาส ขอยืมเงินท่านมาลงทุน (ตอนแรกเขาขอยืมหนู แต่หนูไม่มีเงินมากขนาดนั้น เขาจึงขอให้หนูไปพูดกับเจ้าอาวาส) เป็นการขอร้องที่หนูลำบากใจมาก แต่เพราะสงสารเขาจึงช่วยพูดให้ เจ้าอาวาสท่านก็บอกว่า เงินที่มีอยู่นั้นเป็นเงินวัด ไม่ใช่เงินส่วนตัวของท่าน จึงไม่สามารถให้ยืมได้ เขาแสดงอาการไม่พอใจออกมา โดยว่าประชดท่านว่าเป็นพระแต่ไม่มีเมตตา แล้วก็ชวนหนูกลับ

          นี่แหละค่ะ เรื่องกลุ้มใจของหนู ตอนนี้เขาก็หลบหน้าหลบตาไม่มาหาหนูอีกเลย หนูอยากโทรศัพท์ไปว่าเขาเหมือนกันว่า คนอย่างหนูนั้นไม่จนปัญญา ถึงขนาดจะเอาพระมาเป็นผัวหรอก แล้วหนูก็กลัวตกนรกอเวจี เพราะในพระวินัยระบุไว้ว่าหญิงที่เสพเมถุนกับพระจะต้องตกนรกอเวจี ที่สำคัญคือ หนูก็มีสามีแล้ว ถ้าไปทำอย่างนั้น ก็ตกนรกสองต่อ หนูไม่ทำแน่นอนค่ะ

          ขอความกรุณาหลวงพ่อช่วยตอบหนูด่วนนะคะ หนูควรจะจัดการกับปัญหาที่เกิดขึ้นอย่างไร พร้อมจดหมายนี้ หนูได้แนบซองติดแสตมป์และจ่าหน้าซองถึงตัวเองมาด้วยค่ะ ขอกราบขอบพระคุณล่วงหน้าค่ะ

          อาจารย์ชิตอ่านจบ ท่านพระครูจึงพูดขึ้นว่า

          “คนทุกวันนี้ ใจบาปหยาบช้าจังเลยนะโยม แค่พระไม่ให้ยืมเงินก็ลงทุนใส่ร้ายป้ายสี ไม่กลับบาปกลัวกรรม”

          “หลวงพ่อจะให้ตอบเขาว่าอย่างไรครับ”

          “บอกให้ทำตามที่สามีเขาแนะนำนั่นแหละ โยมเห็นหรือยังว่า โทษของการคบคนพาลนั้นเป็นอย่างไร ไม่งั้น พระพุทธองค์จะทรงสอนหรือว่า “อะเสวะนา จะ พาลานัง บัณฑิตานัญจะ เสวะนา – ไม่คบคนพาล คบบัณฑิต นี้ปรากฏอยู่ในมงคลสูตร ซึ่งบรรดามนุษย์และเทวดาทั้งหลายต่างพากันถกเถียงกันว่าอะไรเป็นมงคล เถียงกันอยู่ ๑๒ ปี ก็ยังหาข้อยุติไม่ได้ จึงพากันมาเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเพื่อทูลถาม

          พระพุทธองค์ได้ตรัสมงคล ๓๘ ประการ ดังนี้คือ ไม่คบคนพาล ๑ คบบัณฑิต ๑ บูชาคนที่ควรบูชา ๑ อยู่ในถิ่นที่มีสิ่งแวดล้อมดี ๑ ได้ทำความดีให้พร้อมไว้ก่อน ๑ ตั้งตนไว้ชอบ ๑ เล่าเรียนศึกษามาก ๑ มีศิลปวิทยา ๑ มีระเบียบวินัย ๑ วาจาสุภาษิต ๑ บำรุงบิดามารดา ๑ สงเคราะห์บุตร ๑ สงเคราะห์ภรรยา ๑ ทำการงานไม่คั่งค้าง ๑ บำเพ็ญทาน ๑ ประพฤติธรรม ๑ สงเคราะห์ญาติ  ๑ ทำงานไม่มีโทษ ๑ เว้นจากความชั่ว ๑ เว้นจากการดื่มน้ำเมา ๑ ไม่ประมาทในธรรมทั้งหลาย ๑ มีสัมมาคารวะ ๑ อ่อนน้อมถ่อมตน ๑ สันโดษ ๑ กตัญญู ๑ ฟังธรรมตามกาล ๑ มีความอดทน ๑ เป็นผู้ว่านอนสอนง่าย ๑ พบเห็นสมณะ ๑ สนทนาธรรมตามกาล ๑ มีความเพียรเผากิเลส ๑ ประพฤติพรหมจรรย์ ๑ เห็นอริยสัจ ๑ ทำพระนิพพานให้แจ้ง ๑ จิตไม่หวั่นไหว ๑ จิตไม่เศร้าโศก ๑ จิตปราศจากกิเลส ๑ จิตเกษม ๑ ทั้ง ๓๘ ประการนี้ จัดเป็นมงคลอันสูงสุด มงคลก็คือ สิ่งที่ทำให้มีโชคดี หรือธรรมอันนำมาซึ่งความสุขความเจริญ”

          “เหมือนเวลาที่พระท่านสวดในงานมงคล เช่น งานแต่งงาน งานทำบุญขึ้นบ้านใหม่ ท่านมักจะสวดมงคล ๓๘ ประการ นี้ใช่ไหมครับ”

          “ถูกแล้วโยม แต่ถ้าว่ากันตามข้อเท็จจริงแล้ว มงคลนั้นไม่ใช่สิ่งที่ใครจะให้แก่ใคร เช่นไม่ใช่สิ่งที่พระท่านจะนำมาให้ญาติโยม เพราะไม่ใช่สิ่งของที่จะนำมาหยิบยื่นให้กันและกัน แต่มงคลจะเกิดขึ้นได้ บุคคลนั้น ๆ ต้องสร้างเองทำเอง เช่นเดียวกับการทำกรรม เราทำกรรมแทนกันไม่ได้ มงคลจัดเป็นกุศลกรรม ถ้าเราอยากให้มงคลเกิดแก่ตัวเรา เราก็ต้องทำ ต้องสร้างของเราเอง ไม่ใช่เที่ยวไปขอจากคนโน้นคนนี้ เช่นไปขอจากพระเป็นต้น ที่ถูกจะต้องทำเอง เกี่ยวกับเรื่องนี้ ยังมีคนเข้าใจผิดกันอยู่มาก หรือโยมคิดว่ายังไง”

          “ผมก็คิดเหมือนหลวงพ่อครับ” บุรุษสูงวัยคล้อยตาม

          “ดีแล้ว เอาละ ทีนี้ก็ตอบจดหมายโยมนนทรีเขาได้แล้ว ตอบอย่างที่อาตมาแนะนำนั่นแหละ”

          “ต้องเขียนมงคล ๓๘ ลงไปด้วยหรือเปล่าครับ” อาจารย์ชิตถาม หากต้องเขียน เขาก็คงจะต้องให้ท่านทวนให้ใหม่ทีละข้อ เพราะไม่สามารถจดจำได้ทั้งหมด

          “ไม่ต้อง เอาเฉพาะสองข้อแรกเท่านั้น แล้วลอกโอวาทของท่านเจ้าคุณนรรัตน์ วัดเทพศิรินทราวาส ลงไปด้วย สมชายเธอไปหยิบรูปท่านเจ้าคุณนรรัตน์ มาให้อาจารย์เขาด้วย” นายสมชายลุกขึ้นไปหยิบภาพถ่ายซึ่งวางอยู่บนหิ้งพระ มาส่งให้อาจารย์ชิต เป็นภาพพระภิกษุร่างผอมบาง นั่งพับเพียบอยู่กลางใบโพธิ์ ใต้ภาพมีข้อความที่เขียนด้วยลายมือของท่าน มีความยาวถึง ๑๓ บรรทัด แล้วลงนาม “นรรัตน” ไว้ใต้ข้อความนั้น

          “ลอกลงไปทั้งหมดนี่แหละ บอกโยมนนทรีเขาว่า เมื่ออ่านแล้วก็นำไปให้เจ้าอาวาสท่านอ่านด้วย ท่านจะได้หายโกรธโยมคนนั้น แล้วก็เลิกล้มความคิดที่จะเรียกเขามาต่อว่า

          อันที่จริง โยมคนนั้นแกคิดสั้นนะ ถ้าแกทำดีกับเจ้าอาวาสและโยมนนทรี อีกหน่อยกิจการค้าของแกก็จะดีขึ้นเพราะอำนาจของบุญกุศล แต่ในเมื่อแกมาทำอย่างนี้ แกก็ไม่กล้ามาวัดอีกก็เลยหมดโอกาสสร้างบุญสร้างกุศล เขาเรียกว่า ฆ่าตัวเองทางอ้อม เอาละ โยมลอกโอวาทของท่านเจ้าคุณนรรัตน ลงไปก่อน แล้วค่อยตอบจดหมายทีหลัง เสร็จแล้วจะได้ให้นายสมชายเขานำไปไว้บนหิ้งพระตามเดิม” บุรุษสูงอายุจึงลงมือลอกข้อความนั้นลงในแผ่นกระดาษโอวาทของท่านเจ้าคุณนรรัตน มีใจความดังนี้

          คนเราเมื่อมีลาภก็มีเสื่อมลาภ เมื่อมียศก็เสื่อมยศ เมื่อมีสุขก็มีทุกข์ เมื่อมีสรรเสริญก็มีนินทา เป็นของคู่กันมาเช่นนี้ จะไปถืออะไรกับปากมนุษย์ ถึงจะดีแสนดีมันก็ติ จะชั่วแสนชั่วมันก็ชม นับประสาอะไร พระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐเลิศยิ่งกว่ามนุษย์และเทวดายังมีคนนินทาติเตียน ปุถุชนอย่างเราจะรอดพ้นจากโลกธรรมดังกล่าวแล้วไม่ได้ ต้องคิดเสียว่าเขาจะติก็ช่าง ชมก็ช่าง เราไม่ได้ทำอะไรให้เขาเดือดเนื้อร้อนใจ ก่อนที่เราจะทำอะไร เราคิดแล้วว่าไม่เดือดร้อนแก่ตนเองแลคนอื่นเราจึงทำ เขาจะนินทาว่าร้ายอย่างไรก็ช่างเขา บุญเราทำกรรมเราไม่สร้าง พยายามสงบกาย สงบวาจา สงบใจ จะต้องไปกังวงกลัวใครติเตียนทำไม ไม่เห็นมีประโยชน์ เปลืองความคิดเปล่า ๆ

                                                                                                                                                นรรัตน

          ลอกเสร็จแล้วนายสมชายจึงนำภาพถ่ายนั้นไปวางไว้ที่เดิม อาจารย์ชิตจัดการตอบจดหมายแล้วอ่านให้ท่านพระครูฟัง เพื่อตรวจสอบอีกครั้งก่อนลงนาม จากนั้นก็เป็นหน้าที่ของนายสมชาย ที่จะพับใส่ซองและปิดผนึก

          ฉบับที่สามเป็นของนายทหารยศพันเอก เขียนมา ๕ หน้ากระดาษฟุลสแก๊ป แถมลายมือก็ขยุกขยิกยุ่งเหยิงพอ ๆ กับใจความใจจดหมายซึ่งเขียนวกไปวนมา บ่งบอกถึงสภาวะทางจิตใจของเข้าของในขณะที่เขียน กว่าจะอ่านจบทั้งผู้ฟังและผู้อ่านต่างอ่อนเปลี้ยเพลียแรงไปตาม ๆ กัน คนเป็นฆราวาสนั้นยังฝึกสติไม่ถึงขั้น จึงรู้สึกเครียดกว่าคนเป็นพระ ท่านเจ้าของกุฏิมีอันต้องกำหนด “เครียดหนอ เครียดหนอ” อยู่ชั่วครู่จึงหายเครียด ท่านบอกคนเป็นฆราวาสว่า

          “เอาละ โยมพักได้แล้ว พักสักยี่สิบนาที จากนั้นให้เดินจงกรมสามสิบนาที นั่งสมาธิอีกครึ่งชั่วโมง ก็ได้เวลารับประทานอาหารกลางวันพอดี” ท่านพูดราวกับรู้ว่าขณะนั้นเป็นเวลา ๙.๔๐ นาฬิกา อาจารย์ชิตกราบท่านสามครั้งแล้วจึงลงมาข้างล่าง เหลือบดูนาฬิกาที่แขวนอยู่ข้างฝา ปรากฏว่าเหลืออีก ๒๐ นาทีจะสิบโมง แสดงว่าท่านเจ้าของกุฏิรู้เวลาโดยไม่ต้องใช้นาฬิกา....

 

มีต่อ........๖๔

 
บันทึกการเข้า
ช่างเล็ก(LSV)
Administrator
member
*

คะแนน1346
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 18613


คิดดี ทำดี ชีวิตมีแต่สุข


อีเมล์
« ตอบ #66 เมื่อ: เมษายน 26, 2007, 07:33:38 AM »

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม - ๖๔

 

สุทัสสา อ่อนค้อม

ธันวาคม ๒๕๓๗

S00064
๖๔...

          อาจารย์ชิตลงไปแล้ว ท่านพระครูจึงถามนายสมชายว่า

          “เป็นไง เธอรู้สึกเครียดบ้างไหม”

          “ผมไม่กล้าเครียดหรอกครับ หลวงพ่อ ผมกลัวมะเร็งเต้านมเล่นงานผม” ชายหนุ่มตอบอย่างคนรักตัวกลัวตาย

          “เรื่องนั้นเธอไม่ต้องกลัวหรอก รับรองว่าไม่เป็น” ท่านเจ้าของกุฏิตอบ เพราะผู้ชายหมดโอกาสเป็นมะเร็งเต้านมและมะเร็งมดลูก

          “แต่เจ้าขุนทองมีสิทธิ์เหมือนกันนะครับหลวงพ่อ หลวงพ่อสังเกตไหมครับว่า นมมันใหญ่ขึ้น” คำถามนั้นสะดุดใจท่านพระครู ท่านรู้สึกเหมือนกันว่า หน้าอกของหลานชายมันดูผิดหูผิดตาไป

          “มันไปทำยังไงเข้าล่ะ หน้าอกหน้าใจมันถึงผิดปกติยังงั้น”

          “ผมหลอกถามดู เห็นมันบอกว่าเอามดตะนอยไปต่อย มันว่าถ้าใหญ่มาก ๆ ก็จะไปซื้อยกทรงมาใส่ หลวงพ่ออย่าบอกนะครับว่าผมมาพูด มันเอาผมตายเลย” ชายหนุ่มเล่าพลางขอร้อง

          “แปลว่า เธอเอาความลับเจ้าขุนทอง มาเปิดเผยน่ะซี” ท่านพระครูพูดเสียงตำหนิ

          “โธ่ หลวงพ่อครับ ผมไม่ได้คิดทรยศเพื่อนนะครับ แต่ที่ทำไปเพราะหวังดีต่อมัน ผมกลัวมันจะเป็นมะเร็งเต้านมนะครับ ก็เห็นน้าขำเล่าว่า คนที่เอามดตะนอยต่อลูกอัณฑะยังเป็นมะเร็งตายได้” ศิษย์วัดอ้างเหตุผลที่ต้องเปิดเผยความลับของเพื่อน

          “นั่นเพราะกรรมที่เขาไปหลอกลวงหลวงต่างหากล่ะ หลอกหลวงเพื่อจะไม่ต้องเป็นทหาร แต่เจ้าขุนทองมันไม่มีกรรมเช่นนั้น ฉันรับรองว่า มันไม่เป็นมะเร็งแน่ เธออย่าห่วงไปเลย”

          “ครับ ถ้าหลวงพ่อยืนยันเช่นนี้ ผมก็สบายใจ แล้วหลวงพ่ออย่าเผลอบอกเรื่องนี้มันเข้านะครับ ไม่งั้นถูกมันด่าล้างน้ำแน่เลย”

          “ล้างน้ำก็ดีน่ะซี เธอจะได้สะอาดสะอ้านขึ้น” ท่านเริ่มยั่ว เพื่อคลายเครียด

          “มันก็คงจะดีหรอกครับ ถ้าผมเป็นคนชอบอาบน้ำ แต่บังเอิญผมเป็นโรคกลัวน้ำครับ” ชายหนุ่มว่า ได้ยั่วลูกศิษย์พอหอมปากหอมคอแล้ว ท่านพระครูจึงให้เขาลงไปล้างรถ เพราะจอดไว้หลายวันจนฝุ่นเกาะเต็มไปหมด ถึงไม่ต้องลงไปดูก็รู้ได้ว่า มันจะต้องเป็นอย่างที่ท่านคิด

          นายสมชายลงไปแล้ว เจ้าอาวาสวัดป่ามะม่วงจึงนั่งหลับตาทบทวนข้อความในจดหมายของนายพันเอก ในความโดยสรุปก็คือ เขาหลงรักครูสาวที่จ้างมาสอนพิเศษให้ลูกที่บ้าน ทั้งหลงรักและหลงใหล ถึงขนาดคิดขอหย่ากับภรรยา เพื่อจะแต่งงานกับเธอ เหตุผลที่เขาอ้างกับภรรยา คือ ตัวเขาเป็นนายพัน อีกไม่นานก็จะได้เป็นนายพล และคนเป็นภรรยาก็จะต้องได้ตำแหน่งคุณหญิง แต่ภรรยาของเขา ไม่เหมาะสมกับตำแหน่งนี้ เพราะหล่อนแก่เกินไป ทั้งยังมีความรู้แค่มัธยมหก ขณะที่ครูสาวจบปริญญา แล้วก็สวยกว่าสาวกว่า

          “ผมอุตส่าห์ร้องห่มร้องไห้เพื่อให้เขาเห็นอกเห็นใจในความรักของผม แต่เขาใจร้ายกับผมมาก เพราะนอกจากจะไม่ยอมหย่าแล้ว ยังไม่สงสารเห็นใจ ไม่มีน้ำตาสักหยดเดียว ทั้งที่ผมร้องไห้น้ำตาแทบเป็นสายเลือดอย่างนี้แล้วผมจะอยู่กับเขาได้อย่างไรครับหลวงพ่อ ผมพยายามพูดขอร้องเขาทุกวัน เขาก็ไม่ใจอ่อนกระทั่งผมอ่อนใจ มาวันนี้เองผมยื่นคำขาดว่า ถ้าเขาไม่ยอมหย่า ผมจะฆ่าตัวตาย เขาก็นิ่งไปพักหนึ่งแล้วบอกผมว่า “ตกลง ฉันจะยอมหย่าให้ เพราะเห็นใจในความรักของคุณ ความรักมันกินได้ ส่วนเงินกินไม่ได้ ฉะนั้น ฉันจะยอมหย่าให้คุณ แต่คุณต้องยกเงินเดือนให้ฉันทั้งหมด” หลวงพ่อคิดดูสิครับว่า ผมจะทำตามข้อเสนอของเขาได้อย่างไร ถ้าผมให้เงินเดือนเขาหมด ผมกับภรรยาคนใหม่จะอยู่ได้หรือ หลวงพ่อช่วยผมหน่อยเถิดครับ ช่วยให้เขาเห็นใจผมและยอมหย่าให้ผม โดยไม่เอาเงินเดือนของผม โปรดช่วยให้เขาไปจากชีวิตผม ส่วนลูกผมเลี้ยงได้ และแม่ใหม่ของแกก็จะช่วยติววิชาให้โดยไม่ต้องไปเสียเงินให้โรงเรียนกวดวิชา ผมจะรอคำตอบจากหลวงพ่อ ความจริงผมอยากมากราบเรียนถามด้วยตนเอง แต่เขาทำให้ผมหมดแรงและหมดหวังจนไม่สามารถขับรถมาได้ หลวงพ่อกรุณาตอบผมโดยด่วนเลยนะครับ”

          จดหมายไม่มีซองเปล่าติดแสตมป์สอดมาด้วย เจ้าอาวาสวัดป่ามะม่วง จึงจัดการหยิบซองมาจ่าหน้าถึงผู้รับตามที่อยู่ตรงหัวกระดาษ เสร็จแล้วจึงลงมือตอบ

                                                                             เขียนที่วัดป่ามะม่วง

                                                                   วันที่ ๕ มีนาคม ๒๕๑๗

เจริญพร ท่านผู้พัน ที่นับถือ

            อาตมาอ่านจดหมายของผู้พันแล้ว รู้สึกสงสารและเห็นใจเป็นที่สุด อย่าเพิ่งดีใจว่า อาตมาจะช่วยให้สมความปรารถนา อาตมาจะช่วยได้อย่างไร ในเมื่อสิ่งที่ผู้พันปรารถนานั้น มันไม่ถูกต้องทำนองคลองธรรม คนที่อาตมาสงสารและเห็นใจเป็นที่สุดนั้นไม่ใช่ผู้พัน หากแต่เป็นภรรยาของผู้พัน ภรรยาคนที่มีความรู้น้อย และถูกสามีตำหนิติเตียนว่าทั้งแก่และไม่สวยนั่นแหละ เรื่องทั้งหมดที่ผู้พันเล่ามา มันเหมือนนิยายมากกว่าจะเป็นเรื่องจริง แต่อาตมาก็ไม่คิดว่า ผู้พันจะแต่งนิยายมาให้อาตมาอ่านหรอกนะ เพราะอาตมาไม่ใช่นักอ่าน แล้วก็คงไม่มีเวลา เพราะมีงานที่ต้องทำอีกมากมาย

            อาตมาคิดว่า ที่ภรรยาของผู้พันเขาไม่ร้องไห้นั้น คงเป็นเพราะน้ำตาตกในมากกว่า เอาล่ะ เรื่องนี้อาตมาก็ขอตอบสั้น ๆ ว่า ให้ผู้พันเลิกล้มความคิดที่จะแต่งงานกับผู้หญิงคนใหม่เสียเถิด เพราะไม่มีประโยชน์อันใดเลย อาตมาขอร้องนะ โปรดอย่าทำลายจิตใจผู้หญิงที่เป็นแม่ของลูก ปกติคนเราเมื่อตั้งความหวังในทางที่ผิด ครั้นสมหวังจะสุขสโมสรก็เฉพาะตอนต้น ๆ แล้วมันก็จะเปลี่ยนเป็นความทุกข์ความเดือดร้อนในภายหลัง

            เพราะฉะนั้นอาตมาจึงขอแนะนำว่า ยอมผิดหวังเสียดีกว่า ซึ่งแม้จะต้องโศกเศร้าเสียใจอาลัยหา ต่อเมื่อทำใจได้เมื่อใด ก็จะเกิดความภูมใจ เอิบอิ่มใจว่า ตนมีความประพฤติสุจริต ไม่บกพร่องเสียหาย ใคร ๆ ก็ติเตียนไม่ได้ ผู้พันลองนำไปพิจารณาดู ส่วนเรื่องการเป็นคุณหญิงนั้น อาตมาได้ตรวจสอบดูกฎแห่งกรรมของคุณโยมทั้งสองแล้ว ไม่มีใครจะได้เป็นคุณหญิง

            สุดท้ายนี้ อาตมาขอเจริญพร ขออำนาจคุณพระศรีรัตนตรัย และบารมีขององค์สมเด็จพระสยามเทวาธิราช จงปกป้องคุ้มครองให้ผู้พันและครอบครัวมีความสุขความเจริญ คิดหวังสิ่งใดในทางที่ถูกที่ควร จงสมความปรารถนาทุกประการเทอญ

                                                                                                     ขอเจริญพร

                                                                                    พระครูเจริญ ฐิตธัมโม

          เขียนเสร็จ ท่านพระครูก็อ่านทบทวนอีกครั้ง เสร็จแล้วจึงพับใส่ซอง ปิดผนึกอย่างเรียบร้อย ขาข้างที่หักกำลังอักเสบ ท่านเลิกสบงดูขึ้นก็พบว่ามันบวมเป่ง ทั้งที่นวดด้วยน้ำมันมนต์ทุกวัน การขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวจึงเป็นไปด้วยความยากลำบาก หากท่านก็ไม่เคยคิดทดถอย แม้จะอยู่ในภาวะอาพาธเจ็บป่วย ก็ไม่เคยหยุดพัก ท่านทำงานทุกวันไม่มีวันหยุด ข้าราชการเขายังได้หยุดวันเสาร์วันอาทิตย์ แต่ท่านพระครูเจริญแห่งวัดป่ามะม่วงไม่มีวันหยุดกับใครเขา ทั้งงานที่ทำก็ไม่มีเงินเดือนให้อีกด้วย

          ฉบับต่อมาเป็นของนางวรวิน นิลเนตร เขียนมาจากบ้านเลขที่ ๑๖๗๖/๒๑๓ ถนนเพชรเกษม อ.สามพราน จ.นครปฐม จดหมายลงวันที่ ๑  มีนาคม ๒๕๑๗ หล่อนเขียนเล่ามาว่า

          เมื่อวานนี้ดิฉันกับสามีได้พาเพื่อนชาวอเมริกันไปดูการเข้าทรงที่บางแค ดูแล้วต่างก็รู้สึกสลดหดหู่ไปตาม ๆ กัน ดิฉันจะเล่าให้ท่านพระครูฟังนะเจ้าคะ

          คณะของเราไปถึงสถานที่ที่ใช้ทำพิธี ซึ่งเขาเรียกกันว่า “พระตำหนัก” เมื่อประมาณ ๗ นาฬิกา พระตำหนักสร้างด้วยหินอ่อนทั้งหลัง (คงราคาหลายล้าน) อยู่ในเนื้อที่ประมาณ ๑๐ ไร่ หน้าพระตำหนักมีรูปหล่อของหลวงพ่อทวด ตั้งตระหง่านอยู่กลางสนาม

          ผู้ไปร่วมงานมีทั้งพระและฆราวาส เวลา ๗.๓๐ น. พระสงฆ์ ๙ รูปเจริญพระพุทธมนต์ พระที่มาเจริญพระพุทธมนต์นี้ส่วนใหญ่เป็นพระราชาคณะ มีสมเด็จอยู่องค์หนึ่ง นอกนั้นก็เป็นท่านเจ้าคุณ หลวงพ่อที่มีชื่อเสียงโด่งดังของจังหวัดสิงห์บุรีก็ไปร่วมงานด้วย หลังจากพระเจริญพระพุทธมนต์แล้ว ก็มีการถวายภัตตาหาร และเครื่องไทยธรรมแด่พระสงฆ์ทั้ง ๙ รูปนั้น เสร็จแล้วท่านก็พากันกลับ ไม่ได้อยู่ดูเขาเข้าทรง และท่านก็คงไม่ทราบว่าเขาทำอะไรกันบ้าง

          ดิฉันคิดว่าคนทรงเขาเข้าใจนิมนต์พระระดับสูงมา เพื่อจะเป็นเครื่องยืนยันว่า สิ่งที่เขาทำนั้นถูกต้องตามหลักพุทธศาสนา เป็นการหลอกลวงสงฆ์อย่างแนบเนียนที่สุด หลอกลวงสงฆ์มาเพื่อจะใช้หลอกชาวบ้านอีกต่อหนึ่ง

          เสร็จพิธีสงฆ์แล้วก็เป็นพิธีเข้าทรง ที่ดิฉันสะท้อนสะเทือนใจมาก ก็คือ คนทรงเป็นพระภิกษุ ดิฉันรู้สึกอับอายแทนชาวไทยพุทธทั้งประเทศ ที่ยังมีชาวพุทธบางคนโง่เขลางมงายไร้เหตุผล ทั้งที่ได้ชื่อว่าเป็นผู้นับถือพระพุทธศาสนา อันเป็นศาสนาแห่งปัญญา

          นอกจากคนทรงจะเป็นพระภิกษุแล้ว ก็ยังมีพระภิกษุอยู่ร่วมงานอีกกว่าสองร้อยรูป ซึ่งท่านเหล่านี้อาจจะไม่ได้ศึกษาพระวินัย เพราะคงไม่ได้ตั้งใจบวช สามีของดิฉันต้องอธิบายให้เพื่อนชาวอเมริกันฟังว่า คนพวกนี้เป็นพระเทียม ไม่ใช่พระแท้ ที่ต้องอธิบายเพราะขานับถือพระพุทธศาสนา และได้ศึกษาพระวินัยมาอย่างดี ทั้งเคยบวชมาแล้วด้วย เขาจึงวิพากษ์วิจารณ์พระเหล่านี้ว่า กระทำผิดพระพุทธบัญญัติ

          ดิฉันจะเล่าเรื่องคนทรงต่อนะเจ้าคะ เขาโกนศีรษะ ห่มผ้าเหลือง แต่งตัวเรียนแบบพระ ทั้งยังประกาศตัวว่าเป็นพระอีกด้วย เขาอ้างว่าหลวงพ่อทวดมาเข้าฝัน ขอร้องให้เขาเป็นร่างทรงของท่าน เพื่อสร้างบารมี

          เมื่อจะเริ่มเข้าทรง เขาจุดรูปมัดใหญ่ทั้งมัด แล้วเสียบไว้ในกระถางข้างหน้า แล้วจึงจุดเทียนมัดใหญ่เช่นกัน มันเทียนตั้งไว้บนศีรษะให้น้ำตาเทียนไหลย้อยมาอาบใบหน้า จากนั้นก็นั่งขัดสมาธิ ประนมมือหลับตาร่ายคาถาด้วยเสียงอันดัง ภาษาที่ใช้จะว่าบาลีก็ไม่ใช่ ไทยก็ไม่เชิง เพราะปนเปกันไปหมดจนฟังไม่ออก แต่ที่พอจะจับได้คำหนึ่งคือ คำว่า “เทวา” เพราะพูดซ้ำ ๆ หลายครั้ง ขณะที่ร่ายคาถา ก็นั่งขยุกขยิกท่าทางหลุกหลิก ไม่มีการสำรวมเลย ร่ายคาถาจบ ลูกศิษย์ก็จะนำจานหมากที่ผสมไว้เรียบร้อยแล้วมาประเคน เขาก็ใช้มือหยิบใส่ปาก ทำท่าเคี้ยว ๆ ปล่อยน้ำหมากไหลย้อยลงมาเปรอะคาง

          เพื่อนชาวอเมริกันบอกน่าเกลียดมาก เหมือนแคร๊กคูล่ากำลังกินเลือด เพราะน้ำหมากแดงเหมือนเลือดจริง ๆ จากนั้นพวกลูกศิษย์ก็ช่วยกันยกขันบรรจุน้ำมาให้ทำน้ำมันต์ เป็นขันทองเหลืองขนาดมหึมาบรรจุน้ำได้ ๓๐ ลิตร เขาหยิบมันเทียนจากบนศีรษะ ลงมาจ่อที่ปากขัน ให้น้ำตาเทียนหยดลงน้ำ ลูกศิษย์ส่งถาดบรรจุพวกมาลัยดอกมะลิมาให้ เขายกถาดขึ้นสูงระดับศีรษะหลับตาทำปากขมุบขมิบ ทำทีว่า “เสก” แล้วเทพวงมาลัยลงในขันน้ำมนต์

          จากนั้นทั้งพระ (เทียม) และฆราวาส ก็จะเรียงแถวกันเข้ามารับน้ำมนต์ แถวพระเข้ามาก่อน เขาก็ใช้พวงมาลัยที่ลอยอยู่ในขันน้ำมนต์ตบที่ศีรษะพระ ซึ่งเข้าไปก้มศีรษะประนมมือรับอย่างนอบน้อม หมดจากแถวพระ (เทียม) ซึ่งมีประมาณสองร้อยรูป ก็เป็นแถวของฆราวาส ซึ่งมีนายทหารยศนายพลเดินนำหน้า

          ที่ดิฉันทราบเพราะเขาแต่งเครื่องแบบมา แล้วดิฉันก็ไม่ทราบเหมือนกันว่า เป็นนายพลจริงหรือนายพลปลอม หากเป็นตัวจริงก็น่าสงสารมาก ที่ท่านตกเป็นเครื่องมือหากินของคนพวกนั้น ท่านพระครูเจ้าคะดิฉันสลดใจเหลือเกิน ชาวพุทธเราอับจนปัญญาและไร้ที่พึงพิงเสียแล้วหรือ จึงได้ฝากชีวิตไว้กับการเซ่นเจ้าเข้าทรงเช่นนี้ พระพุทธศาสนาใกล้จะถึงจุดจบเสียแล้วหรือ จึงถูกคนใจบาปหยาบช้านำมาใช้เป็นเครื่องมือกอบโกยเงินเข้ากระเป๋า

          เพื่อนชาวอเมริกันที่ดิฉันพามาดูได้แสดงความห่วงใย หากคนศาสนาอื่นเขามาพบเข้า ก็จะเป็นจุดให้เขาโจมตีได้ ท่านพระครูคิดว่าจะแก้ไขอย่างไรดีเจ้าคะ

          สามีของดิฉันบอกว่า อยากจะไปร้องเรียนต่อมหาเถรสมาคม หรือไม่ก็กรมการศาสนา ให้เขาสอดส่องดูแลบ้าง เพราะมันเป็นภัยร้ายแรงต่อพระศาสนาของเรา เป็นการเปิดช่องให้คอมมิวนิสต์และศาสนาอื่นเขาโจมตีเอาได้ ท่านพระครูกรุณาตอบปัญหาของดิฉันด้วยนะเจ้าคะ สิ่งที่ดิฉันอยากทราบมี ๒ ประการคือ

๑.     ท่านพระครูเชื่อหรือเปล่าเจ้าคะ ว่าหลวงพ่อทวดท่านมาเข้าทรงจริง ๆ

๒.    หากคนทรงและพระที่มารับน้ำมนต์ เป็นพระแท้ จะถือว่าเป็นการผิดวินัยตามพุทธบัญญัติหรือไม่

ขอกราบพระคุณล่วงหน้าเจ้าค่ะ

นมัสการมาด้วยความเคารพอย่างสูง

                                                                      วรวิน นิลเนตร

จดหมายทุกฉบับที่ท่านพระครูได้รับ ไม่มีฉบับใดที่ไม่ทำให้ท่านไม่เครียด พูดให้ฟังง่ายเข้าก็คือทุกฉบับล้วนแล้วแต่ทำให้ท่านเครียด แต่ความรู้สึกเช่นนี้มันก็เกิดขึ้นไม่นาน เพราะเมื่อกำหนด “เครียดหนอ เครียดหนอ” มันก็หายไป แต่ฉบับของนางวรวิน นิลเนตร นี้สิ ท่านต้องกำหนดทั้ง “เครียดหนอ” และ “สลดใจหนอ” ควบคู่กันไป กระนั้นเจ้าความรู้สึกทั้งสองอย่างนี้ มันก็ยังไม่ยอมเลือนหายไป ท่านจึงต้องลุกขึ้นเดินจงกรม ให้ความเจ็บปวดในแต่ละย่างก้าวนั้นมาช่วยฆ่าความเครียดและความสลดรันทดใจ!

“ว้าย หลวงลุงทำไมลุกขึ้นเดิน ตายแล้ว ๆ ประเดี๋ยวขาก็ไม่หายหรอก” นายขุนทองส่งเสียงวี้ดว้าย เมื่อขึ้นมาเห็นกับตาว่า หลวงลุงกำลังทำอะไรอยู่

“ข้าเดินมาตั้งร่วมชั่วโมงแล้ว เอ็งเพิ่งจะมาโวยวาย มีธุระอะไรกับข้าอีกล่ะ” ท่านหยุดเดินพลางถาม

“หลวงลุงนั่งก่อนดีกว่าฮ่ะ นั่งนะคนดี๊คนดีของขุนทอง” หลานชายพูดเหมือนกับว่า “หลวงลุง” เป็นเด็กสามขวบ

“นี่นี่เจ้าขุนทอง มันจะมากไป มันจะมากไป ข้าไม่ใช่เด็กอมมือนะ เอ็งอย่ามาพูดกะข้ายังงั้น” ท่านเอ็ดหลานชาย

“ไม่พูดก็ได้ แต่หลวงลุงนั่งก่อนซีนะฮะ หนูขอร้อง”

“นั่งก็นั่ง เอาละ มีอะไรก็ว่าไป” ท่านหายเครียด หายสลดหดหู่ แต่ก็มีอันต้องกำหนด “ปวดหนอ ปวดหนอ” แทน เพราะรู้สึกปวดระบมไปทั้งร่าง โดยเฉพาะที่ขาข้างขวา

“ผัวนังเตยมาตามฮ่ะ” หนุ่มวัยยี่สิบเอ็ดรายงาน

“เอ็งรู้ได้ยังไงว่า เขาเป็นผัวแม่หนูคนนั้น เขาบอกเอ็งหรือ”

“เปล่าหรอกฮ่ะ แต่หลวงลุงเคยบอกไว้ว่า วันที่ ๕ มีนา ผัวนังเตยจะมารับไปแต่งงาน หนูเลยเดาเอา ก็เขามาถามหานังเตยนี่ฮะ”

“งั้นก็บอกเขาให้ขึ้นมาหาข้าก็แล้วกัน”

“ฮ่ะ” ชายหนุ่มรับคำสั่งแล้วจึงลงไปสักพักหนึ่ง ชายหนุ่มอีกคนก็ขึ้นมา แม้หน้าตาจะเศร้าสร้อย หากก็ดูหล่อเหลาชวนมอง “มิน่า แม่หนูคนนั้นถึงได้เผลอใจเผลอกาย” ท่านเจ้าของกุฏิลงความเห็นในใจ ชายหนุ่มกราบท่านพระครูสามครั้ง แล้วแนะนำตัวเอง

“ผมชื่อสุเมธ มาจากจังหวัดพระนครศรีอยุธยาครับ” ท่านพระครูนิ่งไม่พูดไม่ถามเพราะต้องการจะ “ดัดนิสัย” ลูกผู้ชายที่ประพฤติตัวไม่สมกับเป็นลูกผู้ชาย”

“ผมมาตามหาภรรยาครับ ได้ข่าวว่ามาบวชชีอยู่ที่วัดนี้” เขาพูดอีก หากท่านพระครูก็เฉยอีก

“มีผู้หญิงชื่อเตย มาบวชที่วัดนี้หรือเปล่าครับ” เมื่อท่านเจ้าของกุฏิเฉยอีก ชายหนุ่มก็หมดความอดทน เขาพูดด้วยเสียงเยาะเย้ยประชดประชนว่า

“ผมไม่นึกเลยว่า จะมาเจอเอาพระใบ้ เจ้ากระเทยนั่นก็ไม่ยักบอกว่า สมภารวัดนี้เป็นใบ้” ได้ผล เพราะท่านพระครูพูดขึ้นว่า

“อาตมาไม่ได้เป็นใบหรอกคุณ แต่อาตมาต้องการทดสอบคนที่มาวัดนี้ ทดสอบความอดทนไงล่ะ คนที่มาวัดนี้จะต้องอดทน อดได้ ทนได้ รอได้ คุณอยากพบภรรยาไม่ใช่หรือ”

“ครับ” คราวนี้เขาพูดเสียงอ่อนลง แม้ใจจะยังรู้สึกโกรธขึ้ง

“ถ้างั้นก็นั่งรอประเดี๋ยว เดี๋ยวอาตมาจะคุยด้วย ขอตอบจดหมายฉบับนี้ให้เสร็จก่อน” แล้วท่านก็ก้มหน้าก้มตาตอบจดหมาย ที่เป็นสาเหตุแห่งความเครียดของท่าน

เจริญพร โยมที่นับถือ

          อาตมาได้อ่านจดหมายของคุณโยมแล้ว รู้สึกสลดหดหู่ใจไม่แพ้คุณโยมเช่นกัน นึกไม่ถึงว่า เรื่องที่เล่ามานั้นมัจจะเกิดขึ้นได้

          ในเรื่องนี้อาตมาเห็นว่า ถ้าคนทรงเขาเป็นฆราวาส และไม่มีพระสงฆ์ไปรับน้ำมนต์ อาตมาจะไม่นึกตำหนิเลย เพราะมันเป็นวิธีการหากินของพวกเขา ที่จะหลอกคนโง่เขลาเบาปัญญา คุณโยมอย่าไปคิดว่า คนที่เป็นชาวพุทธนั้นจะเป็นผู้มีปัญญาไปเสียหมดทุกคน พระพุทธเจ้าแห่งคนไว้ ๔ ประเภท เปรียบเทียบกับบัว ๔ เหล่า คุณโยมคงพอจะจำได้ อุคฆฏิตัญญู วิปจิตัญญู เนยยะ และ ปทปรมะ ฉะนั้นจะให้ฉลาดหลักแหลมเหมือนกันหมด ย่อมเป็นไปไม่ได้

          หากจะถามความเห็นของอาตมาว่า เชื่อหรือไม่ว่า ผู้ที่มาเข้าทรงนั้นเป็นหลวงพ่อทวด อาตมาก็ขอตอบว่าไม่เชื่อ เพราะไม่มีเหตุผลอะไรที่ท่านจะต้องทำเช่นนั้น และที่ชอบอ้างกันว่า เทพมักจะลงมาสร้างบารมีในเมืองมนุษย์นั้นเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ อีกประการหนึ่ง ที่พึ่งของชาวพุทธก็ไม่ใช้เทพยดา หรือ เจ้าพ่อเจ้าแม่ที่ไหน แต่คือพระรัตนตรัย คุณโยมคงจะจำบทสวดมนต์ได้ บทสวดที่ว่า

          นัตถิ เม สะระณัง อัญญัง พุทโธ เม สะระณัง วะรัง – สรณะอื่นของข้าพเจ้าไม่มี พระพุทธเจ้าเป็นสรณะอันประเสริฐของข้าพเจ้า

            นัตถิ เม สะระณัง อัญญัง ธัมโม เม สะระณัง วะรัง – สรณะอื่นของข้าพเจ้าไม่มี พระธรรมเป็นสรณะอันประเสริฐของข้าพเจ้า

            นัตถิ เม สะระณัง อัญญัง สังโฆ เม สะระณัง วะรัง – สรณะอื่นของข้าพเจ้าไม่มี พระสงฆ์เป็นสรณะอันประเสริฐของข้าพเจ้า

            เอเตนะ สัจจะวัชเชนะ วัฑเฒยยัง สัตถุสาสะเน – ด้วยการกล่าวคำสัตย์นี้ ข้าพเจ้าพึงเจริญในพระศาสนาของพระศาสดา

          คุณโยมเห็นแล้วใช่ไหม พระพุทธองค์ ไม่ทรงสอนให้ยึดสิ่งอื่นเป็นที่พึ่ง นอกจากพระรัตนตรัยเท่านั้น แต่ชาวพุทธทุกวันนี้เขาไปยึดอะไรกันก็ไม่รู้ เลอะเลือนล่ามป้ามกันไปหมด จนหาข้อยุติไม่ได้

          คุณโยมไม่ต้องไปกลัวว่า คอมมิวนิสต์ หรือศาสนาอื่นเขาจะมาทำลายพระพุทธศาสนาของเราหรอก ไม่ต้องกลัว ผู้ที่จะทำลายก็คือ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา นี่แหละ พระพุทธองค์เคยตรัสไว้ว่า ศาสนาจะตั้งอยู่ได้นาน ก็เพราะพุทธบริษัท ๔ และจะเสื่อมไปก็เพราะพุทธบริษัท ๔ เช่นกัน ก็ยังดีที่ในปัจจุบันนี้ไม่มีภิกษุณีแล้ว ผู้ที่จะทำลายจึงเหลือเพียงสามคือ ภิกษุ อุบาสก อุบาสิกา อาตมาเองพยายามอุทิศเวลาเพื่อพระศาสนา อุทิศทั้งเวลาและชีวิต จะพยายามทำหน้าที่อย่างดีที่สุด จนกว่าวาระสุดท้ายของชีวิตจะมาถึง อาตมาทำได้เพียงเท่านี้

          ในที่สุด อาตมาขอสรุปสั้น ๆ ว่า เมื่อมีหลวงพ่อทวด ก็ต้องมีหลวงพ่อเทียบ หลวงพ่อเทียม มันเป็นเรื่องปกติธรรมดาไปเสียแล้วสำหรับสมัยนี้ คนที่มีปัญญา เขาก็จะรู้เองว่า นี่เป็นหลวงพ่อเทียม ไม่ใช่หลวงพ่อทวด ส่วนคนเขลาเบาปัญญา ถึงคุณโยมจะไปบอกเขาว่า เป็นหลวงพ่อเทียม เขาก็ยังเชื่อว่าเป็นหลวงพ่อทวดอยู่นั่นเอง ก็ต้องปล่อยไปตามกรรมของเขา ขอให้คุณโยมวางใจเป็นอุเบกขาเถิด อาตมาขอเจริญพร..

 

มีต่อ........๖๕

 
บันทึกการเข้า
ช่างเล็ก(LSV)
Administrator
member
*

คะแนน1346
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 18613


คิดดี ทำดี ชีวิตมีแต่สุข


อีเมล์
« ตอบ #67 เมื่อ: เมษายน 26, 2007, 07:34:57 AM »

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม - ๖๕

 

สุทัสสา อ่อนค้อม

ธันวาคม ๒๕๓๗

S00065
๖๕...

            พับจดหมายใส่ซองปิดผนึกเรียบร้อยแล้ว ท่านพระครูจึงเอ่ยถามชายหนุ่มตรงหน้า “คุณว่าคุณมาตามภรรยาหรือ” ไม่ปรากฏบ่อยนักที่ท่านจะใช้คำว่า “คุณ” กับผู้ใด เพราะคำ ๆ นี้จะถูกนำมาใช้กับเฉพาะแต่กับคนที่ท่านรู้ว่าเขามีความรู้สึก “ห่างเหิน” ต่อท่านเท่านั้น ความรู้สึกดังกล่าวขึ้นอยู่กับ “คุณสมบัติทางใจ” ของแต่ละคน

            ผู้ที่มาวัดป่ามะม่วงส่วนใหญ่จะมาเพราะศรัทธานับถือในท่านพระครู หากก็มีบางคนที่มาแล้วเกิดความรู้สึกไม่ยอมรับนับถือท่าน ทั้งนี้เพราะคุณสมบัติทางใจของเขาเป็นไปในทางลบ เช่นเป็นคนที่ชอบสร้างอกุศลกรรมเป็นเนืองนิตย์ จนจิตคุณเคยกับความชั่วร้าย ครั้นเมื่อมาพบบุคคลเช่นท่าน ซึ่งเป็นผู้มีคุณสมบัติทางใจตรงข้ามกับของตน จึงไม่สามารถทำใจให้ยอมรับนับถือได้

            เมื่อเขามีความรู้สึกห่างเหินต่อท่านเช่นนี้ ท่านจึงต้องวางตนให้เหมาะสมกับความรู้สึกของเขาด้วย การไม่ใช้ถ้อยคำที่แสดงความเป็นกันเองให้เขาต้องอึดอัดขัดข้องใจ

            “ครับ เห็นเขาว่าเธอหนีมาบวชชีที่วัดนี้”

            “ทำไมถึงต้องหนีมาล่ะ” ท่านทดสอบ “คุณสมบัติทางใจ” ของบุรุษตรงหน้า

            “เรามีเรื่องกันนิดหน่อยครับ เรื่องของผัวเมีย” คำตอบนั้นบอกเป็นนัย ๆ ว่า “คนเป็นพระอย่ามายุ่ง”

         เอ ถ้าอย่างนั้นเห็นจะเป็นคนละคนเสียแล้ว เพราะแม่หนูคนที่ชื่อเตย เขาบอกอาตมาว่าเขายังไม่ได้แต่งงาน สงสัยคุณคงจะมาผิดวัดเสียแล้ว” ชายหนุ่มรู้สึกผิดหวัง แต่แล้วก็ถามอีกว่า

            “เขาท้องหรือเปล่าครับ ภรรยาผมเขาตั้งท้องอ่อน ๆ”

            “อันนี้อาตมาไม่ขอตอบ เพราะมันเป็นความลับของเขา ว่าแต่ว่าคุณเป็นสามีทำไมถึงปล่อยให้เขาหนีมาบวชล่ะ” ท่านซักไซ้เพื่อให้เขาสารภาพผิด

            “ผมเรียนท่านตั้งแต่ต้นแล้วนี่ครับว่าเป็นเรื่องของผัวเมีย ท่านเป็นพระก็อยู่ส่วนพระ” นอกจากจะไม่ยอมสารภาพแล้ว เขายังใช้ถ้อยคำที่ไม่สมควรกับท่านอีกด้วย

            “ถ้าอย่างนั้นอาตมาก็ต้องขอโทษที่เข้าไปยุ่งเรื่องส่วนตัวของคุณ ที่ถามเพราะอยากจะช่วยแก้ปัญหา แต่ในเมื่อคุณคิดว่าอาตมายุ่งก็ต้องขอโทษด้วย” เห็นท่านยอมรับผิด ชายหนุ่มจึงรุกอีกว่า

            “ท่านอนุญาตให้เขาบวชได้ยังไง คนหนีผัวมาท่านก็ยังบวชให้ ผมว่าท่านทำไม่ถูกต้องนะครับ”

            “ใครว่าอาตมาให้เขาบวชล่ะคุณ” เจ้าของกุฏิแย้ง รู้สึกสมเพชบุรุษตรงหน้าเสียนัก “กฎแห่งกรรม” ของเขาเปิดเผยให้เห็นว่าเขาไม่มี “ทุนเดิม” อยู่เลย ทุนเดิมที่หมายถึงบุญกุศล

            “อ้าว ถ้าไม่ได้บวชแล้วทำไมเขาหายมาตั้งร่วมยี่สิบวัน แล้วเขามอยู่ที่นี่ในฐานะอะไร หลวงพ่อให้เขาอยู่ในฐานะอะไรไม่ทราบ” ชายหนุ่มแสดงอาการก้าวร้าวและคิดอกุศลต่อท่านเจ้าอาวาสเพราะ ฤทธิ์หึง

            “คุณ อย่าคิดอะไรที่มันเป็นไปไม่ได้หน่อยเลย มโนทุจริตก็มีทุกข์มีโทษนะคุณ อาตมาไม่เคยคิดอกุศลเช่นนั้น เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน ประเดี๋ยวอาตมาจะให้เด็กเขาไปเรียกแม่หนูคนนั้นมา แล้วคุณลองไปคุยกับเขา ไปถามเขาดู ไม่ต้องถามต่อหน้าอาตมาก็ได้ เพราะเดี๋ยวจะไม่กล้าพูดความจริงต่อกัน คุณลงไปรอเขานะ ให้รออยู่ข้างล่างนั่นแหละ ถ้ายังมีข้อข้องใจสงสัยค่อยขึ้นมาถามอาตมา”

            “ขอผมไปรอเขาที่อื่นไม่ได้หรือข้างล่างเหม็นออกจะตายไป เหม็นตาแก่ที่นั่งหลับตาอยู่นั่น” เขาหมายถึงอาจารย์ชิต ช่วงที่มานั่งรอนายขุนทองขึ้นมารายงานท่านเจ้าของกุฏิ เขาต้องทนนั่งดมกลิ่นร้ายกาจที่โชยมาจากกายของบุรุษนั้น

            “งั้นก็ไปนั่งรอที่ศาลาริมแม่น้ำก็ได้ ที่นั่นอากาศดี แล้วบอกเด็กของอาตมา ให้พาแม่หนูเตยไปหาที่นั่น” ท่านแก้ปัญหาเรื่องกลิ่นให้เขา

            “งั้นผมไปละ คงจะเป็นคนเดียวกับภรรยาผม” เขาว่า แล้วจึงลุกออกไปโดยมิได้ทำความเคารพ

            นายขุนทองนั่งรอฟังข่าวอยู่ครั้นเห็นเขาลงมาจึงถาม

            “ท่านว่ายังไงบ้างฮะพี่” คนถามอยากรู้

            “จะว่ายังไงกันไม่ใช่เรื่องของแก พาฉันไปรอที่ศาลาท่าน้ำ แล้วไปตามเมียฉันให้มาพบด้วย” คนถูกถามออกคำสั่ง นายขุนทองรู้สึกขัดเคืองกับถ้อยคำและกิริยาของอีกฝ่าย แรกเห็น เขาแอบชื่นชมในใจว่า “สุดหล่อ” ครั้นได้ฟังถ้อยคำ ได้เห็นกิริยาเย่อหยิ่งจองหองของชายหนุ่ม จึงประเมินค่าบุรุษนั้นในใจ หล่อแต่รูปจูบไม่หอม”

            “หลวงลุงสั่งหรือ” เขาถาม หากไม่ใช่คำสั่งของท่านพระครู เขาจะไม่ยอมไป ด้วยนึกชังน้ำหน้าคนยโสโอหัง

            “ทำไมต้องให้ท่านสั่ง ฉันสั่งไม่ได้หรือไง” ชายหนุ่มถามพาล ๆ

            “ได้ คุณสั่งได้ แต่ผมไม่จำเป็นต้องทำ เพราะคุณไม่ใช่เจ้านายผม แล้วผมก็ไม่ชอบให้ใครมาวางอำนาจที่กุฏิหลวงลุงของผม ขนาดรัฐมนตรีเขายังไม่วางอำนาจเลย แล้วคุณเป็นใครไม่ทราบ” ความโกรธทำให้นายขุนทองเรียกความรู้สึกความเป็นผู้ชายกลับคืนมา สายตาดูถูกดูแคลนของอีกฝ่าย ทำให้เขาต้องปิดบังซ่อนเร้นความรู้สึกที่อยากจะเป็นเอาไว้ คนทั้งสองทุ่มเถียงกันหนักขึ้นและเสียงก็ดังขึ้น ๆ ตามลำดับ อาจารย์ชิตกำลังนั่งสมาธิอยู่มีอันต้องกำหนด “เสียงหนอ เสียงหนอ” อย่างแสนจะรำคาญ กระทั่งได้ยินนายสมชายเข้าห้ามทัพ

            “เรื่องอะไรกัน เกรงใจอาจารย์เขาบ้างซี”

            “ผู้ชายคนนี้ มาหาเรื่องกับผมก่อน” นายขุนทอง “ฟ้อง” ศิษย์วัดรู้สึกดีใจที่เพื่อนร่วมกุฏิใช้คำว่า “ผม” แทนที่จะเป็น “หนู” อย่างเคย ทั้งซุ่มเสียงก็ฟังดูเป็นผู้ชายเฉกเช่นคนอื่นเขา

            “ใครหาเรื่องใคร ฉันใช้แกดี ๆ แกก็มาพาลเอากะฉัน” คนมาตามหาเมียเถียง

            “เขาใช้อะไรเอ็งก็ไปทำเสียสิขุนทอง เขาเป็นแขกหลวงพ่อนะ” ชายหนุ่มเตือนสติคนอายุน้อยกว่า แล้วถามคนเป็นแขกว่า

            “คุณใช้เขาทำอะไรหรือครับ”

            “ฉันให้เขาช่วยพาไปที่ศาลาท่าน้ำแล้วก็ให้ตามเมียฉันไปที่นั่น” เห็นนายสมชายเข้าข้าง ชายหนุ่มยิ่งแสดงทีท่าว่าตัวเองสำคัญและยิ่งใหญ่

            “ขอโทษนะครับ ภรรยาคุณชื่ออะไรครับ ประเดี๋ยวผมจะจัดการให้”

            “ชื่อเตย แต่ฉันต้องการให้นายคนนี้จัดการ”

            “เอาเถอะครับ เรื่องแค่นี้ผมทำให้ได้ อย่าคิดไปเอาชนะคะคานกับเขาเลยครับ เพื่อนผมเขาเหมือนโคนันทวิศาล ถ้าพูดดี ๆ เขาทำใจขาดไปเลย แต่ถ้าพูดไม่เข้าหู ให้เอาไปฆ่าเขาก็ไม่ยอมทำให้หรอกครับ” ศิษย์วัดชี้แจง

            “งั้นก็ดีละ ฉันมันคนชอบเอาชนะเสียด้วย แกพาฉันไปเดี๋ยวนี้ ไม่งั้นฉันจะขึ้นไปฟ้องหลวงพ่อ” ชายหนุ่มขู่

            “ผมไม่ไป” นายขุนทองปฏิเสธเสียงดังและเฉียบขาด นายสมชายสุดจะทานทน เพราะ “ขิงก็ราข่าก็แรง” เขาจึงจำต้องขึ้นไปเล่าให้ท่านพระครูฟัง ท่านจึงบอกนายสมชายว่า

            “ลงไปบอกเจ้าขุนทองมันว่า ถ้าไม่พาไป ฉันจะเป็นคนพาไปเอง พาไปทั้งขาหัก ๆ ยังงี้แหละ” ท่านรู้ว่าแม้หลานชายจะมีทิฐิมากเพียงใดก็ยังพดพูดกันรู้เรื่อง แต่คนที่มีคุณสมบัติทางใจไปในทางลบนั้น ไม่มีวันพูดกันได้เลย

            เมื่อนายสมชายลงมาบอกกล่าว นายขุนทองจึงพูดกับชายผู้นั้นว่า

            “ตกลงผมยอมแพ้ เชิญทางนี้” เขาลุกขึ้นเดินนำ ความรักและห่วงใยในหลวงลุงมีมากกว่าความอยากเอาชนะเจ้าหนุ่มใจอกุศลผู้นี้ “ถ้าไม่ใช่เพราะข้าห่วงหลวงลุงละก็ อย่าหวังเลยว่าข้าจะยอมแพ้เอ็ง” ชายหนุ่มคิดอย่างคั่งแค้น ขณะพาว่าที่สามีนางสาวเตยเดินไปยังท่าน้ำ ส่งเขาแล้วจึงเดินไปยังโรงครัว เพื่อบอกกล่าวบุคคลผู้เป็นต้นเหตุแห่งความยุ่งยากที่เกิดขึ้น เขาไปพบนางบุญพาน้องสาวนางบุญรับ ผู้มีคุณสมบัติ “ปากคอเราะร้าย” ไม่แพ้พี่สาว นางอาสามาเป็นคนล้างจานชามและเป็นลูกมือให้แม่ครัว เช่น ช่วยหั่นผัก ปอกหอม ปอกกระเทียม เป็นต้น

            “ป้าเห็นนังเตยอยู่แถวนี้บ้างไหม” ชายหนุ่มถาม

            “ตะกี้มันมากินข้าว แหม พอถูกข้าสะกิดเข้าหน่อยหายหัวไปเลย สงสัยจะไปนั่งร้องไห้อยู่หน้าโบสถ์ละมั้ง เอ็งลองตามไปดูซิ”

            “ป้าไปสะกิดอะไรเขาล่ะ” นายขุนทองถาม คนที่มาวัดนี้ใช่จะเป็นคนดีไปเสียหมด ก็ดูอย่างเจ้าหนุ่มคนนั้นและยายแก่คนนี้สิ น่าสงสารหลวงลุงแท้ ๆ ที่ท่านไม่มีโอกาสเลือกสรรคนดี ๆ มาช่วยงาน เขาเคยคิดเหมือนกัน คิดว่าจะเขียนป้ายไปติดไว้ที่หน้าประตูทางเข้า เขียนว่า “วัดนี้ต้อนรับเฉพาะคนดี” ก็ว่าจะลองไปปรึกษาหลวงลุงดูเหมือนกัน ขณะเขาหันหลังกลับเพื่อจะเดินไปยังพระอุโบสถ นางบุญพายังอุตส่าห์ส่งท้ายให้ได้ยินว่า

            “สงสัยจะหลงรักเมียคนอื่น อีเตยจะหาพ่อให้ลูกได้กันคราวนี้แหละ” แม้จะโกรธเคืองกับวาจากล่าวร้ายเสียดสี หากนายขุนทองก็ระงับอารมณ์ได้ เขารู้ว่าหากไปมีเรื่องกับใครเข้า คนที่จะต้องเดือดร้อนมากที่สุดก็คือหลวงลุงของเขา อีกประการหนึ่งท่านก็อยู่ในภาวะอาพาธป่วยไข้ ควรหรือที่เขาจะหาเรื่องหักอกหนักใจไปให้

            นางสาวเตยกำลังนั่งสมาธิ หล่อนพยายามระงับอารมณ์โกรธขึ้งที่มีต่อนางบุญพา เมื่อชั่วโมงที่ผ่านมานี้เอง ขณะที่หล่อนนั่งรับประทานอาหารกลางวันอยู่ในโรงครัว นางบุญพาก็ด่าหมาด่าแมวประชด หล่อนอยากจะลืมถ้อยคำเสียดสีเหล่านั้น แต่ยิ่งนั่งก็ยิ่งดูเหมือนเสียงของนางบุญพาจะดังก้องอยู่ในโสตประสาท เสียงที่หล่อนไม่ปรารถนาจะได้ยินได้ฟัง “อีพวกแม่หม้ายผัวทิ้ง” นางด่าบรรดาหมาแมวที่มายุ่มย่ามอยู่แถวนั้น เพื่อรอคอยกินเศษอาหาร พรางปรายตามาทางหล่อน ครั้นไม่เห็นปฏิกิริยาตอบโต้จึงดำเนินการด่าต่อไป “พวกมึงก็ดีแต่แร่ด ๆ ไปวัน ๆ เสร็จแล้วก็ท้องไม่มีพ่อ อีพวกตูดไว ไม่เลือกว่าไทยว่าแขก ขอให้เป็นตัวผู้เป็นดิ๊ก ๆ เข้าใส่”

         “โกรธหนอ โกรธหนอ” หญิงสาวกำหนดอยู่ในใจ เกิดอาการคอแข็งกินข้าวไม่ลง ในที่สุดจึงลุกเดินออกมา ตั้งใจว่าจะไปนั่งสงบสติอารมณ์ที่หน้าโบสถ์ แต่แล้วหล่อนก็นั่งอยู่ไม่ได้เลยต้องลุกขึ้นเดินจงกรม ครั้นเห็นนายขุนทองเดินมามาหา ก็เอ่ยถาม

            “พี่มีธุระอะไรกับหนูหรือเปล่า หรือว่าหลวงพ่อให้มาตาม” หล่อนลืมไปแล้วว่าวันนี้วันที่เท่าไหร่ เพราะขะมักขะเม้นกับการปฏิบัติจนลืมวันลืมเวลา

            ผัวเอ็งมารออยู่ที่ศาลาท่าน้ำ รีบไปหาเขาเร็ว ๆ เข้า” บอกแล้วก็ตั้งท่าจะเดินกลับ นางสาวเตยเห็นผิดสังเกต เพราะทุกครั้งเขาจะพูดคุยต่อล้อต่อเถียงกับหล่อน ทว่าวันนี้ดูเขาเงียบขรึมผิดปกติ จึงถาม

            “วันนี้พี่ไม่สบายหรือเปล่า”

            “ข้าสบายดี รีบไปหาผัวเองก่อนเถอะ ประเดี๋ยวเขาจะพาลเอากะข้าอีกหรอก”

 

            “แสดงเขาพูดไม่ดีกับพี่ใช่ไหมล่ะ หนูพอจะรู้หรอก ผู้ชายคนนี้นิสัยไม่ค่อยดีเท่าไหร่ หนูชักไม่อยากแต่งงานกับเขาแล้วละ” หล่อนพูดจากใจจริง ไม่รู้สึกยินดียินร้ายกับการมาของเขา ช่วงเวลาแห่งการปฏิบัติ จิตใจของหล่อนละเอียดประณีตขึ้นตามลำดับ และบัดนี้ “ปัญญา” ได้เกิดขึ้นแล้ว ปัญญาในการมองสิ่งทั้งหลายตามที่เป็นจริงโดยไม่เอาตัณหา อุปาทานเข้าไปเกาะเกี่ยว

            “แต่เอ็งก็ต้องแต่งนะ เพราะเอ็งท้องกับเขาแล้ว นี่ถ้าเอ็งไม่ท้องไม่ไส้ ข้าก็จะไม่สนับสนุนให้เอ็งแต่งกับเขาหรอก” เห็นหญิงสาวไม่เข้าข้างหนุ่มคนรัก นายขุนทองก็อารมณ์ดีขึ้น จึงแสดงความห่วงใยออกมา

            “นั่นสิ แต่พูดก็พูดเถอะนะพี่ ถ้าหนูแต่งงานกับเขาแล้ว เขายังไม่เปลี่ยนนิสัย หนูก็จะเลิกกับเขา “ หนูเลี้ยงลูกเองได้ นี่หนูพูดจริง ๆ นะพี่” หล่อนพอที่จะมองเห็นอนาคต การร่วมชีวิตกับผู้ชายคนนั้นคงจะไม่ยั่งยืน หากเขายังคงเป็นเช่นที่กำลังเป็นอยู่

            “เอาเถอะ นั่นเป็นเรื่องของอนาคต อย่าเพิ่งไปคิดถึงมัน รีบ ๆ ไปหาเขาเถอะ ถ้าเอ็งไม่อยากให้ข้าต้องเดือดร้อน” พูดจบคนนำข่าวมาให้ก็เดินกลับไปยังกุฏิ นางสาวเตยตั้งสติกำหนด “ขวา-ซ้าย ขวา-ซ้าย” ไปตลอดทางทุกย่างก้าว กระทั่งถึงศาลาริมน้ำ

            “เตย เตยจริง ๆ นั่นแหละ” คนที่คอยอยู่ลุกเดินเข้ามาหา ครั้นถึงตัวก็เข้าโอบกอด ผู้หญิงท้องดูเปล่งปลั่งสดใส จึงดูสะสวยไปทั้งร่าง

            “พี่เมธอย่าทำยังงี้ นี่มันในวัดในวานะ” นางสาวเตยว่า พลางแกะมือคนรักออกจากการโอบกอด

            “ในวัดที่ไหนกัน นี่มันนอกวัด นั่งไงประตู เขาชี้ไปที่ประตูที่เขาเดินออกมาสู่ศาลาแห่งนี้

            “ถึงยังงั้นก็เถอะ ฉันกำลังเข้ากรรมฐาน พี่จะมาทำยังงี้กะฉันไม่ได้ คำว่า “กรรมฐาน” ไม่เคยผ่านหูนายสุเมธ เขาจึงคิดอกุศลกับหล่อน

            “อ้อ เดี๋ยวนี้เธอรังเกียจพี่เสียแล้วหรือ ทีแต่ก่อนไม่เห็นเป็นนี่นา คงเจออะไรดี ๆ เข้าล่ะซี กับสมภารหรือกับลูกศิษย์ล่ะ”

            “พี่เมธ! หญิงสาวเรียกชื่อคนรักด้วยเสียงเกือบเป็นตะโกน

            “พี่อย่าเอานรกมาให้ฉันได้ไหม พี่รู้หรือเปล่าว่าพูดอะไรออกมา หลวงพ่อท่านรู้นะ พี่จะพูดจะคิดยังไงท่านรู้หมดนั่นแหละ”

            “อ้อ นี่เธอกำลังจะบอกพี่ว่าเขาเป็นผู้วิเศษงั้นซี” นายสุเมธพูดด้วยมีจิตริษยาในท่านพระครู

            “ไม่ใช่เขานะ พี่ต้องพูดว่า “ท่าน” ถึงจะถูก นี่ฉันพูดจริง ๆ นะว่าท่านรู้ ท่านบอกว่าท่านไม่ได้เป็นผู้วิเศษ แต่ท่านก็รู้ ฉันคิดอะไร พูดอะไรกับใครท่านก็รู้หมด” แล้วหล่อนจึงเล่าเรื่องราวให้เขาฟังตั้งแต่ต้นจนจบ ด้วยความมั่นใจว่าเขาจะต้องเกิดศรัทธาปสาทะบ้างไม่มากก็น้อย หากก็ต้องผิดหวังเมื่อนายสุเมธพูดว่า

         “โธ่เอ๊ย จ้างพี่ก็ไม่เชื่อ อะไรจะเก่งถึงปานนั้น พี่ว่าเดาเก่งเสียมากกว่า” นางสาวเตยคร้านจะพูดต่อ “ปัญญา” ทำให้หล่อนมองชายคนรักอย่างทะลุปรุโปร่ง ชายผู้นี้ “มืดบอด” จนไม่ยอมรับว่าแสงสว่างมีอยู่ในโลก!

         “ตกลง ฉันจะยังไม่กลับนะ อยากอยู่ให้สบายใจไปอีกซักสีห้าวัน” หญิงสาวพูดจากใจจริง

         “อ้อ อยู่มาร่วมยี่สิบวันยังไม่พอใจหรือ สมภารวัดนี้คงเสน่ห์แรงซีนะ เธอถึงได้อยากจะอยู่ต่อ” วจีทุจริตพรั่งพรูออกมาจากมโนทุจริต นางสาวเตยสุดจะทนฟัง หล่อนรู้ว่า หากขืนดื้อดึงอยู่ตอไปก็รังแต่จะทำให้ผู้ชายคนนี้ยิ่งบาปหนักหนามากขึ้น ถึงอย่างไรเขาก็ได้ชื่อว่าเป็นพ่อของลูกในท้อง การจะทำให้เขาต้องมืดมนมากไปกว่านี้หาควรไม่

         “ตกลง กลับก็กลับ งั้นให้ฉันไปลาหลวงพ่อก่อนนะ มาอาศัยข้าวน้ำท่านตั้งหลายวัน ต้องไปกราบขอบคุณท่าน”

         “เธอขึ้นไปคนเดียวนะ พี่จะรออยู่ข้างล่าง อ้อ ชวนเจ้ากระเทยนั่นขึ้นไปเป็นเพื่อนด้วย” ชายหนุ่มพูด เขารู้สึกไม่ชอบท่านเอามาก ๆ ถึงกับไม่อยากขึ้นไปพบปะ อันที่จริง “กระแสบาป” ของเขาไม่อาจต้าน “กระแสบุญ” ของท่านได้ต่างหากเล่า

         ครู่ใหญ่ ๆ นายขุนทองก็นำนางสาวเตยขึ้นมาพบท่านเจ้าของกุฏิ นายสมชายตามขึ้นมาด้วย เพราะไม่อยากอยู่ดูหน้าชายคนนั้น อาจารย์ชิตรู้ว่าเขาคงจะรังเกียจ จึงเลี่ยงออกไปเดินจงกรมที่หน้าโบสถ์ ชั้นล่างของกุฏิจึงมีนายสุเมธนั่งรออยู่อย่างกระสับกระส่าย

         กราบท่านพระครูแล้ว นางสาวเตย ก็นั่งร้องไห้กระซิก ๆ “ร้องไห้ทำไมอีกล่ะ เขามารับแล้วไม่ใช่หรือ” ท่านถามอย่างปรานี

         “หนูไม่อยากไปค่ะหลวงพ่อ อยู่ที่นี่สบายอกสบายใจดีเหลือเกิน ถึงจะถูกยายบุญพาว่ากระทบกระเทียบหนูก็ทำใจได้ ดีเสียอีกจะได้ทำแบบฝึกหัดไปในตัว” หล่อนพรรณนา

         “กลับไปเถอะหนู ไปแต่งงานแต่งการให้เป็นเรื่องเป็นราว พ่อแม่เขาจะได้ไม่ต้องอับอายขายหน้า เอาเถอะแก้ปัญหาเฉพาะหน้าไปก่อน ส่วนอะไรมันจะเกิดขึ้นภายหลังก็ค่อยว่ากันใหม่” ท่านเห็นกฎแห่งกรรมของคนคู่นี้แล้วว่าจะอยู่กันไม่ยืดเพราะ “ธรรมไม่เสมอกัน”

            “แต่หนูสังหรใจค่ะหลวงพ่อ สังหรณ์ใจว่าคงจะอยู่กันไม่ยืด หลวงพ่อมีความเห็นอย่างไรคะ” หล่อนถามเพราะรู้ว่าท่านต้อง “รู้”

         “ในตอนนี้หลวงพ่อยังไม่มีความเห็นอะไร แต่ถ้าต่อไปในภายภาคหน้า หากหนูมีปัญหาอะไรจะปรึกษาก็มาหาหลวงพ่อได้ หลวงพ่อยินดีรับปรึกษาโดยไม่คิดมูลค่า” ท่านตั้งใจพูดตลกเพื่อคลี่คลายบรรยากาศที่แสนจะเคร่งเครียดให้คลายความเครียดลง

         “เอาละ ในฐานที่หนูจะมีคู่ หลวงพ่อก็จะพูดถึงหลักธรรมของคู่ชีวิตให้ฟัง เพื่อหนูจะได้จดจำเอาไว้ประพฤติปฏิบัติ หลักธรรมของคู่ชีวิต คือธรรมที่ทำให้คู่สมรสมีชีวิตสม่ำเสมอกลมกลืนกัน อยู่ครองกันยืดยาว เราเรียกธรรมนั้นว่า “สมชีวิธรรม ๔”  ซึ่งได้แก่ สมสัทธา คือมีศรัทธาเสมอกัน สมสีลา – มีศีลเสมอกัน สมจาคา – มีการเสียสละเสมอกัน และ สมปัญญา – มีปัญญาเสมอกัน คู่สมรสใดมีธรรมทั้ง ๔ นี้เหมือนกัน ก็จะอยู่ด้วยกันยืด แต่ถ้าคนหนึ่งมีศีล คนหนึ่งทุศีล ก็อยู่ด้วยกันไม่ได้ จริงไหม เพราะศีลไม่เสมอกัน ข้ออื่น ๆ ก็ทำนองเดียวกันนี้” คำสอนของท่านพระครูทำให้นางสาวเตยสรุปได้ในเดี๋ยวนั้นว่าหล่อนกับนายสุเมธไม่มี “ธรรม” เสมอกันสักประการเดียว ไม่ว่าจะเป็น ศรัทธา ศีล การเสียสละ หรือ ปัญญา!

         “หลวงพ่อคะ หนูขอพรให้ลูกในท้องด้วยค่ะ” เมื่อพูดเรื่อง “ผัว” แล้วทำให้หล่อนไม่สบายใจ จึงเปลี่ยนมาพูดถึง “ลูก” แทน

         “หลวงพ่อขออวยพร ขอให้นักปราชญ์มาเกิดนะ แต่หนูก็ต้องทำให้พรนั้นสัมฤทธิ์ผลด้วย โบราณเขาสอนไว้ ถ้าเรือนสกปรก สัตว์นรกจะมาเกิด ถ้าเรือนสะอาด นักปราชญ์มาเกิด เรือนในที่นี้ก็หมายถึงเรือนกาย เรือนวาจา และเรือนใจ หรือจะหมายถึงที่อยู่อาศัยก็ได้ ถ้าเรามีกาย วาจา ใจ สะอาดบริสุทธิ์ คนที่เขาจะมาเกิดกับเราก็ต้องมาจากที่ดี แต่ถ้าเรือนสกปรก แน่นอนเหลือเกินว่า ผู้ที่จะมาเกิดนั้นจะต้องมาจากนรก เราจะรู้ได้เลยว่าลูกเรานี่เป็นนักปราชญ์หรือเป็นสัตว์นรกมาเกิด

         ถ้าใครมีลูกที่มาจากนรกนะ เชื่อเถอะพ่อแม่หาความสุขไม่ได้เลย เพราะเขาจะเถียงพ่อแม่คำไม่ตกฟาก แล้วก็ขยันหาเรื่องเดือนร้อนมาให้ แต่ถ้าเป็นนักปราชญ์มาเกิด ก็จะทำให้พ่อแม่สุขสบายทั้งกายทั้งใจ แล้วก็จะนำชื่อเสียงเกียรติยศมาสู่วงศ์ตระกูล

            หนูหมั่นรักษากายวาจาใจให้สะอาดหมดจดด้วยการหมั่นเจริญกรรมฐานนะหนูนะ แล้วหนูจะประสบความสุขความเจริญในชีวิต เอาละ กลับไปได้แล้ว ประเดี๋ยวคู่รักเขาจะรอนาน” ท่านพูดเพราะ “รู้” ว่านายสุเมธกำลังนั่งด่าท่านในใจ ท่านยังรู้อีกว่าไม่นานนักหรอกที่คนคู่นี้จะต้องเลิกร้างกันไป และต่างก็จะพบกับคนที่มีธรรมเสมอกับตน คือมีคุณสมบัติทางใจเหมือน ๆ กัน...

 

            มีต่อ........๖๖

 
บันทึกการเข้า
ช่างเล็ก(LSV)
Administrator
member
*

คะแนน1346
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 18613


คิดดี ทำดี ชีวิตมีแต่สุข


อีเมล์
« ตอบ #68 เมื่อ: เมษายน 27, 2007, 07:52:01 AM »

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม - ๖๖

 

สุทัสสา อ่อนค้อม

ธันวาคม ๒๕๓๗

S00066
๖๖...

         เป็นวันที่อาจารย์ชิตมาอยู่วัดป่ามะม่วงครบเดือนพอดี เขาตื่นนอนตอนตี ๔ เช่นเคย ไหว้พระสวดมนต์แล้วก็เริ่มเดินจงกรมอยู่ภายในกุฏิเป็นเวลาหนึ่งชั่วโมง จากนั้นจึงกำหนดนั่ง รู้สึกจิตตั้งมั่นได้เร็วกว่าทุกครั้ง อาการพอง-ยุบ ชัดเจนเป็นจังหวะ แม้จะรู้สึกปวดที่กกหูข้างขวา หากก็สามารถใช้สติข่มเวทนาได้ บัดนี้เขาไม่ต้องตั้งนาฬิกาปลุก เพราะจิตสามารถรู้ได้เองว่าถึงเวลาที่กำหนดแล้วหรือยัง เป็นความมหัศจรรย์ที่เกิดขึ้นได้แต่เฉพาะกับผู้ที่ฝึกจิตไว้ดีแล้วเท่านั้น

         อีกสิบห้านาทีจะครบชั่วโมง บุรุษสูงวัยรู้สึกปวดที่แผลเป็นกำลัง ปวดราวกับจะไม่สามารถทานทนได้ น้ำเหลืองไหลออกมามากผิดปกติ จนเสื้อที่สวมอยู่เปียกขึ้น แล้วยังไหลเลยไปเปียกกางเกงอีกด้วย ช่วงเวลาแห่งความทุกข์ทรมานนั้น เขารวบรวมสติตั้งจิตอธิษฐาน

            “สาธุ ด้วยอำนาจแห่งพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ และบารมีของท่านพระครูเจริญแห่งวัดป่ามะม่วง หากทุกขเวทนาที่ข้าพเจ้ากำลังได้รับอยู่นี้ มีสาเหตุมาจากกรรมที่ข้าพเจ้าได้เคยทำไว้ ไม่ว่าจะเป็นชาตินี้หรือในอดีตชาติ ขอให้ข้าพเจ้าสามารถระลึกนึกย้อนไปถึงกรรมนั้นได้ เพื่อจะขออโหสิกรรมต่อเจ้ากรรมนายเวร ขอให้ข้าพเจ้าจงหมดเวรกรรมในชาติปัจจุบันด้วยเทอญ”

         สิ้นคำอธิษฐาน ภาพยนตร์แห่งอดีตที่ตัวเขาเป็นผู้แสดงก็ฉายชัดขึ้นในมโนภาพ ผู้ชายอายุสามสิบกำลังขะมักเขม้นเรียนวิชาที่อาจารย์กำลังสอน คนคนนั้นคือตัวเขาเอง เมื่อสามสิบปีที่แล้วเขาได้ไปศึกษาต่อระดับปริญญาโทที่ประเทศฟิลิปปินส์ ในสาขาวิชาการเกษตร ในหลักสูตรมีวิชา “วิธีการฆ่า” รวมอยู่ด้วย และในการเรียน นักเรียนก็ต้องลงมือฆ่าสัตว์กันคราวละหลาย ๆ ตัว สัตว์ที่จะนำมาเป็นอาหาร เช่น เป็ด ไก่ หมู และ วัว

         เขาจำได้ว่ากว่าจะจบหลักสูตร ได้ฆ่าสัตว์เหล่านี้ไปนับร้อย ๆ ชีวิต โดยการใช้มีดปลายแหลมแทงที่บริเวณคอ ผลกรรมอันนี้จึงทำให้เขาเป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลือง โชคยังดีที่เขาไม่ได้นำวิชานี้มาเปิดสอนนักศึกษาในเมืองไทย มิฉะนั้นก็คงก่อกรรมทำเข็ญมากกว่านี้

         เมื่อภาพยนตร์แห่งอดีตฉายจบลง เขาจึงตั้งจิตอธิษฐานแผ่เมตตาและอุทิศส่วนกุศลให้แก่สัตว์ที่ตนเคยฆ่า และคงจะได้ผล เพราะเขาได้ยินชัดเจน....เสียงที่ก้องอยู่ในโสตประสาทว่า “อโหสิ อโหสิ อโหสิ สาธุ อนุโมทามิ”

            สิ้นเสียงของเจ้ากรรมนายเวร อาการปวดแผลหายวับไปราวกับไม่เคยรู้สึกเจ็บปวดเช่นนี้มาก่อน จิตของบุรุษสูงวัยรับรู้ว่าหมดเวลาของการนั่งแล้ว เขาจึงกำหนดลืมตา เอมือคลำที่ใต้กกหูข้างขวาก็ไม่ปรากฏว่ามีแผล แถมเสื้อผ้าที่เปียกชื้นก็แห้งสนิท ไม่มีกลิ่นชวนให้ขยะแขยงใด ๆ หลงเหลืออยู่ อารามดีใจเขาส่งเสียงเรียกนายสมชายและนายขุนทองดังลั่นกุฏิ

         “สมชาย ขุนทอง มานี่หน่อย นายขุนทองเข้ามาก่อนเพราะอยู่ใกล้ ส่วนนายสมชายนั้นเมื่อไม่ได้ทำหน้าที่หิ้วปิ่นโตตามหลังท่านพระครูในเวลาที่ท่านออกบิณฑบาต จึงถือโอกาสนอนตื่นสาย และไม่ได้ยินเสียงเรียกของบุรุษวัยหกสิบ

         “อาจารย์เรียกหนูเหรอฮะ” ชายหนุ่มถาม

         “ถูกแล้ว ช่วยขึ้นไปเรียนให้หลวงพ่อทราบหน่อยว่าผมมีธุระของพบด่วน”

         “ฮะ แต่หนูขออนุญาตล้างหน้าแปรงฟันก่อนได้ไหมฮะ” เขาต่อรองและแล้วก็ต้องเปลี่ยนใจเมื่อเห็นท่าทางรีบร้อนของอีกฝ่าย “ตกลงฮะ หนูจะขึ้นไปเรียนท่านเดี๋ยวนี้” เขาหายขึ้นไปอึดใจหนึ่งก็ลงมา

         “หลวงลุงบอกให้ขึ้นไปได้เลยฮะ” อาจารย์ชิตจึงขึ้นไปกราบท่านพระครูสามครั้งอย่างสำนึกในบุญคุณ เขาเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ท่านเจ้าของกุฏิฟัง รู้สึกปีติจนน้ำใส ๆ คลอหน่วยตาทั้งสอง

         “อาตมาขออนุโมทนา โยมหมดเวรหมดกรรมแล้ว กรรมเก่าชดใช้แล้ว กรรมใหม่ก็อย่างสร้างอีก นี่อาตมาหมายเฉพาะกรรมชั่วนะ อย่าไปสร้างอีก ถ้าจะสร้างก็ขอให้เป็นกรรมดี เข้าใจหรือเปล่า”

         “เข้าใจครับ ผมเข็ดแล้วครับหลวงพ่อ เข็ดจริง ๆ ไม่นึกเลยว่าเวรกรรมจะให้ผลทันตาเห็นในชาตินี้ ผมลืมไปสนิทเลยครับว่าได้ทำกรรมนี้เอาไว้ ก็มันผ่านมาตั้งสามสิบปีแล้วนี่ครับ” บุรุษสูงอายุว่า

         “นั่นสิ อย่าว่าแต่สามสิบปีเลย แค่ผ่านไปเมื่อวานบางคนก็ยังลืมเสียแล้ว จริงไหม”

         “จริงครับ แต่หลวงพ่อครับ ผมสงสัยเหลือเกินว่าทำไมแผลจึงหายเร็วนัก ตอนเริ่มนั่งสมาธิผมยังปวดแทบจะทนไม่ไหว แต่บทจะหายก็หายไปโดยไม่ทิ้งร่องรองอะไรไว้ แม้แต่กลิ่นก็ไม่มีเหลือ ทำไมถึงเป็นเช่นนั้นครับ”

         “ก็อาตมาเคยบอกแล้วไม่ใช่หรือว่า โรคกรรมนั้นไม่เหมือนกับโรคทั่ว ๆ ไป ถ้าเจ้ากรรมนายเวรเขายังอาฆาต หมอก็รักษาให้หายไม่ได้ แต่พอเขาอโหสิ โรคก็หายไปเอง อย่าไปสงสัยเลย เป็นเรื่องของ “กรรมวิสัย” น่ะ พระพุทธองค์ท่านตรัสห้าม เพราะเป็นอจินไตย เรื่องนี้อาตมาเคยพูดไปครั้งหนึ่งแล้ว โยมคงจำได้”

         “ครับจำได้ ถ้าเช่นนั้นผมเห็นจะต้องเลิกสงสัย เพราะเดี๋ยวนี้ “เป็นผู้มีส่วนแห่งความบ้า” ดังที่พระพุทธองค์ตรัส” เขายิ้มทั้งน้ำตา

         “เอาละ ใกล้เวลาอาหารเช้าแล้ว ไปเตรียมล้างหน้าล้างตากันก่อน เดี๋ยวอาตมาก็จะลงไปสรงน้ำเหมือนกัน”

         “แล้วหลวงพ่อไม่ปวดขาหรือครับ เวลาเดินขึ้นเดินลงน่ะครับ”

         “ปวดก็ต้องทนเอา นี่ก็โรคกรรมเหมือนกัน แต่อาตมาลงวันละครั้งเท่านั้น ตอนเย็นก็งดสรงน้ำ ใช้เช็ดตัวแทน” อาจารย์ชิตกำลังจะลงมาข้างล่าง นายสมชายก็เดินออกมาจากห้องพอดี เห็นท่าทางสดชื่นเบิกบานของอีกฝ่ายจึงเอ่ยทัก

         “มาหาหลวงพ่อแต่เช้าเลย มีอะไรพิเศษหรือครับ”

         “ผมหมดเวรหมดกรรมแล้ว ดูสิแผลที่กกหูก็หายสนิทเลย แถมไม่มีกลิ่นน่ารังเกียจด้วย ต้องขอขอบใจสมชายกับขุนทองที่ช่วยดูแลผมอย่างดี ต่อไปนี้ผมจะเดินไปรับประทานอาหารที่โรงครัวเอง ไม่ต้องลำบากเอามาให้ผม ขอเริ่มตั้งแต่มื้อนี้เลย” คนหายป่วยพูดจ้อย ๆ

         “ผมขอแสดงความยินดีด้วยนะครับ” ศิษย์วัดแสดงมุทิตาจิต เมื่อเห็นเขาพ้นทุกข์พ้นร้อน

         “งั้นเดี๋ยวคุณล้างหน้าล้างตาแล้ว จะได้ไปนำอาหารมาถวายหลวงพ่อ ขออนุญาตให้ผมไปช่วยยกด้วยคนนะ ตอนนี้ผมไม่มีกลิ่นน่ารังเกียจแล้ว” คนสูงวัยอาสา อยากทำหน้าที่นี้มานาน นับตั้งแต่ท่านพระครูได้รับอุบัติเหตุออกบิณฑบาตไม่ได้ แต่เมื่อนึกถึงกลิ่นกายที่ไม่พึงปรารถนาของตน ก็ต้องอดใจไว้

         “หลวงพ่อจะลงเดี๋ยวนี้เลยหรือเปล่าครับ ผมจะได้ช่วยประคองไป” นายสมชายจึงตอบแทนท่านพระครูว่า

         “คงไม่ต้องมั้งครับอาจารย์ ขนาดผมจะช่วยท่านก็ยังไม่ยอม บอกเดี๋ยวจะชดใช้กรรมไม่ได้เต็มเม็ดเต็มหน่วย ก็ต้องตามใจท่าน” ศิษย์วัดอดกระแนะกระแหนเสียมิได้

         “เอาละ ๆ อย่ามัวพูดมากอยู่เลย จะทำอะไรก็รีบ ๆ ไปทำซะ ฉันจะใช้เวลาตอบจดหมายอีกสักสองสามฉบับแล้วจึงจะลงไปล้างหน้า จะได้ไม่ต้องแย่งกันใช้ห้องน้ำ” ชายหนุ่มจึงลงมาทำธุระที่ห้องน้ำใต้บันได อาจารย์ชิตกราบท่านพระครูสามครั้ง แล้วจึงตามลงมา ครั้นเห็นนายขุนทองกำลังเก็บที่นอนให้ตน จึงรีบเข้าไปช่วย

         “ขอโทษที ผมรีบขึ้นไปหาหลวงพ่อ เลยยังไม่ทันได้เก็บที่หลับที่นอนให้เรียบร้อยเสียก่อน”

         “ไม่เป็นไรฮะ อาจารย์คงมีเรื่องด่วนกับหลวงลุงใช่ไหมฮะ” คนถามอยากรู้

         “ก็ด่วนเหมือนกัน แต่เรียบร้อยแล้ว ผมเพียงแต่จะไปกราบเรียนท่านว่าผมหายแล้ว คุณดูนี่ซี แผลใต้กกหูข้างขวาผมหายสนิทเลย อัศจรรย์เหลือเกิน” พูดพร้อมกับเอียงหน้าให้เขาดูตรงที่เคยมีแผล

         “อุ๊ยจริง ๆ ด้วย แล้วกลิ่นก็หายไปด้วย อาจารย์ไปทำยังไงหรือฮะ”

         “ผมก็ปฏิบัติตามที่หลวงพ่อท่านแนะนำ เป็นเพราะบารมีของท่านแท้ ๆ เทียวที่ทำให้ผมหายจากโรคร้าย เหมือนตายแล้วเกิดใหม่เลยนะนี่”

         “งั้นอีกไม่นานอาจารย์ก็คงกลับไปอยู่บ้าน ใช่ไหมฮะ หนูคงคิดถึงอาจารย์แย่เลย เมื่อพูดถึงบ้าน อาจารย์วัยหกสิบรู้สึกคิดถึงภรรยาและลูก ๆ ขึ้นมาทันที ความขุ่นข้องหมองใจที่เคยมีต่อพวกเขาพลันมลายไปสิ้น

         “ผมก็คงคิดถึงที่นี่เหมือนกัน โดยเฉพาะหลวงพ่อ”

         “งั้นอาจารย์ก็อย่าเพิ่งกลับซีฮะ อยู่ไปอีกซักเดือนสองเดือน” ชายหนุ่มชวนให้เขาอยู่ต่อ

         “ผมตั้งใจจะอยู่จนกว่าหลวงพ่อจะหายเป็นปกติ อยากช่วยแบ่งเบาภาระของท่าน เพื่อทดแทนบุญคุณที่ท่านชุบชีวิตใหม่ให้กับผม หลังจากนั้นก็ว่าจะกลับไปเยี่ยมบ้านสักพัก ใกล้เข้าพรรษาจะกลับมาบวชที่วัดนี้” ผู้สูงอายุวางแผนชีวิต

         “หนูขออนุโมทนาด้วยฮ่ะ แล้วก็ดีใจที่มีคนมาช่วยงานหลวงลุง ห้องน้ำว่างแล้ว เชิญอาจารย์เถอะฮ่ะ” เมื่ออาจารย์ชิตหายเข้าไปในห้องน้ำ นายขุนทองก็จัดการกวาดถูกุฏิชั้นล่างจนสะอาดสะอ้าน ส่วนชั้นบนเป็นหน้าที่ของนายสมชาย เพราะแบ่งงานกันแล้ว

         “ขุนทอง วันนี้เอ็งไม่ต้องไปช่วยข้ายกสำรับของหลวงพ่อนะ อาจารย์เขาจะจัดการเอง” นายสมชายลงมาบอกกล่าว

         “ก็ดีซีพี่ แบบนี้ขุนของก๊ด ส.บ.ม.”

         “อะไรของเอ็งวะ ส.บ.ม. อะไร” ศิษย์วัดไม่รู้เรื่อง

         “วุ๊ย พี่นี่เช้ยเชย ส.บ.ม. ก็ย่อมาจาก สบายมาก ไง” หนุ่มวัยยี่สิบเอ็ดเฉลย อาจารย์ชิตออกมาจากห้องน้ำและเช็ดหน้าตาแห้งแล้ว นายสมชายจึงเอ่ยชวน

         “ไปกันหรือยังครับ”

         “แล้วขุนทองล่ะ” บุรุษสูงวัยถาม

         “สองคนก็พอฮ่ะ” หนูจะจัดถ้วยจัดจานขึ้นไปก่อน” เขาตอบ คนทั้งสองจึงเดินมุ่งหน้าไปยังโรงครัว เพื่อนำภัตตาหารมาถวายท่านพระครู

         หลังอาหารเช้า อาจารย์ชิตและนายสมชาย ก็ขึ้นไปช่วยงานท่านเจ้าของกุฏิอย่างเคย จดหมายเพิ่มจำนวนมากขึ้นในแต่ละวัน และคนที่เขียนมาล้วนแต่ขอให้ท่านช่วยแก้ปัญหา ช่วยดับร้อนผ่อนทุกข์ บ้างก็พรรณนาถึงความคับแค้นใจที่สามีไปมีหญิงอื่น ไม่มีสักฉบับเดียวที่ท่านอ่านแล้วจะเกิดความชุ่มชื่นระรื่นจิต ด้วยไม่มีใครเขียนมาบอกว่า “หนูมีความสุขแล้ว หนูรวยแล้ว สามีหนูดีแล้ว ลูกหนูดีแล้ว หนูไมมีปัญหาใด ๆ ไม่เดือดเนื้อร้อนใจเหมือนคนอื่นเขา เพราะลูกก็ดี ผัวก็ดี คนใช้ก็ดี” ท่านอยากจะได้รับจดหมายในทำนองนี้บ้าง หากก็ไม่มีเลย เพราะถ้าเขามีความสุขกันแล้ว เขาก็จะไม่นึกถึงท่าน คนที่จะคิดถึงท่านก็คือ คนมีทุกข์ คนมีปัญหา!

         ภิกษุหนึ่งรูปกับฆราวาสสองคน เพิ่งจะช่วยกันตอบจดหมายไปได้ฉบับเดียว นายขุนทองก็ขึ้นมารายงาน

         “หลวงลุงฮะ ท่านรัฐมนตรีมาขอพบฮะ”

         “รัฐมนตรีไหนล่ะ” ท่านถาม เพราะวัดนี้มีรัฐมนตรีมาหลายคน อดีตรัฐมนตรีบ้าง รัฐมนตรีคนปัจจุบันบ้าง รัฐมนตรีในอนาคตบ้าง โดยเฉพาะประเภทหลังมีมากที่สุด เพราะใคร ๆ ก็ฝันอยากจะเป็นรัฐมนตรีกันทั้งนั้น

         “คนที่เคยมาเลี้ยงเพลเมื่อวันที่หลวงลุงไปเผาศพป้าเน้นน่ะฮะ” หลานชายตอบ นายสมชายรีบแย้งว่า

         “ไม่ใช่ป้าเน้ยหรอกขุนทอง ป้านวลศรีต่างหาก คนชื่อเน้ยเป็นลูกสาว เอ็งไปแช่งเขาซะแล้ว ระวังบาปจะกินหัวเอ็ง”

         “อ้าวไหงเป็นยังงั้นไปได้ ก็หนูไม่รู้จักตัว เคยได้ยินแต่ชื่อ เลยไม่รู้ว่าเป็นคนไหนเป็นแม่คนไหนเป็นลูก จะให้ลูกตายก่อนแม่ซะแล้ว

         “แต่ความจริงยังอยู่ทั้งแม่ทั้งลูกนั่นแหละ ยังไม่มีใครตายสักคน” ศิษย์วัดว่า

         “มี ก็ลูกเขยเขาไงล่ะ” คราวนี้คนที่แย้งคือท่านพระครู

         “อ้าว ทำไมถึงได้กลับตาลปัตรยังงั้นล่ะ” เขาถามนายสมชาย

         “เห็นหลวงพ่อบอกว่าเป็นเรื่องของกรรม ข้าก็ไม่ค่อยเข้าใจซักเท่าไหร่หร็อก เอ็งอยากรู้ก็ถามหลวงพ่อเอาเอง” ศิษย์วัดจัดการโยนกลองไปให้ท่านพระครู

         “มัวเถียงกันอยู่นั่นแหละ เดี๋ยวรัฐมนตรีท่านก็คอยแย่ ลงไปเรียนท่านว่าข้าให้ขึ้นมาบ้างบนนี้” ท่านเจ้าของกุฏิ ออกคำสั่ง นายขุนทองจึงลงมาข้างล่างเพื่อเรียนให้รัฐมนตรีทราบ

         “ถ้าเช่นนั้นผมจะลงไปข้างล่างก่อนนะครับ เผื่อท่านจะมีอะไรจะคุยกับหลวงพ่อเป็นพิเศษ” อาจารย์ชิตพูดอย่างคนมีมารยาท

         “ไม่ต้องหรอกโยม ท่านเพียงแต่จะมาบอกว่าจะมาเลี้ยงเพลในวันคล้ายวันเกิดของคุณหญิง”

         “จริงหรือครับ ทำไมหลวงพ่อทราบ”

         “เดี๋ยวโยมคอยดูก็แล้วกันว่าจะเหมือนที่อาตมาพูดไว้หรือเปล่า” พอดีกับรัฐมนตรีขึ้นมาถึงพร้อมผุ้ติดตามซึ่งแต่งเครื่องแบบนายตำรวจยศพันเอก คนทั้งสองกราบท่านสามครั้ง “เจริญพรท่านรัฐมนตรี อาตมาต้องขอประทานโทษ ที่ต้องให้ขึ้นมาบนนี้ เด็กเขาคงเรียนให้ท่านทราบแล้วว่าเพราะเหตุใด” ท่านหมายถึงนายขุนทอง

         “ครับ เขาบอกว่าหลวงพ่อตกบันไดขาหัก ทำไมหลวงพ่อไม่ไปหาหมอล่ะครับ”

         “อาตมาไม่ชอบโรงพยาบาล ขึ้นชื่อว่า “โรง” อาตมาไม่อยากเข้าสักอย่างเดียว ไม่ว่าจะเป็นโรงแรม โรงพยาบาล โรงพัก โรงศาล หรือโลงศพ” ท่านพูดแล้วหัวเราะ

         “ผมก็ไม่ชอบครับ ไม่ชอบสี่โรงหลัง แต่โรงแรกชอบครับ นี่ก็กำลังจะเดินทางไปเชียงใหม่ ไปนอนโรงแรมที่นั่น” นายขุนทองยกถาดเครื่องดื่มขึ้นมาบริการ เป็นกาแฟร้อนส่งกลิ่นหอมฉุย

         “ทำไมเอามาแค่สองถ้วยล่ะ ท่านมากันสามคนนะ” เจ้าอาวาสวัดป่ามะม่วงบอกหลานชาย

         “หลวงลุงตาฝาดมั้งฮะ ท่านมากันแค่สองคนเท่านั้น ก็หนูเห็นกะตานี่นา สงสัยจะต้องเปลี่ยนแว่นใหม่แล้วละหลวงลุงเนี่ย”

         “ตาข้าไม่ฝาดหรอกขุนทอง ไปชงกาแฟมาอีกถ้วยนึง แล้วไปบอกตุ๊กตาที่นั่งอยู่ในรถของท่านรัฐมนตรีมาที่นี่ บอกหลวงพ่อเชิญมาดื่มกาแฟก่อน” รัฐมนตรีสบตากับผู้ติดตามแล้วต่างก็ทำหน้างวยงง ก็อุตส่าห์ซ่อนแม่หนูคนนั้นไว้ในรถเบ๊นซ์ มีม่านลูกไม้ปิดกระจกอย่างมิดชิด เหตุไฉนท่านจึงมองเห็น มิหนำซ้ำรถก็จอดอยู่ลานวัดโน่น

         “ทำไมหลวงพ่อทราบล่ะครับ” รัฐมนตรีและผู้ติดตามถามขึ้นพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย

         “ทำไมอาตมาจะไม่ทราบล่ะ” ท่านพระครูถามยอกย้อน

         “เด็กของผู้กำกับเขา” รัฐมนตรีรีบโยนความผิดให้คนที่ทำหน้าที่ขับรถให้ ฝ่ายนั้นโยนกลับอย่างแยบยลด้วยการตอบว่า

         “ครับ เด็กของผมเอง ผมเป็นคนเลือกสรรมาให้ท่าน แล้วท่านก็โปรดปรานมากเลยครับ เป็นวาสนาของเด็ก”

         “ตอนนี้ ท่านรัฐมนตรีอายุเท่าไหร่” ท่านเจ้าของกุฏิถาม

         “หกสิบเอ็ดครับ”

         “แล้วแม่หนูคนนั้นล่ะ” พันตำรวจเอก รีบตอบแทนเจ้านายว่า

         “สิบหกครับ อายุเท่ากันนะครับหลวงพ่อ เพียงแต่ตัวเลขสับที่กัน ๖๑ กับ ๑๖” คนตอบหวังเอาใจเจ้านาย

         “แบบนี้ถ้าจะว่าเป็นลูกสาวก็คงจะอ่อนเกินไป เป็นหลานสาวกำลังพอเหมาะ ท่านเล่นข้ามสองรุ่นเลยนะ” ท่านพระครูสัพยอก

         “โธ่หลวงพ่อครับ ผมเป็นคนไม่ชอบขัดใจใคร เขาให้อะไรมาก็ต้องรับไว้หมด ถ้าหลวงพ่อจะว่าก็ต้องว่าผู้กำกับเขานะครับ”

         “เอาละ ๆ ไม่ต้องเถียงกัน ว่าแต่ว่า ที่มานี่มีธุระอะไรกับอาตมาหรือเปล่า”

         “มีครับ คือคุณหญิงเขาให้มากราบเรียนหลวงพ่อว่า วันที่ ๓๑ เดือนนี้ เขาจะมาเลี้ยงเพลครับ วันครบรอบวันเกิดเขา ทุกปีก็เลี้ยงฉลองกันที่บ้าน มาปีนี้เขาอยากจะเปลี่ยนสถานที่ เขาบอกมาคราวนั้นแล้วติดใจ หลวงพ่อเทศน์เก่ง” พอดีกับนายขุนทองขึ้นมารายงานว่าสาวน้อยแรกรุ่นดรุณีไม่ยอมมา คงจะอับอายขายหน้าที่เป็นเมียคนอายุคราวปู่คราวตา เป็นเมียลับ ๆ เสียด้วย! “งั้นผมต้องกราบลาละครับ” รัฐมนตรีเอ่ยลาเพราะห่วงว่าสาวน้อยจะรอนาน นายขุนทองตามไปส่งถึงรถ ไม่ได้คิดจะประจบประแจงรัฐมนตรี แต่เพราะติดใจในความงามของสาวแรกรุ่น หนุ่มวัยยี่สิบเอ็ดตั้งจิตอธิษฐานว่า

         “เจ้าประคู้ณ ชาติหน้าฟ้าใหม่ขอให้ขุนทองสวยอย่างนี้บ้างเถิ้ด”

            “คนสมัยนี้เขาให้ของกำนัลกันแปลก ๆ นะโยมนะ” ท่านพระครูพูดกับอาจารย์ชิต หลังจากรัฐมนตรีและผู้ติดตามลงไปแล้ว

         “ครับ แล้วพวกข้าราชการสมัยนี้ก็เอาใจเจ้านายกันเก่งเหลือเกิน บางคนรู้กระทั่งวันเกิดของเมียน้อยนาย แต่ของเมียตัวเองกลับไม่รู้”

         “ยังงี้ละมังอาตมาถึงได้ยินเขาแปลงกลอนของสุนทรภู่ให้เข้ากับยุคสมัย สุนทรภู่ท่านแต่งไว้ว่า “รู้อะไรไม่สู้รู้วิชา รู้รักษาตัวรอดเป็นยอดดี” เขามาแปลงเสียใหม่เป็น “รู้อะไรไม่สู้รู้วิชา รู้เลียขาเลียแข้งตำแหน่งดี” ท่านเจ้าของกุฏิพูดยิ้ม ๆ

 

            มีต่อ........๖๗

 
บันทึกการเข้า
ช่างเล็ก(LSV)
Administrator
member
*

คะแนน1346
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 18613


คิดดี ทำดี ชีวิตมีแต่สุข


อีเมล์
« ตอบ #69 เมื่อ: เมษายน 27, 2007, 07:54:30 AM »

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม - ๖๗

 

สุทัสสา อ่อนค้อม

ธันวาคม ๒๕๓๗

S00067
๖๗...

         วันที่ ๓๐ มีนาคม ท่านพระครูลงรับแขกเป็นวันแรก หลังจากที่หยุดไปหนึ่งเดือนเต็ม ผู้คนมารอกันแน่นกุฏิเช่นเคย เพราะเป็นวันเสาร์

         เจ้าทุกข์รายหนึ่งเป็นสุภาพสตรีวัยสามสิบ ผิวขาว หน้าตาแม้จะดูเศร้าโศก หากก็แฝงเอาไว้ซึ่งความงดงามหาที่ติมิได้ หล่อนเข้าไปกราบท่านพระครูสามครั้ง แล้วเอ่ยทั้งน้ำตาว่า

         “หลวงพ่อคะ ช่วยหนูด้วย”

         “โยมจะให้อาตมาช่วยอะไรก็ว่ามาเลย” ท่านพูดอย่างปรานี ครั้นเห็นรอยฟกช้ำดำเขียวที่แขนทั้งสองข้างจึงถาม

         “นั่นไปโดนอะไรมา ถึงได้เนื้อตัวเขียวปั้ดออกอย่างนั้น” หล่อนร้องไห้หนักขึ้น แล้วตอบว่า

         “สามีตีค่ะ”

         “ทำไมถึงต้องตีด้วยล่ะ โยมไปทำอะไรให้เขาโกรธ เขาถึงได้ตีเอา แต่จริง ๆ แล้วก็ไม่ควรจะทุบตีกันแบบนี้ จะโกรธจะเคืองยังไง ก็น่าจะพูดกันได้ อาตมาไม่ชอบให้ทำอย่างนี้เลย” แล้วท่านจึงพูดกับบรรดาสุภาพบุรุษที่นั่งอยู่ ณ ที่นั้นว่า “คุณพ่อบ้านทั้งหลาย อาตมาอยากจะขอร้องนะ อย่าได้รังแกแม่บ้านเขายังงี้เลย มีอย่างที่ไหน มาทุบตีกันยังกะเขาเป็นวัวเป็นควาย แบบนี้ไม่ใช่วิสัยของสุภาพบุรุษ” มนุษย์เพศชายที่นั่งอยู่ ณ ที่นั้น ต่างพากันสงสารหญิงสาวที่นั่งร้องไห้อยู่เบื้องหน้าท่านพระครู หนุ่มหนึ่งก็นึกในใจว่า “ถ้าเมียข้าสวยยังงี้ จ้างก็ไม่ตีให้โง่ แต่ที่ต้องตีเพราะมันไม่สวย”

         “จะสวยหรือไม่สวย ก็ห้ามตีเด็ดขาด ไม่ใช่ว่าต้องสวยถึงจะไม่ตี” ท่านเจ้าของกุฏิพูดพร้อมกับสบตาคนแอบนึก เจ้าหนุ่มจึงนึกต่ออีกว่า

         “โอ้โฮ หลวงพ่อนี่ชั้นหนึ่งเลย ขนาดเราอุตส่าห์พูดในใจ ยังได้ยินเสียอีกแน่ะ”

         “จะพูดในใจ หรือพูดนอกใจ อาตมาก็ได้ยินทั้งนั้น ถ้าอยากจะได้ยิน แต่ถ้าไม่อยากก็แล้วไป”

         “พระอรหันต์” หนุ่มนั้นสรุปในใจ

         “อาตมาไม่ใช่เป็นพระอรหันต์ อย่างเก่งก็เป็นได้แค่พระอรเห เพราะใครมีทุกข์ก็พากันเหเข้ามาหา” ผู้ที่นั่งอยู่ ณ ที่นั้น ชักจะงุนงงด้วยรู้สึกว่าท่านพูดอยู่คนเดียว แถมเรื่องที่พูดก็ไม่ไปด้วยกันอีกด้วย ท่านพระครูไม่อยากให้พวกเขาต้องงงนาน จึงถามหญิงสาวผู้นั้นว่า

         “โยมไปทำอะไรให้เขาโกรธหรือเปล่า เขาถึงได้ตีเอา”

         “ไม่ได้ทำค่ะ แต่เขาเป็นคนขี้หึง หนูคุยกับใครไม่ได้เลย เขาหาว่าหนูพยายามนอกใจเขา คนอะไรก็ไม่รู้หึงไม่ดูตาม้าตาเรือ หนูไม่อยากอยู่กับเขาแล้วค่ะหลวงพ่อ เขาตียังกะวัวกะควาย”

         “แล้วเขาทำงานอะไรล่ะ”

         “เป็นทหารค่ะ ทหารยศร้อยเอก อยู่ค่ายจังหวัดลพบุรีนี่เอง เวลาจะไปทำงาน เขาก็ใส่กุญแจขังหนูไว้ในบ้านไม่ให้ออกไปไหน เกิดฟืนไฟไหม้บ้านหนูคงถูกย่างสดตายอยู่ในนั้น”

         “โอ้โฮ หึงมากขนาดนั้นเชียวหรือ แล้วมีลูกกี่คนล่ะ มีลูกด้วยกันหรือเปล่า”

         “มีค่ะ มีลูกชายสอง ลูกสาวสอง เข้าโรงเรียนหมดแล้ว”

         “ขนาดมีลูกสี่คน ก็ยังหึงหรือ”

         “ค่ะ หนูถึงไม่อยากจะทนอีกต่อไป หลวงพ่อดูซิคะ อยู่กันมาสิบปี เขาขังหนูไว้ในบ้านตลอด” หญิงสาวเล่า และท่านเจ้าของกุฏิก็ “รู้” ว่าหล่อนมิได้พูดเกินความจริง

         “ผมว่าแบบนี้ผิดปกติแล้วนะครับหลวงพ่อ สงสัยจะเป็นโรคจิต” หนุ่มที่อ้างในใจว่า “เพราะเมียไม่สวยถึงตี” เอ่ยขึ้น

         “นั่นสิ คนที่ชอบตีเมียน่ะเป็นโรคจิตทั้งนั้น” ท่านพระครูเห็นช่องทาง “ตีวัวกระทบคราด” พ่อหนุ่มนั่นจึงจำต้องนิ่ง

         “หลวงพ่อต้องช่วยหนูนะคะ” คนถูกสามีตี อ้อนวอน

         “จะให้ช่วยแบบไหนล่ะ ช่วยไม่ให้เขาตียังงั้นหรือ”

         “ช่วยให้หนูเลิกกับเขาน่ะค่ะ หนูเบื่อชีวิตแบบที่แล้ว ๆ มา มันเหมือนตกนรกทั้งเป็นค่ะ”

         “จะเลิกกันยังไงล่ะโยม ลูกเต้าก็มีด้วยกันตั้ง ๔ คน อาตมาไม่ชอบให้ผัวเมียเลิกร้างกัน เพราะมันจะเป็นปัญหากับลูกในภายหลัง จะให้ช่วยแบบนั้น อาตมาไม่ช่วยแน่นอน เพราะอาตมากลัวบาป” แล้วท่านจึงพูดกับผู้ที่นั่งอยู่ ณ ที่นั้นว่า “ญาติโยมทั้งหลายโปรดจำเอาไว้ การยุแหย่ให้ผัวเมียเขาเลิกกันนั้นบาปมาก ใครคิดจะทำก็ให้ล้มเลิกความคิดนั้นเสีย และใครที่เคยทำมาแล้ว ก็อย่าได้ทำอีก ไม่งั้นบาปกรรมจะตามมาถึงตัว ขอให้เชื่ออาตมาสักครั้ง” ท่านจงใจ “เทศน์” สตรีสามคนที่มานั่งรอคิวอยู่ “กฎแห่งกรรม” ของคนทั้งสามฟ้องว่า พวกหล่อนมีความสามารถในการ “ยุแยงตะแคงแซะ” ให้ผัวเมียเขาเลิกกัน และก็ทำจนประสบความสำเร็จมาหลายคู่แล้ว

         คนประเภทนี้จะรู้เรื่องของคนอื่นไปหมดทุกเรื่อง ผัวใครมีเมียน้อยไว้ที่ไหน พวกหล่อนรู้หมด แต่พอผัวตัวเองมีเมียน้อย พวกหล่อนกลับไม่รู้! ที่มาหาท่าน ก็ใช่ว่าจะเลื่อมใสศรัทธา แต่มาเพื่อขอเลขเด็ด กับขอให้ท่านดูดวงให้ เมื่อท่านปฏิเสธ พวกหล่อนก็จะไม่มาเหยียบวัดนี้อีก พร้อมกันนั้นก็จะเอาไปเที่ยวโพนทะนาว่า “หลวงพ่อวัดนี้ไม่ดี!”

         “ถ้าอย่างนั้นหลวงพ่อช่วยให้เขาเลิกตีหนูนะคะ” สตรีวัยสามสิบอ้อนวอน

         “ตกลงโยม ถ้าช่วยแบบนี้ไม่บาป เอาละ อาตมาจะแนะวิธีการให้ ขุนทองช่วยหยิบแผ่นปลิวบทสวดมนต์มาให้โยมเขาแผ่นนึง” ท่านสั่งหลานชายแล้วพูดกับสตรีนั้นว่า

         “โยมสวดมนต์นะ สวดทุกวันแล้ว ก็อธิษฐานขอให้เขาเลิกตี วันไหนเขาทำท่าจะตี ก็หนีขึ้นไปห้องพระเลย ไปนั่งสวดมนต์อยู่ในห้องพระนั่นแหละ รับรองว่าเขาไม่กล้าตีคนที่กำลังสวดมนต์หรอก”

            “แต่ถ้าเขาตีล่ะคะ” หล่อนถามอย่างหวั่นหวาด

         “ให้มาตีอาตมาแทน บอกเขาเลยว่า ถ้าจะตีคนที่กำลังสวดมนต์ ก็ให้ไปตีหลวงพ่อวัดป่ามะม่วงโน่น” คราวนี้หล่อนยิ้มทั้งน้ำตา คนอื่น ๆ พลอยยิ้มไปด้วย

         “ถ้าเกิดเขามีตีหลวงพ่อจริง ๆ หนูก็บาปแย่นะซีคะ” หล่อนว่า

         “เขาไม่ตีหรอกหนู แหม อย่าไปดูถูกสามีเราถึงขนาดนั้นซี อาตมาดูแล้วเขาก็เป็นคนดีพอสมควร”

         “ถ้าดีแล้ว ทำไมต้องตีเมียด้วย” สตรีผู้หนึ่งถามขึ้น

         “ก็เขาหึง ทำไมถึงต้องหึง โยมรู้ไหม” ท่านถามสตรีผู้นั้น

         “ไม่ทราบค่ะ”

         “ไม่ทราบหรือคะ ถ้างั้นอาตมาจะตอบให้ ที่เขาหึงก็เพราะเขาหวง แล้วทำไมเขาถึงหวง โยมตอบซิ”

         “ไม่ทราบค่ะ” หล่อนยืนยันคำตอบเดิม ท่านพระครูจึงเฉลยว่า

         “เพราะเขาตกห้วงรัก” แล้วพูดกับบรรดาสุภาพบุรุษว่า “โยมผู้ชาย อย่าไปทำอย่างนั้นนะ อย่าไปตกห้วงรักถึงขนาดทุบตีแม่บ้านเขานะ เกิดเขาหนีไป แล้วใครจะหุ้งข้าวให้เรากิน ต้องเอาใจเขามาก ๆ เขาจะได้อยู่กับเรานาน ๆ”

         “หลวงพ่อครับ แต่ที่บ้านผม แม่ล้านเขาไม่ได้หุงข้าวให้ผมกินหรอกครับ ผมเป็นฝ่ายหุงให้เขากินครับ หุงมาตั้งแต่สมัยแต่งงานกันใหม่ ๆ จนเดี๋ยวนี้ลูกสามแล้ว” บุรุษร่างท้วมพูดฉาดฉาน ที่กล้าพูดได้เต็มปากเต็มคำ เพราะคนเป็นเมียไม่ได้มา หากว่าหล่อนมาด้วยแล้วไซร้ ใครเลยจะกล้าพูด นี่ก็มานิมนต์ท่านไปงานทำบุญวันเกิดเมีย

         “ก็ดีแล้วนี่ แสดงว่าโยมเป็นสามีที่ประเสริฐมาก ใครมีพ่อบ้านแบบนี้สบายไปเจ็ดชาติเลย” ท่านเจ้าของกุฏิชม

         “แต่ผมว่าไม่ดีนะครับหลวงพ่อ ผู้หญิงต้องเป็นแม่บ้านแม่เรือน ไม่ใช่ให้สามีมาทำให้กิน ผมยอมไม่ได้เด็ดขาด” พ่อบ้านผู้หนึ่งแสดงความคิดเห็น

         “ที่โยมว่ามานั้นมันก็ถูก แต่ถูกสำหรับคนรุ่นเก่า ที่ผู้ชายเป็นฝ่ายหาเลี้ยงครอบครัว ผู้หญิงอยู่กับเหย้าเฝ้ากับเรือน เป็นแม่บ้าน แต่สมัยนี้ ผู้หญิงต้องออกทำงานนอกบ้านเช่นเดียวกับผู้ชาย ฉะนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ผู้ชายจะมาทำงานบ้านแทนผู้หญิงเขาบ้าง” โยมเห็นด้วยไหม” ท่านถามคนหุงข้าวให้เมียกิน

         “เห็นด้วยครับหลวงพ่อ แล้วแม่บ้านของผม เขาก็ทำงานหนักมาก กลางวันสอนโรงเรียนมัธยม เย็นสอนพิเศษที่บ้าน กลางคืนก็ต้องเขียนบทความส่งนิตยสาร เลยไม่มีเวลามาทำหน้าที่แม่บ้าน ผมไม่ชอบเอาเปรียบผู้หญิง แล้วผมก็ไม่ใช่คนขี้อิจฉาด้วย ผู้ชายบางคนนะครับ อิจฉาแม้กระทั่งเมียตัวเอง กลัวเมียจะสบาย เลยต้องแกล้งใช้ให้ทำงานอย่างกับทาส” เขาตั้งใจพูดแดกดันผู้ชายคนนั้น

         “คุณว่าใคร พูดยังงี้หมายความว่ายังไง” บุรุษนั้นมีโทสะ ท่าทางเขาบอกชัดว่า พร้อมจะเอาเรื่อง

         “ผมก็ว่าคนที่เป็นอย่างที่ผมว่า คุณมาเดือดร้อนอะไรด้วย อ๋อ หรือว่าคุณเป็นอย่างที่ผมว่า” อีกฝ่ายตั้งใจยั่วโทสะ บุรุษนั้นสุดจะทานทน เขาผุดลุกขึ้นยืมท่ามกลางความตระหนกตกใจของคนทั้งกุฏิ

         “พูดยังงี้มันต้องสั่งสอนกันหน่อยละ” คนพูดถลกแขนเสื้อขึ้น

         “ขอโทษนะครับ ผมขอร้องว่า อย่ามีเรื่องมีราวกันในวัดในวาเลยนะครับ อย่างน้อยก็นึกว่าเห็นแก่หลวงพ่อท่าน” อาจารย์ชิตเอ่ยห้าม บุรุษเจ้าโทสะจึงนั่งลง แต่ยังแสดงอาการฮึดฮัดอย่างไม่พึงพอใจ เห็นอีกฝ่ายเอาจริง คนไม่ชอบเอาเปรียบเมียจึงต้องนิ่ง ขืนมีเรื่องมีราวกัน ก็รังแต่จะนำความเดือดเนื้อร้อนใจมาให้คนเป็นเมีย

         “หลวงพ่อเจ้าคะ ทำบุญแทนกันได้ไหมเจ้าคะ” สตรีวัยกลางคนถาม

         “ทำแทนกันแบบไหนล่ะโยม”

         “คือยังงี้เจ้าค่ะ พ่อเด็กเขาเป็นคนไม่เชื่อเรื่องบาปบุญคุณโทษ ชอบฆ่าสัตว์ตัดชีวิต อิฉันก็เตือนเขา เขาก็ไม่เชื่อ อิฉันก็ขอร้องเขาว่า ยังไง ๆ ก็หยุดฆ่าวันพระสักวันก็ยังดี พอถึงวันพระ อิฉันก็บอกเขา เขาก็ถามว่า วันนี้วันพระกี่ค่ำ อิฉันบอกสิบห้าค่ำ เขาก็ว่า “ดีแล้ว วันนี้ข้าจะต้องฆ่ามันได้สิบห้าตัว” พูดจบเขาก็ไปตลาดไปซื้อปลาหมอเป็น ๆ มาสิบห้าตัว มาฆ่าต่อหน้าต่อตาอิฉัน”

         “แล้วโยมทำยังไงล่ะ”

         “อิฉันก็ไม่ทราบจะทำยังไงเจ้าค่ะ ก็ได้แต่สงสารเขา เวลาอิฉันทำบุญใส่บาตร อิฉันก็จะอุทิศส่วนกุศลให้เขา อธิษฐานว่า บุญทั้งหมดที่อิฉันทำอิฉันขอยกให้สามี ขออย่าให้เขาต้องตกนรกเลย แบบนี้ได้ไหมเจ้าคะ อิฉันทำบุญแทนเขาแบบนี้ได้หรือเปล่า เพราะอย่างอื่นเขาดีหมด เสียอยู่เรื่องเดียวนี่แหละเจ้าคะ”

         “ทำกรรมแทนกันไม่ได้หรอกโยม บุญนั้นก็คือกุศลกรรม ใครทำใครได้ การจะตกนรกหรือขึ้นสวรรค์ตัวเองต้องทำเอง คนอื่นจะมาทำแทนไม่ได้ ใครทำดีย่อมได้ดี ทำชั่วย่อมได้ชั่ว”

         “แล้วอิฉันจะช่วยเขายังไงเจ้าคะ เขาถึงจะไม่บาป”

         “เรื่องอย่างนี้มันก็พูดยากนะโยม เรื่องบุญเรื่องบาปใครทำใครได้ อย่าว่าแต่คนธรรมดาอย่างเรา ๆ จะทำแทนกันไม่ได้เลย แม้แต่พระอรหันต์ท่านก็ยังทำแทนคนอื่นไม่ได้ อย่างเช่นเรื่องของพระเจ้าอโศกมหาราช พระองค์มีพระโอรสพระธิดาเป็นพระอรหันต์ คือ พระมหินท์ กับ นางภิกษุณีสังฆมิตตา แต่พระองค์ก็ยังไปเกิดเป็นงูเหลือม พระองค์เองก็ทำบุญไว้กับพระพุทธศาสนามาก แต่ทำไมถึงไปเกิดเป็นงูเหลือมโยมรู้ไหม”

         “ไม่ทราบเจ้าค่ะ”

         “เพราะโทสะ ตอนจะสวรรคตโกรธรัชทายาท คือตอนที่พระองค์ประชวรได้สั่งให้อำมาตย์นำพระราชทรัพย์มาบริจาคให้คนยากคนจน รัชทายาทก็ห้ามไม่ให้อำมาตย์ทำตาม บอกว่าพระองค์ทำบุญมากจนพระราชทรัพย์จะหมดพระคลังอยู่แล้ว อย่าทำอีกเลย พระองค์ก็ทรงพระพิโรธ คือโกรธรัชทายาทกระทั่งสิ้นพระชนม์ เมื่อดับจิตในขณะที่จิตเป็นอกุศล ก็เลยไปเกิดในทุคติ คือเกิดในกำเนิดเดรัจฉาน ไปเป็นงูเหลือม

         วันหนึ่งพระมหินท์ซึ่งตอนนั้นสำเร็จเป็นพระอรหันต์แล้ว พระองค์ก็อยากจะทราบว่า พระราชบิดาสวรรคตแล้วไปเกิดที่ไหน ก็ใช้ญาณตรวจสอบดู จึงได้ทรงทราบว่า พระราชบิดาไปเกิดเป็นงูเหลือม นี่เห็นไหม อบายน่ะ ไปง่ายเหลือเกิน เผลอสตินิดเดียวไปเกิดเป็นเดรัจฉานเสียแล้ว แล้วโยมรู้หรือเปล่าว่า ไปเกิดเป็นเดรัจฉานไม่ดียังไง”

         “ไม่ทราบเจ้าค่ะ”

         “ไม่ทราบอีกแล้ว แหม คนที่มาวัดนี้ ตอบเป็นอยู่อย่างเดียว “ไม่ทราบเจ้าค่ะ” ท่านเลียนแบบเสียงสตรีผู้นั้น

         “ก็อิฉันไม่ทราบจริง ๆ นี่เจ้าคะ” นางว่า

         “อ้อ ไม่ทราบจริง ๆ หรือเจ้าคะ อาตมานึกว่า แกล้งไม่ทราบเสียอีก” ท่านพูดยิ้ม ๆ คนอื่น ๆ พลอยยิ้มไปด้วย

         “เป็นเดรัจฉาน ไม่ดีตรงหมดโอกาสสร้างบุญกุศลน่ะโยม นอกจากนี้ ยังเป็นช่องทางให้ประกอบอกุศลกรรมได้ง่ายอีกด้วย เพราะตัวโมหะมันครอบงำ อย่างงูเหลือมตัวที่เคยเป็นพระเจ้าอโศกนั้น ตอนที่พระมหินท์ท่านเล็งญาณไปทอดพระเนตร โยมรู้ไหมว่ากำลังทำอะไรอยู่

         “ไม่ทราบเจ้าค่ะ”

         “ไม่ทราบอีกแล้ว ถ้าอย่างนี้มีอะไรบ้างที่โยมทราบน่ะ ไหนบอกอาตมาซิว่า โยมทราบอะไรบ้างเจ้าคะ”

         “ทราบว่าหลวงพ่อใจดีเจ้าค่ะ มาวัดนี้แล้วสบายใจ แล้วอาหารก็อร่อย แถมหลวงพ่อไม่เคยบอกบุญเรี่ยไรเงินอีกด้วย ใครมีศรัทธาจะทำก็ทำ ใครไม่ทำ หลวงพ่อก็ไม่ว่า ไม่เหมือนบางวัดที่พอไปถึง ยังไม่ทันจะนั่ง สมภารก็แจกใบฎีกาเสียแล้ว” คราวนี้คนไม่ทราบ สาธยายเสียยืดยาว

         “โอ้โฮ ทราบเยอะเหมือนกันนี่ แหม อาตมานึกว่าไม่ทราบอะไร” ท่านสัพยอก สตรีนั้นยิ้มเบิกบานกับคำชม

         “ตกลงงูเหลือมพระเจ้าอโศกกำลังทำอะไรอยู่เจ้าคะ” นางไม่ลืมที่จะทวงคำถาม

         “ก็ทำบาปน่ะซี ทำยังไงรู้ไหม อ้อ ไม่ต้องตอบก็ได้ เพราะอาตมารู้แล้วว่า โยมจะตอบยังไง งูเหลือมตัวนั้น กำลังวิดน้ำ วิธีวิดน้ำของเขาก็คือ เอาหัวพาดต้นไม้ต้นหนึ่ง หางพาดอีกต้นหนึ่ง แล้วเอาลำตัววิดน้ำ วิดน้ำทำไมรู้ไหม โยมลองตอบซิ” ท่านถามสตรีที่ถูกสามีตี

         “ไม่ทราบค่ะ”

         “จะกินปลา ก็หนองน้ำมันมีปลา เขาก็อยากจะกินปลา แล้วก็ฉลาดเสียด้วย แต่ฉลาดในทางที่ผิด เพราะเป็นเดรัจฉาน จะไม่รู้เรื่องบาปบุญคุณโทษ”

         “หลวงพ่อครับ หลวงพ่อเคยเทศน์บนศาลาการเปรียญ วันที่เท่าไหร่ เดือนอะไร ผมก็จำไม่ได้เสียแล้ว แต่ที่จำได้คือ หลวงพ่อเทศน์ว่า คนที่ตายขณะที่จิตมีโทสะ จะไปเกิดเป็นสัตว์นรก ถ้ามีโลภะ จะไปเกิดเป็นเปรต หรือ อสุรกาย แต่ถ้ามีโมหะ จะไปเกิดเป็นเดรัจฉาน แต่ทำไมพระเจ้าอโศกจึงไปเกิดเป็นงูเหลือม ทั้งที่ตอนดับจิต พระองค์โกรธรัชทายาท” บุรุษผู้หนึ่งถาม

         “เรื่องนี้มันลึกซึ้งนะโยม เรื่องของจิตนี่ลึกซึ้งมาก แต่อย่างไรก็ตาม คนที่กำลังจะตายนั้น ถ้าจิตเขาเป็นอกุศล เขาจะไม่รู้ตัวเลยว่า ขณะนั้นจิตของเขามีโลภะ หรือ โทสะ หรือ โมหะ แต่เท่าที่อาตมาวิจัยนะ อาตมาว่ามีทั้งสามตัวนั่นแหละ เพียงแต่ว่าตัวไหนจะมากกว่าอีกสองตัว ถ้าดับจิตขณะที่ตัวไหนมีดีกรีสูง ก็จะไปเกิดตามกรรมนั้น ๆ

         ในกรณีของพระเจ้าอโศก แม้พระองค์มีโทสะอยู่ก็จริง แต่ก็เป็นโทสะที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของโมหะ โมหะซึ่งมีกำลังแรงกว่า จึงส่งผลให้ไปอุบัติในกำเนิดเดรัจฉาน เห็นหรือยังว่า แม้พระองค์จะทรงสร้างคุณประโยชน์ใหญ่หลวงให้กับพระศาสนา แต่เมื่อถึงเวลาละโลกนี้ไป ก็ยังต้องไปเกิดในทุคติ นับประสาอะไรกับคนที่ไม่เคยสร้างคุณความดีเลย ขอให้ญาติโยมเก็บไปคิดเป็นการบ้านนะ”

            “ตกลง อิฉันไม่มีทางช่วยพ่อเด็กเขาได้เลยหรือเจ้าคะ” หน้าตาและท่าทางคนถามบ่งบอกว่าทุกข์ร้อน

         “ถ้าจะช่วยได้ โยมก็ต้องสวดมนต์ให้มาก ๆ แล้วอธิษฐานขอให้ส่วนกุศลที่โยมทำ ช่วยให้เขาเลิกทำปาณาติบาต ส่วนเขาจะเลิกได้หรือไม่ได้ ก็ขึ้นอยู่กับกรรมของเขา”

         “ต้องให้เขาสวดด้วยไหมเจ้าคะ”

         “ไม่ต้องหรอก เพราะจะไปบอกยังไง ๆ เขาก็ไม่ยอมทำ เพราะเขาไม่เชื่อ คนเราลงไม่มีศรัทธาเสียแล้ว ก็เลิกพูดกัน”

         “งั้นก็แปลว่า ถึงแม้อิฉันจะสวดมนต์ แต่ก็ไม่อาจช่วยเขาได้ยังงั้นหรือเจ้าคะ” นางรู้สึกสับสน

         “ได้สิ ได้ในแง่ที่ว่า เมื่อโยมสวดมนต์มาก ๆ โยมก็จะรู้ว่า เมตตา กรุณา มุทิตา และอุเบกขา นั้นมันมีขอบเขตแค่ไหน เพียงใด แล้วโยมก็จะวางใจให้เป็นอุเบกขาได้ เขาก็จะไม่เป็นสาเหตุทำให้โยมทุกข์อีกต่อไป ยังไงล่ะ”

         “หลวงพ่อยิ่งพูด อิฉันยิ่งงง เจ้าค่ะ”

         “ทำไมจะไม่งงล่ะ ก็ธรรมะของพระพุทธเจ้าไม่ได้มีไว้ให้พูดกันเฉย ๆ แต่มีไว้ให้ปฏิบัติ แล้วก็จะหายงงไปเอง ขอให้เชื่ออาตมาสักครั้ง เชื่อประเทศไทยสักครั้ง”

 

            มีต่อ........๖๘

 
บันทึกการเข้า
ช่างเล็ก(LSV)
Administrator
member
*

คะแนน1346
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 18613


คิดดี ทำดี ชีวิตมีแต่สุข


อีเมล์
« ตอบ #70 เมื่อ: เมษายน 27, 2007, 07:55:31 AM »

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม - ๖๘

 

สุทัสสา อ่อนค้อม

ธันวาคม ๒๕๓๗

S00068
๖๘...

         เจ้าทุกข์รายต่อมาเป็นคู่สามีภรรยาวัยสี่สิบเศษ ใบหน้าของบุคคลทั้งสองดูหมดอาลัยตายอยากในชีวิต กราบท่านพระครูแล้ว คนเป็นเมียก็เอ่ยขึ้นว่า

         “หลวงพ่อช่วยทิดบวบเขาด้วยเถิดจ้ะ”

         “ช่วยอีกแล้ว แหม ใคร ๆ มาก็จะให้ช่วยทั้งนั้น ไม่มีสักรายที่จะมาบอกว่า “หลวงพ่อเจ้าคะ ดิฉันจะมาช่วยหลวงพ่อเจ้าค่ะ มีอะไรให้ดิฉันช่วยบ้างเจ้าคะ” ท่านพูดเสียงอ่อนเสียงหวาน ลอยหน้าลอยตาเสร็จสรรพ เพื่อเปลี่ยนบรรยากาศเคร่งเครียดให้เป็นครึกครื้นมีชีวิตชีวา คนอื่น ๆ พากันหัวเราะในมุขตลกของท่าน แต่สองผัวเมียหัวเราะไม่ออก เพราะความทุกข์ท่วมท้นทับอกอยู่

            “เอาละ โยมมีอะไรก็ว่าไปเลย อาตมาช่วยได้ก็จะช่วย”

            “แกเล่าแหละดีแล้ว ข้าใจคอไม่ดี เล่าไม่ถูก” ตาผัวว่า

         “มัวเกี่ยงกันอยู่นั่นแหละ เอาละใครเป็นต้นเหตุของเรื่อง ก็ให้คนนั้นเล่า” ท่านพระครูตัดสิน

         “ทิดบวบจ้ะหลวงพ่อ ตานี่แหละเป็นตัวต้นเหตุ ทำให้พี่น้องลูกหลานฉันพลอดเดือดร้อนไปหมด” คนเป็นเมียถือโอกาส “ฟ้อง”

         “เอ้า งั้นโยมบวบก็เล่าไปว่า ต้นสายปลายเหตุมันเป็นยังไง” นายบวบจึงเล่าว่า

         “คือยังงี้ครับหลวงพ่อ ผมถูกเขาใส่ร้ายว่าไปเผาไร่เขา คือผมมีอาชีพทำไร่ เมื่ออาทิตย์ที่แล้ว ผมก็ไปเผาไร่ เผาเสร็จ ผมก็ตรวจตราดูไฟมันดับเรียบร้อยแล้ว ผมก็กลับเข้าบ้าน พักใหญ่ ๆ ไร่ที่ติดกับไร่ผม เขาถูกไฟไหม้ เป็นไร่อ้อย ผมก็ไปช่วยเขาดับ แต่ช่วยไม่ไหว เพราะไฟมันลามมาทุกทิศเลย ในที่สุดมันก็ไหม้หมดทั้งแปลงเลยครับ”

         “แล้วยังไง เราไปช่วยเขาดับก็ดีแล้วนี่นา”

         “ครับ แต่เขามาโทษครับ มาโทษว่า ไฟจากไร่ผมลามไปไหม้ไร่เขา มีพยานรู้เห็นหลายคน เขามาบอกผมว่าไฟมันไหม้มาจากทิศทางที่ตรงข้ามกับไร่ผม เจ้าของเขาเจตนาเผาไร่ตัวเองแล้วโยนความผิดมาให้ผม” เรื่องนี้จำเป็นที่จะต้องใช้ “เห็นหนอ” เข้าตรวจสอบ จะได้รู้ว่าใครผิดใครถูกกันแน่

         “อ้าว นี่โยมไปทำให้เขาโกรธนี่ เขาก็เลยใส่ร้ายเอาน่ะซี”

         “ทำให้เขาโกรธยังไงครับ” นายบวบไม่เข้าใจ

         “ก็เขาเจตนาจะเผ่าไร่เพื่อเอาเงินค่าประกัน แล้วโยมอุตส่าห์ไปดับของเขา เขาก็โกรธน่ะซี เรื่องมันยุ่งเสียแล้วละ”

         “ครับ ยุ่งมากเลยครับ พอเขากล่าวหา เขาก็เขียนหนังสือขึ้นฉบับหนึ่งให้ผมเซ็นรับว่าเป็นคนเผ่าไร่เขาจริง และเขาเรียกค่าเสียหายสองหมื่นบาท”

         “แล้วโยมก็เซ็นให้เขาไปเรียบร้อย”

         “ครับ”

         “แหม ฉลาดจริง ๆ ฉลาดในการหาเรื่องเดือดร้อนมาให้ตัวเองและลูกเมีย”

         “นั่นซีจ๊ะหลวงพ่อ ผัวฉันมันฉลาดยังกะควาย นี่ไม่ได้หาเรื่องเดือดร้อนมาให้ลูกเมียเท่านั้น พี่น้องฉันก็พลอยเดือดร้อนไปด้วย เขาจับไปขังคุกไว้คืนนึง หลานฉันต้องเอาที่ดินไปประกันถึงได้ออกมานั่งอยู่ที่นี่ได้” นางบัวผันพูดอย่างคั่งแค้น แค้นทั้งฝ่ายโจทก์ ทั้งฝ่ายผัวตัวดีนั่นแหละ

         “หลวงพ่อพอจะมีทางช่วยผมบ้างไหมครับ นี่เขาก็ฟ้องทั้งทางอาญาและทางแพ่ง ผมไม่อยากติดคุกเลย แค่ไปอยู่ในห้องขังคืนเดียว ผมยังแทบบ้า”

         “แล้วพวกพยานเขาทำไมไม่มาเป็นพยานให้”

         “เขาไม่กล้าครับ เพราะเจ้าของไร่เป็นคนมีอิทธิพล ไม่มีใครกล้ามาเป็นพยานให้ผมหรอกครับ”

         “งั้นก็เห็นจะลำบากเสียแล้ว” ได้ยินท่านพูด นายบวบถึงกับน้ำตาตก

         “หลวงพ่อไม่มีทางช่วยผมเลยหรือครับ” เขาอ้อนวอนเสียงเครือ

         “หนักใจ เรื่องนี้อาตมาหนักใจจริง ๆ ก็โยมไปผูกไว้เสียแน่นแล้วจะมาให้อาตมาแก้ เรียนผูกแล้วก็ควรจะเรียนแก้ด้วยตัวเอง มันถึงจะถูก” ท่านเจ้าของกุฏิพูดอย่างอ่อนใจ

         “หลวงพ่อกรุณาผมด้วยเถิดครับ จะให้ผมทำอะไร ผมยอมทั้งนั้น ขออย่างเดียว อย่าให้ผมไปติดคุกเลย ผมกราบละครับ” เขาก้มลงกราบด้วยทีท่าน่าสงสาร

         “เอาละ ทางเดียวที่พอจะช่วยได้ ก็คือให้โยมสองคนพากันมาเข้ากรรมฐานสักเจ็ดวัน ทำได้ไหมล่ะ” ท่านเสนอวิธีดีที่สุดให้

         “ผมคงมาไม่ได้หรอกครับหลวงพ่อ เพราะผมต้องทำไร่ นี่ก็จะเริ่มไถแล้ว พอฝนลงก็จะหยอดข้าวโพด” สามีนางบัวผันว่า ท่านพระครูรู้สึกสมเพชเวทนาบุรุษตรงหน้าเสียนัก จึงถามเขาว่า

         “แล้วถ้าโยมไปติดคุกล่ะ โยมจะมีโอกาสมาทำไร่ไหม อาตมาขอถามหน่อยเถอะ”

         “ไม่มีครับ ผมถึงมาขอความเมตตาหลวงพ่อให้ช่วยไงครับ โปรดช่วยอย่าให้ผมต้องติดคุกเลย” คนที่เมียยกย่องว่าฉลาดเหมือนควายชี้แจง

         “โยม” ท่านเจ้าของกุฏิเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่แสนสุดระอา “ทำกรรมแทนกันไม่ได้หรอกนะ แล้วรับผลแทนกันก็ไม่ได้อีกเหมือนกัน เรื่องนี้โยมเป็นคนทำขึ้น โยมก็ต้องรับผล นี่อาตมาก็เสนอแนวทางที่ดีที่สุดให้แล้ว ถ้าโยมทำไม่ได้ อาตมารับรองว่าติดคุกแน่ เลือกเอาก็แล้วกันว่า ระหว่างติดคุกกับเข้ากรรมฐาน โยมจะเลือกอย่างไหน”

         “เลือกมาเข้ากรรมฐานครับ” คนตอบไม่รั้งรอ เข็ดเสียนักกับการนอนในคุก

         “หลวงพ่อครับ ทำไมผมถึงโชคร้ายอย่างนี้ครับ ผมหากินในทางสุจริตไม่เคยคดโกงใคร แต่ผมก็ต้องมาถูกใส่ร้าย ส่วนเจ้าคนที่มันใส่ร้ายผม มันหากินในทางทุจริต คนโกง เป็นชู้กับลูกเมียคนอื่น แต่มันกลับมั่งมีศรีสุขร่ำรวยเงินทองมหาศาล ขณะที่ผมจนลง ๆ แบบนี้ไม่เรียกว่า ทำดีได้ชั่ว ทำชั่วได้ดีหรือครับ” นายบวบพูดอย่างคนที่มองโลกในแง่ร้าย บวกกับความโง่เขลาเบาปัญญา

         “โยมอย่าไปคิดว่า ความดีคือความรวย ความจนคือความชั่วสิ เพราะมันคนละเรื่องกัน อาตมาขอยืนยันว่า ทำดีต้องได้ดี ทำชั่วต้องได้ชั่ว คนทุกวันนี้ ให้ค่าทางวัตถุมากกว่าทางจิตใจ อะไร ๆ ก็วัดกันด้วยวัตถุ แม้แต่ความดี ความชั่ว คนดีก็คือคนรวย คนชั่วก็คือคนจนใช่ไหม เดี๋ยวนี้คนเขาคิดกันอย่างนี้ใช่ไหม”

            “ครับ คนส่วนใหญ่คิดอย่างนี้” คนไม่อยากติดคุกตอบ

         “นี่แหละ ๆ สังคมทุกวันนี้ถึงได้สับสนวุ่นวาย ก็เพราะคนพากันยึดถือค่านิยมผิด ๆ อย่างนี้ แล้วคนที่ยอมลดตัวลงไปเป็นทาสของเงิน ยอมทำบาปทำชั่วเพราะเงินตัวเดียว อาตมาเห็นแล้วก็ให้รู้สึกสะท้อนสะเทือนในหัวใจ

         แต่โยมเชื่อไหมล่ะ เวลาที่กฎแห่งกรรมมาให้ผล เงินทองก็ช่วยอะไรไม่ได้ จริงอยู่ เราอาจจะเห็นว่า เงินทองมันสามารถซื้ออะไรได้เกือบทุกอย่าง ซื้อแม้กระทั่งคนบางคน แต่มันก็จะเป็นอย่างนี้เฉพาะในโลกมนุษย์เท่านั้น สำหรับปรโลก เงินทองไม่มีความหมายเลย คนที่ทำความชั่วจะต้องตกนรก ถึงจะเอาเงินสักสิบล้านไปจ้างยมบาลไม่ให้ลงโทษ เขาก็ไม่รับจ้าง เพราะเงินไม่มีความหมายสำหรับเขา

         ฉะนั้นโยมไม่ต้องน้อยอกน้อยใจว่า เราทำความดี แต่ทำไมถึงจน คนทุกความชั่วกลับร่ำรวย แล้วก็ไม่ต้องไปอิจฉาคนชั่ว ไม่ต้องไปอิจฉา กฎแห่งกรรมทำหน้าที่เมื่อไรเมื่อนั้นเขาก็จะรู้ละว่า ทำชั่วต้องได้ชั่ว”

            “ครับ ฟังหลวงพ่อแล้ว ผมสบายใจขึ้นมากเลยครับ ถ้าเช่นนั้นผมกับแม่บ้านขอกราบลา พรุ่งนี้จะมาเข้ากรรมฐานนะครับ”

         “เจริญพร ขอให้โยมจงหมดเคราะห์หมดโศก แล้วก็อย่าเปลี่ยนใจเสียล่ะ ถ้าไม่มาเข้ากรรมฐาน อาตมารับรองว่า ต้องติดคุกแน่”

         “ครับ เป็นตายยังไงผมต้องมาแน่ ขอกลับไปเอาเสื้อผ้าก่อนนะครับ” คนทั้งสองกราบลาท่านพระครูแล้วลุกออกไป หน้าตาดูสดชื่นขึ้นเพราะมีความหวัง

         “หลวงพ่อเจ้าคะ อิฉันไม่อยากจะพูดว่า ขอให้หลวงพ่อช่วย แต่อิฉันก็ไม่อยากมุสา เพราะที่มานั่งรอคิวตั้งแต่เช้านี่ ก็เพื่อมาให้ท่านช่วยเจ้าค่ะ” สตรีวัยห้าสิบอารัมภบท

         “จะให้ช่วยอะไรล่ะโยม เอาเถอะว่าไปเลย ไม่ต้องเกรงใจ เพราะถ้าเกรงใจ โยมก็คงไม่มาใช่ไหม”

         “แหม หลวงพ่อพูดแบบนี้ คนฟังก๊อสะดุ้งแย่ เขาเรียกว่ายิงปืนนัดเดียวได้นกทั้งฝูง” สตรีหน้าตาจิ้มลิ้มผู้หนึ่งต่อว่า

         “ก็หรือโยมว่าอาตมาพูดไม่จริงล่ะ ที่อาตมาพูดนั้นไม่จริงใช่ไหม” ท่านถามยิ้ม ๆ

         “จริงค่ะ แต่เป็นความจริงที่เสียดแทงใจคนฟัง หลวงพ่อไม่น่าพูดตรง ๆ อย่างนี้” หญิงสาวตัดพ้อ

         “ก็อาตมาเป็นคนตรง จึงต้องพูดตรง ๆ อ้อมค้อมกับใครเขาไม่เป็น เอาละ โยมมีอะไรก็ว่าไป” ท่านบอกสตรีวัยห้าสิบ

         “คือยังงี้เจ้าค่ะหลวงพ่อ อิฉันแสนจะอึดอัดกลัดกลุ้ม ชีวิตหาความสุขสงบไม่ได้เลย บ้านก็ขัด วัดก็ขูด พูดไม่ออกเจ้าค่ะ”

         “โอ้โฮ ขนาดพูดไม่ออก ยังพูดได้คล้องจองกันถึงปานนี้” ท่านเจ้าของกุฏิออกปากชม “ไหนว่าวัดขูดน่ะ เป็นยังไง ลองอธิบายให้อาตมาฟังซิ”

         “เป็นยังงี้เจ้าค่ะ คือว่า อิฉันมีอาชีพทำนา บ้านอยู่อ่างทอง รายได้ก็ไม่แน่ไม่นอน เพราะเดี๋ยวแล้งเดี๋ยวน้ำท่วม ความเป็นอยู่ค่อนข้างขัดสน ทีนี้สมภารข้างบ้านมาเรี่ยไร บอกปีนี้ขอเรี่ยไรสร้างโบสถ์ห้าพัน อิฉันกับพ่อเด็กก็ไม่รู้จะทำยังไง ก็ผลัดท่านว่า รอให้เก็บเกี่ยวขายข้าวได้แล้วค่อยให้ พออิฉันขายข้าวเสร็จท่านก็มาทวงทันที แต่ทีนี้มันยังงี้ซีเจ้าคะหลวงพ่อ” นางหยุดเล่าด้วยเกิดความรู้สึกลังเล เพราะเรื่องที่จะเล่านั้นเกี่ยวกันไปถึงคนเป็นพระ หากพระท่านเข้าข้างกัน นางนั่นแหละจะเดือดร้อน

         “มันยังงี้น่ะยังไง ว่าต่อไปซีโยม”

         “ฉันชักไม่กล้าเล่าแล้วละเจ้าค่ะ ดีไม่ดี หลวงพ่อจะพลอยโกรธฉันไปด้วย” คนเล่าพูดออกตัว

         “รับรอง อาตมาไม่โกรธ อาตมาเลิกโกรธมาหลายปีแล้ว โยมจะพูดอะไรพูดได้เลย” เมื่อท่านพูดเช่นนี้ นางจึงเล่าต่อไปว่า

         “คือปีนี้อิฉันขายข้าวได้แค่สองหมื่น ก็ใช้หนี้สินเขาไปหมื่นนึง เหลืออีกหมื่นนึง ก็ต้องเก็บไว้ทำทุนสำหรับปีต่อไป ถ้าเอาไปทำบุญเสียห้าพัน อิฉันกับครอบครัวก็จะต้องลำบาก อิฉันก็เลยต้องต่อรองท่านว่าขอทำสองพันจะได้หรือไม่”

         “แล้วท่านว่ายังไง”

         “ท่านไม่ยอมเจ้าค่ะ ท่านบอกพูดก็ต้องเป็นพูด โกหกพระโกหกเจ้าจะต้องตกนรก อิฉันก็กลุ้มใจ กลัวตกนรกเจ้าค่ะ หลวงพ่อช่วยบอกอิฉันทีว่าจะทำยังไง”

         “แล้วโยมคิดว่า จะทำยังไงล่ะ” ท่านเจ้าของกุฏิย้อนถาม

         “อิฉันก็ไม่รู้ว่าจะทำยังไงซีเจ้าคะ ถึงได้มาเรียนถามหลวงพ่อ อิฉันจะทำยังงี้ได้ไหมเจ้าคะ”

         “ทำยังไง โยมว่าไปสิ อาตมากำลังฟัง”

         “ก็จะมาขอยืมหลวงพ่อสักห้าพันไปถวายสมภารท่าน ปีหน้าฟ้าใหม่ หากอิฉันเงยหน้าอ้าปากได้ ก็จะเอามาใช้เจ้าค่ะ”

         “แปลว่า จะมายืมเงินวัดนี้ ไปทำบุญวัดโน้น ว่างั้นเถอะ”

         “เจ้าค่ะ”

         “แหม โยมนี่เข้าใจแก้ปัญหานะ แก้ปัญหาได้แจ๋วเลย” ท่านตั้งใจประชด แต่คนฟังกลับคิดว่าท่านพูดจริงจึงถาม

         “แปลว่า หลวงพ่อจะให้อิฉันยืมใช่ไหมคะ”

         “อาตมายังไม่ได้พูดยังงั้น โยมอย่าเพิ่งเข้าใจผิด” ท่านรีบบอก

         “หรือว่าหลวงพ่อกลัวอิฉันจะโกง ไม่โกงแน่เจ้าค่ะ อิฉันเตรียมโฉนดที่นามาให้หลวงพ่อด้วย” พูดพลางหยิบโฉนดออกมาจากถุงกระดาษ

         “เอาละ ๆ ขอให้อาตมาพูดบ้าง โยมฟังนะ อาตมาไม่ได้มีอาชีพออกเงินให้กู้ เพราะอาตมาเป็นสงฆ์ ย่อมไม่เป็นการสมควรที่จะประกอบธุรกิจเช่นนั้น ถึงโยมจะเคยเห็นพระวัดอื่นเขาทำกัน แต่สำหรับอาตมาไม่เคยคิดจะทำ เคยมีบ้างเหมือนกันที่อาตมาให้ญาติโยมยืมเงิน แต่ก็ไม่ได้คิดดอกเบี้ย เพียงแต่จะช่วยสงเคราะห์ยามที่เขาเดือดร้อน แต่ในรายของโยม อาตมาไม่เห็นความจำเป็นที่จะต้องให้ยืม เพราะโยมไม่ได้เดือดร้อนอะไร

         การจะยืมเงินคนอื่นไปทำบุญนั้น เป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง แล้วโยมก็จะไม่ได้บุญอีกด้วย ญาติโยมทั้งหลายโปรดจำไว้ การทำบุญชนิดที่เรียกว่า “เมาบุญ” นั้นไม่ได้บุญแน่นอน เราต้องทำตามกำลังศรัทธาและกำลังทรัพย์ที่เรามีอยู่ หากทำแล้วตัวเองต้องเดือดร้อน จะไปได้บุญอะไรจริงไหม”

         “จริงครับ” บุรุษผู้หนึ่งตอบ แล้วเขาก็ถามอีกว่า

         “แล้วสมภารวัดนั้นจะได้บุญหรือครับหลวงพ่อ บังคับให้คนอื่นเขาทำบุญ ผมว่าไม่น่าจะได้บุญ”

         “ไม่ได้แน่นอน เพราะเท่ากับทำให้เขาเดือดร้อน อย่างน้อย ๆ ก็ทำให้เขาทุกข์ใจ จริงไหมโยม” ท่านถามเจ้าของเรื่อง

         “จริงเจ้าค่ะ อิฉันนอนไม่หลับมาหลายวัน ถึงได้ตัดสินใจมาหาหลวงพ่อ”

         “กลับไปนี่ก็หายกลุ้มนะ อย่าไปกลุ้ม เพราะมันไม่เกิดประโยชน์อะไร”

         “แล้วอิฉันจะไปบอกสมภารวัดนั้น ยังไงดีเจ้าคะ”

         “ก็บอกอย่างที่อาตมาพูดนี่แหละ แต่อย่าไปอ้างชื่ออาตมาล่ะ ประเดี๋ยวท่านจะมาโกรธอาตมาอีกคน บอกท่านไปว่า โยมมีศรัทธาแค่นี้ ก็จะทำเท่านี้แหละ รับก็รับ ไม่รับก็แล้วไป บอกอย่างนี้ไม่บาปหรอก แล้วก็ไม่ตกนรกด้วย”

         “จริงหรือเจ้าคะ แหมอิฉันโล่งใจจริง ๆ กลัวตกนรกน่ะเจ้าค่ะ เมื่อท่านบอกว่าไม่ตก อิฉันก็ดีใจ ถ้างั้นอิฉันกราบลานะเจ้าคะ”

         “เจริญพร ทีนี้โยมก็เลิกบ่นได้แล้วนะ ไม่ต้องไปบ่นว่า “บ้านก็ขัด วัดก็ขูด พูดไม่ออก” เพราะถ้าทางบ้านกำลังขัดสนแล้วทางวัดยังมาขูด โยมจะต้องพูด อย่าไปทำเป็นพูดไม่ออก แล้วก็เก็บมากลุ้มอกกลุ้มใจแบบนี้ เข้าใจหรือเปล่า”

         “เข้าใจเจ้าค่ะ ต่อไปนี้อิฉันจะกล้าพูดแล้วเจ้าค่ะ กราบลานะเจ้าคะ” สตรีวัยห้าสิบลุกออกไปแล้ว ก็ถึงคิวของบุรุษวัยหกสิบ

         “หลวงพ่อครับ ลูกชายคนเล็กผมไม่เอาถ่านเลยครับ ส่งไปเรียนหนังสือกรุงเทพฯ ก็ไม่เรียน ประพฤติตัวเกกมะเหรกเกเร ขอแต่เงิน หลวงพ่อช่วยหน่อยเถอะครับ” ท่านพระครูพิศใบหน้าของเขาแล้วรู้สึกคลับคล้ายคลับคลาว่าเคยเห็นที่ไหนมาก่อน

         “อายุเท่าไหร่แล้วล่ะ ลูกชายที่ว่านี่”

         “สิบแปดครับหลวงพ่อ” เขาตอบท่านเจ้าของกุฏิพยายามนึกว่าเคยรู้จักบุรุษผู้นี้ที่ไหน เมื่อไหร่ ครั้นนึกไม่ออกจึงจำต้องพึ่ง “เห็นหนอ” แล้วท่านจึงตั้งสติกำหนด เห็นหนอ ตาคนนี้เป็นใครกันหนอ เคยรู้จักกับเราเมื่อไหร่หนอ อ้อ! นึกออกแล้วหนอ ตาคนนี้เราเคยโกงค่าก๋วยเตี๋ยวแกสมัยที่เรายังเป็นเด็กหนอ นี่แกก็มาขอความช่วยเหลือ เราได้โอกาสชดใช้กรรมอีกแล้วหนอ”

            “พรุ่งนี้พามาหาอาตมา” ท่านสั่ง “เจ้ากรรมนายเวร” แล้วจึงถามเขาว่า “โยมมีอาชีพขายก๋วยเตี๋ยวใช่ไหม”

         “ครับหลวงพ่อ แต่เดี๋ยวนี้ไม่ได้ขายแล้ว เลิกมาได้สักสิบปีเข้านี่แล้ว”

         “ทำไมเลิกเสียล่ะ”

         “มันขายไม่ค่อยดีครับ ผมเลยหันไปซื้อขวดมาขาย กำไรดีกว่ากันเยอะ”

         “อ้อ สมัยอาตมาเป็นเด็ก ก็เคยซื้อก๋วยเตี๋ยวโยมกินทุกวัน” ท่านเล่าความหลังต่อหน้าธารกำนัลเช่นนี้ ท่านยังไม่บอกหรอกว่า เงินที่ใช้ซื้อนั้น ก็ขโมยของแกนั่นแหละมาซื้อ คือแอบไปขโมยเงินทางด้านหลังแล้วอ้อมมาซื้อทางด้านหน้า!

         “หรือครับ ตอนนั้นผมขายจานละเท่าไหร่ครับ” คนถามรู้สึกตื่นเต้น ที่ได้พบ “ลูกค้าเก่า”

         “จานละสองสตางค์”ถ้าใส่ไข่สามสตางค์

         “ก็หลายสิบปีแล้วนะซีครับ  ครั้งสุดท้าย ก่อนที่ผมจะเลิกขาย ราคาก็ขึ้นมาเป็นจานละห้าสิบสตางค์” การสนทนาระหว่างท่านพระครู กับอดีตพ่อค้าก๋วยเตี๋ยวผัดไทย ทำให้ผู้ที่นั่งฟังรู้สึกหิว แล้วเหมือนกับสวรรค์โปรด เมื่อท่านเจ้าของกุฏิ พูดขึ้นว่า

         “ได้เวลาอาหารกลางวันแล้ว ขอเชิญญาติโยมทุกท่านรับประทานอาหารกันให้อิ่มหนำสำราญเสียก่อน วันนี้แม่ครัวเขาทำก๋วยเตี๋ยวผัดไทยเลี้ยง” ที่ท่านทราบเพราะ “เห็นหนอ” บอก...

           

            มีต่อ........๖๙

 
บันทึกการเข้า
ช่างเล็ก(LSV)
Administrator
member
*

คะแนน1346
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 18613


คิดดี ทำดี ชีวิตมีแต่สุข


อีเมล์
« ตอบ #71 เมื่อ: เมษายน 27, 2007, 07:56:17 AM »

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม - ๖๙

 

สุทัสสา อ่อนค้อม

ธันวาคม ๒๕๓๗

S00069
๖๙...

            เจ้าทุกข์รายแรกของช่วงบ่ายเป็นสตรีสาวสวยซึ่งมาด้วยกันสามคน คนที่มีท่าทางเป็นผู้นำรายงานว่า “พวกหนูมาจากวิทยาลัยครู...ค่ะ เป็นอาจารย์สอนอยู่ที่นั่น” หล่อนออกชื่อวิทยาลัยครูแห่งหนึ่ง

            “อ้อ” เจ้าอาวาสวัดป่ามะม่วงมองหน้าหล่อนทีละคนแล้วถาม “ชื่ออะไรกันบ้างล่ะ อาจารย์อะไรจ๊ะ”

            “หนูชื่อยุพาพร คนซ้ายมือชื่ออาจารย์กุลนที ส่วนคนขวามือชื่ออาจารย์กวิศญา คนนี้เพิ่งบรรจุค่ะ คนเป็นผู้นำพูดเสียงดังฟังชัด

            แล้วรู้จักวัดนี้ได้ยังไง ทำไมถึงมาถูกล่ะจ๊ะ”

            “คุณแม่หนูเป็นลูกศิษย์ของหลวงพ่อค่ะ เคยมาเข้ากรรมฐานหลายครั้ง คุณแม่เป็นคนบอกทางให้ค่ะ ลูกสาวของลูกศิษย์ท่านพระครูตอบ

            “ยังงั้นหรอกหรือ คุณแม่ชื่ออะไรล่ะจ๊ะ”

            “ชื่อสอาดค่ะ หลวงพ่อจำได้หรือเปล่าคะ คุณแม่หนูสวย ผิวขาว ไม่ดำอย่างหนูหรอกค่ะ” คนชื่อกวิศญาพูดเสียงแจ๋ว ๆ

         “แล้วทำไมอาจารย์ถึงไม่ขาวเหมือนคุณแม่ล่ะ หรือว่าคุณพ่อผิวคล้ำ” ท่านเลี่ยงมาใช้คำว่า “คล้ำ” แทน “ดำ”

            “คุณพ่อก็ขาวค่ะ พี่น้องสามคนก็ผิวขาดหมด มีหนูดำอยู่คนเดียว เพราะตอนหนูอยู่ในท้องคุณแม่ คุณพ่อไปติเพื่อนบ้านคนนึง ชื่อนายหละ ติเขาได้ทุกวันว่า “ตาคนนี้ยิ้มเห็นแต่ฟัน” หนูออกมาก็เลยดำเหมือนตาหละค่ะ คุณแม่โกรธคุณพ่อมากเลย ทำไมคุณพ่อว่าคนอื่นแล้วกรรมต้องมาตกที่ลูกตัวด้วยล่ะคะ” หล่อนถาม

            “เขาเรียกว่า “กรรมจัดสรร” คนโบราณเขาถึงได้สอนเอาไว้ว่า เวลาท้องอย่าเที่ยวไปติใคร เหมือนคนที่อาตมารู้จัก แกไปติลูกของเพื่อนบ้านว่าปากแหว่ง พอแกคลอดลูกออกมา โอ้โฮ ปากแหว่งเหมือนลูกของเพื่อนบ้านเปี๊ยบเลย”

            “ถ้าอย่างนั้นเวลากำลังท้องต้องชมว่าเขาสวยใช่ไหมคะ” อาจารย์สาววัยยี่สิบเอ็ดบอกสองเรียนถาม

            “ก็ควรจะเป็นอย่างนั้น แต่ก็ไม่ใช่หลับหูหลับตาชมนะ เดี๋ยวไปเห็นคนปากแหว่ง ตาเหล่ แล้วไปชมเขาว่าสวย ลูกออกมาก็เลยสวยอย่างนั้นบ้าง” คำพูดของท่านเรียกเสียงหัวเราะจากคนทั้งกุฏิ “อ้าว นี่พูดจริง ๆ นา อย่าทำเป็นหัวเราะ”

         “จริงค่ะหลวงพ่อ หนูก็เคยเห็นมาแล้ว ที่หน้าวิทยาลัยหนู มีสามีภรรยาคู่หนึ่ง อาชีพขายถ่าน ตัวดำทั้งคู่ แต่ลูกสาวแกสวยมาก ผิวขาวยังกับหยวก คนเขาสงสัยก็พากันไปถามแก แกก็เล่าให้ฟังว่า ตอนแกตั้งท้อง แกเอารูปนางงามมาติดไว้ข้างฝา แล้วก็ดูทุกวันวันละ ๔ เวลาหลังอาหารและก่อนนอน พอลูกแกออกมาก็เลยหน้าตาเหมือนนางงามในรูป เมื่องานฤดูหนาวที่ผ่านมา เขามีการประกวดนางงามประจำจังหวัด ลูกสาวแกได้ที่หนึ่งค่ะ” อาจารย์กุลนทีเป็นคนเล่า ท่านเจ้าของกุฏิจึงสรุปให้ญาติโยมฟังว่า

         “ที่พูดมานี่ไม่ใช่เรื่องเหลวไหลไร้สาระนะ ญาติโยมโปรดจำไว้ กายกรรม วจีกรรม มโนกรรม นั้นมีผล มีวิบาก กฎแห่งกรราทำหน้าที่ของมันตลอดเวลา เพียงแต่ว่ามันจะปรากฏให้เห็นเร็วหรือช้าเท่านั้น เพราะฉะนั้น ถ้าใครกลัวทุกข์ ก็จงทำ จงพูด จงคิด แต่ในสิ่งที่ถูกต้องดีงาม เอาละ แล้วอาจารย์ทั้งสามมีอะไรจะให้อาตมาช่วยหรือเปล่า” ท่านเปิดโอกาสให้สตรีทั้งสาม

         “อาจารย์กวิศญาเขามีปัญหาค่ะหลวงพ่อ” อาจารย์ยุพาพรช่วยเกริ่นให้

         “ว่าไปเลยจ้ะ อาจารย์ว่าไปเลย” ท่านเจ้าของกุฏิกล่าวอนุญาต

         “ให้พี่กุลนทีเล่าดีกว่าค่ะ เพราะเขาเป็นคนทำให้ปัญหาเกิดขึ้น” คนมีปัญหาเกี่ยงเพื่อน

         “ไม่ต้องเกี่ยงกัน เอาละ อาตมาจะเป็นคนตัดสินเอง ในฐานะที่อาจารย์ยุพาพรไม่ใช่คู่กรณี อาจารย์ลองเล่าไปตามความเป็นจริงก็แล้วกัน” เมื่อท่านพูดมาอย่างนี้ อาจารย์สาวจึงจำต้องเล่า

         “เรื่องเป็นอย่างนี้ค่ะหลวงพ่อ อาจารย์กวิศญาเขามาอยู่บ้านเดียวกับหนู เพราะยังไม่ได้บ้าน บ้านพักอาจารย์มีจำกัดค่ะ คนที่บรรจุใหม่จึงต้องรอ หากมีการโยกย้ายหรือมีการแต่งงานระหว่างอาจารย์ด้วยกัน คู่แต่งงานก็ต้องย้ายมาอยู่บ้านหลังเดียวกัน ก็จะมีบ้านว่างหนึ่งหลัง ทางวิทยาลัยก็จะจัดการว่าใครควรจะได้บ้านก่อนใคร

         ระหว่างที่รอบ้าน หนูจึงชวนเขามาอยู่ด้วย ก็อยู่กันสบาย ๆ ไม่มีปัญหาอะไร มาเมื่อสองวันก่อน อาจารย์กวิศญาเขาอยากกินมะม่วงน้ำปลาหวาน เขาก็โขลกกุ้งแห้งเป็นการใหญ่ แล้วจะเป็นเพราะเขาหิวมากหรือเขาแรงมากก็ไม่ทราบ คุณเธอโขลกเสียครกบ้านหนูแตกออกเป็นสองกระบิเลยค่ะ หนูก็บอกเขาว่าไม่เป็นไร แตกก็ซื้อใหม่ได้ ที่ตลาดมีเป็นพะเรอเกวียน เขาก็บอกจะไปซื้อมาใช้ พอดีอาจารย์กุลนทีมาเห็นเข้าเธอตกใจใหญ่ บอกว่าคนทางบ้านเธอเขาถือกันมาก ใครตำน้ำพริกจนครกแตก แสดงว่าคน ๆ นั้นกำลังมีเคราะห์จะต้องสะเดาะเคราะห์ด้วยการอุ้มครกที่แตกนั้นวิ่งรอบบ้านเจ็ดรอบ” อาจารย์สาวพูดเสียงดังฟังชัด

         “อ้อ ทางบ้านอาจารย์ คนเขาถือกันอย่างนี้หรือ” ท่านถามอาจารย์กุลนที

         “ค่ะ”

         “แล้วอาจารย์เชื่อเขาหรือเปล่า” ท่านถามคนทำครกแตก

         “เชื่อเหมือนกันค่ะหลวงพ่อ ก็อยากจะสะเดาะเคราะห์อย่างที่เขาว่า แต่หนูไม่กล้าค่ะ”

         “ทำไมถึงไม่กล้าล่ะ” อาจารย์ยุพาพรตอบแทนว่า

         “เพราะไม่ได้อุ้มครกวิ่งอย่างเดียวค่ะ แต่ต้อง...ต้อง...”

         “ต้องเปลือยกายวิ่งด้วยค่ะ คนเล่า เอามือปิดปากหัวเราะกิ๊ก ๆ คนฟังพากันหัวเราะครืน

         “โอ้โฮ ถึงขนาดนั้นเชียวหรือ” ท่านเจ้าของกุฏิถาม เจ้าของปัญหาจึงว่า

         “นี่แหละค่ะ คือปัญหาของหนู หลวงพ่อช่วยหนูด้วยนะคะ คนมีเคราะห์อ้อนวอน ท่านพระครูส่ายหน้าช้า ๆ แล้ววิจารณ์ซึ่ง ๆ หน้า

         “อาตมาฟังแล้วไม่รู้จะร้องเพลงอะไรดี”

         “เป็นพระร้องเพลงได้หรือคะ” อาจารย์กุลนทีถามซื่อ ๆ คราวนี้ท่านพระครูรู้สึกอยากร้องไห้ นั่งปรับอารมณ์อยู่ประเดี๋ยวหนึ่ง ท่านเจ้าของกุฏิจึงถามขึ้นว่า

         “อาจารย์สอนวิชาอะไร”

         “หนูสอนภาษาอังกฤษค่ะ ส่วนอาจารย์ยุพากับอาจารย์กุลนทีสอนภาษาไทย” อาจารย์กวิศญาตอบ

         “แล้วเรียนจบจากที่ไหน”

         หล่อนบอกชื่อมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง

         “แหม จบจากสถาบันที่มีชื่อเสียงเสียด้วย เสียดายที่อุตส่าห์เป็นถึงบัณฑิตแต่แก้ปัญหาไม่ได้ แค่ทำครกแตกใบเดียวก็แก้ปัญหาไม่ได้ ต้องวิ่งมาหาพระให้ช่วย” สตรีทั้งสามมองตากันปริบ ๆ เมื่อถูก “เทศน์” ต่อหน้าธารกำนัล

         “แล้วเป็นอาจารย์มาได้ยังไง้ น่าสงสารคนที่เป็นลูกศิษย์” สตรีผู้หนึ่งวิจารณ์ในใจ

         “อาจารย์เคยเข้าวัดกันบ้างไหม เคยไปฟังพระเทศน์หรือเปล่า” ท่านเจ้าของกุฏิถามอาจารย์สาว คนชื่อกุลนทีตอบว่า

         “ไม่เคยค่ะ นี่เป็นวัดแรกที่หนูเข้า แล้วก็คงจะเป็นครั้งแรกและครั้งสุดท้ายที่หนูจะเข้าวัด” ตอบตรงไปตรงมา

         “ทำไมล่ะอาจารย์ วัดนี้ไม่ดียังไง”

         “ก็หนูอุตส่าห์พากันมารอคิวตั้งครึ่งวัน เสร็จแล้วยังมาถูกหลวงพ่อว่าเสียอีก หลวงพ่อไม่ช่วยแล้วยังซ้ำเติม” อาจารย์สาวตัดพ้อ

         “จริงด้วย” เพื่อนสาวสองคนสนับสนุน

         “อาจารย์อยากให้อาตมาช่วยหรือเปล่าล่ะ” ท่านถามอาจารย์กวิศญา

         “อยากค่ะ หลวงพ่อช่วยหนูด้วยเถอะค่ะ ไหน ๆ หนูก็อุตส่าห์ดั้นด้นมาขอความเมตตา คุณแม่บอกว่าหลวงพ่อเป็นคนใจดี มีเมตตา หลวงพ่อต้องช่วยแน่ ๆ ค่ะ” หล่อนอ้างมารดา

         “แล้วทำไมคุณแม่เขาไม่ช่วยล่ะ”

         “ไม่ทราบเหมือนกันค่ะ บอกแต่ว่าให้มาหาหลวงพ่อ” ท่านเจ้าของกุฏิให้สงสัยนัก เหตุใดคุณสอาดจึงไม่ช่วยแก้ปัญหาให้ลูก ทำไมจะต้องส่งมาหาท่าน ด้วยความอยากรู้จึงใช้ “เห็นหนอ” เข้าตรวจสอบและก็ได้ทราบว่า เป็นอุบายของผู้เป็นแม่ที่จะชักจูงบุตรสาวให้เข้าวัดนั่นเอง

         “เอาละ ถ้าอย่างนั้นอาตมาจะช่วย อาจารย์สวดมนต์เป็นหรือเปล่า สวดพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ และพาหุงมหากา ได้ไหม”

         “สวดได้สามอย่างแรกค่ะ อย่างหลังสวดไม่ได้ แต่คิดว่าคุณแม่คงสวดได้ค่ะ คำทำวัตรเช้า ทำวัตรเย็น คุณแม่ก็ท่องได้ค่ะ ท่องได้แล้วก็แปลได้ด้วย” น้ำเสียงที่พูดบ่งบอกว่าภาคภูมิใจในมารดายิ่งนัก “แต่หนูสวดไม่เป็นสักอย่างเดียวค่ะ” อาจารย์กุลนทีว่า

         “ทำไมถึงไม่เป็นล่ะจ๊ะ”

         “เพราะไม่เคยสวด แล้วหนูก็ไม่เห็นความจำเป็นของการสวดมนต์ด้วย คนเราถ้ามีความสุขอยู่แล้วก็ไม่จำเป็นต้องสวดมนต์ ไม่จำเป็นต้องเข้าวัด พวกที่เข้าวัดก็คือคนที่มีความทุกข์ มีปัญหา”

         “พูดดี ๆ นะคะอาจารย์ ยังกับว่าตัวเองไม่เคยมีความทุกข์งั้นแหละ” สตรีวัยกลางคนพูดขึ้นอย่างรู้สึกหมั่นไส้เสียเต็มประดา

            “ฉันไม่เคยมีความทุกข์จริง ๆ นะน้า ตั้งแต่เกิดมานี่ยังไม่เคยรู้เลยว่าความทุกข์มันเป็นยังไง นี่ฉันพูดจริง ๆ นะ ไม่ได้พูดยกตนข่มท่านแต่ประการใด” คนไม่รู้จักความทุกข์ว่า

         “สงสัยคงจะมีคนเดียวในโลก” สตรีนั้นพูดประชด

         “อันนั้นฉันไม่รู้ รู้แต่ว่าตัวเองโชคดี พ่อดี แม่ดี ญาติพี่น้อง เพื่อนฝูงดีหมด แล้วฉันก็มีความสุขมาก”

         “เอาเถอะ สักวันก็จะรู้ว่าความทุกข์มันเป็นยังไง คนอย่างอาจารย์นี่ต้องจัดอยู่ในประเภท “ไม่เห็นโรงศพไม่หลั่งน้ำตา”

         “ไม่จริงหรอกน้า บ้านฉันอยู่ติดกับร้ายขายโลงศพ ฉันเห็นโลกศพทุกวันแต่ไม่ยักกะหลั่งน้ำตา แล้วน้าจะมาว่าฉันเป็นคนประเภทนั้นได้ยังไง” อาจารย์สาวโต้ สตรีนั้นโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยง หากก็มิรู้ที่จะโต้ตอบว่ากระไร จึงได้แต่ปลอบใจตัวเองว่า “อย่าไปเถียงกะเขาเลย เขานั้นจบปริญญา ส่วนตัวข้าแค่ ป.๔”

         “แหม อาจารย์เห็นกุฏิอาตมาเป็นสนามโต้วาทีไปเสียแล้ว” ท่านเจ้าของกุฏิ ต่อว่าต่อขานด้วยใบหน้ายิ้ม ๆ

         “ก็ยังดีกว่าเห็นเป็นสนามมวยใช่ไหมคะ” อาจารย์สาวถามยิ้ม ๆ เช่นกัน

         “ดูเถอะ กับพระกับเจ้ายังไม่ยอมลดละ แบบนี้เป็นอาจารย์ได้ยังไง้ น่าสงสารลูกศิษย์จริง” คนจบ ป.๔ พูดกระทบกระเทียบ

         “ถึงว่าซี น้าน่าจะไปเป็นอาจารย์แทนฉันนะ พี่ยุพาพรว่าดีไหม ให้น้าคนนี้ไปเป็นอาจารย์แทนหนูดีไหม” คนจบปริญญาตั้งใจยั่วคนจบ ป.๔

         “ขอโทษนะครับ คุณสามคนเสร็จธุระหรือยัง ถ้าเสร็จแล้วก็เปิดโอกาสให้คนอื่นเขาบ้าง” บุรุษหนึ่งพูดขึ้นอย่างเหลืออด นึกหมั่นไส้แม่สามสาวนี่ตั้งแต่แรกแล้ว ท่านพระครูเห็นว่าอาจารย์สาวสามคนนี้จะต้องถูกคนอื่น ๆ ว่าอีก หากพวกหล่อนยังขืนต่อปากต่อคำกับท่านอยู่ จึงบอกพวกหล่อนว่า

         “เสร็จธุระแล้วใช่ไหม แล้วนี่จะกลับกันยังไง”

         “หนูขับรถมาค่ะ” อาจารย์กุลนทีตอบ”

         “หลวงพ่อยังไม่ได้ตอบปัญหาของหนูเลย” อาจารย์กวิศญาพ้อ

         “ก็ให้ไปสวดมนต์ไง สวมมนต์มาก ๆ แล้วจะเกิดปัญญาแก้ปัญหาได้เอง เอาเถอะให้ลองไปทำดู ได้ผลยังไงค่อยมาบอกทีหลัง” ท่านออกอุบายให้อาจารย์สาวมาวัดอีก

         “พี่ไม่มาเป็นเพื่อนอีกแล้วนะ” คนไม่ชอบเข้าวัดบอก

         “ไม่เป็นไร มากับพี่ก็ได้” อาจารย์ยุพาพรเอื้อเฟื้อ คนทั้งสามจึงกราบท่านพระครูสามครั้ง แล้วลุกออกมาท่ามกลางความรู้สึกโล่งอกโล่งใจของบรรดาผู้มีความทุกข์ทั้งหลาย

         “หลวงพ่อครับ ผมรู้สึกสงสารนักศึกษาวิทยาลัยครูแห่งนั้นเหลือเกินที่มีอาจารย์ปัญญานิ่ม ๆ อย่างนี้ แค่ทำครกแตกก็มีปัญหา ไม่รู้เป็นอาจารย์ได้ยังไง บุรุษผู้มีนิสัยชอบหมั่นไส้ผู้อื่นพูดขึ้น

         “แต่ถึงอย่างไรโยมก็อย่าไปเหมาว่าอาจารย์วิทยาลัยครูเป็นอย่างนี้ทุกคนนะ เพราะคนที่เขาปฏิบัติกรรมฐานเขาก็ไม่เป็นอย่างนี้ พูดก็พูดเถอะ บางคนเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัย เรียนจบด็อกเตอร์มาจากเมืองนอกเมืองนา ก็ยังมาให้ช่วยแก้ปัญหา ตัวเองจบถึงด็อกเตอร์ แต่แก้ปัญหาไม่ได้ ต้องมาให้คนจบมัธยม ๔ แก้ให้ คนประเภทนี้เขาเรียกว่า “ความรู้ท่วมตัวเอาหัวไม่รอด”

         “ความรู้ท่วมหัวเอาตัวไม่รอด ครับหลวงพ่อ” บุรุษนั้นแย้ง ท่านพระครูจึงแก้ว่า

         “มันก็เหมือนกันนั่นแหละโยม การศึกษาสมัยนี้ทำคนให้เป็นก้านไม้ขีด คือหัวโตแต่ตัวลีบ ก็เลยไปไม่ไหว โยมสังเกตไหม เดี๋ยวนี้โรงเรียนเขาไม่สอนเด็กสวดมนต์กันแล้ว สมัยที่อาตมาเป็นนักเรียนนะ ครูเขาให้สวดมนต์ทุกวัน เด็กสมัยก่อนจึงสวดมนต์เป็น สมัยนี้ครูเองยังสวดไม่เป็น นับประสาอะไรกับนักเรียน โยมว่าจริงไหม”

         “จริงครับ ทั้งครูทั้งอาจารย์สวดมนต์ไม่เป็น นักเรียนนักศึกษาก็เลยดำเนินรอยตาม ผมว่าถ้าขืนปล่อยไว้ไม่รีบแก้ไข บ้านเมืองก็จะไปไม่รอดนะครับ” บุรุษนั้นแสดงความคิดเห็น

         “อาตมาว่าเราเลิกพูดเรื่องนี้กันดีกว่า เพราะยิ่งพูดมันก็ยิ่งเครียด เอาเถอะ อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิด ขอให้เราทำหน้าที่ของตัวให้ดีที่สุดก็แล้วกันนะโยมนะ”

         “ครับหลวงพ่อ ประเทศไทยไม่ใช่ของเราคนเดียวจริงไหมครับ”

         “คงจริงมั้ง เอาเถอะโยมอยากจะคิดยังงั้นก็ตามใจ เรื่องความคิดมันห้ามกันไม่ได้ เอาละทีนี้ใครมีอะไรก็ว่าไป”

         สตรีวัยกลางคนคลานเข้ามาหา กราบสามครั้งแล้วรายงานว่า “หลวงพ่อจ๊ะ ลูกสาวฉันมันหนีตามผู้ชายไป พ่อบ้านเขาโกรธมาก เขาวางแผนจะฆ่าลูกเขย ฉันห้ามก็ไม่เชื่อ จะทำยังไงดีจ๊ะ”

         “ไปบอกเขาเลยว่า ถ้าฆ่าติดคุกแน่ หลวงพ่อบอกว่าติดคุกแน่นอน แล้วตายไปก็ต้องตกนรกอีกด้วย จะไปฆ่าเขาทำไม”

         “ก็มันทำให้เสียชื่อ เสียศักดิ์ศรีน่ะจ้ะหลวงพ่อ เขาบอกมันเหยียบจมูกกันแบบนี้ เขายอมไม่ได้ ลูกสาวฉันไม่ก็ไม่ดี เถ้าแก่โรงสีเขามาขอ มันก็ไม่เอาเขา ไปเอาไอ้คนจน ๆ มาทำผัว” คนพูดเคียดแค้น

         “อ้าว ก็เขามาสู่ขอแล้วไม่ให้เขานี่นา ไปดูถูกดูแคลน ว่าเขายากจนข้นแค้น เอาเถอะ อย่าไปรังเกียจรังงอนเขาเลย ถึงเขาจะจนเขาก็เป็นคนดี โยมเชื่ออาตมาสักครั้งนะ แล้วกลับไปบอกพ่อบ้านว่า ยังไง ๆ ก็อย่าไปคิดพรากผัวพรากเมียเขา บาปกรรมเปล่า ๆ เชื่อประเทศไทยเถอะ”

         “แต่พ่อบ้านเขาอยากให้มันแต่งกับเถ้าแก่โรงสีจ้ะหลวงพ่อ”

         “แต่งได้ยังไง ก็เขามีลูกมีเมียแล้ว โยมอยากให้ลูกไปเป็นเมียน้อยเขาหรือไง เป็นเมียหลวงดี ๆ อยู่แล้ว เรื่องอะไรจะให้เขาไปเป็นเมียน้อย” ท่านพูดไปตามที่ “เห็นหนอ” รายงาน

         “แต่เมียเขาหนีตามชู้ไปนะจ๊ะหลวงพ่อ หนีไปกับชู้ซึ่งเป็นทนายความ” ท่านเจ้าของกุฏิช่วยพูดอีกว่า

         “แล้วทนายความก็มีลูกมีเมียแล้ว น่าสมเพชนะโยม ผู้หญิงหลงตัวผู้ชาย ข้างผู้ชายก็หลงเงินของผู้หญิง อาตมาเห็นกฎแห่งกรรมของคนคู่นี้แล้ว น่าสงสารจริง ๆ แต่ก็ช่วยอะไรไม่ได้ เขาทำของเขาเอง เอาละ เรื่องลูกสาวของโยมนั้น เขาได้คู่ดีแล้ว ถ้าไปได้กับเถ้าแก่ อยู่กันไม่ยืด แล้วก็ไม่ต้องไปดูถูกดูแคลนว่าลูกเขยจน อีกห้าปีเขาจะรวย รวยกว่าเถ้าแก่โรงสีเสียอีก โยมสบายใจได้ กลับไปบอกพ่อบ้านเขาอย่างนี้นะ”

         “จ้ะหลวงพ่อ ฉันสบายใจขึ้นเป็นกอง ไม่เสียแรงที่อุตส่าห์มาหา”

         “โยมมาจากไหนล่ะ”

         “จากโคกสำโรงจ้ะหลวงพ่อ”

         “รู้จักคนชื่อจุกหรือเปล่า จุกที่อยู่ตลาดโคกสำโรงน่ะ เห็นเขาว่าถูกรางวัลที่หนึ่ง” ท่านถามถึงคนเป็นหลานสะใภ้

         “รู้จักดีจ้ะหลวงพ่อ อีนังนี่มันขี้เหนียวอย่าบอกใคร ขนาดถูกหวยตั้งห้าแสน มันซื้อรองเท้าไปฝากหลวงน้ามันคู่เดียวเอง”

         “ยังงั้นหรือ” ท่านเจ้าของกุฏิรับทราบ คงไม่จำเป็นต้องบอกหรอกว่าหลวงน้าของ “อีนังนี่” ก็คือตัวท่านนั่นเอง

         แขกคนสุดท้ายกลับไปเมื่อเวลาสองทุ่ม ท่านพระครูเรียกนายสมชาย มาสั่งการว่า

         “พรุ่งนี้ตีสี่เธอไปตลาดกับแม่ครัวเขา ไปซื้อของมาทำบุญเลี้ยงพระ คุณหญิงเขาจะมาเลี้ยงเพล แล้วก็ช่วยชื้อผ้าไตรมาให้ฉันหนึ่งสำรับด้วย เลือกชนิดที่เนื้อดีที่สุดนะไปซี ไปบอกแม่ครัวเขาไว้ก่อน พรุ่งนี้จะได้ไม่ยุ่ง” นายสมชายลุกออกไปแล้ว ท่านเจ้าของกุฏิจึงพูดกับอาจารย์ชิตว่า

         “เจ้ากรรมนายเวรเขาตามมาทวงอีกรายแล้ว”

         “คราวนี้หลวงพ่อจะเป็นอะไรอีกหรือครับ” คนสูงอายุถามอย่างเป็นห่วง

         “ไม่เป็นอะไรแล้ว แต่ต้องเสียเงิน พรุ่งนี้คนขายก๋วยเตี๋ยวจะเอาลูกชายมาฝาก อาตมาจะให้เขาบวชเณรแล้วก็ปฏิบัติกรรมฐาน สักเดือนสองเดือนเขาก็จะรู้ดีรู้ชั่ว แล้วก็จะกลับไปเรียนหนังสืออย่างเดิม อาตมาก็ได้ใช้หนี้คนขายก๋วยเตี๋ยว โยมอยากรู้ไหมว่าหนี้อะไร”

         “หนี้อะไรครับ” บุรุษวัยหกสิบถาม

         “หนี้ค่าก๋วยเตี๋ยว อาตมาโกงค่าก๋วยเตี๋ยวแกทุกวัน วิธีโกงก็คือ ย่องไปขโมยเงินทางด้านหลังแก แล้วเอามาซื้อทางด้านหน้า แกยืนผัดก๋วยเตี๋ยวเหย็ง ๆ พอใครซื้อแกก็เอาเงินเหวี่ยงลงไปในตะกร้าซึ่งวางอยู่บนโต๊ะด้านหลังแก อาตมาก็กินก๋วยเตี๋ยวฟรีทุกวัน แถมบางวันยังหยิบเกินมาเป็นค่าน้ำแข็งใสอีกด้วย” คนเล่าหัวเราะ

         “เคยถูกจับได้บ้างไหมครับ” คนฟังถาม

         “ไม่เคย” ตอบอย่างภาคภูมิใจในความเก่งกาจของตน

         “มือชั้นนี้แล้ว ให้ถูกจับได้ ก๊อเสียชื่อหมด อาตมาเป็นคนดวงดีนะ ดวงทำบาปขึ้น เรื่องถูกจับได้นั้นไม่ต้องพูดถึง”

 

            มีต่อ........๗๐

 
บันทึกการเข้า
ช่างเล็ก(LSV)
Administrator
member
*

คะแนน1346
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 18613


คิดดี ทำดี ชีวิตมีแต่สุข


อีเมล์
« ตอบ #72 เมื่อ: พฤษภาคม 01, 2007, 09:17:28 AM »

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม - ๗๐

 

สุทัสสา อ่อนค้อม

ธันวาคม ๒๕๓๗

S00070
๗๐...

            อาจารย์ชิตกับนายสมชายช่วยท่านพระครูตอบจดหมายอยู่ถึงห้าทุ่ม จากนั้นคนทั้งสองจึงได้รับอนุญาตให้ไปพักผ่านหลับนอน ส่วนท่านเจ้าของกุฏิทำงานคนเดียวต่อไปจนถึงตีหนึ่ง เหลือเวลาอีกหนึ่งชั่วโมงก่อนจำวัด สมภารวัยห้าสิบตั้งใจจะเขียนหนังสือคู่มือการสอบอารมณ์กรรมฐาน ท่านรู้สึกกระหายน้ำเป็นกำลัง จึงเอื้อมมือไปหยิบกระติกน้ำร้อน เพื่อจะนำมาชง “ชา” ดื่ม

            “ชา” ของท่านมิได้ทำจากใบชา หากทำมาจาก ต้นใต้ใบ กับ ต้นไมยราบ สับละเอียดตากแห้ง แล้วชงกับน้ำร้อน ใช้ดื่มต่างน้ำชา นายสมชายเพิ่งจะเติมน้ำร้อนลงไปเมื่อตอนสี่ทุ่ม เมื่อท่านเปิดฝาชั้นนอกของกระติก ก็มีเสียงระเบิดดัง “ฟุ” น้ำร้อนพุ่งออกมาลวกต้นขาท่านจนปวดแสบปวดร้อนทั้งสองขา

            บัดดลท่านนึกถึงนังดำลาย เจ้าแมวเคราะห์ร้ายที่บังเอิญผ่านมาตอนที่ท่านสาดน้ำร้อนออกไปทางหน้าต่าง เมื่อตอนดึกของวันวาน มันส่งเสียงร้อง “แป๊ว” แล้ววิ่งหายไปทางศาลาการเปรียญ ท่าน “ตรวจสอบ” ดูก็รู้ว่า น้ำร้อนไปลวกขาทั้งสองข้างของมันจนเกิดอาการปวดแสบปวดร้อน

            เพียงชั่วคืนเดียว “กรรม” นั้น ก็กลับมาสนองท่านรวดเร็วจนไม่ทันได้ตั้งตัว “นังดำลายเอ๋ย ขอบใจเอ็งมากนะ ที่มาทวงแต่เนิ่น ๆ อย่างนี้ เป็นอันว่าข้าใช้เอ็งแล้ว หมดหนี้หมดสินกันเสียที ชาติหน้าข้าจะไม่เกิดในโลกมนุษย์อีกแล้ว” ท่านรำพึงกับตัวเอง

            อันที่จริง ท่านมีคาถา “ดับพิษร้อน” เพียงแต่สำรวมจิตว่าคาถาแล้วเป่าพรวดลงไปตรงบริเวณที่เป็นอาการปวดแสบปวดร้อนก็จะหายไปในทันที แต่ท่านไม่ยอมทำเช่นนั้น เพราะจะเป็นการเอาเปรียบนังดำลายเกินไป มันทุกข์ทรมานแค่ไหนนานเพียงไร ท่านก็ควรจะ “ใช้คืน” ในอัตราที่เท่าเทียมกันแม้จะได้แผ่เมตตาให้มันไปแล้วเมื่อตอนเช้าก็ตาม

            เจ้าอาวาสวัดป่ามะม่วงหยิบ “ชา” ใส่ถ้วยกระเบื้อง แล้วเทน้ำร้อนลงไป โชคยังดีที่กระติกไม่แตก แล้วก็ยังมีน้ำร้อนเหลืออยู่อีกตั้งเกือบครึ่ง ไม่มีเหตุผลอะไรที่มันจะระเบิด นอกจากว่า ต้องการให้ท่านชดใช้กรรม กรรมที่ทำกับนังดำลายโดยมิได้มีเจตนาแม้สักนิด!

            ภิกษุสูงวัยยกถ้วยชาขึ้นดื่ม รสขมและเฝื่อนของต้นใต้ใบช่วยให้ท่านลืมความปวดแสบปวดร้อนที่ขาลงได้บ้าง ท่านดื่ม “ชา” ชนิดนี้มาได้หลายปีแล้ว และก็รู้ว่า มันเป็นยารักษาโรคมะเร็งได้อย่างวิเศษที่สุด

            แม้จะมีทุกขเวทนาที่บริเวณต้นขาทั้งสองข้าง แต่เจ้าอาวาสวัดป่ามะม่วงยังคงนั่งเขียนหนังสือต่อไป กระทั่งได้ยินเสียงยามเคาะแผ่นเหล็กสองครั้ง จึงเตรียมตัวจำวัด

            ภิกษุวัยห้าสิบเอนกายลงอย่างมีสติ ครั้นศีรษะถึงหมอน จึงหลับตาลงช้า ๆ และแล้วภาพใบหน้าคมคายของอาจารย์สาว ผู้มีนามว่ากวิศญากลับลอยวนเวียนอยู่ในห้วงมโนนึก “มันจะต้องมีอะไรผิดปกติสักอย่าง”

            ท่านรำพึงกับตัวเอง วันหนึ่ง ๆ ท่านรับแขกหลายสิบคน และก็เมตตาช่วยเหลือเขาไปตามกำลังความสามารถ ช่วยแล้วก็แล้ว ไม่เคยเก็บปัญหาของใคร มาติดต่อเป็นการบ้าน เรื่องที่จะนึกโปรดปรานผู้หนึ่งผู้ใดเป็นพิเศษไม่เคยมี บางคนเห็นกันครั้งเดียวก็ไม่เคยเห็นกันอีก หรือบางคนแม้จะเห็นอีก ท่านก็จำไม่ได้เสียแล้ว เพราะเดือนหนึ่ง ๆ ปีหนึ่ง ๆ คนเข้าวัดเป็นพัน ๆ แต่เหตุใดภาพของอาจารย์คนนั้นจึงมาปรากฏในใจท่าน คงจะต้องมีความผูกพันเกี่ยวข้องกันมาอย่างแน่นอน

            “อย่ากระนั้นเลย เราควรจะให้ “เห็นหนอ ช่วยตรวจสอบดู” แล้ว “เห็นหนอ” ก็ทำหน้าที่อย่างแคล่วคล่องว่องไวด้วยการรำลึกนึกย้อนกลับไปยังอดีต...ถอยจากชาติปัจจุบันไป ๓ ชาติ

            เวลานั้น ท่านเกิดเป็นสะใภ้เขา ต้องถูกแม่ผัวกลั่นแกล้งทุกวี่ทุกวันจนหาความสุขไม่ได้ แล้วท่านก็มีลูกสาวถึง ๔ คน แม่ผัวอยากได้หลานผู้ชายก็หาเรื่องใส่ร้ายป้ายสี นางยุยงลูกชายว่า ท่านเป็นหญิงกาลกิณี จึงไม่สามารถมีลูกผู้ชายได้ แรก ๆ สามีท่านไม่เชื่อ ครั้นเมื่อถูกมารดายุยงหนักเข้าก็ชักจะหวั่นไหว บังเอิญท่านตั้งท้องลูกคนที่ ๕ แม่ผัวก็ตราหน้าว่าต้องเป็นลูกสาวอีก

            ครั้นถ้วนกำหนดทศมาส ท่านคลอดลูกออกมาเป็นชาย แม่ผัวดีใจสุดขีดถึงกับช็อคตายไป ท่านจึงถือว่า ลูกชายนำโชคมาให้ ช่างโชคดีที่แม่ผัวตายเสียได้!

         จากชาติลูกสะใภ้ ก็ไปเกิดเป็นแม่ทัพเอกสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย จากชาติแม่ทัพก็มาเกิดเป็นลูกชายของผัวเมียคู่หนึ่ง ซึ่งตั้งบ้านเรือนอยู่ริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา แต่ได้ตกน้ำตายเมื่ออายุยังไม่ครบ ๔ ขวบ ขณะนั้นมีน้องชายอายุสองขวบ และมาในชาตินี้น้องชายคนนั้นมาเกิดเป็นพระบัวเฮียว

            ส่วนลูกคนที่ ๕ ในชาติที่ท่านเป็นสะใภ้เขานั้น มาเกิดเป็นอาจารย์กวิศญา เห็นการเวียนว่ายวกวนอยู่ในวัฏสงสารแล้วท่านก็นึกท้อแท้และเบื่อหน่าย ไม่ปรารถนาจะเกิดอีกแม้แต่ชาติเดียว

            เมื่อภาพยนตร์แห่งภพชาติฉายจบลง เจ้าอาวาสวัดป่ามะม่วงจึงได้คำตอบว่า เหตุใดภาพของอาจารย์สาวจึงลอยวนเวียนอยู่ในห้องมโนนึก สมภารวัยห้าสิบ รำพึงกับตัวเองว่า “โธ่เอ๋ย ไอ้หนูลูกแม่ ทีแม่เกิดเป็นผู้หญิง เอ็งกลับเกิดเป็นผู้ชาย แต่พอแม่มาเกิดเป็นผู้ชาย เอ็งก็มากลายเป็นผู้หญิงเสียนี่ อนิจจัง วะตะสังขารา” ได้คำตอบเป็นที่พอใจแล้ว เจ้าอาวาสวัดป่ามะม่วงก็เข้าสู่ห้วงนิทรารมณ์ และพร้อมที่จะตื่นขึ้นมาทำความเพียรในอีกสองชั่วโมงข้างหน้า

            ฉันเช้าเสร็จ ท่านพระครูก็ลงรับแขก สายใสพาลูกชายมานั่งรอคิวแต่เช้า เห็นหน้าเด็กหนุ่มแล้ว ท่านเจ้าของกุฏิก็รู้ได้ทันทีว่า เด็กคนนี้จะไปได้ดิบได้ดีในภายภาคหน้า แต่ที่เกเรอยู่ขณะนี้ก็เพื่อจะเปิดโอกาสให้ท่านได้ใช้หนี้ค่าก๋วยเตี๋ยวนั่นเอง

            “ลูกชายท่าทางดีนี่นา ไม่เกหรอก” ท่านพูดให้กำลังใจทั้งพ่อและลูก

            “ไม่เกยังไงล่ะครับหลวงพ่อ ก็มันไม่ยอมเรียนหนังสือ” คนเป็นพ่อแย้ง ใจชื้นขึ้นมานิดหนึ่งเมื่อได้ยินว่าลูกชายท่าทางดี

            “ต่อไปก็เรียน เชื่อสิ มาบวชวัดนี้แล้วออกไปดีทุกคน อาตมาดูหน้าขาแล้ว ไม่ใช่คนเกรเรเกเสอะไร ถ้าแกจริงป่านนี้ติดยาเสพติดเรียบร้อยไปแล้ว จริงไหมไอ้หนู” ท่านถามคนอายุสิบแปด

            “ก็ไม่แน่หรอกครับหลวงปู่ ตอนนี้ยังไม่ติด ต่อไปอาจจะติดก็ได้” คนอายุสิบแปดว่า ด้วยเจตนาจะแกล้งคนเป็นพ่อ

            “อย่านาไอ้หนูนา ขืนเอ็งทำยังงั้นก็เท่ากับตกนรกทั้งเป็นเชียวนา แล้วใคร ๆ ก็ช่วยเอ็งไม่ได้ เชื่อหลวงปู่เหอะ”

            “ตกลงหลวงพ่อจะให้มันบวชเมื่อไหร่ครับ” นายใสถาม ใจแป้วเมื่อฟังคำของคนเป็นลูก

            “อีกสามวัน ระหว่างนี้จะให้พระมหาบุญท่านช่วยสอนช่วยฝึกไปก่อน ไม่ต้องห่วง อาตมาจะจัดการให้เรียบร้อย”

            “แล้วผ้าไตรล่ะครับ จะให้ผมซื้อมา หรือว่าจะเอาเงินให้หลวงพ่อไปซื้อ”

            “ไม่ต้องทั้งสองอย่าง อาตมาให้สมชายไปซื้อมาให้แล้ว โยมไม่ต้องทำอะไรทั้งสิ้น ไว้เป็นธุระของอาตมาเอง”

            “ทำไมหลวงพ่อถึงได้เมตตาผมกับลูกมากมายถึงปานนี้ ผมนึกไม่ถึงเลยจริง ๆ ว่าในประเทศไทยยังมีคนดี ๆ เช่นท่านหลงเหลืออยู่ ขอให้หลวงพ่อจงมีอายุยืนยาวนะครับ” นายใสให้ศีลให้พร

            “อาตมาก็ตั้งใจว่าจะอยู่ไปจนกว่าจะตายนั้นแหละโยม” ท่านพระครูตอบยิ้ม ๆ แล้วถามเขาว่า

            “อยากรู้ไหมว่า ทำไมอาตมาถึงต้องดีกับโยมเป็นพิเศษ”

            “อยากครับ ทำไมหรือครับ”

            “เขถิบมาใกล้ๆ อาตมาไม่อยากให้คนอื่นได้ยิน มันเป็นความลับ” บุรุษวัยหกสิบจึงคลานเข้าไปจนชิดอาสนะ ท่านเจ้าของกุฏิก้มลงมากระซิบที่ข้างหูเขาว่า

            “รู้แล้วอย่าเที่ยวไปบอกใครนะ อาตมาต้องการใช้หนี้โยม หนี้ค่าก๋วยเตี๋ยว อาตมาขโมยเงินโยมมาซื้อก๋วยเตี๋ยวโยมกินทุกวัน แล้วจะช่วยอบรมลูกชายให้เป็นการใช้หนี้ ตกลงนะ ห้ามบอกใครนะ”

            “ครับ ผมรับรองว่าจะไม่บอกใคร ถ้างั้นผมลาละครับ ฝากไอ้หนูมันด้วย แล้ววันบวชผมจะมาใหม่” นายใสกราบท่านพระครู แล้วหันไปสั่งลูกชายว่า “ไอ้หนู เอ็งเชื่อฟังหลวงปู่ท่านนะ ท่านใช้ให้ทำอะไรก็ทำ พ่อไปก่อนละ” คนเป็นพ่อลุกออกไปแล้ว ท่านเจ้าของกุฏิจึงถามคนเป็นลูกว่า

            “ไอ้หนู เอ็งกินข้าวเช้ามาหรือยัง”

            “ยังเลยครับหลวงปู่ พ่อแกเร่งซะจนผมกินไม่ทัน” ไอ้หนูวัยสิบแปดตอบ

            “แล้วหิวหรือเปล่าล่ะ”

            “หิวซีครับหลวงปู่ หิวจนไส้กิ่วแล้ว” ลูกชายนายใสว่า

            “งั้นเดี๋ยวให้เขาพาไปกินที่โรงครัว สมชายประเดี๋ยวเธอพาไอ้หนูไปกินข้าว แล้วเอาไปส่งให้พระมหาบุญ บอกช่วยจัดการให้หน่อย อีกสามวันเขาจะบวชเณร” ศิษย์วัดจึงจัดการตามที่ท่านสั่ง เขาเดินนำเด็กหนุ่มไปยังโรงครัว รอจนฝ่ายนั้นรับประทานอาหารอิ่มหนำสำราญแล้วจึงพาไปหาพระมหาบุญ

            สนทนาปราศรัยและแก้ไขปัญหาให้ญาติโยม จนถึงเวลาสิบนาฬิกา ท่านเจ้าของกุฏิจึงบอกพวกเขาว่า

            “อาตมาต้องขึ้นศาลาก่อนนะ ได้เวลาแล้ว ใครไม่รีบกลับก็ขอเชิญไปฟังพระสวดธรรมจักรที่ศาลานะ วันนี้คุณหญิงเขามาเลี้ยงเพล อาตมาเลยนิมนต์พระสงฆ์สวดธรรมจักร เพื่อเป็นสิริมงคลเนื่องในโอกาสวันคล้ายวันเกิดคุณหญิง อาตมาไปละนะ ใครจะฟังก็ตามมา” ท่านลุกจากอาสนะ จัดเครื่องนุ่งห่มให้เรียบร้อยแล้วเดินไปยังศาลา ญาติโยมหลายคนเดินตามท่านไป บางคนก็กลับบ้านเพราะเสร็จธุระแล้ว

            คุณหญิงและคณะมาถึงก่อนเวลาพระสวดเล็กน้อย คณะผู้ติดตามมีไม่มากเท่าครั้งที่แล้ว คงเป็นเพราะรัฐมนตรีไม่ได้มาด้วยนั่นเอง

            “เจริญพร คุณหญิงสบายดีหรือ” ท่านทักทาย

            “สบายดีค่ะ” คุณหญิงตอบ

            “ท่านรัฐมนตรีไม่มาด้วยหรือ”

            “ท่านไปราชการที่จังหวัดเชียงใหม่ค่ะ”

            “อ้าวยังไม่กลับอีกหรือ ไปนานจัง” ท่านนึกไปถึงสาวน้อยหน้าอ่อนที่คนเป็นรัฐมนตรีเอาซ่อนไว้ในรถ มีม่านปิดมิดชิด หากท่านก็ยังอุตส่าห์ “เห็น”

            หากถามเกี่ยวกับรัฐมนตรี คุณหญิงอาจจะรู้ระแคะระคาย ท่านจึงเปลี่ยนเรื่องถาม

            “วันนี้คุณหญิงอายุเท่าไหร่แล้ว”

            “ห้าสิบห้าปีเต็มค่ะ” คนเป็นคุณหญิงตอบ พอดีกับได้เวลาพระสงฆ์เจริญพระพุทธมนต์ เจ้าอาวาสวัดป่ามะม่วงจึงว่า

            “ญาติโยมตั้งใจฟังพระเจริญพระพุทธมนต์นะ อย่าไปคุยกัน ผู้ใดได้ฟังพระสวดธรรมจักรถือว่าเป็นสิริมงคล บางคนฟังแล้วเกิดปัญญา แก้ปัญหาได้ก็มี” จากนั้นพระสงฆ์ก็เริ่มเจริญพระพุทธมนต์ และสวดธรรมจักรตามลำดับ คุณหญิงและคณะตั้งอกตั้งใจฟังเป็นอันดีเพราะต่างก็คิดว่าจะไม่ยอมให้เสียชื่อเหมือนคราวที่แล้ว

            พิธีทำบุญเนื่องในโอกาสวันคล้ายวันเกิดของคุณหญิง เสร็จสิ้นลงเมื่อเวลาใกล้เที่ยง พระภิกษุสามเณรกราบพระรัตนตรัยสามครั้งพร้อมกัน แล้วต่างแยกย้ายไปปฏิบัติกรรมฐานยังกุฏิของตน แต่ท่านพระครูยังไม่ลุกไปไหน

            “ขอเชิญญาติโยมรับประทานอาหารกันให้อิ่มหนำสำราญเสียก่อน เรื่องอื่นค่อยว่ากันทีหลัง” ท่านเชื้อเชิญบรรดาผู้มาร่วมพิธี

            แม่ชีเจียนรับประทานอาหารเสร็จแล้วก็คลานเข้ามานั่งตรงหน้าท่านพระครู กราบท่านสามครั้งแล้วรายงานว่า

            “หลวงพ่อ เมื่อคืนฉันพยาบาลนังหนูส้มป่อยมันเกือบทั้งคืน แทบไม่ได้หลับได้นอนเลยจ้ะ”

            “เขาเปลี่ยนชื่อใหม่เป็นเพชราแล้ว แม่ชีไม่รู้หรอกหรือ”

            “ทราบจ้ะ แต่ฉันมันติดเรียกชื่อเดิม ปากมันเคยจ้ะ”

            “เขาเป็นยังไงล่ะ ไหนลองเล่าไปซิ”

            “คือตอนหัวค่ำ เขาก็ปฏิบัติกรรมฐานตามปกติ พอตกดึกเขาบอกว่าปวดที่ถัน ฉันก็ให้เขาอดทน เขาก็แข็งใจทน แล้วก็ไม่อาละวาดเหมือนก่อน พอปวดหนัก ๆ เข้า เขาเลยร้องไห้ เสร็จแล้วแผลมันแตกจ้ะหลวงพ่อ ทั้งหนองทั้งหนอนไหลออกมาเหละ ๆ จากปากแผล หนอตัวท่านิ้วก้อยฉันเลย ฉันก็เอากระโถนมารอง โอ้โฮ เต็มกระโถนเลย กลิ่นก็เหม็น ฉันก็กำหนด “กลิ่นหนอ กลิ่นหนอ” พอหนองหยุดไหล ฉันก็รินยาให้ดื่ม เขาก็ดื่มแล้วก็หลับไปเลย เช้ามาก็หายเป็นปกติ แผลก็หาย แต่เขายังเพลีย ลุกไม่ขึ้น”

            “เขาหมดกรรมแล้ว เดี๋ยวช่วยไปบอกว่า อาตมาขออนุโมทนาด้วย อีกห้าหกวันก็ให้กลับไปอยู่บ้านได้ แต่ถ้าเขายังอยากจะอยู่ต่อก็ตามใจเขา”

            “จ้ะ แล้วฉันจะบอกเขาให้” เสร็จธุระแล้ว แม่ชีก็กราบสามครั้งแล้วคลานออกมา คุณหญิงคลานเข้าไปแทน

            “คุณหญิงอิ่มเร็วจัง กับข้าวไม่อร่อยหรือไง” เจ้าอาวาสวัดป่ามะม่วงถาม

            “อร่อยมากค่ะหลวงพ่อ แต่ดิฉันปลื้มอกปลื้มใจเสียจนทานไม่ลง”

            “ไม่ใช่เพราะท่านรัฐมนตรีไม่มา ก็เลยทานไม่ลงนะ” ท่านสัพยอก

            “ก็คงมีส่วนค่ะ” คุณหญิงยอมรับ แล้วพูดต่ออีกว่า

            “ทุกทีเคยไปไหนมาไหนด้วยกัน เพิ่งจะครั้งนี้แหละค่ะที่ท่านติดราชการมาไม่ได้” ฟังคนเป็นคุณหญิงพูดแล้วท่านพระครูให้รู้สึกสงสาร เพราะท่านรู้ว่าคุณหญิงไม่รู้ คุณหญิงไม่รู้หรอกว่า “ราชการ” ของผู้เป็นสามีนั้นคืออะไร นายขุนทองคลานเข้ามานั่งใกล้ ๆ คุณหญิง อยากจะดูเครื่องเพชรให้เต็มตาเพราะเห็นเม็ดเป้ง ๆ ทั้งนั้น

            “ขอประทานโทษ คุณหญิงมีบุตรกี่คน” ท่านสมภารเปลี่ยนเรื่องถามเมื่อเห็น “คนปากโป้ง” เข้ามาร่วมวง

            “สองค่ะ หญิงหนึ่ง ชายหนึ่ง กำลังเรียนอยู่เมืองนอกทั้งคู่”

            “อีกหน่อยก็คงจะมีตัวเล็ก ๆ มาให้อุ้มอีกนะฮะ” คนปากโป้งว่า

            “โอ๊ย ไม่ไหวแล้ว ฉันแก่เกินไปแล้ว มีไม่ได้แล้ว” คนเป็นคุณหญิงรีบปฏิเสธ

            “คุณหญิงมีไม่ได้ แต่ท่านรัฐมนตรียังมีได้นี่ฮะ”

            “หา เธอว่าอะไรนะ” คุณหญิงฉุกใจกับคำพูดของชายหนุ่ม

            “ขุนทอง” ท่านพระครูเรียกชื่อหลานชาย นายขุนทองมองหน้าหลวงลุงก็เห็นท่านขยิบหูขยิบตา แต่เข้าไม่เข้าใจจึง “พล่าม” ต่อ

            “จริง ๆ นะฮะคุณหญิง หนูเห็นกะตาเลย”

            “ขุนทอง” คราวนี้ท่านพระครูถอดแว่นออก เพราะคิดว่าหลานชาย คงไม่เห็นตอนท่านขยิบตา

            “อ้าว หลวงลุงหลับตาปริ๊บ ๆ เป็นอะไรหรือเปล่า หรือว่าจะเป็นลมเดี๋ยวนะ หนูจะไปชงยาหอมมาให้” พูดจบก็กุลีกุจอลุกออกไป

            “หมายความว่ายังไงคะหลวงพ่อ” คุณหญิงหันมา “เล่นงาน” ท่านสมภารแทน

            “ไม่มีอะไรหรอกคุณหญิง เจ้าหมอนี่มันธาตุไม่ค่อยจะดี เลยพูดจาเลอะเทอะเปรอะเปื้อนไปหน่อย ไม่มีอะไรหรอก”

            “แต่ดิฉันว่า มันจะต้องมีอะไร หลวงพ่ออย่าปิดดิฉันเลยค่ะ” คนเป็นคุณหญิงพูดเสียงดังกว่าปกติ จนทำให้คนที่กำลังรับประทานอาหารกันอยู่หันมามอง

            “เบา ๆ หน่อยคุณหญิง อาตมาขอร้องเถอะนะ วันนี้ก็เป็นวันมงคลของคุณหญิง จึงควรที่จะต้องทำจิตใจให้ผ่องใสเบิกบาน อะไรที่ไม่ดีไม่งาม ไม่ต้องเก็บเอามาคิด นะคุณหญิงนะ” ท่านพระครูพูดเตือนสติคนเป็นคุณหญิง คิดว่าเสร็จงานนี้แล้ว จะต้องพิจารณาโทษพ่อหลานชายตัวดีสักหน่อย โทษฐานที่นำความลับของผู้อื่นมาเปิดเผย

            “ดิฉันขอโทษค่ะ เอาเถอะเมื่อหลวงพ่อไม่ให้คิด ดิฉันก็จะพยายามไม่คิด” ปากพูดอย่างนี้ หากใจนั้นคิดว่าเสร็จงานนี้แล้วจะต้อง “สัมภาษณ์” พ่อหนุ่มท่าทางกระตุ้งกระติ้งคนนั้นให้รู้ความจริงให้จงได้

            นายขุนทองประคองถาดใบเล็กมีถ้วยกระเบื้องใส่ยาลมซึ่งละลายเรียบร้อยแล้ว มาประเคนท่านพระครู ปากก็ว่า

            “หลวงลุงฉันยาลมหน่อย จะได้รู้สึกดีขึ้น” สมภารวัยห้าสิบจึงจำต้องรับถ้วยยาขึ้นมาดื่ม เพื่อไม่ให้คนเป็นคุณหญิงสงสัย ท่านพูดเบาๆให้หลานชายได้ยินแต่ผู้เดียวว่า “ความรู้สึกของข้าคงจะดีขึ้น ถ้าเอ็งไปให้พ้นหูพ้นตาข้า ไปเลย ไปเฝ้ากุฏิแทนสมชาย แล้วให้เขามาแทนเอ็งที่นี่” หลานชายทำตามคำสั่งผู้เป็นหลวงลุง เขาหายไปสักพัก นายสมชายก็ขึ้นมาบนศาลา ชายหนุ่มยกมือไหว้คุณหญิงแล้วมิได้พูดว่ากระไร ใจนั้นอยากจะถามว่าทำไมท่านรัฐมนตรีจึงไม่มาด้วย แต่ก็เห็นว่าไม่ใช่เรื่องอะไรของตน ท่านจะมาหรือไม่มา มันก็ไม่ใช่กงการอะไรของเขา

            เมื่อรับประทานอาหารกันเสร็จสรรพแล้ว คณะของคุณหญิงก็ค่อย ๆ ทยอยกันมานั่งสนทนากับท่านพระครู คุณหญิงจึงถือโอกาสลุกออกมาทำทีว่าจะไปห้องสุขา ครั้นพ้นสายตาเจ้าอาวาสวัดป่ามะม่วงแล้ว เธอก็เดินไปที่กุฏิ มีคนมารอพบท่านพระครูหลายคน เธอจึงกวักมือเรียกนายขุนทองมาหา

            “คุณหญิงมีอะไรจะใช้หนูหรือฮะ” เขาถาม คุณหญิงยังไม่ตอบ เธอเปิดกระเป๋าถือ หยิบธนบัตรสีแดงออกมาจากกระเป๋าสตางค์สามใบ ส่งให้ชายหนุ่ม

            “เอาไว้ซื้ออะไรที่เธออยากจะซื้อ” คุณหญิงว่า

            หากเป็นนายสมชายจะต้องปฏิเสธ แต่นายขุนทองไม่ใช่นายสมชาย ชายหนุ่มรีบยกมือไหว้ พร้อมกล่าวคำขอบคุณ ใจนั้นกระหยิ่มยิ้มย่อง “คราวนี้อีขุนทองมีเงินดัดผมกะซื้อรองเท้าส้นสูงแล้ว”

            ให้สินบนเรียบร้อยแล้ว คุณหญิงจึงเริ่มเรื่อง นายขุนทองกลัวใครจะมาได้ยิน จึงชวนไปคุยกันที่ศาลาท่าน้ำ แล้วเขาก็เล่าให้คุณหญิงฟังทุกอย่างทุกประการ เหมือนจะให้คุ้มกับค่าเงินค่าจ้างสามร้อยบาทที่คุณหญิงให้! คนเล่าเล่าจบ คนฟังก็เข่าอ่อน มือไม้อ่อนรู้สึกเหมือนใจจะขาดเสียให้ได้ เธอร้องไห้คร่ำครวญพร้อมก่นด่าคนเป็นสามี

         ฮือ ๆ ไอ้แก่นะไอ้แก่ ทรยศกูจนได้ ไอ้งูเห่า เลี้ยงไม่เชื่อง กูอุตส่าห์ช่วยมันวิ่งเต้น เข้าหาผู้หลักผู้ใหญ่ กูก็ทำ กว่าจะได้ขึ้นเป็นรัฐมนตรี กูลำบากจนเลือดตาแทบกระเด็น พอได้ดิบได้ดีมึงก็มาทรยศกู ไอ้เวรห้าร้อย”

            นายขุนทองรู้สึกเสียใจที่ทำให้คนเป็นคุณหญิงต้องร้องไห้ และคนเป็นรัฐมนตรีต้องถูกด่า ไม่รู้ที่จะแก้ตัวอย่างไร จึงส่งเงินสามร้อยบาทคืนให้คุณหญิงเป็นการไถ่โทษ คิดว่ายังไงเสียเธอคงไม่ยอมรับคืน แต่ก็ผิดคาด เพราะคนเป็นคุณหญิงเอื้อมมือมากระชากเงินนั้นไปใส่กระเป๋าของตน ได้เงินคืนแล้วก็ยังไม่หยุดร้องไห้ นายขุนทองจึงปลอบว่า “คุณหญิงอย่าคิดอะไรมากเลยฮะ อีกหน่อยเขาก็เลิกกัน ผู้หญิงที่ไหนเขาจะโง่เอาคนจวนเข้าโลงมาทำผัว”

         “อ้อ นี่มึงว่ากูเหรอ มึงว่ากูโง่เหรอ” เธอแหวเข้าใส่ นายขุนทองตกใจจนอ้าปากค้าง นึกสมน้ำหน้าตัวเองที่อยู่ดีไม่ว่าดี คนเป็นคุณหญิงยังคงรำพันต่อไปว่า

         “ฮือ ๆ กว่ามันจะเลิกกัน กูก็หมดตัวพอดี นี่เงินทองได้มา คงเอาไปบำรุงบำเรออีนั่นหมด คอยดูนะ กูจะต้องสืบให้รู้จนได้ จะถลกหนังมันเอาเกลือทาเชียวละ”

         ค่ำคืนนั้น เมื่ออาคันตุกะกลับไปหมดแล้ว ท่านพระครูจึงเรียกตัวนายขุนทองมาซักฟอก

            เอ็งนี่มันแย่มากนะเจ้าขุนทอง มีอย่างที่ไหน ไปพูดให้ผัวเมียเขาแตกกัน ระวังจะตกนรก คราวหน้าคราวหลังอย่าทำอย่างนี้อีก ได้ยินไหม ข้าอุตส่าห์ถอดแว่นขยิบตาให้ เอ็งก็ยังไม่รู้เรื่อง ยังดีนะที่ข้าไหวทัน จึงใช้ให้เอ็งมาเฝ้ากุฏิแทนเจ้าสมชาย ไม่งั้นความลับแตกแน่ ๆ” นายขุนทองร้องไห้โฮ ๆ ออกมา จนท่านพระครูตกใจ

         “อะไร ว่าแค่นี่ก็ต้องร้องไห้ เกิดจะมีคุณธรรมสูงขึ้นมาเดี๋ยวนี้หรือไง” ท่านประชด

         “มันไม่แค่นี้ซีฮะหลวงลุง มันไม่แค่นี้” คนพูดร้องไห้สะอึกสะอื้น

         “แล้วมันแค่ไหนล่ะ”

         “มันหมดเปลือกเลยฮะ หนูแอบเล่าให้คุณหญิงฟังหมดเปลือกเลย เขาจ้างหนูสามร้อย พอเล่าจบเขาก็เอาเงินคืน  กรี๊ด!

 

            มีต่อ........๗๑

 
บันทึกการเข้า
ช่างเล็ก(LSV)
Administrator
member
*

คะแนน1346
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 18613


คิดดี ทำดี ชีวิตมีแต่สุข


อีเมล์
« ตอบ #73 เมื่อ: พฤษภาคม 01, 2007, 09:18:33 AM »

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม - ๗๑

 

สุทัสสา อ่อนค้อม

ธันวาคม ๒๕๓๗

S00071
๗๑...

            ถึงวันนี้เจ้าหมีก็โตเป็นหนุ่มเต็มตัวเช่นเดียวกับเจ้าโฮมและเจ้าขาว น้องร่วมท้องที่ลืมตาดูโลกในวันเดียวกันกับมัน กิจกรรมสำคัญของเจ้าหนุ่มสามตัวนี้ก็คือ การสอดส่ายสายตาเล็งแลหาคู่ชู้ชม

            บรรดาสาว ๆ ที่นางบุญพาให้สมญาว่า “อีพวกแม่หม้ายผัวทิ้ง” จึงมักพากันมาป้วนเปี้ยนอยู่แถว ๆ กุฏิเพื่อชม้อยชม้ายชายตาให้สามหนุ่มด้วยความสนิทเสน่หา

            เจ้าโฮมกับเจ้าขาวพากันตกหลุมรักหม้ายสาวไปเรียบร้อยแล้ว ตั้งแต่วันแรกที่สบตากัน ยังเหลือก็แต่เจ้าหมีที่ยังไม่พลาดท่าเสียที หรือ ยอมตกร่องปล่องชิ้นกับตัวใด มันคงไม่อยากเป็นมือสองรองใครอื่นให้ต้องเสียชั้นเชิงชาย หรือไม่ก็คงถือคติ “ข้าเป็นหนุ่มทั้งแท่ง ควรหรือจะมากินแตงเถาตาย” หรือว่ามันอาจจะคิดอะไรที่นอกเหนือไปจากนี้ก็ไม่มีใครรู้ได้            แต่ที่รู้แน่ ๆ ก็คือเจ้าหมียังคงครองตัวเป็นโสด ไม่ยุ่งยิ่งสุงสิงกับหม้ายสาวตัวใดให้ต้องเสียความบริสุทธิ์ผุดผ่อง เพราะเหตุนี้ที่ทำให้มันเป็นที่โปรดปรานรักใคร่ของนายขุนทอง ยิ่งกว่าน้องสองตัวของมัน

            ข้อที่น่าสังเกตอีกประการหนึ่งก็คือ เจ้าหมีนั้นดูเหมือนเป็นหมาที่ถือเนื้อถือตัวเป็นพิเศษ ผิดแผกจากหมาทั่ว ๆ ไป กล่าวคือมันจะไม่ทำตัวสนิทสนมกับใครง่าย ๆ ไม่ว่าจะเป็นคนหรือเป็นหมาด้วยกันก็ตาม ยิ่งพวกเด็ก ๆ ด้วยแล้ว ดูจะไม่อยู่ในสายตาของมันเอาเสียเลย แต่ถึงกระนั้นก็ไม่เคยปรากฏว่ามันทำร้ายผู้ใด อย่างมากก็แค่แยกเขี้ยวใส่เท่านั้น

            เป็นวันอาทิตย์ต้นเดือน ท่านพระครูลงรับแขกตามปกติตามตารางที่นายขุนทองเป็นผู้จัดให้ เจ้าหนุ่มสามตัวเหมือนกับจะรู้ล่วงหน้าว่าวันนี้พวกมันจะมี “แขก” มาหา แล้วก็เป็น “แขก” ตัวจริงเสียด้วย

            ผู้หญิงสองคนเดินเข้ามาหยุดยืนอยู่หน้ากุฏิที่เจ้าโฮม เจ้าขาว และเจ้าหมีนอนเรียงรายกันอยู่ คนที่หน้าตาเหมือนแขก หยุดจ้องเจ้าสามหนุ่มด้วยท่าทางเหมือนคนตกตะลึง เพื่อนที่มาด้วยต้องสะกิดให้หล่อนคลานเข้าไปนั่งยังข้างในกุฏิ นั่งลงแล้วหล่อนยังหันไปมองเจ้าสุนัขสามตัวตาไม่กระพริบ จ้องไปจ้องมาน้ำตาหล่อนก็ไหลพราก ๆ อย่างไม่อาจจะกลั้นได้

            เมื่อถึง “คิว” เพื่อนที่มาด้วยกราบท่านพระครูสามครั้ง แต่ตัวหล่อนไม่กราบ ด้วยเหตุผลที่ว่า “หนูกราบหลวงพ่อไม่ได้หรอกค่ะ เพราะหนูเป็นมุสลิม ศาสนาอิสลามเขามีข้อห้ามไม่ให้ศาสนิกกราบไหว้พระหรือนักบวชศาสนาอื่น หลวงพ่อคงไม่ว่าหนูนะ”

            “ไม่ว่าหรอกจ้ะ หลวงพ่อกลับจะชมเชยเสียอีกว่า หนูเป็นคนเคร่งศาสนา ดีกว่าชาวพุทธบางคนที่ไม่เคยเข้าวัดเลยด้วยซ้ำ แต่นี่หนูนับถือศาสนาอื่นก็ยังอุตส่าห์มาวัด”

            “ที่จริงหนูก็ไม่ควรมาหรอกค่ะ เพราะคนที่เขาถือเคร่งจริง ๆ เขาจะไม่มาวัดของศาสนาอื่น แต่หนูไม่เคร่งถึงขนาดนั้น” หล่อนหันไปดูเจ้าหมี เจ้าโฮม และเจ้าขาว ปากก็ถามว่า “หลวงพ่อคะ สุนัขสีดำตัวใหญ่นั่นชื่อเจ้าหมีใช่ไหมคะ”

            “ทำไมหนูรู้ล่ะ ถูกแล้วมันชื่อหมี” ท่านพระครูตอบ

            “ก็เขาไปหาหนูค่ะ” สาวมุสลิมว่า

            “ไปหาที่ไหน นี่หนูมาจากไหนกันจ๊ะ”

            “มาจากบางมดค่ะ บางมดฝั่งธนบุรี” เพื่อนที่มาด้วยถือโอกาสพูดบ้าง

            “แล้วเจ้าหมีไปหาหนูที่ไหนล่ะ หรือว่าไปหาถึงบางมดโน่น” ท่านเจ้าของกุฏิสงสัย

            “ค่ะหลวงพ่อ แต่เขาไปหาในฝันนะคะ ไปกับอีกสองตัวนั่น เรื่องมันแปลกมากเลยค่ะหลวงพ่อ แปลกที่สุดในโลก คนเล่ามีท่าทางตื่นเต้น

            “แปลกยังไงล่ะหนู เล่าให้หลวงพ่อฟังได้ไหม”

            “ได้ค่ะ คือเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว หนูฝันเห็นเขาทั้งสามตัวเลยค่ะ” ผู้ที่นั่ง ณ ที่นั้นพากันหัวเราะและคิดในใจว่าหล่อนเพี้ยน แต่ท่านพระครูไม่คิดเช่นนั้น เพราะหากไม่ใช่เรื่องจริง หล่อนคงไม่ลงทุนมาถึงที่นี่ วัดนี้มักมีเรื่องแปลกประหลาดเกิดขึ้นเสมอ ๆ”

            “เล่าต่อไปสิหนู หลวงพ่อกำลังฟัง” สาวมุสลิมจึงเล่าต่อว่า

            “ในฝันหนูกำลังนั่งร้องไห้ คือ หนูปลูกบ้านให้คนเช่าค่ะหลวงพ่อ แล้วหนูก็ถูกเขาโกงค่าเช่า เขามาเช่าอยู่ พอใกล้จะสิ้นเดือนก็หนีโดยไม่จ่ายเงิน หนูก็ขาดทุนทุกเดือน จนเป็นหนี้เป็นสินเพราะต้องจ่ายค่าน้ำค่าไฟแทนคนเช่า หนูกลุ้มใจนอนร้องไห้ทุกคืน

            เมื่ออาทิตย์ที่แล้วหนูก็นอนร้องไห้จนหลับไป แล้วหนูก็ฝันเห็นเขาทั้งสามตัว เจ้าหมีถามหนูว่า “น้า ๆ ร้องไห้ทำไม” หนูก็ตอบว่าน้าถูกโกงค่าเช่า เขาก็บอก “น้าไม่ต้องร้องไห้หรอก ไปหาหลวงพ่อวัดป่ามะม่วงซี หลวงพ่อท่านช่วยได้” แล้วเขาก็บอกชื่อหลวงพ่อ ชื่อจังหวัด แล้วก็ชื่อเขา พอหนูตื่นขึ้นมา

            ภาพในฝันยังแจ่มชัดอยู่ในความคิด แต่ว่าหนูลืมชื่อจังหวัด หนูจึงไปถามเพื่อน ๆ ที่นับถือศาสนาพุทธว่า มีใครรู้จักวัดป่ามะม่วงบ้าง ก็หาคนรู้จักไม่ได้ บังเอิญเพื่อนคนนี้เขามีญาติซึ่งเคยมาวัดนี้ เขาเลยบอกทางให้ หลวงพ่อต้องช่วยหนูนะคะ” คนเล่าสรุปลงท้ายด้วยการขอความช่วยเหลือ

            ผู้ที่นั่งฟัง และคิดว่าเป็นเรื่องเหลวไหลไม่น่าเชื่อถือกลับพากันเปลี่ยนใจมาเชื่อ เพราะอย่างน้อยเจ้าหนุ่มสามตัวที่นอนเรียงรายอยู่หน้ากุฏิก็เป็นพยานหลักฐานได้เป็นอย่างดี

            “แหม เจ้าหมีมันใจบุญจริง ๆ อุตส่าห์ไปช่วยเขาถึงบางมดโน่น” ท่านพูดกับญาติโยมที่นั่งอยู่เต็มกุฏิ

            “สงสัยว่ามันคงกลัวอาตมาจะไม่มีงานทำ เลยไปช่วยหางานมาให้ เจ้านี่มันสำคัญนัก” ท่านพูดยิ้ม ๆ

            “หลวงพ่อต้องช่วยหนูนะคะ” คนเป็นมุสลิมย้ำ

            “จะให้ช่วยอะไรล่ะจ๊ะ”

            “ช่วยให้คนดี ๆ มาเช่าบ้านหนูจะได้ไม่ถูกโกงค่าเช่าค่ะ”

            “แต่คนดี ๆ นั้นหายากจังนะหนู หายากยิ่งกว่างมเขียงในมหาสมุทรเสียอีก” ท่านเจ้าของกุฏิเปรียบเทียบ

            “งมเข็มค่ะหลวงพ่อ ถ้าเขียงไม่ต้องงม เพราะมันลอยน้ำได้” เพื่อของสาวมุสลิมแย้ง

            “อ้อ ยังงั้นหรือ โอ้โฮ ถ้างมเข็มก็ยิ่งยากเข้าไปใหญ่เลยซีนะ หรือหนูว่ายังไง” ท่านถามคนนับถือศาสนาอิสลาม

            “แต่ถึงจะยากยังไง หนูก็เชื่อว่าหลวงพ่อต้องช่วยได้ค่ะ ไม่งั้นเจ้าหมีเขาคงไม่ลงทุนไปเข้าฝันหนู หลวงพ่อช่วยหนูด้วยนะคะ ได้โปรดเถอะค่ะ” หล่อนวิงวอน

            “เอาละ ช่วยก็ช่วย เจ้าหมีจะได้ไม่เสียหน้า หนูสวดมนต์เป็นไหมล่ะจ๊ะ สวดอิติปิโสได้หรือเปล่า”

            “สวดไม่เป็นค่ะ แล้วก็สวดไม่ได้ด้วย เพราะศาสนาหนูเขาห้าม”

            “แล้วศาสนาของหนูมีสวดมนต์หรือเปล่า”

            “มีค่ะ ก่อนละหมาดเราต้องสวดมนต์”

            “ถ้าอย่างนั้น ก็สวดไปตามที่ศาสนาของหนูสอนก็แล้วกัน พอสวดเสร็จ ก็ให้ตั้งใจแผ่เมตตาให้เจ้ากรรมนายเวร อ้อ ถ้าหลวงพ่อจะให้พระบรมฉายาลักษณ์ของในหลวงรัชกาลที่ ๕ หนูไว้บูชาจะได้หรือเปล่า ศาสนาเขาห้ามไหม”

         “ไม่ห้ามค่ะ ถ้าเป็นในหลวงเขาไม่ห้าม แต่ถ้าเป็นพระถึงจะห้ามค่ะ”

         “งั้นก็ดีแล้ว หลวงพ่อจะให้หนูไปหนึ่งแผ่น หนูเอาไปใส่กรอบไว้บูชานะ แล้วก็อธิษฐานขอพระบารมีของพระองค์ให้ช่วยปกป้องคุ้มครอง ปฏิบัติตามที่หลวงพ่อบอกมานี่นะ ไม่เกินสองเดือนรับรองรู้ผล หนูจะทำได้ไหมล่ะ”

         “ได้ค่ะหลวงพ่อ หล่อนรับคำแข็งขัน แล้วดูเหมือนจะนึกอะไรขึ้นมาได้ จึงพูดขึ้นกับท่านเจ้าของกุฏิว่า

         “หลวงพ่อคะ หนูมีอะไรบางอย่างจะสารภาพกับหลวงพ่อค่ะ”

         “มีอะไรล่ะจ๊ะ จะสารภาพอะไร”

         “คือหนูยอมรับว่า ก่อนหน้านี้หนูไม่เคยนับถือพระเลยค่ะ ไม่ใช่ว่าเพราะหนูนับถือศาสนาอิสลามหรอกนะคะ แต่เพราะหนูไม่เคยเห็นพระดี ๆ สักคนเดียว

            เมื่อก่อนนี้บ้านหนูอยู่ติดกับวัดลุ่ม หนูเห็นพระวัดนั้นเปิดเพลงเต้นร็อคกันทุกวัน หนูเคยโผล่หน้าต่างไปจ้องดูหมายจะให้พวกเขาอาย แต่นอกจากจะไม่อายแล้วเขายักกวักมือเรียกหนู บอก “โยมมาเต้นด้วยกันไหมล่ะโยม” หนูก็ด่าไปว่า ขอโทษนะคะหลวงพ่อ อย่าหาว่าหนูหยาบคายนะคะ” หล่อนหยุดเล่า กล่าวคำขอโทษ แล้วจึงเล่าต่อ

         “หนูก็ด่าไปว่า “ไอ้พระบ้า ไอ้พระลามก” หนูด่าอย่างนี้บาปไหมคะหลวงพ่อ” หล่อนถาม

         “ถ้าจะบาปพระพวกนั้นท่านก็บาปกว่าหนูแหละ เป็นพระเป็นเจ้าไปทำงั้นได้ยังไง” ท่านพระครูตำหนิติเตียน

         “นั่นสิคะ พอหนูด่า ป๊ะหนูได้ยินเลยมาช่วยด่าอีกคน แล้วป๊ะยังขู่ว่าจะบอกตำรวจ พวกเขาก็เลยเลิกเต้น วันต่อ ๆ มา เวลาเขาจะเต้นกันเขาก็จะปิดหน้าต่างมิดชิด ได้ยินแต่เสียงเพลงดังออกมา ป๊ะหนูเขาเกลียดพระมากเลยค่ะหลวงพ่อ ป๊ะว่า “พวกพระน่ะเก่งอยู่สองอย่างเท่านั้น คือดูหมดกับให้หวย นอกนั้นไม่ได้เรื่องซักอย่าง”

         “แต่พระวัดนี้ไม่ได้เป็นอย่างที่ป๊ะหนูว่านะ เมื่อก่อนหลวงพ่อก็เคยดูหมอเหมือนกัน แต่เลิกไปร่วมยี่สิบปีแล้ว ส่วนเรื่องให้หวยหลวงพ่อไม่เคยทำ วันหลังหนูชวนป๊ะมาด้วยซีหนู บอกหลวงพ่อให้มาพิสูจน์ว่า พระวัดนี้ไม่เหมือนวัดอื่น นะหนูนะ”

         “ป๊ะคงไม่มาหรอกค่ะ เพราะเขาเคร่งศาสนามาก ไปประกอบพิธีฮัจญ์ที่เมืองมักกะฮ์ทุกปี นี่ถ้าป๊ะรู้ว่าหนูมาวัดคงโกรธน่าดูเลย” แล้วหันไปกำชับเพื่อนสาวว่า “นิด เธอต้องปิดเป็นความลับนะ ห้ามบอกป๊ะฉันเป็นอันขาด”

         “ตกลง แต่เธอต้องให้สินบนฉันนะ” เพื่อนหล่อนว่า

         “หลวงพ่อคะ คนที่นับถือศาสนาพุทธ เขาชอบเรียกสินบาท คาดสินบนอย่างนี้หรือคะ” สาวมุสลิมถามท่านพระครู

         “ก็ไม่ทุกคนหรอกหนู ที่เขาดี ๆ ก็มี แต่หนูอาจจะโชคร้ายสักหน่อยที่มาเจอแบบนี้”

         “แหม หลวงพ่อ หนูพูดเล่นต่างหากล่ะคะ” คนเป็นพุทธแก้ตัว

         “แต่ถ้าได้จริง ๆ ก็ดีใช่ไหมล่ะ” ท่านพูดแทงใจดำ

         “ก็ดีเหมือนกันค่ะ โธ่ หลวงพ่อคะ ใครบ้างไม่อยากได้เงิน” หญิงสาวพูดตรง ๆ เพราะไม่มีเหตุผลอะไรที่จะต้องพูดอ้อมค้อม

         “เสร็จธุระแล้วหนูถือโอกาสลาหลวงพ่อละค่ะ” หล่อนเอ่ยปากลาหากมิได้กราบ ด้วยเกรงจะขัดต่อคำสอนในศาสนาของตน ส่วนเพื่อนหล่อนกราบท่านพระครูสามครั้งแต่มิได้เอ่ยปากลา ผู้หญิงสองคนลุกออกไปแล้วผู้ชายหนึ่งคนก็ถามขึ้นว่า

         “เป็นไปได้หรือครับหลวงพ่อที่สุนัขจะไปเข้าฝันคน”

         “โยมไม่เชื่อใช่ไหม” ท่านเจ้าของกุฏิย้อนถาม

         “เชื่อครับ แต่ก็อยากได้รับคำยืนยันจากหลวงพ่อเพื่อความมั่นใจ” บุรุษนั้นตอบ

         “ถ้าอย่างนั้นอาตมาก็ขอยืนยันว่า เจ้าหมีมันไปเข้าฝันแม่หนูคนนั้นจริง ๆ โยมอาจจะสงสัยว่ามันเป็นหมาทำไม่ถึงทำได้ ที่มันทำได้เพราะชาติที่แล้วมันเกิดเป็นคน ญาติโยมอยากรู้เรื่องราวของเข้าหมีไหมล่ะ อาตมาจะเล่าให้ฟัง อยากฟังไหม”

         “อยากฟังค่ะ”

         “อยากฟังครับ” สตรีและบุรุษที่นั่ง ณ ที่นั้นตอบพร้อมกัน ท่านเจ้าของกุฏิจึงว่า

         “ตกลง เมื่ออยากฟัง อาตมาก็จะเล่า แต่ก่อนอื่นญาติโยมจะต้องเชื่อเรื่องภพชาติ เรื่องการเวียนว่ายตายเกิดว่า เราต้องเวียนตายเวียนเกิดกันไม่รู้ว่ากี่ร้อยกี่พันชาติ เกิดเป็นมนุษย์บ้างเป็นเดรัจฉานบ้าง เป็นเทพยดาบ้าง แล้วแต่กรรมที่ทำ เรื่องการเวียนว่ายนี้ มีหลักฐานปรากฏชัดเจนในคัมภีร์พระไตรปิฎก ญาติโยมคงจำกันได้ว่า ในวันเพ็ญเดือนวิสาขะ ซึ่งเป็นวันที่พระพุทธองค์ ตรัสรู้พระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณนั้น ขณะทรงบำเพ็ญเพียรอยู่ภายใต้ต้นอัสสัตถพฤกษ์

         ในยามต้นทรงบรรลุปุพเพนิวาสานุสสติญาณ คือทรงระลกชาติแต่หนหลังได้ อันนี้เป็นหลักฐานยืนยันว่าการเวียนว่ายตายเกิดนั้นมีจริง เราไม่ได้เกิดหนเดียวตายหนเดียวอย่างที่พวกวัตถุนิยมเขาเชื่อกัน แต่ทีนี้ทำไมบางคนถึงระลึกชาติได้ ทำไมบางคนระลึกชาติไม่ได้ อันนี้ก็ขึ้นอยู่กับระยะเวลาที่เขาไปเกิด เช่น สมมุติว่า นาย ก. ตายไปตกนรก พอหมดกรรมจากนรก ก็ไปเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน จากสัตว์เดรัจฉานมาเกิดเป็นมนุษย์อีก ถ้าเป็นอย่างนี้เขาจะระลึกชาติไม่ได้ คือจำชาติที่เคยเกิดเป็นนาย ก. ไม่ได้ เพราะระยะเวลาที่จะมาเป็นมนุษย์อีกนั้นมันถูกคั่นด้วยการไปเกิดในนรกกับไปเกิดเป็นเดรัจฉาน

         ทีนี้สมมุติอีกคนหนึ่ง สมมุติว่านาย ข. เกิดเป็นมนุษย์ พออายุได้ยี่สิบปี ก็ตายเพราะอุบัติเหตุหรืออะไรก็แล้วแต่ เมื่อตายก็ได้ไปเกิดเป็นมนุษย์อีก เมื่อเขาเริ่มรู้ประสา เขาจะจำชาติที่แล้วของตัวได้ เพราะช่วงของระยะเวลาที่เกิดเป็นมนุษย์มันสั้นและต่อเนื่องกัน จึงทำให้เขาจำอดีตได้ เปรียบเทียบให้ใกล้ตัวเข้ามาอีก เช่น อย่างกับตัวเรานี่นะ เหตุการณ์ที่เกิดกับตัวเราเมื่อวานนี้ กับเหตุการณ์ที่เกิดกับตัวเราเมื่อยี่สิบปีที่แล้ว โยมคิดว่าโยมจะจะอันไหนได้ ที่เกิดเมื่อวาน หรือที่เกิดเมื่อยี่สิบปีที่แล้ว”

         “ที่เกิดเมื่อวานค่ะ” สุภาพสตรีผู้หนึ่งตอบ

         “ถูกแล้ว เราจะจำสิ่งที่ใกล้ตัวได้ก่อนสิ่งที่ไกลตัว ทีนี้ในกรณีของเข้าหมีก็เหมือนกัน นี่อาตมาเคยสัมภาษณ์มันแล้วนะ มันรู้ภาษาคน เพราะชาติที่แล้วมันเคยเกิดเป็นคน เพียงแต่มันพูดไม่ได้เท่านั้น”

         “ในเมื่อมันพูดไม่ได้ แล้วหลวงพ่อสัมภาษณ์มันได้ยังไงล่ะครับ” บุรุษหนึ่งสงสัย

         “โยมอยากรู้จริง ๆ หรือว่าทำไมอาตมาถึงพูดกับมันรู้เรื่อง ทั้ง ๆ ที่มันพูดไม่ได้

“อยากรู้ครับ” เขาตอบ

“ไม่ยากหรอกโยม เพราะถึงมันจะพูดไม่ได้ แต่เราก็ไม่จำเป็นต้องใช้ภาษาพูด อาตมาใช้ภาษาจิตสัมภาษณ์มัน อย่าลืมนะ ภาษาจิตนี่เป็นภาษาสากล ถ้าต่างคนต่างฝึกจิตจนถึงขั้นสื่อสารกันได้ ถึงจะต่างชาติต่างภาษาก็คุยกันรู้เรื่อง ถ้าโยมอยากพิสูจน์เรื่องนี้ก็ต้องพยายามฝึกจิตด้วยการเจริญวิปัสสนากรรมฐาน ถ้าจิตถึงขั้นนะ โยมก็จะสามารถพูดกับคนต่างชาติได้”

“แบบนี้ก็แปลว่า เจ้าหมีมันต้องฝึกจิตด้วยใช่ไหมครับ มันถึงคุยกับหลวงพ่อรู้เรื่อง” บุรุษนั้นถามอีก

“เป็นเดรัจฉานทำอย่างนั้นไม่ได้หรอกโยม เพราะการเกิดเป็นเดรัจฉาน ถือว่าเกิดในอบายภูมิ หมดโอกาสที่จะประกอบกุศลกรรม แต่ทีนี้ที่เจ้าหมีมันทำได้ เพราะมันมี “สัญญา” คือการจำได้หมายรู้ มันมีสัญญาติดตัวหลงเหลือมาจากชาติที่เป็นมนุษย์ จึงสามารถฟังภาษามนุษย์ได้รู้เรื่องทั้งที่พูดไม่ได้ มันก็เป็นเรื่องแปลกนะ แปลกแต่จริง”

“แล้วมันเล่าให้หลวงพ่อฟังว่ายังไงบ้างครับ” คนถามอยากรู้

“มันเล่าว่า เมื่อชาติที่แล้วก่อนที่มันจะมาเกิดเป็นสุนัข มันเกิดเป็นมนุษย์แล้วก็เป็นมรรคทายกของวัดนี้มาก่อน และที่ต้องมาเกิดเป็นสุนัข เพราะกรรมที่มันชอบไปเรี่ยไรเงินคนเขามาทำบุญ เรี่ยไรเก่งมาก แต่ตัวเองไม่เคยเรี่ยไรตัวเองเลย

แม้มันจะทำบุญแต่ก็เป็นเงินของคนอื่น ไม่ใช่เงินของตัวเอง ในที่สุดมันก็เลยต้องมาเกิดเป็นสุนัข แต่เรื่องกรรมมันซับซ้อนนะโยม มันซับซ้อนมาก เจ้าหมีมันจะต้องมีกรรมอื่นมาส่งผลด้วย บวกกับกรรมที่ไปเอาเงินคนอื่นมาทำบุญ จึงทำให้ต้องมาเกิดในอบายภูมิ คือมาเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน มันไม่ได้เกิดที่วัดนี้หรอก แต่หลานชายของอาตมาเอามันมาจากบ้านเขาซึ่งอยู่คนละอำเภอ พอมันมาอยู่ที่วัดนี้มันก็จำได้ เพราะเคยอยู่มาแต่ครั้งอดีตชาติ”

ท่านไม่ได้บอกพวกเขาว่าก่อนที่มันจะมาเกิดเป็นมรรคทายก ได้เกิดเป็นทหารคนสนิทของท่านในชาติที่ท่านเป็นแม่ทัพ ที่ไม่บอกเพราะไม่เห็นความจำเป็นที่จะต้องบอก คนที่เขาไม่เชื่อเรื่องอย่างนี้จะพากันคิดว่าท่านเพี้ยน

“เอาละ ยุติเรื่องเจ้าหมีกันได้แล้ว และอาตมาก็อยากจะบอกกับญาติโยมว่า ถ้าใครอยากระลึกชาติได้ก็ให้หมั่นเจริญกรรมฐาน ถ้าระลึกชาติได้เมื่อไหร่ เมื่อนั้นโยมจะรู้ว่า การเวียนว่ายตายเกิดนั้นมันเป็นทุกข์ ไม่ว่าจะเกิดเป็นอะไรก็ทุกข์ทั้งนั้น อาตมาตั้งจิตอธิษฐานไว้เลยนะว่าขออย่าให้ต้องเกิดอีก จะเกิดเป็นมนษย์หรือเป็นเทวดาก็ไม่ต้องการทั้งนั้น แต่ก็นั่นแหละ ถ้ากรรมยังไม่สิ้นก็จำเป็นจะต้องเกิดอีก ไม่ว่าจะอยากเกิดหรือไม่อยากก็ตาม เอาละ ใครมีอะไรจะปรึกษาหารือก็เชิญ”....

 

            มีต่อ........๗๒

 
บันทึกการเข้า
ช่างเล็ก(LSV)
Administrator
member
*

คะแนน1346
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 18613


คิดดี ทำดี ชีวิตมีแต่สุข


อีเมล์
« ตอบ #74 เมื่อ: พฤษภาคม 01, 2007, 09:19:35 AM »

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม - ๗๒

 

สุทัสสา อ่อนค้อม

ธันวาคม ๒๕๓๗

S00072
๗๒...

วันเสาร์ที่ ๒๙ มิถุนายน ท่านพระครูได้รับนิมนต์จากนายแพทย์สมเจตนา ให้ไปทำพิธีเปิดป้ายร้านเสริมสวยที่ในตัวจังหวัด นายสมชายขับรถพาท่านออกจากวัดป่ามะม่วงตั้งแต่เจ็ดนาฬิกา รถแล่นออกประตูวัดมาแล้ว ผู้ที่ทำหน้าที่เป็นคนขับก็ชวนคุย

“หมอสมแกนึกยังไงถึงหันมาเปิดกิจการร้านเสริมสวย อาชีพหมอก็รวยอยู่แล้ว จริงไหมครับ”

“ถ้าเธออยากรู้ก็ลองถามเขาดูสิ ไปถึงบ้านงานก็ถามเขาเลยนะ มาถามฉัน ฉันจะไปรู้อะไร”

“แต่ถ้าหลวงพ่อจะรู้ก็รู้ได้ หลวงพ่อรู้ได้ทุกอย่างที่อยากรู้” ศิษย์วัดว่า

“บังเอิญเรื่องนี้ฉันไม่อยากรู้ ก็เลยไม่รู้” สมภารวัยห้าสิบพูดขรึม ๆ

“หรือครับ ไม่รู้ก็ไม่เป็นไรครับ” ชายหนุ่มวางท่าขรึมบ้าง หากก็ทำได้ไม่นาน เพราะรู้สึกเหมือนท้องจะแตก จึงต้องพูดขึ้นว่า

“ไม่รู้หมอสมแกจะอยากรวยไปถึงไหน ทั้งทำงานโรงพยาบาล ทั้งเปิดคลินิค และยังจะมาเปิดร้านเสริมสวยอีก นี่แหละน้าคนโบราณเขาถึงว่า “คนรวยก็รวยเสียเหลือล้น คนจน ก็จนเสียเหลือหลาย” เช่นนายสมชายเป็นต้น จนเสียจนไม่มีเงินจะแต่งงาน” ชายหนุ่มพูดไปเรื่อย ๆ เห็นท่านพระครูไม่พูด เขาจึงพูดต่ออีกว่า

“ลูกเมียหรือก็ไม่มี ยังจะงกอีก ได้ยินเขาเล่ากันว่า แกเคยแต่งงานนะครับ เมื่อยี่สิบกว่าปีก่อนโน้น แกเคยแต่งงานกับลูกสาวเจ้าของโรงสี แต่ยังไงไม่ทราบ อยู่กันแค่อาทิตย์เดียว ก็หย่ากันเสียแล้ว แกก็เลยครองตัวเป็นพ่อหม้ายเนื้อหอมมาจนบัดนี้” แม้ท่านพระครูจะไม่พูด หากท่านก็ฟัง และ “รู้” ว่านั่นเป็นเพราะ “กรรม” กรรมตัวเดียวเท่านั้นที่บันดาลให้เหล่าสัตว์ต้องมีอันเป็นไป

“ใจคอหลวงพ่อจะให้ผมพูดอยู่คนเดียวอย่างนี้หรือครับ” นายสมชายถามภิกษุวัยห้าสิบที่นั่งเด่นเป็นสง่าอยู่เบื้องหลังเขา

“ชอบไม่ใช่หรือ”

“จะว่าชอบก็ไม่เชิง แต่ครั้นจะว่าไม่ชอบก็ไม่ใช่ เพราะฉะนั้นผมก็เลยไม่ทราบจะตอบหลวงพ่อยังไงดี หรือว่าหลวงพ่อจะให้ผมตอบว่ายังไงดีครับ” ชายหนุ่มยั่ว

“งั้นก็ไม่ต้องตอบ” ท่านพระครูพูดตัดบท

“แต่ผมอยากตอบนี่ครับ อยากตอบ แต่ไม่รู้จะตอบยังไง” คราวนี้เขายวน

“ฉันก็ไม่รู้ว่า จะช่วยเธอยังไงเหมือนกัน” ท่านยวนบ้าง

“แต่ถ้าหลวงพ่อตั้งใจจะช่วย ถึงไม่รู้ก็ช่วยได้นี่ครับ คือช่วยทั้ง ๆ ที่ไม่รู้”

“รู้สึกว่าเธอจะพูดมากไปแล้วนะ พูดมากปากไม่ได้พักผ่อน”

“ไม่เป็นไรครับ ปากผมยังหนุ่มยังแน่น ถึงไม่ได้พักผ่อนก็ยังแข็งแรง หลวงพ่ออย่าห่วงมันเลย ห่วงผมดีกว่า”

“เธอมีอะไรให้ห่วงล่ะ”

“ก็เรื่องห่วงไงครับ ผมอยากได้ห่วงสักห่วงมาผูกคอ แต่ไม่มีเงินไปซื้อครับ หลวงพ่อสัญญาว่าจะช่วย ป่านนี้ยังไม่มีวี่แววเลย หลวงพ่อลืมหรือยังครับ ที่เคยให้คำมั่นสัญญาไว้กะผมน่ะครับ” คำพูดของศิษย์วัดทำให้ท่านพระครูนึกขึ้นได้ว่ายังไม่ได้อธิษฐานจิต “ช่วย” ให้ชายหนุ่มได้แต่งงานสมความมุ่งมาดปรารถนาดังที่ได้สัญญาไว้กับเขา

“ถ้าเธอไม่เตือนก็คงจะลืมไปแล้ว เอาละ คืนนี้จะจัดการให้ ทีนี้ก็หยุดพูดได้แล้ว ฉันจะหลับละ” แล้วท่านจึงนั่งหลับตา กระทั่งรถแล่นมาถึงบ้านงาน

พิธีทำบุญเลี้ยงพระสิ้นลง เมื่อเวลา ๙.๑๙ นาฬิกา จากนั้นเป็นพิธีเปิดป้ายร้านเสริมสวย เมื่อพระสงฆ์ ๘ รูป ที่นิมนต์มาจากวัดอื่นขึ้นต้นสวด “ชะยันโต” เจ้าภาพคือ  นายแพทย์สมเจตนา จึงนิมนต์ท่านพระครูไปช่วยเจิมหน้าห้องเสริมสวย

เขาถือขันจอกทองเหลืองใบจิ๋ว ซึ่งวางอยู่บนพานทองเหลือง มี “ลิ้นพาน” รอง ในขันบรรจุ “แป้งเจิม” ซึ่งทำจากดินสอพองบดละเอียด ผสมกันน้ำมันจันทน์ เดินนำท่านพระครูไปยังห้องเสริมสวย เจิมห้องแรกเสร็จ เขาก็นิมนต์ไปเจิมห้องอื่น ๆ อีก ทั้งหมดนับได้ถึง ๗ ห้อง

สมภารวัดป่ามะม่วงรู้สึกแปลกใจว่า เหตุใด “ห้องเสริมสวย” จึงมีหลายห้องนัก แถมมีเลขที่ห้องเรียงลำดับจากหนึ่งถึงเจ็ดติดไว้ที่หน้าประตูของห้องอีกด้วย เมื่อเจิมเสร็จท่านจึงเดินกลับมายังห้องโถงที่ใช้ทำพิธี พวกหนุ่ม ๆ หน้าตาดีหลายคนพากันมากระเซ้าพลางหัวเราะคิกคัก คนหนึ่งถามขึ้นว่า

“หลวงพ่อไปทำอะไรในที่นั่นครับ คนเป็นพระเขาไม่ไปตรงนั้นกันหรอก” เขาหมายถึง “ห้องเสริมสวย”

“เขาให้ไปเจิมห้องเสริมสวย” คำตอบของท่าน ทำให้พวกหนุ่ม ๆ หัวเราะครืน คนเดิมพูดอีกว่า

“หลวงพ่อถูกหลอกซะแล้ว”

เจ้าอาวาสวัดป่ามะม่วงนึกเอะใจ ท่าทางจะไม่ชอบมาพากลเสียแล้ว ท่านจึงกำหนด “เห็นหนอ เห็นหนอ นั่นมันห้องอะไรหนอ” แล้วท่านก็ต้องตกใจเมื่อรู้ว่าอะไรเป็นอะไร “ตายแล้วหนอ นั่นมันซ่องนี่หนอ ซ่องโสเภณีหนอ เราถูกหมอสมเจตนาหลอกให้มาเปิดป้ายสำนักโสเภณีเสียแล้วสิหนอ” ท่านมองหน้านายแพทย์สมเจตนาคล้ายจะถามว่า “นี่มันอะไรกัน” หากฝ่ายนั้นทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้

เมื่อท่านกลับมานั่งที่เดิมแล้ว เจ้าภาพจึงถวายจตุปัจจัยไทยธรรมแด่พระสงฆ์ ๙ รูป และรับพร เสร็จแล้วพระ ๘ รูปก็พากันกลับวัด ท่านพระครูยังไม่ยอมกลับ เพราะต้องการจะ “ผ่าตัด” คนเป็นหมอผู้ซึ่งผ่าตัดคนอื่นเขามามากแล้ว ถึงคราวที่ตัวเองจะต้องถูกผ่าตัดบ้างละ

ส่งพระสงฆ์และแขกเหรื่อกลับไปแล้ว เจ้าภาพก็มานั่งพับเพียบอยู่ต่อหน้าท่านพระครู

“ไงคุณหมอ นึกยังไงถึงต้มอาตมาเสียเปื่อยเลย เห็นอาตมาเป็นไก่ไปแล้วหรือไง”

“โธ่หลวงพ่อครับ ก็เพราะผมเคารพนับถือหลวงพ่อ หลวงพ่อเป็นพระสุปะฏิปันโน เป็นผู้มีศีลบริสุทธิ์ ผมก็เลยอยากให้หลวงพ่อมาทำพิธีเปิด กิจการจะได้รุ่งโรจน์เรืองรองสืบไปในภายภาคหน้า” คนเป็นหมอสาธยาย

“แต่คุณหมอกำลังจะทำให้ “ศีลบริสุทธิ์” ของอาตมาต้องด่างพร้อย นี่โชคดีนะที่อาตมาไม่รู้เห็นเป็นใจด้วย ไม่งั้นต้องอาบัติแน่ ๆ คุณหมอนะคุณหมอ ไม่น่าทำอาตมาเลย” ท่านตัดพ้อต่อว่า

“ผมกราบขอโทษครับหลวงพ่อ ขอโทษมาก ๆ เลย” เขาก้มลงกราบหนึ่งครั้ง

“ยังไม่แค่นี้นะ โทษของคุณหมอยังมีอีก รู้หรือเปล่าคุณหมอกำลังประกอบ “มิจฉาอาชีวะ” การค้ามนุษย์ไม่จัดว่าเป็นสัมมาอาชีวะ อาตมาไม่เข้าใจว่าทำไมคุณหมอต้องทำอย่างนี้ พูดกันตรง ๆ เลยนะ อาตมาขอตำหนิว่าคุณหมอช่างโลภมากเหลือเกิน เท่าที่มีอยู่ยังไม่พออีกหรือ ได้ชื่อว่าร่ำรวยที่สุดของจังหวัดนี้ยังไม่พอใจหรือ”

“พอใจครับหลวงพ่อ ตัวผมน่ะพอใจในสิ่งที่ผมมี ผมเป็น ไม่เคยทะเยอทะยานหรอกครับ แต่ที่ต้องทำอย่างที่หลวงพ่อเห็นก็เพราะมันจำเป็นต้องทำครับ”

“จำเป็นยังไง พอจะบอกอาตมาได้หรือเปล่า”

“ได้ครับ คือมันเป็นความประสงค์ของพวกเด็ก ๆ เขา เขามาอ้อนวอนก็เลยต้องตามใจเขา

“เด็ก ๆ ไหน”

“ก็พวกหนุ่ม ๆ ที่นั่งหน้าตาสลอนอยู่นี่ไงครับ ถ้าผมไม่ตามใจพวกเขา เขาก็จะพากันทิ้งผมไป” หมอ สบตากับท่านพระครูเหมือนจะขอความเห็นใจ เจ้าอาวาสวัดป่ามะม่วงเห็นแววตาที่บ่งบอกถึงความอ้างว้างว้าเหว่ ก็เข้าใจความรู้สึกของเขา ท่านนึกในใจว่า “ดูเอาเถอะ พระพุทธองค์ทรงสอนให้ยึดพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งที่ระลึก แต่ตาหมอคนนี้กลับมายึดพวกหนุ่ม ๆ ช่างน่าสังเวชใจเสียจริง” ต่อเมื่อเห็น “กฎแห่งกรรม” ของบุรุษตรงหน้าท่านแล้ว ท่านก็เข้าใจ ไม่นึกตำหนิติเตียนเขาอีก

         “แล้วพวกสาว ๆ ที่จะมาบริการแขกล่ะ ตอนนี้ไปอยู่กันที่ไหน” ท่านหมายถึงบรรดา”คุณตัว” ทั้งหลาย

         “ช่วยกันล้างถ้วยชามอยู่ในครัวบ้าง ต้อนรับแขกบ้างครับ” ท่านพระครูมองลงไปที่สนามหน้าบ้านซึ่งกางเต๊นท์ตั้งโต๊ะอาหารไว้บริการแขกเหรื่อที่มาร่วมงาน มีสาวสวยสามสี่คนทำหน้าที่เป็นบริกร

         “ตอนนี้มีทั้งหมดกี่คน”

         “เจ็ดครับ มีห้องแค่เจ็ดห้อง เลยรับได้แค่เจ็ดคน ก็ผมเรียนหลวงพ่อตั้งแต่แรกแล้วว่าไม่ได้ตั้งใจจะยึดเป็นอาชีพ แต่ทำเพื่อจะเอาใจพวกเด็ก ๆ เขา” คนเป็นหมอว่า

         “อ้าว ก็เมื่อกี้คุณหมอพูดอยู่หยก ๆ ว่าที่เชิญอาตมามาทำพิธีเปิดก็เพื่อจะให้กิจการรุ่งโรจน์เรืองรอง เสร็จแล้วกลับมาว่าไม่ได้ตั้งใจจะยึดเป็นอาชีพ เอ๊ะ มันยังไงกันแน่ อาตมาชักงงแล้วนะ”

         “ผมเองก็งงเหมือนกันครับ คือ ผมหมายความว่าผมไม่ได้หวังรวยจากกิจการนี้ แต่ก็อยากให้มันรุ่งโรจน์และอยู่ได้นานที่สุดเท่าที่จะเป็นได้”

         “พวกเด็ก ๆ เขาจะได้อยู่กับคุณหมอนาน ๆ” ท่านพระครูต่อให้

         “ครับผม” ท่านพระครูมองเห็นทาง “แก้ลำ” คนเป็นหมอ จึงพูดขึ้นว่า

         “ถ้าคุณหมออยากให้เขาอยู่ด้วยนาน ๆ กิจการก็ต้องเจริญด้วย เอาอย่างนี้ คุณหมอให้เด็ก ๆ ของคุณหมอไปทำงานแทนพวกสาว ๆ แล้วเรียกพวกสาว ๆ มาหาอาตมา อาตมาจะทำพิธีลงนะหน้าทองให้” นายแพทย์วัยสี่สิบเศษจึงจัดการตามความประสงค์ของท่าน พวกหนุ่ม ๆ หน้าตาดีลุกออกไปสักพัก สาว ๆ เจ็ดคนก็พากันเข้ามากราบท่านพระครู

         “ขอประทานโทษ อาตมาต้องทำพิธีตามลำพังกับหนู ๆ พวกนี้ จึงขอความกรุณาคุณหมออย่าให้ใครเข้ามายุ่มย่าม และช่วยตามลูกศิษย์ที่มากับอาตมาให้มานั่งเป็นเพื่อนด้วย”

         เมื่อนายสมชายเข้ามานั่งในที่นั้นแล้ว นายแพทย์สมเจตนาก็ปลีกตัวออกไปอย่างคนมีมารยาท ห้องโถงนั้นจึงเหลือเพียงท่านพระครู นายสมชาย กับ “คุณตัว” ทั้งเจ็ด

         “ยังไงจ๊ะหนู คิดยังไงถึงได้มายึดอาชีพนี้” ท่าน “สัมภาษณ์” ทีละคน แล้วสรุปคำตอบได้ว่า ห้าคนทำด้วยความเต็มใจ มีสองคนเท่านั้นที่ถูกล่อลวงมา ท่านใช้ “เห็นหนอ” สำรวจดูกฎแห่งกรรมของคนทั้งเจ็ด ห้าคนที่มาด้วยความสมัครใจนั้น เพราะมี “กรรม” ที่จะต้องเป็นอย่างนี้ และจะต้องเป็นอย่างนี้ต่อไปอีกคนละ สามชาติบ้าง ห้าชาติบ้าง และคนที่หน้าตาดีที่สุดนั้นจะต้องเป็นต่อไปอีกถึงเจ็ดชาติ! ส่วนอีกสองคนที่ถูกล่อลวงมานั้นเป็นหน้าที่ของท่านที่จะต้องช่วยให้หล่อนพ้นจากขุมนรก

         เจ้าอาวาสวัดป่ามะม่วงจัดการรดน้ำมนต์ให้หญิงสาวทั้งห้า ให้ศีลให้พรเสร็จ จึงบอกให้พวกหล่อนลุกออกไปทำงานต่อ เหลืออีกสองคน ท่านพูดว่า “หนูอยากจะไปจากที่นี่ไหมล่ะ”

         “อยากค่ะ” ตอบพร้อมกัน

         “อยากไป แล้วทำไมถึงไม่ไปล่ะจ๊ะ”

         “หนูกลัวถูกซ้อมค่ะ เจ้าพวกหนุ่ม ๆ ของคุณหมอขู่ว่า ถ้าใครคิดหนีจะซ้อมให้ตาย หนูกลัวค่ะ”

         “อ้อ ยังงั้นหรือ แล้วถ้าหลวงพ่อจะช่วยให้ไปจากที่นี่ จะไปไหม”

         “ไปค่ะ” ตอบพร้อมกันอีก

         “บ้านหนูอยู่ที่ไหนล่ะ” คนหนึ่งตอบว่า

         “อุตรดิตถ์ค่ะ อยู่อำเภอปาด”

         “แล้วหนูล่ะ” ท่านถามอีกคน

         “อยู่ที่เดียวกันค่ะ เราเป็นพี่น้องกัน ถูกคนหลอกมาขายที่นี่ เขาบอกจะพาไปทำงานที่กรุงเทพฯ งานสบายรายได้ดี เราสองคนพี่น้องก็เลยมากับเขา” คนเป็นพี่เล่า

         “แล้วมาอยู่ที่นี่นานหรือยัง”

         “เดือนนึงแล้วค่ะ แต่ยังไม่ได้รับแขกนะคะ เพราะหมอบอกว่าต้องรอให้เปิดเป็นเรื่องเป็นราวเสียก่อน จะนิมนต์หลวงพ่อที่ดังที่สุดของจังหวัดมาเปิด แต่ถึงจะยังไม่ได้รับแขกข้างนอก แต่แขกข้างในก็รับเรียบร้อยแล้วค่ะ ก็พวกเด็ก ๆ ของหมอเขานั่นแหละ”

         “รวมทั้งหมอด้วยหรือเปล่า” นายสมชายเป็นคนถาม

         “เปล่าค่ะ หมอไม่เคยมายุ่งกับพวกเรา” หล่อนตอบ

         “สมภารย่อมไม่กินไก่วัด” ชายหนุ่มว่า

         “ไม่จริงหรอกพี่ สมภารคนนี้กินไก่วัด แต่ไม่กินไก่ตัวเมีย กินแต่ไก่ตัวผู้” คนพูดมีเลศนัย

         “หมายความว่ายังไง” ศิษย์วัดถาม

         “ก็แกไม่ยุ่งกะพวกหนู แต่ไปยุ่งกะพวกหนุ่ม ๆ นั่น ที่เปิดซ่องก็เพื่อจะเอาใจคนพวกนั้น” หญิงสาวพูดอย่างดูแคลน

         “หนูอย่าไปว่าเขาเลย มันเป็นกรรมนะหนู กรรมของเขา เขาทำมาอย่างนั้น เอาเถอะสำหรับหนูสองคนหลวงพ่อจะช่วย” ท่านพระครูหยิบเงินออกมาจากย่ามสองร้อย

         “เอ้า นี่นะค่ารถ เดี๋ยวหลวงพ่อจะพูดกับหมอเขาให้” ท่านใช้นายสมชายไปตามนายแพทย์สมเจตนามา แล้วกล่าวว่า

         “คุณหมอ อาตมาจัดการให้เป็นที่เรียบร้อยแล้วรับรองว่ารุ่งโรจน์เรืองรอง ถ้า...” ท่านหยุดไว้เพียงนั้นเพื่อเพิ่มความอยากรู้ให้คนเป็นหมอ

         “ถ้าอะไรหรือครับหลวงพ่อ” คนอยากรู้ถาม

         “ถ้าคุณหมอจะไม่เอาแม่หนูสองคนนี่ไว้”

         “ทำไมหรือครับ สองคนนี้เป็นยังไง”

         “ดวงเขาไม่สมพงษ์กับอาชีพนี้ ไปอยู่สำนักไหนก็ไม่เจริญ ทางที่ดีต้องเลิก”

         “หรือครับ ถ้าอย่างนั้นผมจะส่งเขาไปอยู่สำนักอื่น สำนักที่เป็นคู่แข่งของผม” คนเป็นหมอแสดงนิสัย “เจ้าเล่ห์”

         “คุณหมอ อาตมาขอร้องเถอะ เท่าที่คุณหมอทำอยู่นี่ มันก็ไม่ใช่สิ่งดีนะ อย่าได้ไปสร้างบาปกรรมเพิ่มขึ้นอีกเลย อาตมารู้ คนที่จะจบหมอได้นั้นต้องเป็นคนเก่ง คนฉลาด และคุณหมอก็มีคุณสมบัติอย่างนั้นครบถ้วน คงจะน่าเสียดายมาก ถ้าคุณหมอจะเอาความฉลาดไปใช้ในทางทุจริต คิดดูก็แล้วกัน ถ้าคุณหมอทำอย่างที่พูด เท่ากับสร้างบาปขึ้นมาอีกสองอย่าง อย่างแรกคือ ไปก่อศัตรูไปทำให้เขาพินาศล่มจม ซึ่งคนที่จะทำอย่างนั้นจะต้องเป็นคนจิตอกุศล มีจิตริษยา

         อย่างที่สองคือคุณหมอทำบาปกับเด็กสองคนนี้ เพราะเขาไม่สมัครใจ แต่ถูกบังคับ เปรียบเหมือนว่าคุณหมอถนัดในทางรักษาไข้ แต่พ่อแม่บังคับให้ไปชกมวย แล้วคุณหมอจะพอใจไหม คิดดูนะ ใจจริงแล้วอาตมาไม่สนับสนุนให้ใครทำผิดเลย แต่นี่อาตมาเห็นแล้วว่าเป็นกฎแห่งกรรม ที่จะต้องเป็นอย่างนั้น คือทั้งคุณหมอและทั้งแม่หนูทั้ง ๕ คนนั่นต่างก็มีกรรมร่วมกันมา อาตมาจึงไม่สามารถทัดทานได้

         อาตมาขออัญเชิญพุทธพจน์มากล่าวให้คุณหมอฟัง เพื่อเป็นคติสอนใจ คุณหมอเก็บไว้คิด ไว้พิจารณาเองก็แล้วกัน พุทธพจน์นั้นมีว่า “บุคคลเข้าถึงกุศลธรรม จะอยู่เป็นสุข ไม่คับแค้น ไม่เดือดร้อน แต่ถ้าบุคคลเข้าถึงอกุศลธรรม จะอยู่เป็นทุกข์ คับแค้น เดือดร้อน” อาตมาช่วยคุณหมอได้เท่านี้แหละ” คนจบ ม.๔ “เทศน์” โปรดคนจบปริญญาแพทยศาสตร์บัณฑิต

         “ตกลงครับหลวงพ่อ ตกลงผมจะให้สองคนนี่ออก” นายแพทย์สมเจตนาพูดกับท่านพระครู หลังจากถูก “เทศน์” เสียยืดยาว

         “อาตมาขออนุโมทนา อย่างน้อยคุณหมอก็ได้ทำความดีให้แก่ตัวเอง และเด็กสองคนนี้ ไปสิหนู ไปเก็บเสื้อผ้า ประเดี๋ยวหลวงพ่อจะไปส่งที่ท่ารถ” ท่านสั่งสองศรีพี่น้อง ต้องจัด การพาไปเสียแต่วันนี้ ก่อนที่หมอสมเจตนาจะเปลี่ยนใจ เพราะคำยุยงของพวกหนุ่ม ๆ หน้าตาหล่อเหลาพวกนั้น

         ขากลับท่านพระครูย้ายไปนั่งด้านหน้าคู่กับคนขับ พี่น้องสองสาวนั่งข้างหลัง ขณะที่รถแล่นไปสู่สถานีขนส่งในตัวจังหวัด เจ้าอาวาสวัดป่ามะม่วงจึงแนะนำหญิงสาวทั้งสองว่า

         “หนูไม่ต้องกลับไปบ้านอำเภอน้ำปาดหรอกนะ กลับไปก็จะถูกพ่อแม่พี่น้องเขารังเกียจ เพื่อนบ้านใกล้เรือนเคียงเขาก็จะติฉินนินทาด้วย”

         “แล้วหลวงพ่อจะให้หนูกับน้องไปอยู่ที่ไหนล่ะคะ หนูไม่รู้จักใครที่ไหนเลย” คนเป็นพี่ว่า

         “ไปสมัครงานที่ห้างขายทองนะหนู ห้างขายทองที่อยู่ในตลาดอุตรดิษถ์ ในตัวเมืองนั่นแหละ เขากำลังต้องการคนทำงานบ้าน อยู่กับเขาทั้งสองคน และช่วยกันทำงานด้วยความซื่อสัตย์สุจริต อีกสองปีหนูจะร่ำรวย เชื่อหลวงพ่อเถอะ”

         “ขอบคุณหลวงพ่อมากค่ะ ที่เมตตาหนูกับน้อง ชีวิตนี้จะไม่ลืมพระคุณของหลวงพ่อเลย” คนเป็นพี่พูดเสียงเครือ

         ถึงท่ารถขนส่ง ท่านให้สองพี่น้องขึ้นรถ และรออยู่จนกระทั่งรถออก เพื่อแน่ใจว่าหล่อน “ปลอดภัย” ขณะนั่งรถกลับวัด ท่านพูดกับนายสมชายว่า “อีกสองปีคนพี่จะได้เป็นเถ้าแก่เนี้ย เพราะเมียเถ้าแก่จะตายด้วยโรคมะเร็ง เถ้าแก่ไม่อยากหาคนอื่นคนไกลมาเลี้ยงลูก ก็เลยยกฐานะลูกจ้างขึ้นเป็นเถ้าแก่เนี้ยแทน ส่วนคนน้องก็จะได้แต่งงานกับจ่าสิบตำรวจที่เฝ้าร้านทองนั่นแหละ แต่งงานแล้วก็จะได้เลื่อนเป็นนายร้อย เพราะคู่เขยของเขาสนับสนุนกัน เห็นไหมฉันแก้ลำหมอสมเจตนาได้เด็ดขาดไปเลย” ท่านพูดแล้วหัวเราะหึ ๆ

         คืนนั้นก่อนจำวัด เจ้าอาวาสวัดป่ามะม่วงได้สวดมนต์แผ่เมตตาอุทิศส่วนกุศลให้สรรพสัตว์ แล้วจึงตั้งจิตอธิษฐานว่า “ด้วยอำนาจของทาน ศีล ภาวนา ที่ข้าพเจ้าได้ประพฤติปฏิบัติมาตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน ขอให้ข้าพเจ้าสามารถอนุเคราะห์นายสมชาย ชื่นฉ่ำจิต ที่เขามีบุญคุณต่อข้าพเจ้าด้วยการรับใช้ช่วยเหลือมาเป็นเวลานาน

         บัดนี้เขาได้พบเนื้อคู่และตกลงใจจะแต่งงานกัน แต่ยังขาดปัจจัยที่จะนำไปเป็นค่าสินสอดทองหมั้น ข้าพเจ้าอยากจะอนุเคราะห์ หากก็ไม่มีปัจจัย จึงขออำนาจบารมีของข้าพเจ้าช่วยให้สิ่งที่ปรารถนาจงสำเร็จด้วยเทอญ” ตั้งจิตอธิษฐานเสร็จ ท่านก็ล้มตัวลงนอน ไม่ลืมที่จะกำหนด “เอนหนอ ลงหนอ ลงหนอ ถึงหนอ”  อย่างคล่องแคล่วว่องไว ก่อนที่จะเคลิ้มหลับ ก็มีเสียงกระซิบที่ข้างหูว่า “คำอธิษฐานวกวนไม่แจ่มแจ้ง ฉะนั้นต้องรออีกสิบห้าวันจึงจะสมปรารถนา”

 

            มีต่อ........๗๓

 
บันทึกการเข้า
ช่างเล็ก(LSV)
Administrator
member
*

คะแนน1346
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 18613


คิดดี ทำดี ชีวิตมีแต่สุข


อีเมล์
« ตอบ #75 เมื่อ: พฤษภาคม 01, 2007, 09:21:30 AM »

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม - ๗๓

 

สุทัสสา อ่อนค้อม

ธันวาคม ๒๕๓๗

S00073
๗๓...

         วันที่ ๑๕ สิงหาคม ที่จะถึงนี้เป็นวันคล้ายวันเกิดของท่านพระครู พระมหาบุญเล่าให้พระบัวเฮียวฟังว่า ในวันนั้น บรรดาศิษยานุศิษย์ผู้มีความเลื่อมใสศรัทธาและเคารพนับถือในท่านพระครูจะแสดงมุทิตาจิต ด้วยการบำเพ็ญบุญถวายภัตตาหารแด่พระภิกษุสามเณรตลอดจนแม่ชีและผู้มาปฏิบัติกรรมฐาน ณ วัดป่ามะม่วง

            พระบัวเฮียวกำลังกังวลว่าท่านจะถวายสิ่งใดแด่พระอุปัชฌาย์ เพื่อเป็นของขวัญวันเกิด จึงขอคำแนะนะจากพระมหาบุญ ผู้ซึ่งบังเอิญมาแวะเยี่ยม

            “ผมเองก็ไม่เคยมีประสบการณ์เรื่องของขวัญวันเกิดพระ แล้วเรื่องอย่างนี้ก็ไม่มีระบุไว้ในคัมภีร์เสียด้วย เลยไม่รู้จะให้คำแนะนำแก่คุณว่าอย่างไร” ผู้อาวุโสกว่าพูดออกตัว

            “แล้วทุกปีที่ผ่าน ๆ มา หลวงพี่ถวายอะไรเป็นของขวัญวันเกิดท่านครับ” ภิกษุวัยยี่สิบหกถาม

            “ผมไม่ได้ถวายเป็นการส่วนตัว หากถวายในนามพระทั้งวัด” พระมหาบุญตอบไม่ตรงประเด็นนัก

            “คือผมอยากทราบว่าหลวงพี่ถวายอะไรมากว่าที่จะอยากทราบว่าหลวงพี่ถวายในนามของใครน่ะครับ” ผู้อ่อนวัยกว่าท้วงอย่างสุภาพ

            “แล้วคุณคิดว่าพวกผมถวายอะไรท่านล่ะ”

            “อย่าให้ผมคิดเลยครับ เพราะผมมักจะคิดอะไรไม่ค่อยเหมือนชาวบ้านเขา” คนบวชได้เก้าเดือนว่า

            “ก็หัดคิดให้เหมือนซีคุณ หัดบ่อย ๆ อีกหน่อยก็เก่งไปเอง”

            “คงจะไม่หัดหรอกครับ เพราะใจจริงแล้วผมก็ไม่อยากจะเหมือนชาวบ้านเขา ก็เป็นพระนี่ครับ จะให้เหมือนชาวบ้านได้ยังไง” ภิกษุเชื้อสายญวนว่า

            “งั้นมาถามผมทำไม” พระมหาบุญชักฉิว

            “ผมอยากรู้น่ะซีครับ เพราะหากผมรู้ว่าคนอื่น ๆ เขาถวายอะไร ผมจะได้ไม่ถวายซ้ำกับเขา”

            “อย่าไปคิดอย่างนั้นเลยคุณ อย่าไปคิดว่าจะไปซ้ำกับคนอื่นหรือไม่ ส่งที่คุณควรคิดก็คือ คุณจะต้องรู้ก่อนว่าหลวงพ่อท่านเป็นใคร แล้วคุณก็จะได้ถวายสิ่งที่คู่ควรกับท่าน”

            “แล้วหลวงพ่อท่านเป็นใครล่ะครับ” พระบัวเฮียวถามซื่อ ๆ หากพระมหาบุญลงความเห็นว่าท่าน “เซ่อ”

            “อะไรกัน คุณอยู่ที่นี่มาตั้งเกือบปีแล้ว ยังไม่รู้หรือว่าหลวงพ่อท่านเป็นใคร”

            “แล้วหลวงพี่รู้หรือเปล่าครับ” แทนคำตอบ พระบัวเฮียวกับย้อนถาม

            “ทำไมผมจะไม่รู้”

            “กรุณาบอกผมเอาบุญเถิดครับ”

            “ตกลง ผมจะบอกให้เอาบุญ ฟังให้ดีนะ”

            “ครับ ผมกำลังตั้งใจฟัง”

            “ตั้งใจอย่างเดียวไม่พอหรอกนะคุณ ถ้าจะให้ดีต้องกำหนด “ฟังหนอ” ด้วย” พระบัวเฮียวจึงกำหนด “ฟังหนอ” ตามคำแนะนำของพระมหาบุญ ผู้ซึ่งเฉลยว่า

            “หลวงพ่อ ท่านเป็นพระสงฆ์ เพราะฉะนั้นคุณคิดว่าอะไรเล่าที่จะคู่ควรกับพระสงฆ์” คนฟังถูกถามอีก

            “พระสงฆ์หรือครับ เอ พระสงฆ์คู่ควรกับอะไรหนอ” ภิกษุหนุ่มมีท่าทีครุ่นคิด คิดอยู่ค่อนข้างนานจึงตอบ

            “รู้แล้ว นึกออกแล้วพระสงฆ์ก็ต้องคู่กับสีกา ใช่ไหมครับหลวงพี่ แต่เอ ถ้าผมถวายสีกาหลวงพ่อก็ต้องอาบัติน่ะซีครับ แล้วอีกอย่างน้ำหน้าอย่างผมจะไปหาสีกาที่ไหนมาถวายท่าน” พระบัวเฮียวยั่ว

            “เลอะเทอะใหญ่แล้วคุณบัวเฮียว ธาตุไม่ปกติหรือยังไง หรือว่านอนไม่เต็มอิ่ม” ผู้อาวุโสกว่าทักท้วงเพราะทนฟังไม่ไหว

            “ไม่ใช่ทั้งสองอย่างครับ”

            “เอาละ ๆ ผมจะเฉลยให้คุณฟังเดี๋ยวนี้ จะได้สิ้นเรื่องสิ้นราว ฟังนะ”

            “หลวงพี่อย่าเลียนแบบหลวงพ่อซีครับ”

            “เลียนแบบยังไง”

            “ก็หลวงพี่พูดว่า “เอาละ ๆ” น่ะครับ คำ ๆ นี้หลวงพ่อท่านผูกขาด” พระบัวเฮียวพาออกนอนเรื่องจนได้

            “นี่คุณบัวเฮียว ผมชักจะหมดความอดทนแล้วนะ”

            “หมดก็สร้างขึ้นมาใหม่ได้นี่ครับ เอ๊ะ นี่หลวงพี่โกรธผมหรือ อย่านาครับ เขาพูดกันว่า “โกรธคือโง่ โมโหคือบ้า” ฉะนั้นจึงไม่ควรโกรธ กำหนดซีครับหลวงพี่ “โกรธหนอ โกรธหนอ” พระมหาบุญเกิดความรู้สึกว่าไม่สามารถทนพูดคุยกับพระบัวเฮียวต่อไปได้ จึงลุกขึ้นเตรียมตัวกลับกุฏิของตน

            “อ้าวหลวงพี่จะไปแล้วหรือครับ ยังพูดกันไม่ทันรู้เรื่องเลย”

            “เพราะอย่างนั้นน่ะสิผมถึงจะกลับ ผมจะจำใส่ใจไว้ว่าหากจะพูดกับใคร ก็ต้องดูคนที่พอจะพูดกันรู้เรื่อง จะได้ไม่เสียเวลาและอารมณ์” ท่านประชด

            “งั้นผมเลิกยั่วหลวงพี่แล้ว จะได้พูดกันรู้เรื่อง ให้ผมแก้ตัวอีกครั้งนะครับ” คนชอบยั่วยอมจำนน

            “ก็ได้ ผมจะให้โอกาสคุณอีกครั้งเดียวเท่านั้นนะ เพราะผมเสียเวลามามากแล้ว”

            “ครับ ผมให้สัญญา หลวงพี่ตอบผมหน่อยซีครับ ว่าอะไรทีคู่ควรกับพระสงฆ์”

            “ก็ดอกไม้ยังไงล่ะ คุณไม่เห็นหรอกหรือ เวลาที่เราบูชาพระรัตนตรัย เราจะใช้ธูป เทียน และดอกไม้เป็นสัญญลักษณ์แทน พระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ ถึงแม้สิ่งเหล่านี้จะเป็นเรื่องสมมุติ หากก็เป็นการสมมุติที่มีเหตุผล

            จากการอ่านคัมภีร์ ทำให้ผมทราบว่า ครั้งพุทธกาล เขานิยมใช้ดอกไม้และของหอมเป็นเครื่องสักการะองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า อย่างเช่น พระจุนทเถระ ผู้เป็นน้องชายของพระสารีบุตร เมื่อท่านจะเข้าเฝ้าพระตถาคตก็จะสั่งช่างให้นำดอกไม้สดมาประดิษฐ์ตกแต่งอย่างสวยงาม คลุมด้วยตาข่ายที่บรรจงร้อยด้วยดอกมะลิ จากนั้นจึงนำไปถวายองค์สมเด็จพระบรมโลกเชษฐ์”

            “ขอประทานโทษนะครับหลวงพี่ คือผมอยากทราบว่าองค์สมเด็จพระบรมโลกเชษฐ์ หมายถึงพระพุทธเจ้าใช่ไหมครับ”

            “ถูกแล้ว พระพุทธเจ้าทรงมีหลายพระนาม เช่น “พระสมณโคดม” “พระบรมโลกเชษฐ์” “พระชินสีห์” “พระผู้พิชิตมาร” “พระสัพพัญญู” “พระตถาคต” ผมจำไม่ได้หมดหรอก ถ้าคุณอยากรู้วันหลังผมจะหาหนังสือมาให้”

            “ขอบคุณครับ พระจุนทะเถระต่อเถิดครับ”

            “ตกลง เล่าต่อก็ได้ คืออยู่มาวันหนึ่ง ท่านก็นำดอกไม้ของหอมซึ่งตกแต่งแล้วอย่างประณีตสวยงาม มาถวายพระพุทธเจ้า พระพุทธองค์จึงตรัสบุพพกรรม ซึ่งหมายถึงการกระทำแต่ครั้งอดีตของพระจุนทเถระในท่ามกลางที่ประชุมสงฆ์ว่า

            พระจุนทเถระมิใช่จะถวายดอกไม้ของหอมแด่พระพุทธเจ้าเฉพาะในชาติปัจจุบันนี้เท่านั้น ในอดีตชาติท่านก็ได้เคยถวายดอกไม้ของหอมแด่พระพุทธเจ้าพระองค์อื่น ๆ มาแล้ว อานิสงส์แห่งการกระทำนั้น ๆ ทำให้ท่านได้สวรรค์สมบัติ ๗๔ ชาติ เป็นพระราชา ๓๐๐ ชาติ เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ ๗๕ ชาติ จากนั้นจึงมาเป็นพระจุนทเถระ”

            “แต่อานิสงส์ที่ถวายดอกไม้แด่พระพุทธเจ้าในชาติที่เป็นพระจุนทเถระคงจะไม่เหมือนเดิมแล้วนะครับ เพราะท่านเป็นพระอรหันต์แล้ว คงไม่ต้องการสวรรค์สมบัติอีก”

            “แหม คุยกันมาตั้งนาน คุณเพิ่งจะมาแสดงความฉลาดปราดเปรื่องตอนนี้นี่เอง ผมนึกว่าคุณไม่มีสิ่งนี้อยู่ในตัวเสียอีก” พระบัวเฮียวไม่ทราบชัดว่าถูกชมหรือถูกตำหนิกันแน่ จึงถาม

         “ที่ผมพูดมานี้ถูกหรือเปล่าครับ”

         “ถูกซี ผมถึงว่าคุณฉลาดไงล่ะ จริงอย่างที่คุณว่า เมื่อพระจุนทเถระท่านได้โลกุตตระสมบัติเสียแล้ว โลกียสมบัติก็หมดความหมาย เปรียบเหมือนซากสัตว์เน่าเหม็นย่อมเป็นอาหารอันโอชะของนกแร้ง หากเป็นสิ่งน่าสะอิดสะเอียนสำหรับพญาหงส์” พระมหาบุญเปรียบเทียบไม่ตรงประเด็นนัก หากพระบัวเฮียวผู้ซึ่งแน่ใจแล้วว่าท่านชม จึงชมตอบว่า

         “โอ้โฮ หลวงพี่ก็คารมคมคายไม่เบาเหมือนกัน”

         “ตกลงคุณตัดสินใจได้หรือยังว่า จะถวายอะไรเป็นของขวัญวันเกิดหลวงพ่อท่าน” คนถูกชมรู้สึกเขินจึงวกกลับมาพูดเรื่องเดิม

         “ได้แล้วครับ ผมก็ต้องถวายดอกไม้ซีครับ แต่จะเป็นดอกอะไรนั้นต้องขออุบไว้ก่อน รับรองว่าไม่ใช่ดอกมะลิแน่ เพราะผมไม่ชอบทำอะไรเหมือนคนอื่น”

         “ดีแล้วละคุณ แต่ก็หวังว่าคุณคงไม่อุตริเอาดอกอุตพิตถวายท่านนะ ต้องบอกไว้ก่อนเพราะคุณมักจะทำอะไรแผลง ๆ อยู่เรื่อย”

         “รับรองครับ โถใครจะไปทำนอกเสียจากว่าสติฟั่นเฟือน”

         “ถ้าอย่างนั้นผมก็ขออนุโมทนาล่วงหน้า หลวงพ่อท่านเคร่งนะ ไม่เคยติดในลาภสักการะอันทำให้เสียความเป็นผู้ทรงศีล เวลาที่ท่านได้รับนิมนต์ไปงานวันเกิดพระด้วยกัน ท่านก็มักจะนำแจกันดอกไม้สดไปถวาย ในทรรศนะของผมเห็นว่า ดอกไม้สดทำให้เกิดความรู้สึกสดชื่น แล้วยังเป็นอุปกรณ์สอนไตรลักษณ์ได้อีกด้วย”

            “ผมไม่เข้าใจครับ หลวงพี่กรุณาขยายความหน่อยเถิดครับ”

         “ก็แสดงให้เห็นความไม่เที่ยง ทนอยู่ไม่ได้ และปราศจากตัวตนที่เที่ยงแท้ อย่างที่พูดกันติดปากว่า อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา นั่นยังไง”

         “อ้อ งั้นผมก็เข้าใจแล้วครับ คือ ดอกไม้เมื่อมันยังสดก็ดูสวยงาม ครั้นเหี่ยวเฉาโรยราก็หาความสวยงามไม่ได้ เหมือนบุรุษและสตรีเมื่อยังอยู่ในวัยหนุ่มวัยสาวก็ดูสดชื่นเปล่งปลั่ง ครั้นพอแก่เฒ่าก็เฉาเหี่ยวดุจเดียวกับดอกไม้ แสดงให้เห็นความไม่เที่ยงแท้ของสังขาร เพราะฉะนั้นบุคคลจึงไม่ควรยึดมั่นถือมั่นในรูป รส กลิ่น เสียง และสัมผัส อย่างนั้นใช่ไหมครับ”

         “ก็คงใช่ เอาเถอะ คุยกันนานแล้ว ผมเห็นจะต้องกลับไปปฏิบัติที่กุฏิของผมละ” พระมหาบุญกลับไปแล้ว พระบัวเฮียวจึงเริ่มปฏิบัติบ้าง

         วันอาทิตย์ แรมสิบค่ำ เดือนแปด เวลาประมาณยี่สิบสองนาฬิกา ขณะที่นายสมชายกำลังไขกุญแจประตูด้านหลังของกุฏิ ก็ได้ยินเสียงเรียกชื่อเขา “สมชายใช่ไหม หลวงพ่ออยู่หรือเปล่า” เมื่อชายหนุ่มเหลียวหลังไปดูก็พบว่าเป็นคหบดีมากับภรรยาและบุตรชายทั้งสาม แต่ละคนสวมชุดขาวราวกับจะมาเข้ากรรมฐาน เขายกมือไหว้สองสามีภรรยา ขณะที่เด็กหนุ่มสามคนยกมือไหว้เขา

         “ทำไมมาเสียดึกเชียวครับ” ชายหนุ่มถาม

         “มาแต่วันเกรงจะไม่พบหลวงพ่อ ได้ข่าวว่าท่านรับนิมนต์ไปข้างนอกแทบทุกวัน จริงหรือเปล่า”

         “ครับ บางทีคนก็นิมนต์ไปในเรื่องที่ไม่เป็นเรื่อง” เขาหมายถึงนายแพทย์สมเจตนา ที่หลอกนิมนต์ท่านไปเปิดป้ายสำนักโสเภณี!

         “ต่อไปนี้ท่านบอกถ้าใครมานิมนต์ ท่านจะต้องสอบถามก่อนว่างานอะไร แล้วท่านก็จะพิจารณาว่าสมควรไปหรือไม่ เพราะงานท่านมากขึ้นทุกวัน แต่รับแขกอยู่ที่กุฏิก็รับแทนไม่หวาดไหว”

         “นี่แหละ เหตุผลที่ผมไม่มาตอนกลางวันก็เพราะไม่อยากรอคิวด้วย เลยเสี่ยงมาตอนกลางคืน คิดว่ายังไง ๆ ก็ต้องพบท่าน ฤดูนี้เป็นฤดูเข้าพรรษา โอกาสที่ท่านจะไปค้างแรมที่อื่นก็ไม่มี นอกเสียจากว่าจำเป็นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้”

         “เชิญข้างในดีกว่าครับ” เขาเชิญคหบดีและครอบครัวเพราะยืนคุยกันข้างนอกมานาน เข้ามาแล้วชายหนุ่มจึงจัดการเปิดไฟภายในกุฏิ นำเครื่องดื่มร้อนมาบริการแขก เสร็จแล้วจึงขึ้นไปกราบเรียนท่านพระครู

         “ลงไปบอกเขาว่าอีกหนึ่งชั่วโมงฉันจะลงไป” ท่านเจ้าของกุฏิบอกเขาโดยไม่ละสายตาจากงานที่ทำ

         “ประเดี๋ยวเขาจะไม่กลับดึกเกินไปหรือครับ” ชายหนุ่มแสดงความห่วงใย

         “ดึกแน่ละเธอ เพราะฉันต้องการให้เขากลับหลังเที่ยงคืนไปแล้ว”

         “ทำไมถึงเป็นอย่างนั้นครับ”

         “เพราะถ้าไปก่อนเที่ยงคืนจะต้องตายหมดทั้งครอบครัว เอาละ เธอลงไปบอกเขาก็แล้วกันว่า ฉันสั่งให้ปฏิบัติกรรมฐานหนึ่งชั่วโมง”

         “แล้วหลวงพ่อจะให้ผมบอกเขาหรือเปล่าครับว่า หากกลับไปก่อนเที่ยงคืนจะต้องตายทั้งครอบครัว”

         “หากเขาถามก็บอกไปตามนี้”

         “ครับ” เมื่อชายหนุ่มลงมาแจ้งให้คนทั้งห้าทราบ พวกเขาก็มิได้ซักถามอะไร ต่างพากันปฏิบัติกรรมฐานตามที่ท่านสั่ง นายสมชายรู้สึกแปลกใจด้วยคิดว่าอย่างไรเสียก็จะต้องถูกซักถาม ชายหนุ่มมิรู้ดอกว่า “ผู้เข้าถึงธรรมย่อมเป็นผู้ว่านอนสอนง่าย”

         เวลายี่สิบสามนาฬิกา ท่านพระครูจึงลงรับแขกรอบดึกอันเป็นรอบที่ไม่มีในตาราง โชคยังดีที่คนจัดตารางหลับปุ๋ยไปนานแล้ว มิฉะนั้นก็คงมีเรื่องมีราวให้ท่านเจ้าของกุฏิต้องรับรู้อีก กราบท่านพระครูแล้วหนุ่มต้อมจึงเอ่ยขึ้นว่า “หลวงตาสบายดีหรือครับ ผมรู้สึกว่าหลวงตาดูซูบไป คงจะงานหนักมากใช่ไหมครับ”

         “แต่หลวงตาชินกับมันแล้วละหนู ชีวิตนี้หาความสุขสบายไม่ได้เลย หลวงตาเกิดมาใช้กรรมนะ ใช้ไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะหมด” ภิกษุวัยห้าสิบเศษตอบ

         “แล้วอีกนานไหมครับถึงจะหมด” หนุ่มต่อถามบ้าง

         “ยังตอบไม่ได้หรอกหนู หลวงตาก็อยากจะใช้ให้มันหมด ๆ แต่กรรมของหลวงตามีมากเหลือเกิน ทยอยกันมาให้ชดใช้อยู่เรื่อย ๆ เมื่อปลายเดือนกุมภาก็ใช้หนี้ที่ไปหักขานก หลวงตาเลยมีอันต้องตกบันไดขาหัก ไปไหนมาไหนไม่ได้อยู่เดือนเต็ม ๆ ช่วงนั้นก็มีอาจารย์จากเชียงใหม่มาใช้กรรมที่นี่เหมือนกัน เพิ่งกลับไปก่อนเข้าพรรษาไม่กี่วัน ตอนนี้บวชเป็นพระอยู่วัดกู่คำ” ท่านหมายถึงอาจารย์ชิตผู้ซึ่งเปลี่ยนใจขอกลับไปบวชอยู่วัดใกล้บ้านหลังจากทราบว่าอีกสามปีภรรยาจะตายจาก

         สนทนาปราศรัยกันพอสมควรแล้ว เจ้าอาวาสวัดป่ามะม่วงจึงถามจุดประสงค์ของการมา คหบดีตอบว่า

         “ผมพาครอบครัวมาทำบุญครับ คราวก่อนผมถวายปัจจัย แต่หลวงพ่อไม่ยอมรับ เพราะเงินที่ได้มาไม่บริสุทธิ์ แต่คราวนี้เรามีปัจจัยที่บริสุทธิ์มาถวายครับ”

         “ไปได้มาจากไหนหรือ” ถามอย่างไม่ยินดียินร้ายตามวิสัยของสมณะ

         “ถูกรางวัลที่หนึ่งครับ นายต่อเขาซื้อให้เป็นของขวัญวันเกิดผม พอถูกเขาก็เสนอแนะว่าน่าจะถวายหลวงพ่อครึ่งหนึ่ง คนอื่น ๆ พลอยเห็นดีเห็นงามไปด้วย ผมจึงนำมาถวายหลวงพ่อสองแสนห้าหมื่นบาทครับ” บิดาของนายต่อกราบเรียนท่านพระครู เจ้าอาวาสวัดป่ามะม่วงนึกย้อนไปถึงเสียงที่ได้ยิน ในวันอธิษฐานจิตช่วยนายสมชาย จากวันนั้นถึงวันนี้เป็นเวลาสิบห้าวันพอดี

         “อาตมาขออนุโมทนาในกุศลจิตที่โยมและครอบครัวได้ร่วมใจกันมาบำเพ็ญบุญในครั้งนี้ แต่ว่าเงินจำนวนนี้ โยมระบุไปหรือเปล่าว่า จะให้อาตมานำไปใช้ทำอะไร”

         “ไม่ได้ระบุค่ะ แล้วแต่หลวงพ่อจะนำไปใช้อะไรก็ได้ พวกเราขอถวายเป็นค่าใช้จ่ายส่วนตัวของหลวงพ่อค่ะ” นางกิมเอ็งกราบเรียน

         “ถ้าอย่างนั้น อาตมาก็จะขออนุญาตนำเงินจำนวนนี้ไปใช้ในการอนุเคราะห์คนที่เขามีบุญคุณกับอาตมา เขากำลังต้องการเงินจำนวนห้าหมื่นบาท ส่วนที่เหลืออีกสองแสนอาตมาจะเก็บไว้เป็นกองทุนสร้างหอประชุมเพื่อให้ญาติโยมใช้เป็นที่ปฏิบัติกรรมฐาน เคยมีเศรษฐีสี่คนเขามาพบกันที่นี่โดยบังเอิญ และก็มีจุดประสงค์เดียวกัน คือจะมาสร้างหอประชุมถวายวัดนี้ เสร็จแล้วจะเป็นยังไงก็ไม่ทราบ เกิดเปลี่ยนใจไม่สร้างแล้ว” ท่านหมายถึงเศรษฐีสี่คนที่ท่านตั้งสมญาว่า “จตุรชัย”

         “แบบนี้ก็บาปซีครับหลวงตา รับปากกับพระแล้วมากลับคำ” หนุ่มติ๋งว่า

         “ก็ไม่เชิงกลับคำหรอกหนู แต่มันมีเหตุปัจจัยอื่นมาทำให้เขาลืม อาจจะมัวยุ่งอยู่กับเรื่องธุรกิจการค้า” ท่านพระครูพูดปกป้องคนทั้งสี่

         เจ้าอาวาสวัดป่ามะม่วงสนทนาอยู่กับคหบดี และ ครอบครัวจนถึงยี่สิบสี่นาฬิกา จึงอนุญาตให้พวกเขากลับ

         “วันนี้ดึกหน่อยนะ เอาละ แล้วโยมก็จะรู้เองว่า เหตุใดอาตมาจึงหน่วงเหนี่ยวโยมไว้ไม่ให้ไปก่อนเที่ยงคืน”

         คหบดีและครอบครัวลุกออกไปแล้ว ท่านพระครูจึงมอบเงินให้นายสมชายห้าหมื่นบาทตามสัญญาที่เคยให้ไว้ ชายหนุ่มกราบท่านสามครั้งด้วยความซาบซึ้ง อดมิได้ที่จะเปรียบเปรยว่า

         “หลานสะใภ้หลวงพ่อถูกรางวัลที่หนึ่ง ซื้อรองเท้ามาถวายแค่แปดสิบบาท นี่เขาเป็นคนอื่นกลับถวายตั้งครึ่ง” เขาหมายถึง ครึ่งของห้าแสน ท่านพระครูจำต้องพูดปกป้องภรรยาของหลานชายว่า

         “มันไม่เหมือนกันหรอกนะสมชาย รายนั้นเขาจน แต่รายนี้เขามีเป็นร้อย ๆ ล้าน” ท่านมิได้พูดต่อถึงที่มาของเงินเหล่านั้น คนชั่วที่กลับตัวเป็นคนดีสมควรได้รับการสรรเสริญ ทว่าคนดีที่กลับกลายเป็นคนชั่วนี้สิน่าตำหนินัก

         เมื่อคหบดีขับรถพาครอบครัวมาถึงทางแยกเข้าจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ก็พบรถตำรวจทางหลวงเปิดไฟฉุกเฉินอยู่กลางถนน รถหลายคนต้องจอดรอ นายต้อมอาสาลงไปสืบดูได้ความว่า เกิดอุบัติเหตุรถเก๋งชนกับรถบรรทุก คนที่อยู่ในรถเป็นผู้ชายสี่คน หญิงหนึ่งคน พากันเสียชีวิตทั้งหมด คนทั้งห้ามีความรู้สึกเหมือนตายแล้วเกิดใหม่ แล้วก็รู้เดี๋ยวนั้นว่า เหตุใดท่านพระครูจึงให้พวกเขาออกจากวัดหลังเที่ยงคืนไปแล้ว...

 

            มีต่อ........๗๔

 
บันทึกการเข้า
ช่างเล็ก(LSV)
Administrator
member
*

คะแนน1346
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 18613


คิดดี ทำดี ชีวิตมีแต่สุข


อีเมล์
« ตอบ #76 เมื่อ: พฤษภาคม 03, 2007, 09:23:56 AM »

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม - ๗๔

 

สุทัสสา อ่อนค้อม

ธันวาคม ๒๕๓๗

S00074
๗๔...

            เวลาสิบเอ็ดนาฬิกา ท่านพระครูเชื้อเชิญบรรดา “ผู้มีใบหน้าอันเปื้อนทุกข์” ไปรับประทานอาหารที่โรงครัว ตัวท่านเองกำลังจะขึ้นไปตอบจดหมายยังกุฏิชั้นบน เถ้าแก่เส็งกับคนขับแท็กซี่ประคองชายสูงอายุร่างผอมบางเข้ามาในกุฏิ คนทั้งสามกราบท่านเจ้าของกุฏิสามครั้ง แล้วคนที่อาวุโสที่สุดในที่นั้นก็กล่าวขึ้นว่า

            “หลวงพ่อครับ จำเถ้าแก่บ๊ก น้องชายผมที่ขายทองอยู่เยาวราชได้ไหมครับ หลวงพ่อเคยเล่าว่าเคยพาลูกศิษย์เข้าไปซื้อทอง” ท่านพระครูนึกอยู่ประเดี๋ยวหนึ่งจึงตอบว่า

            “จำได้สิ แต่อาตมาไม่พาพวกเขาเข้าไปซื้อนะ เขาพากันเข้าไปเอง อาตมายืนรออยู่หน้าร้าน แล้วเถ้าแก่เจ้าของร้านเขานิมนต์เข้าไปดื่มน้ำชาแถมถวายเงินมาสร้างโบสถ์อีกสองพันบาท” ท่านเล่าเหตุการณ์เมื่อยี่สิบกว่าปีก่อนโน้น

            “เป็นไง เดี๋ยวนี้โยมเตี่ยสบายดีหรือ” ท่านหมายถึงเถ้าแก่บ๊กผู้ซึ่งพูดกับท่าน ในสมัยที่ท่านเป็นเด็กว่า “วังนี้ลื้อเลียกอั๊วะไอ้เจ๊กบ้า วังหน้าลื้อต้องเลียกอั๊วะว่าเตี่ย” ยังจำเพลงโปรดที่ท่านแต่งขึ้นล้อเลียนฝ่ายนั้นได้ “เจ๊กบ๊กตกน้ำตาย เมียร้องไห้เสียดายเจ๊กบ๊ก”

            “โยมเตี่ยไหนครับ” เถ้าแก่เส็งถามงง ๆ เพราะหากท่านจะหมายถึงบิดาของเขาก็คงเป็นไปไม่ได้ ในเมื่อเตี่ยของเขาได้ลาจากโลกนี้ไปนานนับสิบปีแล้ว

            “ก็โยมเตี่ยของอาตมาไงล่ะ โยมเตี่ยบ๊กน่ะ”

            “อ๋อ นี่ไงครับ ผมพามากราบหลวงพ่อด้วย” ท่านเจ้าของกุฏิเพ่งพิศดูบุรุษร่างผอมบางตรงหน้า จึงพบว่าเขาไม่ได้ผอมอย่างเดียว หากซูบซีดไร้ชีวิตชีวา ไม่ต่างไปจากซากศพ ภาพผู้ชายวัยกลางคนร่างกำยำล่ำสันที่ท่านคุ้นหูคุ้นตาในวัยเด็กไม่มีหลงเหลืออยู่ในตัวบุรุษผู้นี้

            “โยมเตี่ยทำไมถึงผอมอย่างนี้ล่ะ” ท่านทัก

            “ท่างไม่ต้องเลียกอั๊วะว่าเตี่ยก็ล่าย เลียกไอ้เจ๊กบ๊กอย่างเลิมก็ล่าย” บุรุษร่างผอมบางพูดเสียงแหบเครือ

            “หมอเขาบอกเป็นมะเร็งลำไส้ครับหลวงพ่อ เขาไม่รับรักษาแล้ว ผมก็เลยชวนมาหาหลวงพ่อ ยังไง ๆ ก็ยังดีกว่าอยู่กรุงเทพฯ หมอเขาให้เวลาอีกสามเดือน ผมก็เลยเกิดความคิดว่าในช่วงสามเดือน ถ้าเขามาอยู่วัดก็อาจจะได้บุญกุศลติดตัวไปภพหน้า ไม่มากก็น้อย” คนเป็นพี่ชายเล่า

            “แล้วโยมเตี่ยไม่คิดถึงลูกหลานหรือ” ท่านเจ้าของกุฏิทดสอบสภาวะทางจิตใจคนป่วย

            “คิกถึงก็ต้องตักใจ ทำไงล่ายล่ะท่าง คงเลาเกิกเลี้ยวก็ต้องตาย อั๊วะทำงางหนักมาตาหลอกชีวิก เหลือเวลาอีกแค่สามเลือนก็ขอมาอยู่กับพะ ขอยึกเอาพะรักตะนะตัยเป็งที่พึ่ง เวลาตายจะล่ายตายตาหลับ ห่วงลูกหลานเลี้ยวตายตาไม่หลับ” น้องชายเถ้าแก่เส็งว่า

            “ดีจริงโยมเตี่ยคิดได้ยังงี้ดีมาก ๆ เลย เราต้องยึดพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งที่ระลึก เพราะนั่นเป็นที่พึ่งที่แท้จริง ดังพุทธวจนะว่า” ท่านอัญเชิญพุทธพจน์มากล่าวให้คนทั้งสามฟังดังนี้

          มนุษย์เป็นอันมาก เมื่อเกิดมีภัยคุกคามแล้ว ก็ถือเอาภูเขาบ้าง ป่าไม้บ้าง อารามและรุกขเจดีย์บ้าง เป็นสรณะ นั่นมิใช่สรณะอันเกษรมเลย นั่นมิใช่สรณะอันสูงสุด เขาอาศัยสรณะนั่นแล้วย่อมไม่พ้นจากทุกข์ทั้งปวงได้

          ส่วนผู้ใดถือเอาพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นสรณะแล้ว เห็นอริยสัจจ์ คือความจริงอันประเสริฐสี่ ด้วยปัญญาอันชอบ คือเห็นความทุกข์ เหตุให้เกิดทุกข์ ความก้าวล่วงทุกข์เสียได้ และหนทางมีองค์แปดอันประเสริฐเครื่องถึงความระงับทุกข์

          นั่นแหละเป็นสรณะอันเกษม นั่นเป็นสรณะอันสูงสุด เขาอาศัยสรณะนั้นแล้ว ย่อมพ้นจากทุกข์ทั้งปวงได้

            “งั้งอั๊วะคิดถูกเลี้ยวใช่ไหมที่มาหาท่าง อั๊วะซำบายเลี้ยว ไม่กัวตายอีกต่อไปเลี้ยว” เถ้าแก่บ๊กกล่าวอย่างยินดี ท่านพระครูออกแปลกใจที่เห็นเขาไม่ทุรนทุรายเช่นคนที่เป็นมะเร็งโดยทั่ว ๆ ไป จึงถามขี้นว่า

            “โยมเตี่ยไม่ปวดหรือ อาตมาเห็นคนเป็นมะเร็ง เขาปวดร้อง โอย ๆ กัน แทบทั้งนั้น”

            “ปวกซีท่าง ทำไมจะไม่ปวก แต่ที่อั๊วะไม่แสดงอากางทุรงทุรายเพราะท่างช่วยอั๊วะ”

            “อาตมาช่วยโยมเตี่ยอย่างไรหรือ” ท่านเจ้าของกุฏิไม่เข้าใจ

            “ช่วยซี ท่านช่วยอัวะมากจริง ๆ อั๊วะถึงอยากมาตายกะท่าง เฮียเส็งลื้อช่วยอธิบายให้ท่างฟังหน่อย อั๊วะเหนื่อย..” เขายั้งปากไว้ท่าน ไม่เช่นนั้นคำว่า “ชิกหายเลย” ก็จะต้องเล็ดอดออกมา ตั้งแต่พี่ชายสอนกรรมฐานให้ เขาลดละ “ผรุสวาจา” ลงไปได้โขทีเดียว

            “คืออย่างนี้ครับหลวงพ่อ” เถ้าแก่เส็งอธิบาย

            “ตอนที่เขาป่วย ผมก็หมั่นไปเยี่ยมเขา ตอนนั้นเขามีอาการทุรนทุรายมากร้องโอดโอยจนถูกนางพยาบาลดุเอาบ่อย ๆ ลูกหลานไปเยี่ยมก็ด่าจนพวกเขาไม่ไปเยี่ยม พอพวกเขาไม่ไปก็ด่าอีก ผมก็เลยค่อย ๆ สอนกรรมฐานให้วันละเล็กละน้อย เริ่มตั้งแต่ให้ฝึกกำหนด “ปวดหนอ ปวดหนอ” เขาก็พยายามทำตาม พออาการปวดทุเลาลง ผมก็ให้เขาหัดกำหนด พอง-ยุบ เรียกว่าเรียนกรรมฐานบนเตียงคนไข้เลยแหละครับ เขาก็ทำตามและก็รู้สึกดีขึ้นเรื่อย ๆ ลูกหลานมาเยี่ยมก็เลิกด่า

            เขาอยู่โรงพยาบาลสองเดือน หมอเจ้าของไข้ก็มากระซิบกับผมว่า ควรจะกลับไปอยู่บ้านเพราะถึงอย่างไรก็ไม่หาย ไส้เน่าแล้ว ผ่าตัดก็คงไม่ได้ผล ผมก็มาถามเขาว่าสมมุติว่าเขาจะมีชีวิตอยู่อีกสามเดือน เขาอยากจะทำอะไร เขาตอบทันทีว่าอยากไปอยู่วัดป่ามะม่วง ผมก็เลยไปขอให้นายสุขเขาพามานี่แหละครับ”

            “ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ใช่อาตมาช่วยหรอก พี่ชายของโยมเตี่ยต่างหากที่ช่วย” ท่านเจ้าของกุฏิไม่ยอมรับความดีความชอบ

            “ท่างนั่งแหละช่วย เพาะถ้าท่างไม่สองกำมะถางให้เฮียเส็ง เฮียเส็งเขาก็มาสองอั๊วะไม่ล่าย จริงล่ะป่าว” เถ้าแก่บ๊กพยายามยัดเยียดความดีให้ท่านพระครู

            “เอาละ จริงก็จริง อาตมาขออนุโมทนากับโยมเตี่ยด้วย ยังไง ๆ โยมเตี่ยก็ไม่ไปอบายภูมิแล้ว” ท่านเจ้าของกุฏิแสดงมุทิตาจิตต่อเขา  เพื่อความแน่ใจว่าน้องชายเถ้าแก่เส็งจะต้องตายในอีกสามเดือนข้างหน้าจริงดังที่แพทย์บอกหรือไม่ ท่านจึงใช้ “เห็นหนอ” เข้าตรวจสอบและก็ได้พบว่า บุรุษนี้มี “ทุนเดิม” อยู่หกสิบเปอร์เซ็นต์แล้ว เหลืออีกสี่สิบเปอร์เซ็นต์ ท่านจะจัดการให้เถ้าแก่เส็งช่วยสิบเปอร์เซ็นต์ด้วยการเจริญกรรมฐาน แล้วแผ่เมตตาอุทิศส่วนกุศลให้ ส่วนอีกสามสิบเปอร์เซ็นต์ ท่านจะเข้า “ผลสมาบัติ” สามวันสามคืนช่วย “ดีเหมือนกัน เราจะได้ชดใช้กรรมที่เคยทำไว้กับแกสมัยที่เราเป็นเด็ก” เจ้าอาวาสวัดป่ามะม่วงคิดในใจ รู้สึกยินดีที่จะได้ชดใช้ “หนี้” ที่ทำไว้แต่ครั้งอดีต

            “โยมเตี่ย อาตมาถามจริง ๆ เถอะ ว่ากลัวตายหรือเปล่า”

            “ไม่กัว อั๊วะไม่กัวตาย แต่ก็ไม่อยากตาย” คนเป็นมะเร็งลำไส้ตอบ

            “แล้วถ้าสมมุติว่าโยมเตี่ยจะมีอายุยืนต่อไปอีกห้าปี โยมเตี่ยจะทำอะไร”

            “อั๊วะจาปะติบักกำมะถางเหมืองเฮียเส็งเขา จะปาติบักทุกวัง”

            “แล้วสมมุตินะ สมมุติอีกว่ามีเทวดาจะมาต่ออายุให้เตี่ยอยู่ตอไปได้อีกห้าปี เตี่ยจะเอาไหม”

            “เทวาลาหน้าไหนอีจามาต่อให้อั๊วะล่ะท่าง แต่ถ้ามีนะ อั๊วะจะให้เงิงอีห้าหมื่ง คิกชาเหลี่ยปีละหมึ่ง ถ้าอีกต่อล่ายสองปีก็ให้อีสองหมื่ง”

            “แหม เตรียมให้สินบนเชียวนะโยมเตี่ย แต่เอาเถอะ อาตมาจะบอกเทวดาเขาว่าไม่ให้คิดเงิน ให้ต่อให้ฟรี อยากรู้ไหมว่าเทวดาองค์นั้นอยู่ที่ไหน”

            “ไม่ลู้”

            “นี่ไง เทวดาองค์นี้ไง” ท่านชี้เถ้าแก่เส็ง “วิธีการ” ตามที่ “เห็นหนอ” รายงาน เถ้าแก่บ๊กดีใจเสียนัก มีความรู้สึกเหมือนโรคภัยไข้เจ็บมลายหายไปในบัดดลนั้น เขาก้มกราบท่านเจ้าของกุฏิด้วยความซาบซึ้งใจ

            “ตกลงโยมเถ้าแก่อยู่ที่นี่เจ็ดวันนะ อยู่เป็นเทวดาช่วยโยมเตี่ยเขาหน่อย” ท่านบอกเถ้าแก่เส็ง

            “ยินดีครับหลวงพ่อ แต่ผมคงจะต้องไปเอาเสื้อผ้า ไม่ได้เอาชุดขาวมาเพราะคิดว่าส่งเถ้าแก่บ๊กเขาแล้วก็จะกลับ”

พี่ชายคนป่วยว่า

            “ไม่มีปัญหาโยม ไม่มีปัญหา ประเดี๋ยวเบิกของวัดไปใช้ จะต้องกลับไปให้เสียเวลาทำไม แล้วพวกยาสีฟัน แปรงสีฟัน ประเดี๋ยวจะให้ลูกศิษย์เขาจัดการหามาให้”

            “ครับ อย่างนั้นก็ได้ครับ งั้นผมจะฝากนายสุขไปบอกคุณกิมง้อ เขาจะได้ไม่ห่วง” เขาหมายถึงคนขับแทกซี่มาด้วย นายสุขจึงได้โอกาสกราบเรียนท่านว่า

            “หลวงพ่อจำผมได้ไหมครับ ที่เคยมากับเถ้าแก่ครั้งที่แล้ว เดี๋ยวนี้ผมสบายแล้วครับหลวงพ่อ หนี้สินก็จัดการใช้คืนเถ้าแก่เขาหมดแล้ว รถแท็กซี่ที่ใช้ขับหาเงินทุกวันนี้ก็เป็นของตัวเอง ไม่ต้องเช่าเขาแล้ว ผมดีใจ ภูมิใจที่เป็นพลเมืองดี หากินด้วยความซื่อสัตย์สุจริต ถ้าเถ้าแก่เอาผมเข้าคุกตั้งแต่ตอนนั้น ผมก็คงกลายเป็นไอ้มหาโจรไปแล้ว คุกไม่ได้ช่วยให้คนเป็นคนดีนะครับหลวงพ่อ เท่าที่ผมเคยเห็น คนดี ๆ ไปติดคุก ออกมา กลายเป็นคนชั่ว แล้วคนชั่วไปติดคุก ออกมายิ่งชั่วหนักเข้าไปอีก ผมว่ากิจการคุกนี่เลิกได้แล้วนะครับ สู้เอาคนชั่วมาเข้าวัดดีกว่า ยังพอจะมีโอกาสกลับเนื้อกลับตัวเป็นคนดีได้บ้าง” คนขับแท็กซี่พูดเสียยืดยาวสมกับที่มีโอกาสได้พูด ท่านพระครูชอบอกชอบใจกับข้อเสนอแนะของเขา จึงชมว่า

            “เอ้อ เข้าที ความคิดของโยมเข้าที ถ้าอาตมามีโอกาสได้คุยกับท่านนายก จะลองเสนอท่านดูนะ” ท่านพูดยิ้ม ๆ

            “นี่ท่านข้าวกันมาหรือยัง คุยกันจนเพลิน ไปรับประทานอาหารกันเสียก่อนดีกว่านะ เชิญที่โรงครัวเลย สมชายมานี่หน่อย” ท่านเรียกหาศิษย์วัด

            “พาโยมเขาไปรับประทานอาหาร เสร็จแล้วพาไปหาที่พัก ให้พักห้องเดียวกันนะ จะได้ช่วยดูแลคนป่วย ให้โยมเถ้าแก่ช่วยดูแลโยมเตี่ย” ท่านจำต้องอธิบายให้แจ่มแจ้ง มิฉะนั้นศิษย์วัดก็จะเข้าใจว่าตัวเขาจะต้องไปนอนกับบุรุษทั้งสองด้วย “ขาดเหลืออะไรก็บอกเด็กเขานะโยม” ท่านบอกสองพี่น้อง

            “ขอบพระคุณครับหลวงพ่อ” เถ้าแก่เส็งพูดพร้อมกับยกมือไหว้หนึ่งครั้ง

            “ผมเลยถือโอกาสกราบลาหลวงพ่อเลยนะครับ” คนขับแท็กซี่กล่าวลา หากเขาอิ่มข้าวแล้วมาลาก็จะต้องรอคิวอีกนาน

            “เจริญพร แล้วเมื่อไหร่จะมาเข้ากรรมฐานล่ะ” ท่านเจ้าของกุฏิถาม

            “ผมปฏิบัติทุกวันเลยครับ เรียนมาจากเถ้าแก่” เขาบอก

            “ผมจะเปิดบ้านเป็นสำนักปฏิบัติแล้วนะครับหลวงพ่อ เดี๋ยวคนโน้นมาให้สอน เดี๋ยวคนนี้มาให้สอน” คนชื่อเส็งรายงาน

            “ดี ถ้าทำอย่างนั้นได้ถือเป็นกุศลมหาศาลทีเดียว ไม่มีอะไรจะดีไปกว่ากรรมฐานอีกแล้ว สร้างโบสถ์เจ็ดหลังก็ยังได้บุญไม่เท่าการปฏิบัติกรรมฐาน แล้วก็ไม่ต้องเสียเงินเสียทองอีกด้วย”

            คนทั้งสามลุกตามนายสมชายออกไปแล้ว บรรดาผู้มีใบหน้าอันเปื้อนทุกข์ก็พากันทยอยเข้ามา เจ้าอาวาสวัดป่ามะม่วงจึงไม่มีเวลาขึ้นไปตอบจดหมายช่วงเพล

            เวลาตีสอง ท่านพระครูจำต้องพักการเขียนหนังสือเพราะต้องพักผ่อนหลับนอน ท่านรู้ว่าหากตรากตรำกับงานมากเกินไป สังขารร่างกายก็จะทรุดโทรมเร็วกว่าปกติ แม้เครื่องจักรก็ยังต้องหยุดพัก นับประสาอะไรกับคนซึ่งมีเลือดเนื้อและชีวิต

            ยังไม่ทันที่ท่านจะหลับ เสียงคุ้นหูก็ดังขึ้นว่า “จะบอกยาแก้โรคมะเร็งลำไส้ให้เอาไหม มะเร็งกะเพาะ มะเร็งลำไส้ ใช้ยานี้ได้”

          “ไปได้ตำรามาจากไหน” ท่านถามในใจ

            “ผีบอก” เสียงนั้นตอบ

            “ผีที่ไหน”

            “ที่ไหนก็อย่ารู้เลย แต่รับรองว่าหาย บอกคนหายมาหลายรายแล้ว”

            “แล้วรายนี้จะหายไหม ที่มาเมื่อตอนเพลน่ะ” ท่านทดสอบเสียงประหลาดว่าจะรู้จริงหรือไม่

            “หายพันเปอร์เซ็นต์ ก็ท่านจะเข้าผลสมาบัติช่วยเขาไม่ใช่หรือ”

            “ถ้ากินยาแล้วไม่ต้องช่วยไม่ได้หรือ”

            “รายอื่นได้ แต่รายนี้ไม่ได้”

            “ทำไมไม่ได้”

            “ก็ท่านลั่นวาจาไปแล้ว ถ้าไม่ทำตามนั้น ท่านก็เสียสัจจะน่ะซี”

            “งั้นก็บอกมา”

            “บอกแล้วต้องลุกขึ้นจดไว้นะ ไม่งั้นตอนเช้าลืมหมดไม่รู้ด้วย”

            “ต้องจดสิ อาตมาต้องจดไว้เป็นหลักฐานอยู่แล้ว ถ้าไม่เป็นอย่างที่บอกจะได้ปรับ จะให้ปรับที่ใครล่ะ”

            “ปรับตัวเองนั่นแหละ เอาละนะ จะบอกละ จำให้แม่น ๆ นะ ยาแก้โรคมะเร็งที่ว่านี้ก็คือ ใช้กล้วยน้ำว้าดิบมาหั่นตามขวาง หั่นทั้งเปลือกนะ จำได้หรือเปล่า กล้วยน้ำว้านะ กล้วยอื่นไม่ได้ แล้วก็ต้องดิบ ๆ สุกไม่ได้อีกเหมือนกัน ไม่ต้องปอกเปลือก นำมาหั่นเป็นแว่นบาง ๆ แล้วนำไปผึ่งแดดให้แห้ง จ้างร้ายขายยาบดให้ละเอียด เวลาจะกิน ให้ชงกับน้ำร้อนเหมือนชงชา ดื่มวันละหลาย ๆ ครั้ง ยิ่งมากครั้งเท่าไหร่ ก็ยิ่งดี เอาละลุกขึ้นไปจดได้แล้ว”

          “จะไปแล้วหรือ อยู่คุยกันก่อนซี” เมื่อไม่มีเสียงตอบ ท่านจึงลุกขึ้นมาจด เสร็จแล้วจึงจำวัด

            วันรุ่งขึ้น หลังจากฉันภัตตาหารเช้าเสร็จ เจ้าอาวาสวัดป่ามะม่วงจึงพูดกับนายสมชายและนายขุนทองว่า

            “ตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไป ฉันจะงดรับแขกสามวัน”

            “หลวงพ่อจะไปไหนหรือครับ” นายสมชายถาม

            “จะเข้าผลสมาบัติ ให้เธอยายไปอยู่กับพระบัวเฮียวชั่วคราว แล้วใส่กุญแจขังฉันไว้ข้างบน ห้ามเยี่ยมห้ามประกัน จนกว่าจะครบสามวัน”

            “แล้วถ้ามีแขกมาหาล่ะฮะ” หลานชายถาม

            “ก็บอกไปตามนี้ อย่าลืมนะ ห้ามใครขึ้นไปรบกวนเป็นอันขาด ไม่ว่ากรณีใด”

            “แล้วถ้าเกิดไฟไหม้ล่ะฮะหลวงลุง” หลานชายเป็นห่วง แต่กลับถูกนายสมชายตำหนิติเตียน

            “นั่นปากหรือ ที่พูดน่ะปากหรือ”

            “ถ้าไม่ใช่ปากแล้วจะเอาอะไรพูดล่ะ พี่นี่ถามแปลก หรือว่าพี่เอาตูดพูดได้” นายขุนทองย้อน

            “นี่พอที ๆ อย่ามาทะเลาะกันต่อหน้าต่อตาข้า” ท่านพระครูปราม

            “ก็เขามาว่าหนูก่อนนี่ฮะ” หลานชายยังไม่ยอมหยุด

            “ก็ปากเอ็งมันดีนักนี่ พูดอะไรออกมาแต่ละทีฟังได้เสียเมื่อไหร่” นายสมชายก็ไม่ยอมแพ้เช่นกัน

            “เอาละ ๆ พอกันทั้งคู่นั่นแหละ ขุนทองเอ็งไม่ต้องห่วงข้าหรอก ถ้าไฟมันจะไหม้ก็ให้มันไหม้ เอ็งขนของของเอ็งออกไปก็แล้วกัน แล้วก็ไม่ใช่มัวแต่ขนของจนลืมขนตัวเองออกไปล่ะ” ท่านบอกหลานชาย

            “แต่หนูห่วงหลวงลุงนี่ฮะ” ชายหนุ่มว่า

            “เออน่า ไม่ต้องห่วงข้าหรอก รับรองข้าไม่ถูกไฟคลอกตายหรอกน่า ดวงข้าจะไม่ต้องตายด้วยไฟ อ้อ สมชายเธอจัดการปรุงยาให้โยมน้องชายเถ้าแก่ด้วยนะ” แล้วท่านจึงบอก “ยาผีบอก” แก่ศิษย์วัด

            “เอาละ เดี๋ยวไปจัดการตามที่สั่งก็แล้วกัน สมชายเธอเป็นคนเก็บลูกกุญแจไว้ เก็บให้ดี ๆ นะ ใครขอไม่ต้องให้บอกว่าฉันสั่ง” ท่านไว้ใจนายสมชายมากกว่า เพราะหลานชายนั้นหากได้ “สินบน” ก็ใจอ่อนใจเปลี้ยตามนิสัยของคนที่งกมาตั้งแต่ก่อนเกิด

            สังการเสร็จท่านก็ลงมือตอบจดหมาย คิดว่าตอบไปอีกสองสามฉบับก่อนลงรับแขกก็ยังดี เจ้าอาวาสวัดป่ามะม่วงไม่เคยหายใจทิ้ง!

 

มีต่อ........๗๕

 
บันทึกการเข้า
ช่างเล็ก(LSV)
Administrator
member
*

คะแนน1346
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 18613


คิดดี ทำดี ชีวิตมีแต่สุข


อีเมล์
« ตอบ #77 เมื่อ: พฤษภาคม 03, 2007, 09:24:41 AM »

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม - ๗๕

 

สุทัสสา อ่อนค้อม

ธันวาคม ๒๕๓๗

S00075
๗๕...

            วันรุ่งขึ้น หลังจากฉันภัตตาหารเช้าแล้ว เจ้าอาวาสวัดป่ามะม่วงก็อธิษฐานจิต เข้าผลสมาบัติเป็นเวลาสามวันสามคืน และจะไปออกในวันอาทิตย์ แรม ๘ ค่ำ เดือน ๙ ซึ่งตรงกับวันที่ ๑๑ สิงหาคม ๒๕๑๗

            ที่กุฏิชั้นล่าง บรรดาผู้มีใบหน้าอันเปื้อนทุกข์ เมื่อได้รับการบอกเล่าจากนายขุนทองก็พากันกลับไปด้วยความผิดหวัง บางคนก็ตำหนิท่านในใจว่า “ไม่ทำหน้าที่ของพระ” ทั้งที่ความจริงแล้วพระก็มิได้มีหน้าที่รับแขกแต่ประการใด ในพระวินัยก็ไม่ได้บัญญัติไว้ว่าพระมีหน้าที่รับแขก

            ส่วนคนที่ไม่มีความเกรงใจก็ถึงกับด่าให้นายขุนทองได้ยิน หลานชายท่านพระครูจึงต้องอดทนอดกลั้นอย่างที่สุด เขาได้เห็น “ธาตุแท้” ของคนบางคน ที่พอไม่ได้ดังใจก็แสดงความหยาบคายร้ายกาจออกมา นึกถึงถ้อยคำของหลวงลุงที่มักจะพูดเสมอ ๆ ว่า “ผู้หญิงที่น่าเกลียดคือ ผู้หญิงที่ตามใจตัว ผู้ชายที่น่ากลัวคือผู้ชายที่ไม่เกรงใจคน” วันนี้เขาต้องผจญกับหญิงชายประเภทนี้หลายราย ถึงกับต้องท่องไว้ในใจว่า “อดทน อดกลั้น อดทน อดกลั้น”

            แต่ก็มิใช่ว่าจะมีแต่คนเลวร้ายไปเสียหมด เพราะคนดีมีคุณธรรมก็มีอยู่ไม่น้อย ซึ่งเมื่อพวกเขาได้ทราบเรื่องที่นายขุนทองบอกกล่าวต่างพากันอนุโมทนาสาธุการ “สาธุหลวงพ่อท่านช่างมีเมตตาสูงเหลือเกิน ขอให้ท่านจงมีอายุยืนยาวเถิด เจ้าประคู้น”

            วันต่อมานายขุนทองก็ต้องปวดหัวหนักขึ้น เพราะคนที่มาขอพบหลวงลุงคือคุณหญิงปทุมทิพย์ คนที่แอบแช่งในใจว่า “ให้แล้วเอาคืน มะรืนนี้ตาย” แต่ก็เป็นการแช่งที่ไม่จริงจังอะไร คือมิได้ประกอบด้วยความอาฆาตมาดร้าย เพราะหากเป็นเช่นนั้นจริง คุณหญิงก็น่าจะตายตามคำแช่งของเขาไปแล้ว

            “นี่เธอ ฉันแอบสืบมาแล้ว ได้เรื่องแล้ว” คุณหญิงบอกเขาทันที่ที่พบหน้า

            “ได้เรื่องว่ายังไงฮะ” คนถามอยากรู้

            “ก็ได้เรื่องว่ามันแอบไปซื้อบ้านให้นังนั่นอยู่ แล้วตอนนี้ ตอนนี้...” คนเป็นคุณหญิงร้องไห้สะอึกสะอื้น

            “ตอนนี้เป็นไงฮะ” คนอยากรู้ซัก คุณหญิงใช้ผ้าเช็ดหน้าซับน้ำตา สั่งน้ำมูกอีกฟูดใหญ่ ๆ จึงตอบว่า

            “มันออกลูกแล้ว เห็นว่าไปออกที่โรงพยาบาลเอกชน ตอนที่เธอเห็นมันคราวนั้นน่ะ มันท้องได้สามเดือนแล้ว” คนเล่าร้องไห้โฮ ๆ อย่างไม่อายผีสางเทวดา

            “แล้วคุณหญิงจะทำยังไงล่ะฮะ” นายขุนทองถาม

            “ฉันก็จะมาถามหลวงพอว่ามันอยู่โรงพยาบาลอะไร” คนพูดไม่ได้บอกหรือว่าได้เตรียมขวดน้ำกรดใส่มาในกระเป๋าถือด้วย ถ้ารู้ตำแหน่งแห่งที่จะตามไปเอาน้ำกรดสาดหน้ามันทั้งแม่ทั้งลูกให้สมแค้น

            “หลวงลุงท่านเข้าผลสมาบัติสามวันครับ ช่วงนี้ห้ามไม่ให้ใครรบกวน มะรืนนี้ตอนเช้าจึงจะออก” หลานชายท่านพระครูรายงาน

            “ให้ฉันพบเดี๋ยวเดียวเอง ฉันจะถามท่านนิดเดียวแล้วก็จะกลับ ไม่อยู่รบกวนนานหรอก” คนที่ตามใจตัวเสียจนชินว่า

            “ไม่ได้หรอกฮะคุณหญิง หลวงลุงสั่งไว้แล้วว่าห้ามเยี่ยม ห้ามประกัน” ชายหนุ่มยืนกราน

            “ทำไมท่านต้องเข้าสมาบัติด้วยล่ะ”

            “เพื่อช่วยเถ้าแก่คนหนึ่งน่ะฮะ เถ้าแก่แกเป็นมะเร็งลำไส้ จะต้องตายภายในสามเดือน หลวงลุงเลยจะช่วยต่ออายุให้

            “โอ๊ย เหลวไหลไร้สาระสิ้นดี เธอไปตามท่านแล้วกัน เพราะว่าเรื่องของฉันสำคัญกว่า ไปเรียนท่านว่า คุณหญิงปทุมทิพย์มาขอพบ”

          “ไม่ได้หรอกฮะคุณหญิง ไม่ได้จริง ๆ ฮะ หนุ่มวัยยี่สิบเอ็ดยังคงปฏิเสธ คุณหญิงจึงเปิดกระเป๋าถือ หยิบธนบัตรใบละร้อยสองใบออกมาจากกระเป๋าสตางค์ส่งให้ชายหนุ่ม นายขุนทองไม่ยอมรับเพราะกลัวคนให้จะเอาคืนเหมือนคราวที่แล้ว หากก็พูดเสียงอ่อนลงว่า “กุญแจไม่ได้อยู่ที่หนูหรอกฮะ”

            “แล้วอยู่ที่ใครล่ะ” คุณหญิงถามอย่างหงุดหงิด

            “อยู่ที่พี่สมชายฮะ”

            “งั้นก็ไปเอามา บอกว่าคุณหญิงปทุมทิพย์สั่ง” คนเป็นคุณหญิงบัญชา ลืมไปว่าที่นี่เป็นวัด ไม่ใช่บ้านของเธอเอง

            “เขาไม่ให้หรอกฮะ ยังไง ๆ ก็ไม่ให้” ชายหนุ่มบอกอย่างรู้นิสัยของ “ลูกพี่”

            “ไม่ให้ก็ให้มันรู้ไป มันอยู่ที่ไหนไปตามมาพบฉันหน่อย” คนเป็นคุณหญิงแสดงอำนาจ และเรียกศิษย์วัดว่า “มัน”

            “หนูตามให้ได้ฮะ แต่เขาจะมาหรือไม่มาหนูไม่ทราบ แล้วก็บังคับเขาไม่ได้ด้วยฮะ” ว่าแล้วก็ลุกขึ้นไปตามนายสมชายที่กุฏิพระบัวเฮียว เมื่อเขาลุกออกไป ที่กุฎิท่านพระครูจึงมีคุณหญิงนั่งอยู่เพียงผู้เดียว

            “ท่านพระครูอยู่หรือเปล่าครับ” ชายผู้หนึ่งเข้ามาถาม เขามากับสตรีผู้หนึ่ง อายุประมาณยี่สิบเศษ

            “อยู่ แต่ท่านไม่ลงรับแขก” คุณหญิงบอก รู้สึกขัดเคืองที่ชายหญิงคู่นี้ไม่รู้ว่าเธอเป็นคุณหญิง ความที่อยากจะแสดงตัวจึงถามเขาว่า

            “เธอสองคนไม่เคยดูทีวีหรือไง หรือว่าที่บ้านไม่มีทีวี” ถามอย่างเหยียด ๆ บุรุษที่มากับคู่หมั้นสาวรู้สึกไม่พอใจกับหญิงสูงอายุคนนี้เรียกเขาว่า “เธอ” ราวกับว่าเขาเป็นคนขับรถของหล่อน ตัวเขาเพิ่งจบด็อกเตอร์มาจากอังกฤษแล้วก็เป็นอาจารย์สอนมหาวิทยาลัย คู่หมั้นของเขาก็จบปริญญาโทจากมหาวิทยาลัยเดียวกัน ที่มาหาท่านพระครู ก็เพื่อจะให้ท่านหาฤกษ์แต่งงานให้

            “มีครับ ที่บ้านผมมีทีวีสีด้วย ซื้อมาจากอังกฤษ” ด็อกเตอร์หนุ่มถือโอกาสคุยทับ จะมีสักกี่คนกันเชียวที่มีโทรทัศน์สีดู

            “แล้วพวกเธอไม่เคยเห็นฉันในทีวีหรือไง” เธอถามอีก ก็พยายามติดตามรัฐมนตรีไปทุกงานเพื่อจะให้ใคร ๆ ได้รู้จัก โดยเฉพาะเวลาออกทีวี “ไม่เคยครับ ผมกับคู่หมั้นเพิ่งกลับจากอังกฤษ เมื่อเร็ว ๆ นี้ แล้วก็กำลังยุ่งเรื่องเตรียมการแต่งงาน เลยไม่มีเวลาดูทีวี”

            “อ๋อ” ได้ยินว่าคนคู่นี้เพิ่งกลับจากอังกฤษ คุณหญิงจึงถือโอกาสคุยบ้าง” ฉันก็เคยไปอังกฤษหลายครั้ง ไปเยี่ยมลูก เคยได้ยินชื่อคุณหญิงปทุมทิพย์ ภรรยาท่านรัฐมนตรีผดุงเดชหรือเปล่า ฉันนี่แหละ” เธอคิดว่าคนทั้งสองจะต้อง  ยินดีปรีดาที่ได้รู้จักคุณหญิง หากก็ต้องผิดหวัง เมื่อฝ่ายนั้นพูดว่า

            “ผมไม่เคยได้ยินชื่อมาก่อนเลยครับ โดยเฉพาะรัฐมนตรีเมืองไทย เราเปลี่ยนรัฐมนตรีบ่อยเสียจนจำไม่ได้ว่าใครเป็นใคร” ฟังแล้วคุณหญิงอยากจะร้องกรี๊ด พอดีกับนายขุนทองเดินเข้ามา

            “พี่สมชายไม่อยู่หรอกฮะคุณหญิง หลวงพี่บอกว่าไปซื้อของที่ตลาดกับแม่ครัวตั้งแต่เช้า หนูก็ลืมสังเกตว่ารถไม่อยู่”

            “แล้วกุญแจล่ะ มันฝากกุญแจไว้หรือเปล่า”

            “เปล่าครับ เขาเอาไปด้วย”

            “แหม ร้ายจริง ๆ แล้วนี่ฉันจะต้องรออีกกี่ชั่วโมงกันนี่”

            “คุณหญิงค่อยมาวันอื่นดีไหมฮะ มาวันที่ ๑๑ ก็ได้ ท่านกำหนดออกจากสมาบัติวันนั้น”

            “โอ๊ย ฉันรออีกไม่ไหวแล้ว เอาอย่างนี้แล้วกัน เธอรู้จักพระเกจิอาจารย์ดัง ๆ ของจังหวัดนี้หรือเปล่า ฉันจะได้ไปหา ให้ท่านช่วยดูให้ยิ่งเป็นพระอรหันต์ก็ยิ่งดี” นายขุนทองแอบเถียงในใจว่า

            “โอ๊ย ถ้าท่านเป็นพระอรหันต์จริง ท่านก็ไม่มาสนใจเรื่องบ้า ๆ บอ ๆ อย่างนี้หรอกคุณหญิง” แต่ปากเขากลับพูดว่า “หนูไม่รู้จักหรอกฮะ”

            “อะไร เรื่องแค่นี้ก็ไม่รู้ เธอนี่แย่จริง งั้นฉันไปถามคนขับรถของฉันก็ได้ ไม่น่าเสียเวลามาเลยกู” เธอบ่น คนเป็นด็อกเตอร์กับคนจบปริญญาโทรู้สึกสังเวชใจใน “กายกรรม” และ “วจีกรรม” ของคนเป็นคุณหญิง หากก็มิได้พูดอะไรออกมา นายขุนทองเสียอีกที่ด่าไล่หลังว่า “อีคนเป็นคุณหญิงเพราะผัว” แล้วอธิบายให้หญิงชายคู่นั้นฟังว่า

            “พี่รู้ไหม ยายคุณหญิงนี่อาศัยบารมีผัวถึงได้เป็นคุณหญิง ถ้าผัวไม่เป็นรัฐมนตรีมีหรือจะได้เป็น จริงไหมพี่” คนฟังเพียงแต่ยิ้ม ๆ หากไม่ยอมออกความเห็น คนพูดจึงเปลี่ยนเรื่องถาม

            “พี่มีธุระมาหาหลวงลุงหรือฮะ”

            “ครับ ผมจะมาขอให้ท่านหาฤกษ์แต่งงาน” ฝ่ายชายบอก

            “ท่านงดรับแขกสามวันฮะ วันที่ ๑๑ พี่มาใหม่ก็แล้วกัน” คนพูดคาดว่าคงจะได้รับการต่อว่าต่อขานอีก เช่นเดียวกับรายอื่น ๆ หากก็ต้องผิดคาดเพราะเขาพูดว่า

            “งั้นวันที่ ๑๑ ผมจะมาใหม่นะครับ” พูดจบก็ลุกออกไป ไม่ถามเสียด้วยซ้ำว่าเหตุใดท่านพระครูจึงไม่ลงรับแขก

            “สาธุ ขอให้คนที่มาหาหลวงลุงน่ารักเหมือนคนคู่นี้ทุก ๆ คนเถิด เจ้าประคู้น” นายขุนทองแอบตั้งจิตอธิษฐาน

            ครู่หนึ่งเขาก็ได้ยินเสียงร้องกรี๊ด ๆ ดังมาจากลานจอดรถ เสียงนั้นแหลมลึกอย่างประหลาด ชายหนุ่มจึงวิ่งไปยังที่มาของเสียง แล้วก็พบคุณหญิงปทุมทิพย์ยืนเต้นเร่า ๆ ส่งเสียงกรี๊ด ๆ อยู่ข้างรถเบ๊นซ์ ชายวัยกลางคนแต่งชุดทหารยศพันตรียืนงงงันอยู่

            “เกิดอะไรขึ้นหรือฮะ” เขาถามนายทหาร

            “ผมก็ไม่ทราบเหมือนกัน เห็นคุณหญิงท่านเดินผ่านต้นปีบมา ผมก็เตรียมลงมาเปิดประตูให้ท่าน แล้วท่านก็มายืนร้องกรี๊ด ๆ อย่างที่คุณเห็นนี่แหละ”

            “คุณหญิงฮะ คุณหญิง” ผู้ชายที่คิดว่าตัวเองเป็นผู้หญิง เข้าไปจับตัวคุณหญิงเขย่าแรง ๆ หมายจะให้เธอรู้สึกตัว

            “ว้าย อย่ามาถูกต้องตัวข้านะ” เสียงแหลมกรี๊ดใส่ นายขุนทองรู้ทันทีว่านั่นมิใช่คุณหญิง แต่จะเป็นใครนั้นต้องถาม

            “ข้าน่ะใครล่ะ แกเป็นใคร”

            “เป็นใครก็ช่างข้า อยากรู้จริง ๆ ก็ไม่ถามหลวงพ่อซี “วิญญาณ” ในร่างของคุณหญิงปทุมทิพย์ตอบ

            “บอกเดี๋ยวนี้ไม่ได้หรือ ทำไมจะต้องถามหลวงพ่อ ท่านกำลังอยู่ในสมาบัติ จะถามได้ยังไง”

            “ก็เพราะอย่างนี้ซี ข้าถึงมาเข้านังคุณหญิง หมั่นไส้มันตั้งแต่วันนั้นแล้ว แต่ที่ไม่กล้าทำอะไรเพราะเกรงใจหลวงพ่อ” แขกเหรื่อที่ตั้งใจจะมาหาท่านพระครู เมื่อเดินผ่านลานจอดรถจึงพากันหยุดดู รวมทั้งด็อกเตอร์กับคู่หมั้นซึ่งกำลังจะเดินไปที่รถของตน ประเดี๋ยวหนึ่ง บรรดาแม่ครัวก็ยกขบวนกันมานำหน้าด้วยนางบุญพา นางสาวนางบุญรับ

            “อะไรกันวะขุนทอง” นางถามหลานชายท่านพระครู

            “ไม่รู้เหมือนกัน ป้าดูเอาเองสิ” ชายหนุ่มบอก นางบุญพาจึงเข้าไปเขย่าตัวคุณหญิง พลางถามเสียงอ่อนหวาน

            “คุณหญิงเจ้าขา เป็นอะไรไปเจ้าคะ “ร่าง” ของคุณหญิงสะบัดอย่างแสนจะรังเกียจสัมผัสของฝ่ายนั้น

            “อย่ามาจับข้านะ นังคนสกปรก”

            “อิฉันอาบน้ำแล้วเจ้าค่ะ อาบเสร็จก็มานี่แหละ” นางบุญพาตอบ ครั้นสบตากับคุณหญิง ก็ถึงกับขนลุกซู่ เพราะคุณหญิงจ้องนางตาไม่กระพริบ รู้ได้ทันที่ว่านั่นมิใช่คุณหญิงแต่เป็น “ผี” จึงก้มกราบปะหลก ๆ “โอ๊ยกลัว...กลัวแล้วจ้ะ อย่าถือสาหาความอะไรกะฉันเลย ไปที่ชอบ ๆ เถอะ”

            “ข้าไม่ไป ข้าจะอยู่ช่วยหลวงพ่อดูแลวัด แกนังคนสกปรก คนอย่างแกต่อให้อาบน้ำอีกสักสิบตุ่มก็ไม่สะอาด เพราความสกปรกมันอยู่ที่ใจแก มันแนบเนื่องอยู่ในกาย ในใจของแก ข้ารู้ข้าเห็นมานานแล้ว แต่ที่ไม่ทำอะไรเพราะเกรงใจหลวงพ่อ ขอให้รู้ไว้ว่าข้ารอโอกาสนี้มานานแล้ว”

            “ได้โปรดเถอะจ้ะ อย่าทำฉันเลย ฉันไม่เคยทำผิดคิดร้ายใคร” คราวนี้ “วิญญาณ” ในร่างคุณหญิงเท้าสะเอวด้วยมือซ้าย ส่วนมือขวาชี้หน้าคนที่กำลังก้มกราบปะหลก ๆ กราบจนหยุดไม่ได้

            “หนอยแน่ะ พูดออกมาได้ว่าไม่เคยทำผิดคิดร้าย คนอย่างแกมันชั่วแล้วก็ยังไม่ยอมรับว่าตัวเองชั่ว ชั่วทั้งกาย วาจา ใจ นึกว่าข้าไม่รู้หรือ แกมาทำครัวช่วยหลวงพ่อน่ะ แกบริสุทธ์ใจหรือก็เปล่า เวลาพวกแม่ครัวเขาเผลอ แกก็แอบเอาหอมกระเทียมบ้าง มีดบ้าง หมูบ้าง ปลาเค็มบ้าง ใส่พกกลับไปบ้าน ถึงคนอื่น ๆ จะไม่เห็น แต่ข้าก็เห็น” บรรดาแม่ครัวพากันจ้องหน้านางบุญพา แล้วถามเป็นเสียงเดียวกัน

            “จริงหรือ” นางกำลังจะปฏิเสธ “คุณหญิง” ก็ขู่ว่า

            “ถ้าพูดไม่จริง แม่จะหักคอทิ้งเดี๋ยวนี้แหละ”

            “โอ๊ย กลัวแล้วจ้ะกลัวแล้ว อย่าทำลูกช้างเลย หลวงพ่อช่วยลูกช้างด้วย” นางบุญพาร้องเสียงหลง นายสมชายกลับจากจ่ายตลาดกับหัวหน้าแม่ครัว เห็นคนยืนมุงอยู่ที่ลานจอดรถ จึงพูดกับหัวหน้าแม่คร้วว่า

            “เกิดอะไรขึ้นไม่รู้นะป้านะ หลวงพ่อท่านก็มาตัดสินให้ไม่ได้เสียด้วย ยังไง ๆ ผมก็ต้องรักษาคำมั่นสัญญาจนถึงที่สุด” เขานำรถเข้ามาจอดใกล้ ๆ แล้วชวนหัวหน้าแม่ครัวลงไปดู นายขุนทองรีบวิ่งมารายงาน

            “คุณหญิงถูกวิญญาณเข้าสิงแน่ะพี่ ด่ายายบุญพาใหญ่เลย” ศิษย์วัดดูประเดี๋ยวเดียวก็รู้ว่า นายขุนทองไม่ได้พูดเล่น จากประสบการณ์ที่เคยตามท่านพระครูไป “จับผี” หลายครั้ง จึงรู้ว่าผีที่มาเข้าคุณหญิงไม่ใช่ผีปลอม

            “ไปตามหลวงพี่บัวเฮียวมาด่วน” นายขุนทองรีบวิ่งไปยังกุฏิของพระบัวเฮียว เห็นท่านกำลังเดินจงกรมอยู่จึงว่า

            “ขออภัยนะฮะหลวงพี่ คุณหญิงถูกผีเข้าฮะ หลวงพี่ช่วยไปดูหน่อย” ภิกษุวัยเลยเบญจเพสพักการปฏิบัติไว้ชั่วคราว แล้วตามนายขุนทองไป

            เมื่อท่านไปถึง คนที่มุงดูอยู่พากันหลีกทางให้ท่านเข้าไปในวง “คุณหญิง” ก้มลงกราบสามครั้ง กราบอย่างสวยงามที่สุดเท่าที่นายสมชายเคยเห็น “ผีกราบพระก็เป็นด้วย กราบได้สวยกว่าคนเสียอีกแน่ะ” ศิษย์วัดคิดในใจ กราบพระบัวเฮียวแล้ว “คุณหญิง” ก็รายงานด้วยเสียงที่แสนจะไพเราะ

            “ดิฉันต้องขอกราบประทานโทษพระคุณเจ้านะเจ้าคะที่บังอาจมาก้าวก่ายเรื่องของมนุษย์ ดิฉันทนไม่ไหวจริง ๆ เจ้าค่ะ”

            “โยมมาจากไหนล่ะ” ภิกษุเชื้อสายญวนถาม

          “ดิฉันมากับเสานั่นเจ้าค่ะ เสาสีดำที่พิงอยู่ใต้ต้นปีบ”

            “การมาของโยมมีจุดประสงค์อะไรหรือ”

            “ดิฉันจะมาช่วยหลวงพ่อเจ้าค่ะ มาช่วยดูแลทำความสะอาดวัด”

            “แล้วทำไมต้องมาเข้าคุณหญิงเขาด้วยล่ะ ไม่น่าจะทำอย่างนี้” ภิกษุหนุ่มพูดเสียงตำหนิ

            “ก็อยากจะสั่งสอนเจ้าค่ะ สั่งสอนทั้งคุณหญิงและยายบุญพา”

            “แล้วสั่งสอนเสร็จหรือยัง”

            “เสร็จแล้วเจ้าค่ะ ดิฉันจะไปเดี๋ยวนี้แหละเจ้าค่ะ” พูดจบก็ก้มลงกราบสามครั้ง แต่ครั้งที่สามไม่ยอมเงย คุณหญิงปทุมทิพย์ฟุบอยู่ตรงนั้นในท่ากราบ

            “เอ้าโยมแม่ครัวช่วยนำคุณหญิงไปกุฏิหลวงพ่อหน่อย” บรรดาแม่ครัวยกเว้นนางบุญพา ต่างช่วยกันหามคุณหญิงด้วยความทุลักทุเล เพราะคนถูกหามคงจะน้ำหนักเจ็ดสิบกิโลกรัมเป็นอย่างน้อย!

            ช่วยกันเยียวยาอยู่สักครู่ คุณหญิงก็รู้สึกตัว

            “นี่ฉันมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง” นายทหารผู้ทำหน้าที่ขับรถพามา จึงเล่าเหตุการณ์ให้เธอฟัง เล่าจบผู้ที่นั่ง ณ ที่นั้น ต่างพากันเหลียวหาทางบุญพา หากไม่มีผู้ใด ได้เห็นแม้แต่เงาของนาง! ผู้หญิงคนนั้นหนีไปแล้ว นางจะไม่กลับมาที่วัดนี้อีก

            เห็นหน้านายสมชาย คุณหญิงก็เริ่มแสดงอำนาจบารมี

            “นี่เธอ ช่วยเปิดประตูให้ฉันหน่อย ฉันจะขึ้นไปพบหลวงพ่อ” เธอออกคำสั่ง

            “ไม่ได้หรอกครับคุณหญิง ท่านสั่งผมไว้เลยว่าห้ามเยี่ยม ห้ามประกัน ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น”

            “นั่นเพราะท่านไม่ทราบว่าฉันจะมาน่ะซี เอาเถอะไม่ต้องพูดมาก เปิดประตูให้ฉันก็แล้วกัน อะไรเกิดขึ้นฉันขอรับผิดชอบเอง”

            “ไม่ได้หรอกครับคุณหญิง ยังไง ๆ ผมก็เปิดให้ไม่ได้” ชายหนุ่มยืนกราน

            “นี่เธอลืมไปแล้วหรือว่าฉันเป็นใคร” คุณหญิงปทุมทิพย์พูดเสียงกร้าว

            “ผมไม่ลืมหรอกครับ ไม่ลืมว่าคุณหญิงเป็นภรรยาของท่านรัฐมนตรีผดุงเดช” ในใจนั้นอดไม่ได้ที่จะเยาะเย้ย “อดีตภรรยา ส่วนภรรยาคนปัจจุบันเป็นเด็กอายุสิบหก”

            “ก็ในเมื่อรู้แล้วทำไมจึงกล้าขัดคำสั่งของฉัน” นายสมชายรู้สึกสมเพชคนเป็นคุณหญิงเสียนัก ผู้หญิงที่หลงยึดหลงติดกับหัวโขน! ชายหนุ่มระงับความขัดข้องหมองใจเอาไว้ แล้วพูดด้วยเสียงที่เป็นปกติว่า

            “ขอประทานโทษนะครับคุณหญิง ผมเปิดให้ไม่ได้จริง ๆ ไม่ว่าจะเป็นภรรยารัฐมนตรีหรือ แม้กระทั่งภรรยานายกรัฐมนตรี ผมก็ไม่สามารถเปิดให้ได้ คุณหญิงค่อยมาวันอื่นเถิดครับ” คนเป็นคุณหญิงอยากจะร้องกรี๊ด หากก็ต้องระงับอารมณ์เอาไว้

            เมื่อเห็นว่าไม่สามารถจะทำให้ชายหนุ่มยินยอมได้ คุณหญิงจึงคิดจะขอยืมมือนายทหารวัยกลางคน จึงพูดขึ้นว่า

            “อันที่จริงฉันไม่น่าลดตัวลงมาพูดกับเธอหรอกนะ ควรจะเป็นหน้าที่ของคนขับรถของฉันมากกว่า บุญช่วยเธอจัดการให้ฉันที จัดการให้เขาทำตามคำสั่งของฉันด้วย แม้จะต้องใช้กำลังเธอก็ต้องทำ” เธอยื่นคำขาด

            “จะเอาผมไปฆ่าไปแกง ผมก็ไม่ยอมทำตามคำสั่งของคุณหญิง ถ้าผู้พันอยากได้ลูกกุญแจก็ข้ามศพผมไปก่อน” ศิษย์วัดพูดอย่างเด็ดเดี่ยว พันตรีบุญช่วยรู้สึกลำบากใจ เขายอมมาทำหน้าที่เป็นคนขับรถให้คุณหญิงก็เพราะหวังจะได้เลื่อนตำแหน่งเป็นพันโท พันเอก กระทั่งถึงนายพล นี่ก็ไต่เต้ามาตั้งแต่เป็นนายสิบ อุตส่าห์ตามใจผู้หญิงอ้วนที่เอาแต่ใจตัวเองไปเสียทุกเรื่อง เบื่อจนสุดเบื่อหน่ายจนสุดหน่าย คิดว่าไปรับอาสาเป็นคนขับรถให้เมียร้อยรัฐมนตรียังจะดีเสียกว่า มีทางก้าวหน้ามากกว่านี้แยะ เด็กสาวคนนั้นคงจะไม่จู้จี้ขี้บ่นเหมือนยายแก่หมูตอนคนนี้

            “นั่งเซ่ออยู่ทำไม จัดการตามที่ฉันสั่งเดี๋ยวนี้”

            “ถ้าผมไม่ทำล่ะครับ” คนไต่เต้ามาจากนายสิบตัดสินใจแล้ว “เป็นไงเป็นกัน”

            “หา เธอพูดอะไรนะ” คุณหญิงแผดเสียงลั่นกุฏิ ดีที่ว่าพวกแม่ครัวพากันลุกออกไปทำหน้าที่ของตนแล้ว หลังจากที่มองหานางบุญพาไม่เห็น

            “คุณหญิงฟังไม่ถนัดหรือครับ ถ้างั้นฟังอีกครั้งนะครับ ผมจะพูดช้า ๆ ชัด ๆ” เขารวบรวมความกล้าอีกครั้ง แล้วพูดด้วยเสียงที่สั่นนิด ๆ ว่า “ผมไม่สามารถทำตามคำที่คุณหญิงสั่งได้หรอกครับ”

            “ดีละ งั้นฉันจะถอดยศเธอกลับไปเป็นนายสิบอย่างเก่า” คุณหญิงปทุมทิพย์ขู่

            “ถอดก็ถอดซีครับ แล้วผมจะไปขอให้ท่านรัฐมนตรีแต่งตั้งให้ใหม่ก็ได้ ไปรับอาสาขับรถให้เมียน้อยของท่าน ขี้คร้านจะได้เป็นถึงนายพล!”     

 

มีต่อ........๗๖

 
บันทึกการเข้า
ช่างเล็ก(LSV)
Administrator
member
*

คะแนน1346
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 18613


คิดดี ทำดี ชีวิตมีแต่สุข


อีเมล์
« ตอบ #78 เมื่อ: พฤษภาคม 03, 2007, 09:25:24 AM »

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม - ๗๖

 

สุทัสสา อ่อนค้อม

ธันวาคม ๒๕๓๗

S00076
๗๖...

            เวลาหกนาฬิกา ของเช้าวันที่ ๑๑ สิงหาคม ท่านพระครูออกจากผลสมาบัติดังที่ได้อธิษฐานจิตไว้ตอนก่อนจะเข้า ที่ต้องอธิษฐานจิตให้ออกตอนเช้าก็เพื่อจะได้ฉันภัตตาหารหลังจากที่ไม่ได้ฉันมาสามวันเต็ม ๆ เพราะนั่งขัดสมาธิอยู่กับที่เป็นเวลา ๗๒ ชั่วโมงติดต่อกัน

            เนื่องจากการเข้าสมาบัติในครั้งนี้มิได้เป็นไปอย่างปกติสามัญ หากต้องการจะต่ออายุให้เถ้าแก่บ๊ก ดังนั้นอาการที่ปรากฏหลังออกจากสมาบัติจึงผิดไปจากที่ได้เคยเป็น กล่าวคือแทนที่จะได้เสวยสุขเวทนาอันเกิดแต่สมาธิ กลับต้องมาเสวยทุกขเวทนาอย่างแสนสาหัส ถึงกับต้องกำหนด “ทุกข์หนอ ทุกข์หนอ” อยู่ชั่วขณะ แล้วจึงกำหนดรู้ว่าทุกขเวทนาที่กำลังได้รับอยู่นั้น เป็นการถ่ายเทโรคภัยไข้เจ็บในตัวเถ้าแก่บ๊กมาสู่ตัวท่าน

            เจ้าอาวาสวัดป่ามะม่วงรู้สึกปวดท้องเป็นกำลัง ปวดท้องและคลื่นไส้อยากจะอาเจียน ท่านหยิบกระโถนมาวางใกล้ตัวและก้มหน้าอาเจียนโอ้ก ๆ สิ่งที่ออกจากปากมีทั้งเสมหะ น้ำลาย น้ำหนอง และตามด้วยโลหิตสด ๆ สีแดงฉาน ถ่ายเทของเสียออกมาแล้วรู้สึกสบายขึ้น หากก็เพียงชั่วขณะ หลังจากนั้นก็รู้สึกปั่นป่วนภายในท้องอีก คราวนี้ไม่มีทีท่าว่าจะพุ่งขึ้นทางลำคอแล้วออกทางปาก แต่กลับพุ่งลงไปทางเบื้องต่ำ

            ภิกษุวัยห้าสิบค่อย ๆ พยุงกายลุกขึ้น ตั้งสติให้มั่นคง มือยึดราวบันได เท้าก้าวลงช้า ๆ อย่างมีสติ พยายามกลั้นสิ่งที่อยู่ภายในท้องมิให้ไหลเลอะออกมาก่อนที่จะถึงห้องน้ำ

            ท่านใช้เวลาอยู่ในห้องสุขายี่สิบนาที เป็นยี่สิบนาทีแห่งความทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัส เพราะไม่เพียงแต่จะถ่ายเป็นอุจจาระปะปนกับมูกเลือดออกมาเท่านั้น หากลมได้ตีกลับขึ้นเบื้องบน ผ่านลำคอออกมาทางปากอีกทางหนึ่ง

            ท่านรู้สึกเหนื่อยอ่อน หมดเรี่ยวแรงเหมือนว่าจะต้องดับดิ้นสิ้นชีวิตอยู่ภายในห้องแคบ ๆ นั้น แต่แม้จะรู้สึกอ่อนเปลี้ยเพลียแรงสักปานใดก็มีสติระลึกรู้ รู้ว่าท่านจะต้องไม่สิ้นชีวิตอยู่ในห้องน้ำนี้ เพราะ “กฎแห่งกรรม” บอกว่าท่านจะต้องเสียชีวิตเพราะอุบัติเหตุรถคว่ำ

            เมื่อโรคภัยไข้เจ็บที่รับมาจากเถ้าแก่บ๊กถูกถ่ายเทออกมาภายนอกจนหมดสิ้นแล้ว ท่านรู้สึกเบาเนื้อเบาตัวและสบายขึ้นเป็นลำดับ จึงจัดการสรงน้ำชำระร่างกายจนสะอาดสะอ้าน เสร็จแล้วจึงเดินขึ้นชั้นบนเพื่อรอฉันภัตตาหาร เสียงท้องร้องจ๊อก ๆ เพราะไม่มีอาหารอยู่ในกระเพาะเลย “รู้แล้วน่าว่าเอ็งหิว ข้าเองก็อดมาสามวันสามคืนเท่ากับเอ็งนั่นแหละ” ท่านพูดกับท้อง

            ครู่ใหญ่ ๆ นายสมชายกับนายขุนทอง ก็ช่วยกันลำเลียงอาหารและน้ำร้อนน้ำชาขึ้นมาถวาย เห็นท่าทางอิดโรยของท่านเจ้าของกุฏิ คนทั้งสองต่างพากันตกใจ

            “ทำไมหลวงพ่อดูซีดเซียว ไม่เอิบอิ่มเหมือนทุกครั้งที่ออกจากสมาบัติเลยนะครับ” ศิษย์วัดว่า

            “หลวงลุงไม่สบายหรือเปล่าฮะ” หลานชายถาม ท่านพระครูยอมรับว่า

            “หนักที่สุดในชีวิต เธอรู้ไหมสมชาย การช่วยครั้งนี้ฉันเกือบจะต้องเอาชีวิตของตัวเองเข้าแลก ถ้ากฎแห่งกรรมไม่บอกไว้ก่อนว่าฉันจะต้องตายเพราะอะไรแล้วละก็ ฉันคงจะตายไปแล้ว เธอจำไว้นะ เหนือฟ้ายังมีฟ้า แต่เหนือฟ้าขึ้นไปก็ยังมีกฎแห่งกรรม”

            จัดอาหารเสร็จแล้วคนทั้งสองจึงช่วยกันประเคน ท่านเจ้าของกุฏิ ฉันได้สักสองสามช้อนก็อิ่ม เพราะรู้สึกอ่อนเพลียจนฉันไม่ลง จึงได้แต่ดื่ม “น้ำชา” ที่รสชาติทั้งเฝื่อนทั้งขม

            “ฉันเสร็จ หลวงพ่อพักผ่อนสักหน่อยดีกว่าครับ อย่าเพิ่งลงรับแขกตอนนี้เลย” ศิษย์วัดขอร้อง วันนี้แขกมากันแน่นกุฏิ เพราะหยุดกิจการไปถึงสามวัน บางคนก็มารอตั้งแต่ตีสี่ นับวันคนก็ยิ่งมีทุกข์กันมากขึ้น ความเจริญทางวัตถุไม่ช่วยให้ความทุกข์ของพวกเขาลดลงแต่ประการใด

            “ขืนฉันพักผ่อน คนจะต้องขึ้นมาพังกุฏิฉันแน่ เอาละ ไหน ๆ ก็ไหน ๆ ฉันจะลงไปเดี๋ยวนี้แหละ ยังไม่ถึงเวลาก็ไม่เป็นไร ถือเสียว่าเป็นการชดเชยช่วงที่หยุด”

            คนที่มาตั้งแต่ตีสี่เป็นบุรุษวัยห้าสิบแปด เห็นท่านพระครูลงมาก็แทบจะวิ่งเข้าไปกอด “หลวงพ่อครับช่วยผมด้วย” ประโยคแรกที่เขาเอื้อนเอ่ยก็คล้าย ๆ กันกับของคนอื่น ๆ

            “โยมจะให้ช่วยอะไรล่ะ” ประโยคแรกของท่านพระครูที่พูดกับเขา ก็เหมือนกับพูดกับคนอื่น ๆ เช่นกัน

            “แม่เด็กหนีไปซะแล้ว หลวงพ่อช่วยตามให้หน่อย”

            “หนีไปไหนล่ะ”

            “ไม่ทราบครับ ถึงต้องมาถามหลวงพ่อไง”

            “อ้าว ก็นอนอยู่ด้วยกันยังไม่ทราบ แล้วอาตมาไม่ได้ไปนอนกะแม่เด็กเขา จะไปทราบได้ยังไงล่ะ” ท่านย้อนคนเมียหนี

            “แต่หลวงพ่อต้องทราบ เพราะใคร ๆ เขาก็มาหาหลวงพ่อกันทั้งนั้นเวลาที่เมียหนี หลวงพ่อตามกลับได้ทุกรายเลยด้วย” คนอายุห้าสิบแปดว่า

            “แต่ตอไปนี้อาตมาว่า จะเลิกตามให้แล้ว พระไม่ได้มีหน้าที่มาตามเมียให้ชาวบ้าน เมียใครก็ตามกันเอาเอง” ท่านแกล้งปฏิเสธ

            “โธ่หลวงพ่อ ช่วยผมสักครั้งเถอะครับ ผมกราบละ” เขาก้มลงกราบหนึ่งครั้ง

            “ไปทำยังไงเข้าล่ะ เขาถึงได้หนี”

            “ไม่ได้ทำอะไรครับ” คนตอบไม่พูดความจริง

            “ไม่ทำแล้วเขาจะหนีทำไมล่ะ ก็อยู่กันมาจนถือไม้เท้ายอดทองกระบองยอดเพชร แล้วทำไมถึงมาหนีไปตอนแก่ล่ะ บอกมาตรง ๆ ดีกว่าว่าไปทำอะไรเขา ถ้าโกหกไม่ช่วยนะเอ้า” ท่านเจ้าของกุฏิขู่ คนถือไม้เท้ายอดทองจึงพูดเสียงอ่อย ๆ

            “ก็แค่เอาฝาโอ่งทุบหัวทีเดียวเอง”

            “ฝาโอ่งนั่นทำด้วยอะไร อะลูมิเนียม หรือไม้”

            “ไม้ครับหลวงพ่อ ไม้ประดู่” รายนี้ท่านพระครูไม่จำเป็นต้องใช้ “เห็นหนอ” ช่วยตรวจสอบหรือช่วยตาม เพราะเมื่อสองสัปดาห์ที่ผ่านมา สตรีวัยห้าสิบเศษร้องไห้ร้องห่มมาหาพร้อมก้มให้ดูศีรษะซึ่งโนเป็นลูกมะกรูด

            “หลวงพ่อดูซีคะ พ่อบ้านเขาใช้ฝาโอ่งฟาดหัวอีฉัน ฝ่าโอ่งทำด้วยไม้ประดู่หนักห้ากิโล!”

          “ไปทำอะไรให้เขาโกรธล่ะ”

          “เขาหาว่าอีฉันทำกับข้าวไม่อร่อยค่ะ แหม! อยู่กันมาจนมีเขยมีสะใภ้แล้ว เกิดจะมาติว่ากับข้าวไม่อร่อย อีฉันไม่กลับไปอยู่กะมันแล้ว มาอยู่วัดป่ามะม่วงดีกว่า” แล้วนางก็อยู่ที่วัดนี้มาตั้งแต่วันนั้น

            รู้ต้นสายปลายเหตุแล้ว ท่านเจ้าของกุฏิจึงถามบุรุษวัยใกล้หกสิบว่า “เอายังงี้ไหมเล่า อาตมาจะตามให้ แต่โยมจะต้องกราบขอขมาเขา กราบงาม ๆ ตอหน้าอาตมาด้วย ทำได้ไหมเล่า ถ้าไม่ได้ก็ไม่ตามให้” คนเมียหนีตอบทันทีว่า

            “ผมทำไม่ได้หรอกครับหลวงพ่อ เรื่องอะไรจะไปกราบผู้หญิง ขนาดแม่ผมแท้ ๆ ยังไม่เคยกราบ นี่หลวงพ่อจะให้มากราบเมีย” เขาต่อว่า

            “ไม่เป็นไร กราบไม่ได้ก็ไม่เป็นไร เอาละ ใครมีปัญหาอะไรก็ว่าไป” ท่านถามรายต่อไปโดยไม่สนใจคนอายุห้าสิบแปดที่นั่งคอตกอยู่หน้าอาสนะ

            ทหารยศพลตรีเข้ามากราบแล้วถามว่า “หลวงพ่อจำผมได้หรือเปล่าครับ ที่เคยมาบวชอยู่วัดนี้เมื่อปี ๒๕๐๐”

            “จำไม่ได้หรอกโยม ตั้งเกือบยี่สิบปีแล้ว ใครจะไปจำได้” ท่านพระครูพูดตรง ๆ นายพลตรีจึงส่งซองจดหมายเก่า ๆ ให้ท่านหนึ่งซอง ท่านเจ้าของกุฏิเปิดซองออกก็พบข้อความที่เขียนด้วยลายมือของท่านเอง กระดาษที่ใช้เขียนออกสีเหลือง เพราะความล่วงไปแห่งกาลเวลา ข้อความที่ปรากฏบนแผ่นกระดาษนั้นมีว่า

            “อาตมาขอบิณฑบาตนะโยม ขอให้เลิกประพฤติผิดศีลข้อสาม ถ้าเลิกไม่ได้ เวรกรรมจะไปตกที่ลูกสาวทั้งสามคนของโยม ไม่เชื่อก็คอยดูกันต่อไป ลงชื่อ พระครูเจริญ ฐิตธัมโม วัดป่ามะม่วง วันที่ ๒๙ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๐๐”

            อ่านจบท่านเจ้าของกุฏิก็นึกถึงเรื่องราวแต่หนหลังได้ สมัยนั้นนายพลตรี มียศเป็นร้อยเอก ภรรยาเป็นทหารยศร้อยตรี มีลูกสาวสามคน ปี ๒๕๐๐ เขาได้ลาราชการมาบวชที่วัดนี้หนึ่งพรรษา บวชโดยมิได้มีศรัทธาแต่ประการใด มารดาขอให้บวชก็บวชไปอย่างนั้นเอง

            ระหว่างที่อยู่ในวัดก็ไม่ยอมปฏิบัติกรรมฐาน เพราะไม่เชื่อว่าบุญบาปมีจริง และเพราะไม่เชื่อจึงก่อกรรมทำชั่วอย่างไม่สะทกสะท้าน ท่านเคยเตือนให้เลิกผิดลูกผิดเมียชาวบ้าน เพราะก่อนมาบวชก็มีเรื่องอื้อฉาวคาวโลกีย์อยู่เป็นประจำ ครั้นมาบวชท่านขอบิณฑบาต เขาก็ไม่ยอมยกให้ ท่านจึงต้องเขียนข้อความข้างต้นให้เขาไว้ เพื่อสอนใจ คนเป็นนายพลกล่าวทั้งน้ำตาว่า

            “ผมเสียใจเหลือเกินครับ เสียใจที่ไม่เชื่อหลวงพ่อ สึกออกไปผมยังคงประพฤติระยำตำบอน เจ้าชู้ไม่เลือกลูกเขาเมียใคร เพราะไม่เชื่อหลวงพ่อ เพิ่งจะสำนึกเมื่อวานนี้เอง เลยชวนภรรยามาหาหลวงพ่อ คิดว่าหลวงพ่อต้องช่วยได้” ท่านเจ้าของกุฏิรู้ว่า เรื่องที่เขาจะพูดเป็นความลับจึงว่า

            “เชิญไปคุยกันข้างบนดีกว่า” ท่านลุกขึ้นแล้วพูดกับผู้ที่นั่งรอว่า “ขอตัวประเดี๋ยวนะ เดี๋ยวจะลงมาใหม่” พลตรีและภรรยาซึ่งขณะนี้มียศเป็นพันโทหญิง ลุกตามท่านเจ้าของกุฏิไปยังชั้นบน

            “เรื่องมันเป็นยังไง” ท่านพระครูถาม คนทั้งสองต่างกันร้องไห้ แล้วคนที่เป็นนายพลก็พูดขึ้นว่า

            “เวรกรรมเล่นงานผมแล้วครับหลวงพ่อ ลูกสามผมหนีออกจากบ้านทั้งสามคน ต่อมามีคนไปพบว่า พากันไปขายตัวอยู่ที่หาดใหญ่ ผมอับอายเหลือเกินครับหลวงพ่อ เสียศักดิ์ศรี เสียเชื่อเสียงวงศ์ตระกูล พ่อเป็นนายพล แม่เป็นนายพัน แต่ลูกเป็นโสเภณี”

            “เป็นความผิดของใครล่ะ ความผิดของลูกอย่างนั้นหรือ”

            “ความผิดของผมเองครับ เพราะผมไม่เชื่อหลวงพ่อ”

            “แล้วตอนนี้เชื่อหรือยัง”

            “เชื่อแล้วครับ โปรดช่วยผมด้วยเถอะครับ ผมสงสารลูก ไม่อยากให้เขาต้องไปมีอาชีพอย่างนั้น”

            “โยมทั้งสองอยากให้ลูกกลับมาหรือเปล่า”

            “อยากครับ ภรรยาผมก็อยากแต่ก็กลัวจะอับอายขายหน้า ผมคิดไม่ตกเลยครับว่าจะทำยังไงดี หลวงพ่อโปรดชี้ทางให้ผมด้วย”

            “ถ้าโยมอยากให้ลูกกลับก็ต้องยอมอายนะ ทำยังไงได้ ถึงเวลาที่ต้องอาย ก็ต้องยอม แต่ถึงอย่างไร อาตมาคิดว่ายังน่าอายน้อยกว่าที่เราทำความชั่ว ขออภัยนะที่อาตมาพูดตรง ๆ”

            “ดิฉันจะยอมอายค่ะหลวงพ่อ คิดถึงลูกเหลือเกิน” พันโทหญิงรำพัน คนเป็นนายพลต้องตัดสินใจอย่างหนัก ในที่สุดจึงพูดขึ้นว่า

            “ผมก็ยอมอายครับ ผมปลงตกเสียแล้ว ยังไง ๆ ลูกเขาก็เป็นเลือดเนื้อเชื้อไข ส่วนตำแหน่งหน้าที่เป็นเพียงหัวโขน อีกประการหนึ่ง ลูก ๆ ต้องมาเป็นอย่างนี้ เพราะผมเป็นคนสร้างกรรมให้เขา หลวงพ่อช่วยผมหน่อยเถิดครับ ช่วยตามลูกสาวผมกลับด้วย” เขาวิงวอน ท่านเจ้าของกุฏิจึงเปรยขึ้นว่า

            “ไม่รู้อะไรกันนักหนา รายแรกจะให้ตามเมีย รายที่สองจะให้ตามลูก ทั้ง ๆ ที่อาตมาไม่มีทั้งลูกและเมีย” คนเป็นนายพลนายพันพากันยิ้มทั้งน้ำตา ท่านพระครูจึงบรรลุจุดประสงค์ในการทำให้คนทั้งสองคลายเครียด

            “เอาละ เป็นอันว่าอาตมาจะช่วยแต่จะต้องมีข้อแม้ คือโยมจะต้องอนุญาตให้อาตมานำเรื่องนี้ไปสั่งสอนคนอื่น ๆ ได้ เพราะจะเป็นประโยชน์อย่างมหาศาลสำหรับคนที่เขาไม่เชื่อเรื่องบาปบุญคุณโทษ อย่างน้อยก็ทำให้เขาได้คิด โยมจะตกลงไหม”

            “ตกลงค่ะหลวงพ่อ ถ้าเขาไม่เชื่อ ดิฉันยอมมาเป็นพยานให้อีกด้วย พร้อมกันนี้ดิฉันขอฝากหลวงพ่อให้ช่วยเตือนบรรดาพ่อแม่ที่ทำแต่งานโดยไม่เอาใจใส่ดูแลลูกเต้า ถึงเขาจะได้เป็นใหญ่เป็นโต แต่ถ้าลูกกลายเป็นคนติดยาหรือลูกสาวไปทำตัวเหลวแหลกอย่างลูกของดิฉัน มันก็ไม่คุ้มกันเลย ดิฉันพลาดไปแล้วจึงไม่อยากให้พ่อแม่คนอื่น ๆ ต้องเป็นอย่างดิฉันอีก” พันโทหญิงสาธยาย

          “ผมด้วยครับหลวงพ่อ ผมขอฝากเตือนบรรดาเจ้าชู้ประตูดินทั้งหลายว่า อย่าได้ประพฤติผิดศีลธรรมอีกเลย บาปกรรมมันตามทันตาเห็นเชียวละ ผมเข็ดแล้วครับ เข็ดจริง ๆ” อดีตนักเลงหญิงว่า

            “เอาละ ๆ อาตมาขออนุโมทนาในกุศลจิตของโยมทั้งสองที่ยังอุตส่าห์ห่วงคนอื่น คนบางคนนะ เมื่อเขาประสบความหายนะ เขาก็อยากจะให้คนอื่นหายนะเช่นตัวบ้าง แต่โยมสองคนมีจิตใจดีจริง ๆ ขอกุศลจิตนี้ จงดลบันดาลให้ลูกสาวของโยมกลับคืนสู่อ้อมอกพ่อแม่โดยเร็วนะโยมนะ อาตมาขอเอาใจช่วย เอาละ ทีนี้ก็จะบอกวิธีที่จะเรียกลูกกลับบ้านภายในเจ็ดวัน โยมต้องมาเข้ากรรมฐานทั้งสองคน ประเดี๋ยวกลับไปจัดการลางานซะ ลามาเจ็ดวันเลย”

            “ไม่มีวิธีอื่นที่ดีกว่านี้หรือครับหลวงพ่อ” คนเป็นนายพลถามเพราะห่วงงาน

            “ไม่มี วิธีนี้ดีที่สุด อาตมาไม่ชอบให้ของปลอมใคร อย่างอื่นเป็นของปลอม แต่กรรมฐานเป็นของแท้และไม่มีวิธีใดที่จะแก้ปัญหาได้ดีเท่ากับการมาเข้ากรรมฐาน เอาละ โยมทำตามี่อาตมาบอกก็แล้วกัน มาอยู่วัดเจ็ดวัน กลับไปบ้านได้พบลูกแน่นอน แล้วก็ต้องสัญญากับอาตมานะว่าอย่าไปด่าเขา อย่าไปพูดถึงอดีตของเขา เรื่องเก่าอย่าเอามารื้อฟื้น ให้พูดกับเขาดี ๆ แล้วก็พามาหาอาตมานะ พามาทั้งสามคนนั่นแหละ อาตมาจะให้เขาเรียนกรรมฐานก่อน จากนั้นก็จะให้เรียนมหาวิทยาลัย”

            “คงเรียนไม่ได้มังครับหลวงพ่อ รู้สึกอายุจะเกินแล้ว” คนพูดหมายถึงเรียนมหาวิทยาลัย

            “ได้สิ ก็มหาวิทยาลัยเปิดมีไม่ใช่หรือ อาตมาจะให้เขาเรียนมหาวิทยาลัยเปิด รับรองว่าต้องจบแน่นอน เพราะเขามีดวงการศึกษาดีทั้งสามคน และต่อไปก็จะมีงานมีการทำเป็นหลักเป็นฐาน แล้วก็ได้สามีดีทุกคน โยมทำที่อาตมาแนะนำก็แล้วกัน ขอให้เชื่ออาตมาเถอะ เชื่อประเทศไทยสักครั้ง เอาละ รีบกลับไปขออนุญาตลางานกันได้แล้ว อาตมาจะลงไปรับแขกข้างล่างละ วันนี้แขกมากันแน่นกุฏิเลย”

            รายที่สามเป็นหญิงสาวหน้าตาคมคายละม้ายคล้ายแขก แล้วหล่อนก็เป็นแขกจริง ๆ เสียด้วย

            “หลวงพ่อจำหนูได้หรือเปล่าคะ” หล่อนถาม

            “เอ ก็คลับคล้ายคลับคลา แต่ยังนึกไม่ออก หนูเคยมาที่นี่บ่อยไหมจ๊ะ”

            “เคยมาครั้งเดียวค่ะ ครั้งนี้เป็นครั้งที่สอง หนูนำธูปเทียนแพมากราบหลวงพ่อค่ะ” พูดจบหล่อนก็ประเคนพานใส่ธูปเทียนแพ แล้วกราบสามครั้ง

            “หนูเป็นอิสลามไม่เคยกราบพระ หลวงพ่อเป็นพระคนแรกและคนสุดท้ายที่หนูจะกราบ”

            “ทำไมหรือหนู” ท่านเจ้าของกุฏิสงสัย

            “ก็หลวงพ่อช่วยให้หนูหายทุกข์ ตอนมาคราวที่แล้วหนูกำลังมีความทุกข์เพราะถูกโกงค่าเช่าบ้าน หลวงพ่อก็ช่วยจนหนูสามารถใช้หนี้ใช้สินเขาหมดแล้ว หนูจึงต้องมากราบหลวงพ่อ” ท่านพระครูจึงนึกออกว่า หญิงสาวผู้นี้คือคนที่เจ้าหมีไปเข้าฝันนั่นเอง

            เจ้าอาวาสวัดป่ามะม่วงรับแขกอยู่จนถึงเวลาสิบเอ็ดนาฬิกา จึงบอกให้พวกเขาไปรับประทานอาหาร ตัวท่านก็กำลังจะขึ้นข้างบนเพื่อฉันเพลเป็นกรณีพิเศษ เนื่องจากร่างกายทรุดโทรมเพราะการต่ออายุให้เถ้าแก่บ๊ก คนอื่น ๆ พากันลุกเดินออกไปยังโรงครัว ยกเว้นบุรุษวัยห้าสิบแปดที่มาขอให้ท่านพระครูช่วยตามเมีย

            บุรุษสูงวัยใช้ความคิดอย่างหนัก คิดแล้วคิดเล่าเฝ้าแต่คิด “หลวงพ่อนี่ประหลาดคนพิลึก มีอย่างรึ แค่เรามาขอให้ช่วยตามแม่อีหนูให้หน่อย กลับจะมาให้เรากราบเมีย หนอยแน่ขนาดแม่เรายังไม่เคยกราบ เรื่องอะไรจะต้องไปกราบเมีย”

            ครั้นนึกเห็นภาพที่ตนใช้ฝาโอ่งฟาดหัวคนเป็นเมียก็นึกสงสารจนน้ำตาไหล

            “เป็นไงเป็นกันวะ”  เขาตัดสินใจ “ถึงจะไม่เคยกราบแม่ แต่วันนี้จะกราบเมียละวะ” พอคิดตกก็ปรากฏว่าท่านพระครูเดินขึ้นข้างบนไปแล้ว

            “ไอ้หนูช่วยเรียกหลวงพ่อให้ลุงทีเหอะ” เขาบอกนายขุนทอง

            “อย่ากวนท่านเลยลุง ท่านกำลังไม่สบาย” ชายหนุ่มว่า

            “งั้นก็ช่วยขึ้นไปบอกท่านทีว่าลุงยอมกราบแม่อีหนูเขาแล้ว ให้ท่านช่วยตามให้ด้วย”

            “เดี๋ยวลุงพูดกับท่านเอาเองก็แล้วกัน รอให้ท่านลงมาเสียก่อน” บุรุษวัยใกล้หกสิบรู้สึกหงุดหงิด หากก็ปักหลักรอต่อไป ความจริงแล้วท่านเจ้าของกุฏิได้ยินที่เขาพูด แต่ท่านต้องการจะทรมานคนรังแกเมีย!

 

มีต่อ........๗๗

 
บันทึกการเข้า
ช่างเล็ก(LSV)
Administrator
member
*

คะแนน1346
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 18613


คิดดี ทำดี ชีวิตมีแต่สุข


อีเมล์
« ตอบ #79 เมื่อ: พฤษภาคม 03, 2007, 09:26:14 AM »

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม - ๗๗

 

สุทัสสา อ่อนค้อม

ธันวาคม ๒๕๓๗

S00077
๗๗...

          เมื่อมาถึงกุฏิ คุณหญิงปทุมทิพย์ไม่พบนายขุนทอง จึงถามถึงบุรุษวัยห้าสิบเศษ ที่นั่งอยู่เพียงผู้เดียวตรงหน้าอาสนะ

          “ไปไหนกันหมด หลวงพ่ออยู่หรือเปล่า”

          “อยู่ครับ ท่านอยู่ข้างบน กำลังฉันเพล” เขาตอบ

          “งั้นช่วยขึ้นไปเรียนท่านด้วยว่า เสร็จแล้วให้ลงมาพบคุณหญิงปทุมทิพย์หน่อย” คน “ใหญ่ผิดที่” บัญชา

          “คงไม่ได้หรอกครับ ผมเองก็ยังต้องนั่งรอท่านอยู่ที่นี่” เขาปฏิเสธ เมื่อไม่ได้ดังใจ คนเป็นคุณหญิงก็ “แว้ด”

          “โอ๊ย ไม่รู้อะไรกันนักหนา ไปวัดไหน ๆ เจ้าอาวาสท่านก็รับรองอย่างดี ไม่เห็นจะเรื่องมากเหมือนเจ้าอาวาสวัดนี้เลย”

          “ก็ไปวัดอื่นซีครับ” คนกำลังหงุดหงิดเพราะเมียหนีพูดแดกดัน

          คุณหญิงหันมาค้อนแล้วว่า “ก็ไปมาแล้ว แต่มันไม่สำเร็จ”

          ฉันเสร็จท่านพระครูรีบลงมารับแขก ด้วยไม่อยากให้ญาติโยมต้องรอนาน ท่านสั่งให้นายขุนทองไปตามภรรยาของบุรุษผู้นั้นมา แล้วจัดการตามที่ได้ลั่นวาจาเอาไว้

          บุรุษวัยใกล้หกสิบก้มลงกราบขอขมาคนเป็นเมียต่อหน้าท่านพระครูและคุณหญิงปทุมทิพย์ ปลอบใจตัวเองว่า “ก็ยังดีกว่ากราบต่อหน้าคนทั้งกุฏิแหละวะ” จากนั้นจึงพากันกลับบ้าน

          ผู้มีความทุกข์ทั้งหลาย เมื่อรับประทานอาหารอิ่มแล้วก็พากันเดินกลับมาที่กุฏิ แล้วก็เลยต้องต่อคิวคุณหญิงผู้ซึ่งกำลังคุยอยู่กับท่านเจ้าอาวาส

          “คุณหญิงจะอยากรู้ไปทำไม” ท่านพระครูถาม เมื่อคุณหญิงปทุมทิพย์บอกจุดประสงค์ของการมาพบท่าน

          “ดิฉันจะได้ไปเยี่ยมเขาค่ะ เยี่ยมทั้งแม่ทั้งลูก” เธอไม่บอกความจริง

          “แล้วก็เอาน้ำกรดใส่กระเป๋าถือไปฝากด้วยใช่ไหม ขวดน้ำกรดที่ซ่อนอยู่ในกระเป๋าถือของคุณหญิงน่ะ” ท่านพระครูเห็นเพราะ “เห็นหนอ” บอก

          “ทำไมหลวงพ่อทราบคะ ดิฉันอุตส่าห์ซ่อนมาอย่างดี ดิฉันเจ็บใจค่ะ” คราวนี้เธอร้องไห้เพราะความคับแค้นใจ

          “แล้วการทำอย่างนั้นจะช่วยให้คุณหญิงหายเจ็บใจหรือ” คนเป็นคุณหญิงไม่ต่อบ ได้แต่ก้มหน้าร้องไห้กระซิก ๆ

          “อาตมาขอบิณฑบาตเถิดนะ อย่างได้สร้างเวรสร้างกรรมให้ตัวเองอีกเลย ที่คุณหญิงต้องมาเป็นเช่นนี้ก็เพราะกรรมเก่านะ ขอให้นึกเสียว่ากำลังใช้กรรม อาตมาสอนญาติโยมเสมอ ๆ ว่า “กรรมเก่าให้รีบใช้ กรรมใหม่อย่าไปสร้าง” คุณหญิงเชื่ออาตมาเถิดนะ”

          “ดิฉันทำกรรมอะไรไว้หรือคะหลวงพ่อ ถึงต้องมาเป็นเช่นนี้ ก่อนที่จะมาแต่งงานกับรัฐมนตรี ดิฉันก็เคยมีสามีมาก่อน แล้วก็ถูกเพื่อนแย่งไป” ถามทั้งน้ำตา

          “ถ้าคิดตามหลักของเหตุผลก็ต้องว่า เพราะคุณหญิงเคยไปแย่งของคนอื่นเขา ถ้าชาตินี้ไม่ได้ทำก็แสดงว่าต้องเคยทำมาแต่ครั้งอดีตชาติ แล้วกรรมนั้นมันติดตัวมาเกินหกสิบเปอร์เซ็นต์ อาตมาวิจัยไว้แล้วว่า ใครก็ตามที่ผิดศีลข้อสาม และบาปนั้นติดตัวมาเกินหกสิบเปอร์เซ็นต์ รับรองได้ว่ามีสามี สามีก็ต้องมีเมียน้อย มีภรรยา ภรรยาก็มีชู้ และถ้ามาในชาตินี้ยังเลิกไม่ได้ บาปกรรมก็จะไปตกกับลูกหลาน มีตัวอย่างแล้ว เพิ่งกลับไปเมื่อกี้นี้เอง สามีเป็นพลตรี ภรรยาเป็นพันโท มีลูกสาวสามคน ไปเป็นโสเภณีหมด เพราะพ่อเจ้าชู้ ลูกก็เลยต้องรับกรรม มาร้องไห้กับอาตมาทั้งผัวและเมีย เพิ่งกลับไปเมื่อสักครู่ อาตมาสั่งให้มาเข้ากรรมฐานเพื่อแก้กรรม ให้มาทั้งคู่เลย ไม่งั้นช่วยลูกให้เลิกอาชีพโสเภณีไม่ได้”

          “แล้วรายของดิฉันล่ะคะ ทำยังไงเขาถึงจะเลิกกัน” เธอถามอย่างสนใจ

          “ไม่ต้องทำอะไร เขาก็ต้องเลิกกันอยู่ดีนั่นแหละคุณหญิง ผู้หญิงอายุ ๑๖ ผู้ชายอายุ ๖๑ จะอยู่กันไปได้สักกี่น้ำ คุณหญิงไม่ต้องไปทำอะไรเขาหรอก ถ้าจะให้ดีก็สวดมนต์แผ่เมตตาให้เขามีความสุขความเจริญกัน” คุณหญิงปทุมทิพย์รีบค้านว่า

          “ดิฉันทำไม่ได้หรอกค่ะ มันฝืนกับความรู้สึกที่แท้จริง”

          “ทำไม่ได้ก็ไม่ต้องทำ แต่อาตมาขอเตือนนะ อย่าไปทำร้ายเขาอย่างที่คิด ใคร ๆ ก็มีกรรมด้วยกันทั้งนั้น อาตมาเห็นกฎแห่งกรรมของท่านรัฐมนตรีแล้ว อีกห้าปีคุณหญิงก็จะรู้อย่างที่อาตมารู้และเห็นอย่างที่อาตมาเห็น ไปจดไว้ได้เลยนะว่าปี ๒๕๒๒ จะเกิดอะไรขึ้นกับท่านรัฐมนตรี และคุณหญิงก็จะต้องทนทรมานไปอีกสามปี จนถึงปี ๒๕๒๕ จึงจะหมดกรรม นี่เฉพาะกรรมเก่านะ ถ้าคุณหญิงจะสร้างกรรมใหม่อีกก็เชิญ แล้วอย่ามาหาว่าอาตมาไม่เตือนก็แล้วกัน”

          “แต่ดิฉันเกลียดมันค่ะหลวงพ่อ ดิฉันเกลียดนังเด็กนั่น เกลียดลูกของมันด้วย”

          “คุณหญิงเคยเห็นลูกเขาแล้วหรือถึงได้เกลียด”

          “ยังไม่เคยค่ะ ตัวแม่มันดิฉันก็ยังไม่เคยเห็น”

          “แล้วทำไมต้องไปเกลียดล่ะ เอาเถอะ ต่อไปข้างหน้าคุณหญิงจะรักเด็กคนนี้ จำคำของอาตมาไว้ก็แล้วกันว่า คุณหญิงจะรักลูกของเขา”

          “เป็นไปไม่ได้หรอกค่ะ ใครจะไปรักลูกของศัตรู” เธอเถียง

          “รักหรือไม่รักก็คอยดูไปก็แล้วกัน อาตมาจะไม่เถียงกับคุณหญิงหรอก เถียงไปก็เปล่าประโยชน์ รอให้เวลานั้นมาถึงค่อยพูดกันใหม่”

          “ตกลงหลวงพ่อจะไม่บอกดิฉันจริง ๆ หรือคะว่ามันอยู่โรงพยาบาลอะไร”

          “บอกไม่ได้หรอกคุณหญิง ไว้คุณหญิงหายโกรธแค้น หายอาฆาตเขาเสียก่อน แล้วอาตมาจะบอก ตกลงไหม”

          “ตกลงค่ะ ถ้าอย่างนั้นดิฉันเลิกโกรธแค้น เลิกอาฆาตพยาบาทก็ได้ หลวงพ่อกรุณาบอกดิฉันเถิดค่ะ” เธออ้อนวอน

          “อาตมาก็ขอยืนยันอยู่อย่างเดิมว่าบอกไม่ได้ เพราะคุณหญิงเลิกแต่ปาก ส่วนใจนั้นยังโกรธยังอาฆาตเต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ อย่ามาพูดปดกับอาตมาเลย อาตมารู้ทั้งนั้นแหละ เรื่องอย่างนี้ใครจะมาโกหกอาตมาไม่ได้

          เอาอย่างนี้นะ อาตมาจะยกตัวอย่างโทษของความโกรธ ความริษยาอาฆาตให้คุณหญิงฟังสักเรื่อง เล่าย่อ ๆ นะ คือเรื่องของเจ้าหญิงโรหิณี ซึ่งเป็นขนิษฐาของ พระอนุรุทธเถระ และเป็นพระญาติของพระพุทธองค์

          หลังจากที่พระพุทธเจ้าเสด็จเทศนาโปรดพระพุทธมารดาที่สวรรค์ชั้นดาวดึงส์แล้ว ก็ได้เสด็จมายังกรุง      กบิลพัสดุ์ เพื่อโปรดพระพุทธบิดาเป็นครังที่สอง พระอนุรุทธเถระก็ตามเสด็จด้วย บรรดาพระประยูรญาติต่งพากันมาเข้าเฝ้า ยกเว้นเจ้าหญิงโรหิณีผู้ซึ่งเป็นโรคผิวหนังพุพองทั่วพระวรกาย ดุน่าเกลียดมาก จึงไม่ยอมมาเข้าเฝ้า พระอนุรุทธเถระจึงเสด็จไปยังพระตำหนักของพระขนิษฐา

          เจ้าหญิงโรหิณีกราบทูลพระเชษฐาถึงสาเหตุที่ไม่ยอมไปเข้าเฝ้า และทูลถามว่าพระนางเคยทำกรรมอะไรไว้จึงได้มีร่างกายพุพองน่าเกลียดเช่นนี้ พระอนุรุทธเถระ ตรัสเล่าปุพพกรรมแต่ครั้งอดีตชาติให้พระขนิษฐาฟังว่า

          สมัยหนึ่งพระนางได้เกิดเป็นพระมเหสีของพระเจ้าพรหมทัต แห่งเมืองพาราณสี พระเจ้าพรหมทัตมีพระสนมหลายคน คนหนี่งเป็นนางรำรูปร่างหน้าตาสวยงามจึงเป็นที่โปรดปรานของพระเจ้าพรหมทัตมากกว่าใคร ๆ พระมเหสีมีจิตริษยาในนางรำผู้นั้น วันหนึ่งจึงแอบนำผงเต่าร้างไปโรยไว้ในกระปุกใส่แป้งของนาง คุณหญิงรู้จัดผงเต่าร้างหรือเปล่า” ท่านเจ้าของกุฏิถามคนเป็นคุณหญิง

          “ไม่ทราบค่ะ” เธอตอบ

          “หมามุ่ยใช่ไหมคะหลวงพ่อ” สตรีผู้หนึ่งตอบและถามในประโยคเดียวกัน

          “ถูกแล้ว คุณหญิงรู้จักหมามุ่ยหรือเปล่า” คุณหญิงปทุมทิพย์ถูกถามอีก

          “ทราบค่ะ เห็นเขาว่าคันอย่าบอกใคร”

          “นั่นแหละ ๆ พระมเหสีก็เอาผงเต่าร้างไปโรยไว้ในกระปุกแป้งของนางรำเพราะความริษยา เมื่อนางทาแป้งก็เกิดอาการคันและมีตุ่มผื่นคันพุพองทั่วร่าง ทำให้ได้รับทุกขเวทนาเป็นอันมาก จากผลกรรมนั้นทำให้เจ้าหญิงโรหิณีต้องมาเป็นโรคผิวหนัง ญาติโยมอย่าลืมนะว่าโรคกรรมนั้นไม่มีหมอที่ไหนรักษาได้ เหมือนอย่างเจ้าหญิงโรหิณีที่แพทย์หลวง กี่คน ๆ ก็ไม่สามารถรักษาได้ เมื่อพระนางได้ทราบกรรมครั้งอดีตชาติแล้ว จึงทูลถามพระอนุรุทธเถระว่าจะแก้กรรมได้อย่างไร”

          “ต้องเข้ากรรมฐานใช่ไหมครับ” บุรุษผู้หนึ่งตอบ มาวัดนี้ท่านสมภารพูดแต่เรื่องกรรมฐาน ๆ ใครจะแก้กรรมก็ต้องมาเข้ากรรมฐาน

          ท่านพระครูยิ้มด้วยนึกขำในคำตอบของบุรุษนั้น จึงสัพยอกเขาว่า

          “ถ้าเจ้าหญิงโรหิณีมาที่วัดนี้ อาตมาก็คงจะต้องให้เข้ากรรมฐาน แต่บังเอิญพระนางไม่ได้มา”

          “แล้วพระอนุรุทธเถระท่านทรงแนะนำให้พระขนิษฐาทำอย่างไรเพคะ” คุณหญิงถาม ผู้ที่นั่งฟังพากันหัวเราะคำถามของคนเป็นคุณหญิงซึ่งลงท้ายด้วย “เพคะ” ท่านเจ้าของกุฏิเองก็ขำ

          “ท่านทรงแนะนำให้พระขนิษฐาขายเครื่องประดับทั้งหมดที่มีอยู่ แล้วนำทรัพย์ที่ได้ไปสร้างเป็นศาลาที่พักพระภิกษุที่เดินทางไกลผ่านมายังเมืองนี้ ให้ท่านได้รับความสะดวกมีทั้งที่พักและอาหาร ในยามค่ำคืนก็จุดประทีปโคมไฟให้แสงสว่างแก่ท่าน เจ้าหญิงโรหิณีทรงทำตามคำแนะนำของพระเชษฐา แผลพุพองนั้นก็ค่อย ๆ หายไป ๆ จนในที่สุดพระนางก็มีผิวพรรณผุดผ่องสวยงามเหมือนแต่ก่อน และในเวลาต่อมาก็ได้บรรลุโสดาปัตติผลเป็นพระโสดาบัน”

          เล่าจบ ท่านเจ้าของกุฏิจึงถามคนเป็นคุณหญิงว่า “คุณหญิงเห็นโทษของความอาฆาตพยาบาทหรือยัง นี่ขนาดเอาผงเต่าร้างใส่ลงไปในแป้งก็ยังต้องมาเป็นโรคผิวหนังพุพองน่าเกลียด แล้วถ้าเอาน้ำกรดไปสาดเขา จะต้องรับกรรมสาหัสสากรรจ์สักเพียงใด อาตมาถึงต้องขอบิณฑบาตไงล่ะ”

          “ตกลงค่ะ ดิฉันยกให้ ที่หลวงพ่อขอบิณฑบาต ดิฉันยินดียกให้” พูดจบก็เปิดกระเป๋าถือหยิบขวดน้ำกรดซึ่งห่อด้วยกระดาษสีน้ำตาลอย่างมิดชิดวางไว้บนอาสนะ กราบสามครั้งจึงรีบลุกออกไป ด้วยรู้สึกอับอายขายหน้าเหลือเกินแล้ว

          “หลวงพ่อครับผมขอความกรุณาช่วยเปลี่ยนชื่อและนามสกุลให้ผมใหม่ด้วยครับ” ทหารยศพันเอกพูดขึ้น

          “เปลี่ยนทำไมเล่า ชื่อเก่าก็ดีอยู่แล้ว พ่อแม่ตังให้ไม่ต้องเปลี่ยน ยิ่งนามสกุลด้วยแล้วห้ามเปลี่ยนเด็ดขาด คนเราจะดีจะเลวไม่ได้อยู่ที่ชื่อ แต่อยู่ที่การกระทำ ใครมาขอเปลี่ยนชื่อ อาตมาไม่เคยเปลี่ยนให้สักราย

          บางคนเขาเชื่อหมอดู บอกหมอดูให้เปลี่ยน เพราะชื่อเดิมเป็นกาลกิณี เขาว่าคนเกิดวันจันทร์ ชือจะต้องไม่มีสระเพราะจะเป็นกาลกิณี อาตมาก็บอกไม่ต้องเปลี่ยน แล้วก็ยกตัวอย่างให้ฟังว่า คนชื่อรวยแต่จนก็มี คนที่ชื่อสวยแต่ขี้เหร่ก็มี นี่ที่วัดนี้ มีคนเขามาบอกอาตมาว่าพรุ่งนี้จะพาลูกสาวชื่อสวยมากราบอาตมา ตอนนั้นอาตมาก็ยังหนุ่ม อายุซักยี่สิบกว่า ๆ โอ้โฮ คืนนั้นนอนไม่หลับเลย นึกถึงแต่หน้าแม่คนที่ชื่อสวย แล้วก็วาดภาพไว้ว่าคงจะสวยหยาดเยิ้มเหมือนเพชรา พอรุ่งเช้าเขาก็มา...”

          “สวยไหมคะหลวงพ่อ” สตรีผู้หนึ่งกระเซ้า ท่านตอบว่า

          “สวยซี โอ้โฮ แม่สวยคนนี้สวยจริง ๆ แต่สวยน่าเกลียดพิลึก ตัวดำ ตาตี่ แถมฟันยื่น อาตมาจะเป็นลมเสียให้ได้ นี่ถ้าอาตมาเชื่อหมอดูก็คงจะแนะนำแม่เขาให้เปลี่ยนชื่อลูกสาวเสียใหม่แล้วละ”

          “เปลี่ยนเป็นอะไรคะ” สตรีคนเดิมกระเซ้าอีก

          “เปลี่ยนเป็น “สวยน่าเกลียด” อีกรายนะ รายนี้เป็นผู้ชาย มาแบบเดียวกัน อายุจะหกสิบแล้วมาบอก “หลวงพ่อช่วยเปลี่ยนชื่อให้ผมหน่อย เมียด่าไม่พักเลย หมอดูเขาบอกถ้าเปลี่ยนชื่อใหม่เมียจะเลิกด่า” อาตมาก็ถามว่าใครตั้งชื่อให้ล่ะ เขาบอกพ่อตั้งให้ แต่พ่อตายไปแล้ว รับรองว่าแกไม่รู้ว่าผมไม่ใช้ชื่อที่แกตั้ง

          อาตมาก็ทักว่าอย่าเปลี่ยนเลย ถ้าเปลี่ยนรับรองเมียด่าคูณสอง ที่เคยด่าวันละสามชั่วโมงก็จะเพิ่มเป็นวันละหก เขาก็โกรธอาตมา เลยไปหาพระวัดอื่นเปลี่ยนให้ หลวงพ่อวัดนั้นก็ว่าต้องเปลี่ยนเป็นสมศักดิ์ ชื่อบุญช่วยเป็นกาลกิณี ต้องเปลี่ยนเป็นสมศักดิ์ รับรองผู้หญิงรัก เมียก็จะเลิกด่า แกก็เลยไปเปลี่ยนเป็นสมศักดิ์ เสร็จแล้วกลับมาเล่าให้อาตมาฟังว่า

          “หลวงพ่อ จริงอย่างที่หลวงพ่อพูด เมียผมด่าสามวันสามคืนเลย บอก ไอ้โง่ ชื่อบุญช่วยก็ดีอยู่แล้ว เสือกไปเปลี่ยนเป็นสมศักดิ์สมบ้าอะไรก็ไม่รู้” นี่เห็นไหม อยากไม่เชื่ออาตมา” คนฟังพากันหัวเราะครื้นเครง เพราะขำในเรื่องที่ท่านเล่า

          “แต่ของผมมันไม่เหมือนกับที่หลวงพ่อเล่านะครับ” นายพันว่า

          “ไม่เหมือนยังไงล่ะผู้พัน”

          “คือตัวผมเองไม่อยากเปลี่ยน แล้วผมก็เป็นคนไม่เชื่อหมอดู เมียก็ไม่ด่าผม แต่ที่ผมอยากเปลี่ยนทั้งชื่อและนามสกุล เพราะผมติดแหง่กอยู่แค่พันเอกพิเศษมาหลายปีแล้ว ขอเลื่อนขึ้นเป็นนายพล พอนายเขาเห็นชื่อก็ฉีกทิ้งทุกที เขาว่าผมปากเสีย ก็ผมมันคนตรง นายทำมิดีมิชอบ เช่นฉ้อราษฎร์บังหลวง ร่วมมือกับพวกพ่อค้าตัดไม้ทำลายป่า ผมก็ว่าเอาไม่เกรงใจ เขาก็เลยว่าผมปากเสีย แล้วก็ไม่ยอมเลื่อนให้ผมเป็นนายพล ทั้งที่ผลงานผมมีมาก ผมก็เลยจะเปลี่ยนชื่อเปลี่ยนนามสกุลเสียใหม่เพื่อตบตานาย ได้เป็นนายพลเมื่อไหร่จะเปลี่ยนกลับมาใช้ชื่อเดิมนามสกุลเดิมทันที หลวงพ่อกรุณาเปลี่ยนให้ผมด้วยเถิดครับ”

          “ตกลง ตกลง กรณีนี้อนุโลมได้ เอาละ เดี๋ยวอาตมาจะเปลี่ยนให้แจ๋วไปเลย แล้วก็จะเสกให้ด้วย รับรองผู้พันได้เป็นนายพลแน่ อาตมารับรองพันเปอร์เซ็นต์”

          “ขอบพระคุณครับ ได้เป็นนายพลเมื่อไหร่ ผมแก้แค้นไอ้นายเฮงซวยคนนี้แน่ ๆ ผมมันคนตรงครับ ใครดีก็ว่าดี ใครชั่วก็ว่าชั่ว ไม่เหมือนไอ้พวกที่ชอบเลียแข้งเลียขา นายเลวยังไงมันก็ยกยอว่าดี นายมีเมียน้อยไปแย่งเมียชาวบ้านมา มันก็ยกย่องเมียน้อยนาย

          บางคนก็ถึงกับเกาะชายกระโปรงเมียน้อยนายขึ้นมาเป็นนายพันนายพล แต่ผมทำอย่างนั้นไม่ได้ มันละอายใจ แล้วผมก็ว่าด้วย ไม่กลัวใครทั้งนั้น นายเขาก็เลยไม่ชอบผม แล้วก็หาว่าผมปากหมา” คนเล่าหยุดหายใจ ท่านพระครูหยิบกระดาษขึ้นมาแผ่นหนึ่ง เขียนชื่อและนามสกุลให้เขาใหม่ แล้วพับใส่ซองหลับตาทำปากขมุบขมิบ เป่าเพี้ยง ๆ สองครั้งแล้วส่งให้นายพันเอกพิเศษ

          “เอ้า รับรองชื่อนี้ได้เป็นนายพลแน่ แล้วอย่าลืมเปลี่ยนกลับเสียเล่า กลับมาใช้ชื่อเดิมที่พ่อแม่ตั้งให้”

          “ครับ ผมขอกราบของพระคุณมากครับ โอกาสนี้ผมขอถวายปัจจัยแด่หลวงพ่อไว้สำหรับใช้สอยส่วนตัว” เขาประเคนซองสีขาวแก่ท่าน

          “อ้อ ค่าจ้างเปลี่ยนชื่อหรือ” ท่านถามยิ้ม ๆ

          “หามิได้ครับ ผมตั้งใจจะทำบุญอยู่แล้วครับ” เขากราบสามครั้งแล้วจึงลุกออกไป

          “หลวงพ่อคะ ก็ไหนหลวงพ่อเคยพูดว่าไม่ชอบทางเสกเป่า แล้วทำไมวันนี้ หลวงพ่อทั้งเสกทั้งเป่าให้ผู้พันคนนั้นล่ะคะ” สตรีผู้หนึ่งทักท้วง

          “มันจำเป็นน่ะโยม กฎทุกกฎก็ยังต้องมีข้อยกเว้น แล้วทำไมกฎของอาตมาจะมีข้อยกเว้นบ้างไม่ได้ คืออย่างนี้นะโยม ใครที่มีทุนเดิมอยู่หกสิบเปอร์เซ็นต์แล้ว อาตมาถึงจะช่วย ไม่ใช่ช่วยสุ่มสี่สุ่มห้า อย่างรายนี้เขาต้องได้เป็นนายพลแน่ ๆ อยู่แล้ว อาตมาก็เลยช่วยลุ้นเขาหน่อย เอาละ ใครมีอะไรก็ว่าไป

          เวลาสามทุ่ม แขกคนสุดท้ายลุกออกไปแล้ว หากท่านพระครูยังไม่ยอมลุกจากอาสนะ นายสมชายจึงถามว่า “หลวงพ่อเหนื่อยจนลุกไม่ไหวหรือเปล่าครับ ผมจะช่วยประคองขึ้นไปข้างบนนะครับ”

          “ไม่ต้องหรอก แขกกำลังจะมาอีกรายนึง เจ้าหมีมันวิ่งออกไปรับถึงหน้าประตูวัดแน่ะ” ท่าน “เห็น”

          “เป็นไปได้หรือครับ ก็เจ้าหมีมันไม่เคยเป็นมิตรกับใคร ทำไมเกิดจะไปญาติดีกับรายนี้”

          “ก็เหลนมัน มันมีศักดิ์เป็นปู่ทวดของแขกรายนี้ เห็นไหม พอเขาลงจากรถ มันก็เข้าไปเลียแข้งเลียขา เลียหมดทุกคน ทั้งลูก ๆ เขาด้วย”

          “ผมไม่เห็นหรอกครับ เพราะผมมองทะลุฝาอย่างหลวงพ่อไม่ได้” ชายหนุ่มว่า

          “ถ้าอยากทำได้ก็ต้องหมั่นปฏิบัติกรรมฐาน”

          “ผมว่าผมอยู่อย่างนี้ดีแล้วครับ ขืนเก่งเหมือนหลวงพ่อ ผมคงทนไม่ได้ ทำงานทั้งวันทั้งคืน แถมได้นอนวันละแค่สองชั่วโมง” พอดีกับเจ้าหมีนำ “อาคันตุกะ” เข้ามาในกุฏิ เป็นชายวัยสามสิบเศษ มากับภรรยาวัยเดียวกัน พ่วงท้ายด้วยบุตรชายหญิงวัยไล่เลี่ยกันถึงห้าคน

          “หลวงพ่อครับ ผมต้องขอโทษที่มารบกวนในยามวิกาล”

          “โยมมาจากไหนล่ะ” ท่านถามเหลนเจ้าหมี คนเป็นปู่ทวดส่งเสียงงี้ดง้าด แล้วก็เดินเลียลูกของเหลนอย่างรักใคร่จนครบทั้งห้าคน

          “ผมมาจากภูเก็ตครับ ทำเหมืองแร่อยู่ที่นั่น ผมกำลังจะพาครอบครัวไปเที่ยวเชียงใหม่ เพื่อนเขาสั่งมาว่า ให้แวะกราบหลวงพ่อที่วัดป่ามะม่วงให้ได้ เขาบอกว่าพอถึง ก.ม.ที่ ๑๓๐ ก็ให้เลี้ยวรถเข้าไป เขาพูดถึงหลวงพ่อให้ผมฟังบ่อย ๆ จนผมอยากจะมารู้จักหลวงพ่อ เพื่อนผมเขาเป็นลูกศิษย์หลวงพ่อ เขาชื่อจรินทร์ครับ”

          “อ้อ โยมจรินทร์นั่นเอง แล้วโยมทานอาหารกันมาแล้วหรือยัง หิวหรือเปล่า”

          “เรียบร้อยแล้วครับ หลวงพ่อครับ ผมขอถวายปัจจัยร่วมทำบุญกับหลวงพ่อครับ ถ้ามีนักเรียนยากจนขัดสน หลวงพ่อกรุณานำเงินจำนวนนี้ไปมอบเป็นทุนการศึกษาแก่เขาด้วย ผมขอถวายหนึ่งหมื่นบาทครับ” เขาประเคนซองสีขาวแด่ท่านเจ้าของกุฏิ

          “อาตมาขออนุโมทนาในกุศลจิตของโยมและครอบครัว ตกลงอาตมาจะจัดการให้ตามความประสงค์ และจะตั้งชื่อทุนนี้ว่า “ทุนเสริมสมอง” ถ้าใครจะมาสมทบอีก อาตมาก็จะได้ตั้งเป็นมูลนิธิ การช่วยให้คนยากจนได้เรียนหนังสือ จะทำให้ได้อานิสงส์คือลูกหลานของเราก็จะเรียนหนังสือเก่งและได้เป็นเจ้าคนนายคน อาตมาขออนุโมทนา”

          เมื่อเขาลากลับ เจ้าหมีก็กุลีกุจอไปส่งถึงรถ เลียแข้งเลียขาเหลนและลูก ๆ ของเหลน และวิ่งตามรถเบ๊นซ์คันนั้นไปจนถึงประตูหน้าวัด แล้วก็มิได้กลับเข้ามานอนที่กุฏิชั้นล่างเหมือนดังแต่ก่อน ท่านพระครู “รู้” ว่ามันจะลาโลกนี้ไปในวันรุ่งขึ้น เพราะหมดห่วงแล้ว เหลนของมันได้มาทำบุญที่วัดป่ามะม่วงตามที่มันคาดหวังและรอคอยมานาน

          รุ่งเช้า หญิงชราที่เข้ามาปฏิบัติกรรมฐานอยู่ในวัดป่ามะม่วงได้มาเล่าให้ท่านพระครูฟังว่า พบเจ้าหมีนอนหายใจระทดระทวยอยู่หน้ากุฏิกรรมฐาน จึงเรียกคนมาช่วยกันอุ้มมันไปอาบน้ำถูสบู่จนสะอาดสะอ้าน แล้วปูผ้าขาวให้มันนอน มันก็นอนตายอย่างสงบ เมื่อเวลาประมาณ ๙ นาฬิกา

          ท่านพระครูรับทราบแล้วจึงให้นายสมชายไปนิมนต์เณร ๔ รูปมาบังสุกุลให้มันพร้อมกับนำเงินใส่ซองถวายเณรไปรูปละ ๕๐ บาท

          บังสุกุลแล้ว นายสมชายก็จัดการขุดหลุมฝังศพเจ้าหมีไว้ที่ใต้ต้นปีบ เจ้าโฮมกับเจ้าขาวมาร่วมงานฝังศพพี่ชายของมันด้วย แต่มิได้ร้องไห้ คนที่ร้องไห้จะเป็นจะตายก็คือนายขุนทอง!

 

มีต่อ........๗๘

 
บันทึกการเข้า
ช่างเล็ก(LSV)
Administrator
member
*

คะแนน1346
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 18613


คิดดี ทำดี ชีวิตมีแต่สุข


อีเมล์
« ตอบ #80 เมื่อ: พฤษภาคม 05, 2007, 09:02:24 AM »

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม - ๗๘

 

สุทัสสา อ่อนค้อม

ธันวาคม ๒๕๓๗

S00078
๗๘...

         ก่อนเข้าสู่พิธีมงคลสมรสซึ่งจะจัดขึ้นในวันเสาร์ที่ ๙ สิงหาคม ๒๕๑๘ นายสมชายก็เข้ากรรมฐานเป็นเวลา ๑๕ วัน ตามที่ได้สัญญาไว้กับท่านพระครู ชายหนุ่มตั้งใจปฏิบัติอย่างเคร่งครัดเพื่อจะให้ได้บุญเท่ากับบวชหนึ่งพรรษา

            ในวันสุดท้ายของการปฏิบัติ เขารู้สึกอิ่มอกอิ่มใจนัก กลอนบทหนึ่งผุดขึ้นในความคิดและเขาก็จำได้แม่นยำทุกตัวอักษร

            โลกวุ่นนักขัดข้องลองมานี่

                 เพราะเรามีธัมมะจะให้ท่าน

                          ป่ามะม่วงร่มเย็นให้เป็นทาน

                                  อย่าได้ผ่านไปเปล่าเชิญเข้ามา

            เมื่อตนได้ลิ้มรสแห่งความสุขอันเกิดจากความสงบแล้ว จึงอยากให้คนเป็นคู่หมั้นได้มาสัมผัสกับสภาวะเช่นนี้บ้าง จึงไปเรียนปรึกษาท่านพระครู เพื่อขออนุญาต เพราะเหลือเวลาอีกตั้ง ๒๐ วัน กว่าจะถึงวันแต่งงาน

            “เป็นความคิดที่ดีทีเดียว ฉันอยากให้คู่สมรสทุกคู่เขาคิดอย่างเธอ เพราะจะทำให้ชีวิตแต่งงานเป็นไปอย่างราบรื่น ด้วยต่างฝ่ายต่างก็มีธรรมเสมอกัน” ท่านพระครูเห็นดีเห็นงามไปด้วย

            “ให้เขาเข้าสักเจ็ดวันก็พอนะครับหลวงพ่อ เวลาที่เหลือจะได้เอาไว้เตรียมงาน” ชายหนุ่มออกความเห็น

            “ก็ได้ เจ็ดวันก็ได้ ตามใจเขาก็แล้วกัน”

            “แล้วผมจะรวยไหมครับหลวงพ่อ พากันมาเข้ากรรมฐานแล้วจะรวยอย่างทิดจ่อยกับพี่จุกเขาหรือเปล่า”

            “แน่นอน ถึงไม่รวยโภคทรัพย์ ก็รวยอริยทรัพย์ หรือไม่ก็รวยทั้งสองอย่าง”

         “อริยทรัพย์คืออะไรครับ” ชายหนุ่มไม่เข้าใจ

            “คือทรัพย์อันประเสริฐ ทรัพย์ในที่นี้ก็คือคุณธรรมประจำใจอย่างประเสริฐ ๗ ประการ ได้แก่ ศรัทธา ศีล หิริ โอตัปปะ พาหุสัจจะ จาคะ และ ปัญญา” ท่านพระครูอธิบาย ครั้นเห็นคนเป็นศิษย์ทำหน้าไม่เข้าใจ จึงขยายความต่อไปอีกว่า

            “อริยทรัพย์เป็นทรัพย์ที่อยู่ภายในจิตใจ จึงดีกว่าทรัพย์ภายนอก เพราะไม่มีผู้ใดแย่งชิง ทั้งยังไม่สูญหายไปด้วยภัยอันตรายต่าง ๆ ทำใจให้ไม่อ้างว้างยากจน และเป็นทุนสร้างทรัพย์ภายนอกได้ด้วย”

            “แต่ผมคิดว่าทรัพย์ภายนอกดีกว่านะครับ เพราะใช้ซื้ออะไรต่อมิอะไรที่ต้องการได้” ชายหนุ่มแย้ง

            “เธอมันก็เป็นเสียอย่างนี้ ชอบตะแบงอยู่เรื่อย ๆ ฉันไม่อยากพูดกับเธอแล้ว พูดไปก็เหมือนเป่าปี่ให้ความฟัง” ท่านพระครูเปรียบเทียบค่อนข้างรุนแรง

            “โธ่หลวงพ่อ อยู่ดีไม่ว่าดี มาด่าผมว่าเป็นความซะแล้ว คนอย่างผมออกฉลาดปราดเปรื่อง” ศิษย์วัดโวยวาย

            “ใช่ซี คนอย่างเธอน่ะฉลาด แต่ฉลาดในเรื่องที่ไม่เป็นเรื่อง ส่วนเรื่องที่เป็นเรื่องกลับไม่ฉลาด” ท่านหลีกเลี่ยงไม่ใช่คำว่า “โง่”

            “ทำไมจะไม่เป็นเรื่องเล่าครับ หลวงพ่อให้ผมเข้ากรรมฐาน ผมก็เข้าแล้ว แถมยังจะให้คู่หมั้นมาเข้าอีกด้วย แล้วอย่างนี้ไม่ฉลาดหรือครับ นี่ผมชักน้อยใจแล้วนะ หลวงพ่อไม่เคยเห็นความดีของผมเลย” คนพูดรู้สึกน้อยใจจริงดังวาจา

            “เข้าเค้าแล้ว” ท่านเจ้าของกุฏิพูดยิ้ม ๆ

            “มีอะไรอีกหรือครับ” ถามงง ๆ

            “เธอเคยได้ยินคนเขาพูดกันไหมว่า คนหัวล้านมักใจน้อย แสดงว่าใกล้ความจริงเข้ามาแล้ว”

            “เถอะครับ อะไรมันจะเกิดก็ให้มันเกิด ผมไม่อยากจะคิดมากแล้ว” ชายหนุ่มพูดปลง ๆ

            “ดี คิดอย่างนั้นได้ก็ดี จะได้ไม่มีทุกข์ ว่าแต่ว่าเรามาพูดเป็นงานเป็นการกันดีกว่า ฉันคิดว่าหลังจากเธอแต่งงานแล้ว เธอก็ต้องย้ายไปอยู่บ้านผู้หญิงเขา แล้วฉันก็จะต้องหาคนมาอยู่รับใช้แทนเธอ เจ้าขุนทองคนเดียวมันคงไม่ไหว แล้วฉันก็ไม่ค่อยจะไว้วางใจมันสักเท่าไหร่ เจ้านี่มันคุ้มดีคุ้มร้าย เอาแน่ไม่ได้ เธอคิดจะไปหางานอื่นทำหรือว่าจะยังมาขับรถให้ฉันล่ะ พูดมาตรง ๆ เลยไม่ต้องเกรงใจ”

            “ผมจะมารับใช้หลวงพ่อเหมือนเดิมครับ แต่ขอมาเช้าเย็นกลับ หรือถ้าวันไหนหลวงพ่อจะต้องไปธุระตั้งแต่ตีสี่ ผมก็จะมานอนที่วัด รับรองว่าไม่ให้บกพร่องในหน้าที่เลยครับ” ชายหนุ่มให้คำมั่นสัญญา

            “ดีแล้ว ขอบใจที่ยังเป็นห่วง แล้วฉันก็จะขึ้นเงินเดือนให้เธอจากเดือนละพันเป็นเดือนละพันสอง พอใจไหม”

            “เป็นพระคุณอย่างสูงครับ ว่าแต่ว่าหลวงพ่อจะให้ใครมาอยู่แทนผมครับ” เขาถาม

            “ฉันก็ยังนึกไม่ออกเหมือนกัน เธอพอจะมองเห็นใครที่จะเข้ากับเจ้าขุนทองได้บ้าง คือมาอยู่แล้วจะไม่ทะเลาะเบาะแว้งกันให้ฉันต้องปวดหัวน่ะ” ชายหนุ่มครุ่นคิดอยู่ประเดี๋ยวหนึ่งจึงตอบว่า

            “เจ้าสมชาติน้องชายผมซีครับหลวงพ่อ เจ้าหมอนี่มันใจเย็นแล้วก็ไม่ขัดใจใคร เจ้าขุนทองต้องชอบแน่ ๆ เลย”

            “แล้วตอนนี้เขาทำงานอะไร เธอคิดว่าเขาจะมาอยู่กับฉันหรือ”

            “มาแน่ครับ เจ้านี่มันเชื่อผม แล้วมันก็เคยบ่นว่าขี้เกียจทำนา คงไม่มีปัญหารับ เรื่องนี้ผมจะจัดการให้เรียบร้อย” ศิษย์วัดรับคำแข็งขัน

            “งั้นก็รีบไปจัดการเสียเลย ให้มาวันนี้พรุ่งนี้ได้ยิ่งดี”

            แล้ววันสำคัญที่สุดในชีวิตของนายสมชายก็มาถึง เป็นวันที่เขาแต่งตัวอย่างหล่อเหลาที่สุด และเจ้าสาวของเขาก็สวยสะดุดตากว่าทุกวัน

            แขกเหรื่อพากันมาร่วมงานอย่างคับคั่ง และส่วนมากก็เป็นลูกศิษย์ลูกหาของท่านพระครู โดยเฉพาะเถ้าแก่บ๊กนั้น “รับไหว้” คู่บ่าวสาวเป็นเงินถึงหนึ่งหมื่นบาท

            เมื่อหายจากโรคร้าย บุรุษนั้นไม่ลืมวาจาที่เคยพูดไว้ ว่าจะให้เทวดาที่ต่ออายุให้ โดยคิดเฉลี่ยปีละหมื่นและเพราะเห็นว่านายสมชายมีบุญคุณ นำยามาให้อย่างสม่ำเสมอ จึงตั้งใจจะช่วยเหลือเขาจนสุดความสามารถ

            หลังจากปฏิบัติกรรมฐานอยู่ที่วัดป่ามะม่วงครบสามเดือนแล้ว ชายชราจึงกลับบ้าน และนำเงินมาถวายท่านพระครูห้าหมื่นบาท เพื่อสมทบทุนสร้างหอประชุม และทุนเสริมสมอง รายการละสองหมื่นบาท ส่วนอีกหนึ่งหมื่นบาทเขาถวายท่านพระครูไว้สำหรับใช้จ่ายส่วนตัว ซึ่งเจ้าอาวาสวัดป่ามะม่วงก็ได้นำเงินจำนวนนั้นมา “รับไหว้” คนเป็นศิษย์

            เพียงสองรายแรก คู่บ่าวสาวก็ได้เงินก้นถุงเป็นจำนวนถึงสองหมื่นบาท แล้วก็ยังมีรายละห้าพันบาทอีกสามรายคือ เถ้าแก่เส็ง คหบดี และอาจารย์ชิต โดยเฉพาะอาจารย์ชิตนั้นได้กำชับนักกำชับหนาว่าหากนายสมชายจะแต่งงานให้ส่งการ์ดเชิญไปให้เขาด้วย เพราะต้องการจะตอบแทนบุญคุณที่ชายหนุ่มได้ดูแลช่วยเหลือเขาเป็นอย่างดีระหว่างที่ป่วยอยู่ที่วัดป่ามะม่วง

            นอกจากรายใหญ่ ๆ ห้ารายแล้ว ก็มีรายละพัน รายละห้าร้อย ลดหลั่นลงมาเรื่อย ๆ และรายที่น้อยที่สุดก็คือห้าบาท ซึ่งมีจำนวนมากที่สุดและส่วนใหญ่ก็เป็นเพื่อนบ้านใกล้เคียงซึ่งจะยกกันมาทั้งครอบครัว แล้วพากันกินอย่างอิ่มหนำสำราญด้วยเงินช่วยเพียงห้าบาทเท่านั้น

            สัปดาห์ต่อมานายสมชายก็พาภรรยามากราบท่านพระครูที่วัดป่ามะม่วงและนำเงินมาถวายห้าหมื่นบาท

            “ผมขอถวายคืนหลวงพ่อ เพื่อสมทบทุนสร้างหอประชุมตามเจตนารมณ์ของคหบดีเขาครับ” เขาเรียนชี้แจง

            “ไปเอาเงินมาจากไหน” ท่านเจ้าของกุฏิถาม

            “เงินที่เขารับไหว้และเงินช่วยงานครับ เบ็ดเสร็จได้ถึงเจ็ดหมื่น เพราะบารมีของหลวงพ่อทีเดียว ผมถึงได้เงินช่วยมากมายถึงปานนี้ แถวบ้านผมไม่เคยมีใครได้มากเท่านี้มาก่อนเลยครับ” ชายหนุ่มพูดอย่างภูมิใจ

            “แต่ถ้าเธอจะทำบุญก็ถือว่าเป็นเงินของเธอนะ เพราะคหบดีเขาให้เธอแล้ว เป็นอันว่างานนี้คหบดีได้บุญสองต่อ” ท่านเจ้าของกุฏิกล่าว

            “ครับ งั้นผมก็โชคดีที่ได้ทำบุญเป็นเงินจำนวนมากมายอย่างนี้”

            “แหม ถ้าหนูแต่งแล้วได้เงินช่วยมาก ๆ ยังงี้คงดีใจตายเลย” นายขุนทองว่า

            “ถ้างั้นก็อย่าแต่งเลยวะ ข้ายังไม่อยากให้เอ็งตาย อยากให้อยู่รับใช้หลวงพ่อไปก่อน” คนมากวัยกว่าออกความเห็น

            “แหม พี่ละก็ หนูแค่พูดเล่น ๆ เท่านั้นเอง อยู่กะหลวงลุง ขืนดีใจตายก๊อเสียชื่อหลวงลุงแย่ หนูรู้หรอกน่าเวลาดีใจมาก ๆ ต้องกำหนด “ดีใจหนอ ดีใจหนอ” รับรองว่าไม่ตาย” หนุ่มวัยยี่สิบเอ็ดบวกอีกหนึ่งอธิบาย ท่านเจ้าของกุฏิจึงกล่าวเสริมอีกว่า

            “เออ รู้อย่างนี้ก็ดีแล้ว คนเราสมัยนี้ไม่ค่อยจะฝึกสติกัน ดีใจมากก็ช็อคตาย เพราะไม่รู้จักกำหนดสติ ไม่รู้จักวางเฉยในโลกธรรมทั้งฝ่ายอิฏฐารมณ์ และ อนิฏฐารมณ์ บางคนถูกรางวัลที่หนึ่งตั้งห้าแสนแต่กลับไม่ได้ใช้เงินแม้แต่บาทเดียว เพราะดีใจจนช็อคตายไปเสียก่อน”

         “ก็เขาไม่ได้มาเรียนกรรมฐานกับหลวงลุง จึงไม่รู้จักกำหนด “ดีใจหนอ ดีใจหนอ” ถ้าเป็นขุนทองเรอะ ส.บ.ม.”

            “แต่พูดกับทำไม่เหมือนกันหรอกนะเจ้าขุนทอง ข้าว่าเอ็งน่าจะลองปฏิบัติดู ไม่ใช่รู้แต่ทฤษฎี คนที่เรียนว่ายน้ำจากทฤษฎี พอตกน้ำก็ตายเรียบร้อยทุกราย”ท่านเจ้าของกุฏิเปรียบเทียบ

            “เอาไว้วันหนังหนูค่อยลอง รอให้ใจคอมันปลอดโปร่งกว่านี้อีกสักหน่อย” หลานชายผัดผ่อน

            “มัวผัดวันประกันพรุ่งอยู่นั่นแหละ ระวังจะสายเกินไป” ท่านพระครูเตือน

            “เถอะน่า รับรองว่าไม่สาย ไว้ใกล้ ๆ แต่งงานแล้วหนูค่อยเข้ากรรมฐาน แบบพี่สมชายไง” ชายหนุ่มให้เหตุผล

            “แล้วตอนนี้จวนหรือยัง จวนแต่งหรือยังจ๊ะ” ภรรยานายสมชายกระเซ้า

            “จวนแล้วฮ่ะ ยังขาดอีกอย่างเดียว” เขาตอบ

            “ขาดอะไร เผื่อพี่พอจะหาให้ได้” หล่อนแสดงน้ำใจไมตรี

            “ยังขาดเจ้าบ่าวฮะ นอกนั้นพร้อมแล้ว”

            “มันจะมากไปเจ้าขุนทอง มันจะมากไป” ท่านพระครูว่าคนเป็นหลาน

            “ไม่มากหรอกหลวงลุง ไม่เชื่อหลวงลุงจะลองดูก็ได้ ลองหาเจ้าบ่าวมาให้หนูซักคน แล้วดูซิว่าหนูจะยอมเข้ากรรมฐานหรือไม่”

            “ข้าไม่รู้จะไปหาที่ไหนมาให้เอ็ง ถ้าหาเจ้าสาวละก็พอจะหาให้ได้” คนเป็นสมภารรู้สึกอ่อนใจ

            “อุ๊ย หนูจะเอามาทำไมเจ้าสาวน่ะ ก็หนูเป็นเจ้าสาวอยู่แล้ว ขืนหามาอีกได้ฟ้าผ่าตายปะไร หลวงลุงนี่พิลึกจริง ๆ”

            “ข้าว่าเอ็งนั่นแหละพิลึก สมชายเธอเห็นด้วยไหม” ท่านถามคนเป็นศิษย์

            “อย่าไปเถียงกับมันเลยครับหลวงพ่อ ปวดหัวเปล่า ๆ มันจะว่ายังไงก็ปล่อยให้มันว่าไปคนเดียว อ้อหลวงพ่อครับ เจ้าสมชาติน้องชายผมไปไหนเสียล่ะครับ” ชายหนุ่มถามถึงน้องชายซึ่งได้มาอยู่รับใช้ท่านพระครูแทนเขาประมาณสิบวันแล้ว

            ช่วงก่อนแต่งงานเขามีธุระยุ่งมาก ประกอบกับท่านเจ้าของกุฏิไม่ได้มีธุระไปไหน เขาจึงไม่ได้มาวัดและไม่เห็นน้องชายเสียหลายวัน ท่านพระครูยังไม่ทันตอบ คนถูกถามหาก็เดินเข้ามาพอดี

            “อุ๊ยตาย พี่สมชาย พี่แป้งร่ำ มายังไงกันนี่ แหม ดีใจ๊ดีใจ” คนชื่อสมชาติทักทายดวยเสียงมีจริตจะก้าน นายสมชายมองหน้าท่านพระครู เหมือนจะถามว่าได้เกิดอะไรขึ้น

            “ดูเอาเอง” ท่านเจ้าของกุฏิตอบโดยไม่รอให้ถาม

            “สมชาติ เอ็งเป็นอะไรไป ก็เป็นผู้ชายอยู่ดี ๆ ไหงมากระตุ้งกระติ้งยังกะผู้หญิงล่ะ” คนเป็นพี่ชายสงกา

            “ก็ถามขุนทองเขาดูซี นิขุนทองนิ” ชายหนุ่มหันไปพยักพเยิดกับนายขุนทอง หนุ่มวัยยี่สิบสองหมาด ๆ ยิ้มอย่างมีชัยแล้วว่า

            “เขาเรียกออสโมซิสฮ่ะ คนเราจะอยู่ด้วยกันก็ต้องมีอะไร ๆ ที่คล้ายคลึงกัน ถึงจะอยู่ด้วยกันยืด”

            “แล้วที่เองอยู่กับข้ามานาน ทำไมเอ็งถึงไม่ปรับตัวให้เหมือนข้าหือ”นายสมขายแย้ง

            “พี่ไม่ปรับตัวเขาหาหนูต่างหากล่ะ สมชาติเขาฉลาดกว่าพี่เยอะตรงที่รู้จักปรับตัว.” คนเป็นหลานท่านพระครูว่า

            “เอาอีกแล้ว ว่าข้าโง่อีกแล้ว” สามีนางแป้งร่ำว่า

            “พี่สองคนมาธุระอะไรหรือเปล่าฮะ” นายสมชาติถามขึ้น คนเป็นพี่ชายจึงว่า

            “ก็จะมาดูเอ็งนั่นแหละว่าอยู่สุขสบายดีหรือเปล่า”

            “แล้วพี่เห็นว่าหนูสบายหรือเปล่าล่ะฮะ คนเป็นน้องย้อนถาม”

            “ก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน แต่ที่รู้แน่ ๆ คือตัวข้านี่แหละยังไม่สบาย มาเห็นเอ็งเป็นแบบเจ้าขุนทองไปอีกคน บอกตามตรงว่าข้าไม่สบายใจเลย หลวงพ่อทำไมเลี้ยงผู้ชายให้กลายเป็นผู้หญิงล่ะครับ” เขาถือโอกาสต่อว่าท่านพระครู

         “ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน ก็เลี้ยงมันเหมือนที่เลี้ยงเธอทุกอย่างนั่นแหละ แต่ทำไมมันถึงไม่เหมือนเธอก็ไม่รู้”

         “ต้องยกให้เป็นเรื่องของกฎแห่งกรรม ใช่ไหมครับ”

         “ก็คงต้องเป็นยังงั้น แต่ที่เธอเห็นนี่ยังไม่เท่าที่ฉันเห็นหรอก” ท่านโน้มตัวมากระซิบข้างหูคนเป็นศิษย์ว่า

         “ที่ฉันเห็นนะ เจ้าสองคนนี่มันเพี้ยนหนักกว่านี้อีก เวลามีพวกเด็กหนุ่ม ๆ หล่อ ๆ มาเข้ากรรมฐาน มันจะแวะเวียนไปแถวกุฏิกรรมฐานวันละหลายเวลา ไปแอบดูเขาแล้วก็เอามาวิพากษ์วิจารณ์ว่าหล่อยังงั้นยังงี้ บางทีก็ย่างกันเสียด้วยซ้ำ ท่าทางมันจะกู่ไม่กลับทั้งคู่นั่นแหละ” ท่านพระครูแฉพฤติกรรมของคนทั้งสอง

         “หลวงลุงนินทาอะไรหนู” หลานชายว่า

         “ข้าเปล่านินทา ข้าพูดความจริงต่างหากล่ะ”

         “ก็ถ้าพูดความจริงแล้วทำไมต้องกระซิบด้วยล่ะฮะ” นายขุนทองแย้ง

         “นั่นเพราะเอ็งไม่ยอมรับความจริงต่างหากล่ะ ข้าก็เลยต้องกระซิบน่ะซี หรือเอ็งจะเถียง”

         “ไม่เถียงก็ได้ฮะ ว่าแต่ว่าหลวงลุงลงรับแขกเถอะฮ่ะ หนูปล่อยให้พวกเขารอนานแล้ว” หลานชายเตือนนายสมชายและภรรยาจึงกราบลาท่านเจ้าของกุฏิ

         “ถ้าหลวงพ่อจะมีธุระไปไหนก็ให้เจ้าสมชาติไปตามผมนะครับ แต่ถ้ายังไม่มี ผมก็จะขอพักอีกสักสองสามวันแล้วค่อยมาทำงาน”

         “ไม่เป็นไร เชิญพักผ่อนตามสบายเถอะ ฉันยังไม่มีรายการไปไหนในช่วงนี้ ว่าจะสะสางให้เสร็จ ๆ เสียที โดยเฉพาะงานเขียนหนังสือ” ก่อนกลับชายหนุ่มยังสั่งนายขุนทองและนายสมชาติว่า

         “เอ็งสองคนช่วยกันดูแลหลวงพ่อให้ดีนะ อย่ามัวแต่ไปเที่ยวแอบดูหนุ่ม ๆ ล่ะ”

         “รับรองฮ่ะ ทีนี้ถ้าจะไปก็จะผลัดเวรกันไป จะไม่ไปพร้อมกัน ใช่ไหมขุนทอง” คนชื่อสมชาติพูดเสียงอ่อนเสียงหวาน

         “ใช่แล้วสมชาติ” คนพูดตั้งใจลากเสียงยาวจนเกิดความจำเป็น

         เมื่อท่านพระครูลงรับแขกที่กุฏิชั้นล่าง มีเจ้าทุกข์รออยู่แล้วประมาณยี่สิบคน สตรีวัยห้าสิบเศษเข้ามากราบ

         “จะให้ช่วยอะไรหรือโยม” ท่านเอ่ยขึ้นก่อน

         “คืออย่างนี้ค่ะ ลูกชายดิฉันมันหลงเมียเสียจนลืมหูลืมตาไม่ขึ้น ดิฉันทนไม่ได้ค่ะ”

         “ทำไมถึงทนไม่ได้ล่ะโยม”

         “มันหมั่นไส้ค่ะ หมั่นไส้เหลือเกิน” คนเป็นแม่ผัวตอบ

         “อย่าไปหมั่นไส้เขาเลย เราน่าจะดีใจเสียอีกที่เห็นเขารักใคร่ปรองดองกัน คนเป็นแม่จะต้องมีมุทิตาจิต ไม่ใช่ไปหมั่นไส้เขา นะโยมนะ”

         “มันทำใจไม่ได้ค่ะหลวงพ่อ ดิฉันไม่เคยพบเห็นผู้ชายที่ไหนหลงเมียถึงปานนี้ ขนาดพ่อเด็กเขาก็ยังไม่เคยหลงดิฉันอย่างนี้มาก่อน”

         “โยมก็เลยอิจฉาลูกสะใภ้ใช่ไหมล่ะ” ยังไง ๆ ท่านก็เข้าข้างคนเป็นสะใภ้ เพราะยังจำฤทธิ์ร้ายของคนเป็นแม่ผัวในอดีตชาติได้ดี แม้ปัจจุบันจะไม่เคืองแค้น หากก็ยัง “จำ” ความร้ายกาจของฝ่ายนั้นได้

         “มันก็ไม่เชิงอิจฉานะคะ ถ้าเขาจะทำตัวดีกว่านี้ ดิฉันจะไม่อิจฉาเขาเลยค่ะ”

         “เขาทำตัวยังไงล่ะ”

         “โอ๊ย อย่าให้พูดเลยค่ะหลวงพ่อ พูดแล้วมันช้ำใจ” ว่าแล้วก็ร้องไห้ด้วยเคียดแค้นชิงชังในคนเป็นสะใภ้

         “ก็ถ้าไม่พูดแล้วอาตมาจะรู้ได้ยังไงล่ะ”

         “จริงซีคะ แหม ดิฉันไม่น่าโง่เลย” นางว่าตัวเอง แล้วเริ่มต้นเล่าเป็นฉาก ๆ อย่างชำนิชำนาญ เพราะเคยเล่าให้เพื่อนบ้านฟังทุกบ้านและทุกวันจนหาคนฟังไม่ได้ จึงต้องมาวัดป่ามะม่วงเพื่อเล่าให้ท่านพระครูฟัง

         “คืออย่างนี้นะคะหลวงพ่อ ลูกสะใภ้ของดิฉันน่ะ สวยก็ไม่สวยความรู้ก็ไม่สูง กิริยามารยาทหรือก็ไม่บ่งบอกว่าเป็นชาติผู้ดี แถมฐานะก็ยากจนข้นแค้น ดิฉันก็ไม่รู้ว่าไอ้ลูกชายของดิฉันมันไปหลงได้ยังไง ดิฉันจะไปขอลูกสาวเศรษฐีให้ เขาทั้งสวยทั้งรวยมันก็ไม่สนใจเขา ดันไปคว้าแม่นี่มาเป็นเมีย”

         “ก็เขาชอบของเขานี่โยม เขาคงจะเป็นเนื้อคู่กัน ปล่อยเขาไปเถอะอย่าไปยุ่งกับเขาเลย” สมภารวัดป่ามะม่วงกล่าวเตือน

         “ไม่ยุ่งได้ยังไงล่ะคะ หลวงพ่อดิฉันสงสารลูกชายค่ะ มันใช้ลูกชายฉันยังกะขี้ข้า หาเงินมาเลี้ยงมันแล้วยังต้องมานั่งหุงข้าวทำกับข้าวให้มันกิน ต้องซักผ้าให้ ซักแม้กระทั่งกางเกงในของมัน ขนาดดิฉันเป็นแม่แท้ ๆ ยังไม่เคยให้ลูกซักกางเกงใน” คนเป็นแม่ผัวพรรณนา

         “มันจะมากไป มันจะมากไป ถ้าถึงขนาดให้ผัวซักผ้าให้แบบนั้นก็แย่น่ะซี คนอย่างนี้หากินไม่ขึ้น โบราณเข้าถือนักหนา ผู้ชายที่รักเมียถึงขนาดนี้ อาตมาไม่สรรเสริญแน่ ไม่น่าสรรเสริญเลย” เป็นครั้งแรกที่ท่านเข้าข้างแม่ผัว

         “แล้วดิฉันจะทำยังไงคะหลวงพ่อ”

         “พามาหาอาตมา แล้วจะช่วยอบรมให้ พามาทั้งสองคนนั่นแหละ”

         “ค่ะ แล้วดิฉันจะพามา ของพระคุณหลวงพ่อมาก ดิฉันถือโอกาสกราบลาละค่ะ”

         รายต่อมาเป็นบุรุษวัยห้าสิบเศษ หน้าตาเขาหมองคล้ำเหมือนคนที่กำลังมีทุกข์อย่างหนัก กราบท่านพระครูแล้วจึงเรียนว่า “เรื่องของผมเป็นความลับครับ ถ้าหลวงพ่อจะกรุณา ผมอยากปรึกษาตัวต่อตัวครับ”

         “ไม่เป็นไร พูดเบา ๆ พอได้ยินกันสองคนก็ได้ โยมมีอะไรก็ว่าไปเลย” ท่านไม่อนุญาตให้ขึ้นข้างบน ด้วยเห็นว่าไม่มีความจำเป็นที่จะต้องทำเช่นนั้น

         “คืออย่างนี้ครับหลวงพ่อ คุณแม่ผมอายุแปดสิบ แล้วแกก็หลง หลงมาตั้งแต่ยังไม่เจ็ดสิบ ผมไม่กล้าพาไปไหน เพราะอับอายขายหน้ามาก แกมีพฤติกรรมอย่างหนึ่งที่ใคร ๆ เห็นเข้าก็ต้องตำหนิติเตียน ผมจะบาปไหมครับถ้าเอาความลับของผู้บังเกิดเกล้ามาเปิดเผยให้หลวงพ่อทราบ”

         “โยมมีจุดประสงค์อะไรที่ต้องทำเช่นนั้นล่ะ คือหมายถึงว่าโยมมีเจตนาดีหรือเจตนาร้ายต่อท่าน”

         “เจตนาดีครับ ที่ต้องเอามาเปิดเผยก็เพื่อจะช่วยแกน่ะครับ เมื่อหลวงพ่อฟังแล้วเผื่อจะแนะนำผมได้ว่าจะมีวิธีแก้อย่างไร” ท่านเจ้าของกุฏิตอบเขาว่า

         “ถ้าอย่างนั้นก็ไม่บาป เพราะโยมทำด้วยเจตนาดี” เขาหันซ้ายหันขวาเพื่อให้แน่ใจว่าจะไม่มีใครมาได้ยิน แล้วจึงเล่าด้วยเสียงที่เบาที่สุด

         “คือแม่ผมแกชอบล้วงเข้าไปในผ้านุ่งครับ เอามือล้วงเข้าไปตรงนั้นแล้วก็ควักมาดม เป็นอย่างนี้มาตั้งแต่อายุยังไม่เจ็ดสิบ ผมไม่กล้าพาแกไปไหน เพราะอับอายชาวบ้าน ก่อนหน้าที่ผมไม่ทราบว่าแกมีพฤติกรรมอย่างนี้ ผมก็พาแกไปทอดกฐินที่วัดต่างจังหวัด ซึ่งผมเป็นประธานของงาน ความที่ผมอยากให้แม่ได้บุญเลยพาแกไปด้วย แล้วแกก็ไปทำอย่างนี้ ทำให้ผมกับภรรยาอับอายเขามาก เพราะกรรมอะไรครับ แล้วผมจะแก้ไขอย่างไร” ท่านพระครูรู้สึกสังเวชใจที่ได้ยินได้ฟัง และท่านก็เห็นกฎแห่งกรรมของสตรีวัยแปดสิบอย่างทะลุปรุโปร่ง

         “มันเป็นกฎแห่งกรรมน่ะ โยมคุณแม่ของโยมทำกรรมไว้ตอนสาว แล้วกรรมนั้นก็มาให้ผลในตอนแก่ โดยอยากทราบไหมว่าท่านทำกรรมอะไรไว้”

         “อยากทราบครับ กรุณาบอกผมด้วยเถิดครับ”

         “โยมเชื่อเรื่องเสน่ห์ยาแฝดหรือเปล่า เรื่องผู้หญิงที่ชอบทำเสน่ห์ให้สามีหลง เคยได้ยินไหม”

         “เคยได้ยินครับ แต่ไม่ค่อยจะเชื่อว่าจะเป็นไปได้ คือผมหมายถึงว่ามันจะได้ผลน่ะครับ” คนมีแม่อายุแปดสิบตอบ

         “จะได้ผลหรือไม่ได้ผล มันก็ขึ้นอยู่กับคนถูกทำนะโยม ถ้าคนถูกทำจิตอ่อนก็ได้ผล แต่ถ้าเขาจิตแข็ง เสน่ห์ยาแฝดที่ว่าก็ทำอะไรเขาไม่ได้ ทีนี้ในกรณีของคุณแม่โยมนั้นได้ผล เพราะคนพ่อโยมเป็นคนจิตอ่อน ที่อาตมาพูดมานี้โยมอาจจะไม่เชื่อ เพราะฟังดูเป็นเรื่องเหลวไหลไร้สาระใช่ไหม แต่ถ้าโยมคิดและพิจารณาตามหลักของเหตุผลแล้ว พฤติกรรมของคุณแม่โยมเป็นเครื่องพิสูจน์ได้อย่างดีที่สุด”

         คำพูดของท่านพระครู ทำให้บุรุษวัยห้าสิบเศษหวนระลึกถึงเหตุการณ์สมัยที่เขายังเด็ก และมารดามักจะนั่งคร่อมบนอาหารที่จะให้บิดารับประทาน และหากเป็นผักสดและผลไม้ นางก็จะเอาซุกเข้าไปในผ้านุ่งเช็ดถูกับบริเวณใต้ท้องน้อยแล้วจึงนำไปให้บิดารับประทาน ท่านเจ้าของกุฏิให้เวลาเขาในการรำลึกนึกย้อนกลับไปยังอดีต เสร็จแล้วจึงพูดขึ้นว่า

         “เรื่องการทำเสน่ห์มันเป็นไสยศาสตร์ เป็นเดรัจฉานวิชา เมื่อคนถูกทำเสน่ห์ตายลง มันก็จะกลับมาหาตัวคนทำ โยมสังเกตหรือเปล่า คุณแม่โยมเริ่มมีพฤติกรรมแบบนี้หลังจากที่คุณพ่อเสียไปแล้ว”

         “ครับ คงจะจริงอย่างที่หลวงพ่อว่า คุณพ่อผมเสียชีวิตตอนคุณแม่อายุหกสิบเศษ ๆ หลังจากนั้นไม่นาน คุณแม่ก็มีพฤติกรรมแปลก ๆ อย่างที่เป็นอยู่” คนพูดรู้สึกร้อนอกร้อนใจที่มารดามามีอันเป็นเช่นนี้ได้

         “ผมจะช่วยแกได้อย่างไรครับ” ถามเสียงละห้อย

         “ช่วยไม่ได้หรอกโยม คนแก่จนหลงแล้วไม่มีทางแก้ได้ ต้องปล่อยไปตามกรรมของเขา สิ่งที่เกิดแล้วแก้ไม่ได้ ในกรณีนี้แก้ไม่ได้ โยมจำไว้เลย แล้วก็ไปสอนลูกหลานว่าอย่าไปทำเสน่ห์ สามีเขาจะรักหรือไม่รักก็ช่างเขา เพราะมันจิตใจของเขา เราไปห้ามไม่ได้ ถ้าไปทำเสน่ห์ให้เขามารัก บาปกรรมจะต้องตกอยู่ที่ตัวเรา เพียงแต่ว่ามันจะปรากฏผลให้เห็นเร็วหรือช้าเท่านั้น อาตมาเสียใจที่ไม่อาจช่วยคุณแม่ของโยมได้”

         “แต่ถึงจะช่วยแม่ไม่ได้ แต่ก็ช่วยผมได้ครับ เพราะเมื่อผมรู้เช่นนี้แล้วก็ทำใจได้ แม่แกเป็นคนทำกรรม แกก็ต้องรับผลของมัน แล้วผมก็จะสอนลูกหลานไม่ให้เอาเยี่ยงอย่างแก ถึงอย่างไรผมก็ได้รับประโยชน์จากการมาครั้งนี้ครับ” เขากล่าวด้วยใบหน้าที่ดูดีขึ้นนิดหนึ่ง นิดเดียวจริง ๆ

 

            มีต่อ........๗๙

 
บันทึกการเข้า
ช่างเล็ก(LSV)
Administrator
member
*

คะแนน1346
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 18613


คิดดี ทำดี ชีวิตมีแต่สุข


อีเมล์
« ตอบ #81 เมื่อ: พฤษภาคม 05, 2007, 09:03:03 AM »

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม - ๗๙

 

สุทัสสา อ่อนค้อม

ธันวาคม ๒๕๓๗

S00079
๗๙...

            วันที่ ๑๕ สิงหาคม ๒๕๒๑ บรรดาศิษยานุศิษย์ได้จัดงานวันคล้ายวันเกิดให้เจ้าอาวาสวัดป่ามะม่วงอย่างสมเกียรติที่สุด หลายคนรู้ว่าการจัดงานครั้งนี้จะเป็นครั้งสุดท้าย ด้วยอีกสองเดือนข้างหน้า ท่านจะต้องประสบอุบัติเหตุถึงแก่มรณภาพ ผู้ที่ยังตัดไม่ลงปลงไม่ตก พากันแอบร้องไห้ไว้ล่วงหน้า พระบัวเฮียวนั้นแม้จะตัดใจได้ หากก็ยังรู้สึกเสียดายอาลัยอาวรณ์

         ในความคิดของภิกษุหนุ่ม ปูชนียบุคคลเช่นท่านพระครูคงหายากนักในโลกอันแสนวุ่นวายนี้

         แจกันสีครามบรรจุดอกดาวเรืองสีเหลืองอร่ามตัดกับสีเขียวของใบเตยดูสวยแปลกตา ภิกษุเชื้อสายญวนตั้งใจตกแต่งอย่างประณีตที่สุด ด้วยรู้ว่าเป็นครั้งสุดท้ายที่จะได้แสดงกตัญญูกตเวทิตาธรรมต่อพระอุปัชฌายาจารย์ วงมโหรีปี่พาทย์ที่มาบรรเลงในงานเป็นวงเดียวกับที่เคยมาเล่นทุกปี ทว่าครั้งนี้คนฟังกลับรู้สึกว่าแต่ละเพลงที่บรรเลงนั้นฟังเศร้าสร้อยเสียดลึกเข้าไปถึงหัวใจหัวจิต ไม่ผิดกับบรรเลงในงานศพ!

         หอประชุมหลังใหญ่ขนาด ๗ x ๒๐ วา สิ้นเงินค่าก่อสร้างหนึ่งล้านห้าแสนบาท เสร็จทันเวลา และ ได้ใช้เป็นสถานที่จัดงานวันเกิดครั้งสุดท้ายของท่านสมภารผู้ซึ่งสั่งเสียพระบัวเฮียวไว้ว่า ให้ใช้หอประชุมแห่งนี้เป็นที่ปฏิบัติธรรมของบรรดาพุทธศาสนิกชนผู้สนใจใคร่ธรรม ตลอดจนญาติโยมผู้มีความทุกข์ เพราะต่อแต่นี้ไปจะไม่มีผู้ใดมาช่วยไขปัญหาหรือขจัดปัดเป่าทุกข์ให้เหมือนเช่นแต่ก่อน พวกเขาจะต้องแก้ปัญหาแก้ทุกข์ด้วยตัวเองโดยการมาเจริญวิปัสสนากรรมฐาน

         สำหรับมูลนิธิ “ทุนเสริมสมอง” นั้นมีเงินอยู่ในบัญชีธนาคารกว่าหนึ่งล้านบาท เจ้าอาวาสวัดป่ามะม่วงมอบหมายให้พระมหาบุญเป็นผู้ดำเนินการร่วมกับคณะกรรมการ นำดอกผลมาใช้เป็นทุนการศึกษาแก่นักเรียนที่ยากจน ส่วนหนังสือคู่มือการสอบอารมณ์วิปัสสนากรรมฐาน ซึ่งเถ้าแก่เส็งและเถ้าแก่บ๊กได้ร่วมกันเป็นเจ้าภาพจัดพิมพ์ขึ้นนั้น พระบัวเฮียวจะเป็นผู้เก็บรักษาและนำมาแจกญาติโยมที่สนใจในด้านการปฏิบัติ กิจการงานทุกอย่างสำเร็จเสร็จสิ้นลงด้วยดี ไม่มีอะไรติดขัดหรือคั่งค้าง ท่านพระครูเจริญคิดว่าท่านเตรียมตัวตายได้อย่างสมบูรณ์แบบที่สุด และคงจะยังไม่มีผู้ใดทำได้เช่นนี้มาก่อน

         เวลา ๙ นาฬิกา บรรดาศิษยานุศิษย์ทั้งพระและฆราวาสพากันทยอยเข้ามาถวายดอกไม้สด และ กราบคารวะท่านพระครูผู้ซึ่งนั่งเด่นเป็นสง่าอยู่บนตั่งไม้สักสลักลายนกอ่อนช้อยงดงาม เบื้องหน้ามีแจกันและกระเช้าดอกไม้ตั้งเรียงรายจนล้นออกไปทางด้านข้างทั้งซ้ายและขวา รับประเคนดอกไม้จากศิษย์แล้ว ท่านจึงนำสิ่งของไปมอบให้โยมมารดาวัยเจ็ดสิบที่นั่งพับเพียบอยู่หน้าอาสนะสงฆ์ ของที่นำไปมอบมีผ้าโจงกระเบนลายไทยหนึ่งผืน เสื้อตัดด้วยผ้าลูกไม้อย่างดีหนึ่งตัว และปัจจัยอีกสองร้อยบาท ท่านประคองห่อของขวัญเดินเข้าไปคุกเข่าตรงหน้าโยมมารดา วางของไว้ทางด้านขวามือ แล้วก้มกราบมารดาสามครั้งแบบเดียวกับกราบพระ ด้วยถือว่ามารดาบิดาเป็นพระอรหันต์ของบุตร กราบเสร็จจึงหยิบห่อของขวัญมอบให้

         “โยมแม่ อาตมาขอกราบลา ขอให้โยมแม่จึงมีอายุยืนยาว มีสุขภาพสมบูรณ์แข็งแรง ปราศจากโรคาพยาธิ” ท่านอวยพรมารดา

         “ท่านจะลาไปไหน” โยมมารดาถาม

         “อาตมาจะไปบำเพ็ญเพียรสร้างบารมีต่อในปรโลก วันที่ ๑๔ ตุลาคม อาตมาจะออกเดินทาง” พระลูกชายตอบคำถามโยมมารดา

         “ขอให้ท่านโชคดี ขอให้บรรลุมรรค ผล สมดังความตั้งใจนะท่านนะ ไม่ต้องเป็นห่วงโยม พี่ ๆ น้อง ๆ ของท่านเขาคงจะดูแลโยมอย่างดี”

         “อาตมาขอกราบขอบพระคุณ พร้อมกันนี้อาตมาก็ขออโหสิกรรมจากโยมแม่ หากอาตมาได้พลาดพลั้งล่วงเกินโยมแม่ ไม่ว่าจะด้วยกายกรรม วจีกรรม หรือมโนกรรม ขอโยมแม่โปรดอโหสิกรรมให้อาตมาด้วย”

         “โยมอโหสิให้ท่านทุกอย่าง และโยมก็ขออโหสิกรรมจากท่านเช่นกัน”

         “อาตมาอโหสิให้โยมแม่” ท่านก้มลงกราบโยมมารดาอีกสามครั้ง แล้วจึงลุกขึ้นกลับไปนั่งพับเพียบบนตั่งไม้สัก

         เวลาสิบนาฬิกา พระสงฆ์ ๙ รูปซึ่งนิมนต์มาจากวัดต่าง ๆ ในจังหวัด เริ่มเจริญพระพุทธมนต์และสวดธรรมจักรไปจนถึงเวลาสิบเอ็ดนาฬิกายี่สิบเก้านาที จากนั้นญาติโยมช่วยกันประเคนภัตตาหารแด่พระสงฆ์ทั้ง ๙ รูป และพระภิกษุ สามเณรแห่งวัดป่ามะม่วงซึ่งมีทั้งสิ้น ๙๐ รูป รวมทั้งท่านเจ้าของวันเกิด เป็นปีที่มีพระเณรจำพรรษามากที่สุดนับตั้งแต่ท่านมาเป็นเจ้าอาวาสที่วัดแห่งนี้

         ภิกษุวัยห้าสิบเศษมีทีท่าว่าจะไม่ฉันภัตตาหารเหมือนเช่นเคย นายสมชายจึงไปกระซิบอาจารย์ชิตให้ช่วยคะยั้นคะยอให้ท่านฉัน บุรุษวัยหกสิบสี่จึงคลานเข้าไปนั่งคุกเข่าตรงหน้าตั่ง ประนมมือแล้วกล่าว “นิมนต์หลวงพ่อฉันสักนิดเถิดครับ ลูกศิษย์ลูกหารู้สึกไม่สบายใจที่เห็นท่านไม่ฉัน”

         ท่านพระครูมองอาหารคาวหวานที่ลูกศิษย์จัดใส่พานกระไหล่ทองมาถวาย แล้วจึงฉันไปสองสามคำเพื่อไม่ให้พวกเขาเสียน้ำใจ เสร็จแล้วจึงรวบช้อน ยกถ้วยบรรจุ “น้ำชา” ขึ้นดื่ม ตลอดชีวิตของท่าน มิเคยที่จะติดใจหลงใหลในรูป รส กลิ่น เสียง หรือสัมผัสที่น่าใคร่น่าพอใจ กามคุณ ๕ ไม่เคยมามีอิทธิพลเหนือความรู้สึกนึกคิดของท่าน

         เมื่อภิกษุและสามเณรทั้ง ๙๙ รูปเสร็จจากฉันภัตตาหาร บรรดาญาติโยมช่วยกันประเคนจตุปัจจัยไทยธรรม

         “ปัจจัย” ที่พวกเขาถวายท่านพระครู มีจำนวนกว่าสองแสนบาท ซึ่งท่านตั้งใจจะนำไปสมทบทุนมูลนิธิ “ทุนเสริมสมอง” ต่อไป จากนั้นอาจารย์ชิตประกาศทางไมโครโฟนว่า ท่านพระครูจะแสดงธรรมเทศนาโปรดโยมมารดาและญาติโยม เพื่อให้คนฟังได้บุญอันเกิดจากการฟังธรรม หรือที่เรียกเป็นภาษาบาลีว่า “ธัมมัสสวนมัย”

         เจ้าอาวาสวัดป่ามะม่วงอารัมภบทก่อนแสดงธรรมว่า “กราบนมัสการพระคุณเจ้าที่เคารพและขอเจริญพรญาติโยมพุทธศาสนิกชนที่รักและนับถือทุกท่าน อาตมารู้สึกปีติยินดีเป็นอย่างยิ่งที่บรรดาญาติโยมและศิษยานุศิษย์ได้ร่วมแรงร่วมใจกันจัดงานฉลองวันคล้ายวันเกิดให้อาตมา เพื่อเปิดโอกาสให้ได้ทำบุญสร้างกุศลร่วมกัน กิจกรรมดังกล่าวนี้ แม้จะมิได้มีบัญญัติไว้ในหลักธรรมคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า หากพุทธศาสนิกชนก็ได้ยึดถือเป็นหลักปฏิบัติสืบต่อกันมาช้านานจนกลายเป็นประเพณี คือประเพณีทำบุญวันเกิด

         อย่างไรก็ตาม การจัดการวันเกิดที่อาตมาไม่เห็นด้วยอย่างยิ่ง ก็คือการร่วมวงสรวลเสเฮฮาดื่มสุรายาเมากัน เพราะการกระทำเช่นนั้น นอกจากจะไม่ได้บุญแล้วยังได้บาปอีกด้วย บางคนดื่มสุราเสียเมามายในวันเกิดแล้วขับรถไปชนกันถึงแก่ความตายก็มี ญาติโยมลองพิจารณาดู การตายแบบนั้นมันดีหรือไม่ อาตมารับรองได้ว่าเขาจะต้องไปทุคติ เพราะคนที่ตายขณะขาดสติเช่นนั้นไม่มีทางที่จะไปสุคติได้ อาตมาขอบิณฑบาตอย่าไปจัดฉลองวันเกิดกันแบบนั้นเลย เพราะนอกจากจะหาประโยชน์มิได้แล้วยังสื้นเปลืองเงินทองอีกด้วย” บรรดาญาติโยมที่ฟังอยู่ ไม่มีผู้ใดคิดโต้แย้งหรือคัดค้านในสิ่งที่ท่านพูด บางคนที่เคยทำเช่นนั้นก็ตั้งปณิธานแน่วแน่ว่าจะไม่ทำอีก

         “เอาละ ในโอกาสที่ญาติโยมได้พร้อมใจกันจัดงานวันเกิดให้อาตมาในวันนี้ อาตมาก็จะตอบแทนบุญคุณด้วยการแสดงพระธรรมเทศนาให้ญาติโยมฟัง โดยจะเทศน์เรื่อง “พระคุณแม่” และก็คงจะเป็นการเทศน์ครั้งสุดท้าย เพราะปีต่อ ๆ ไปคงจะไม่มีการจัดงานวันเกิดของอาตมาอีก” ท่านบอกเป็นนัย ๆ ซึ่งหลายคนรู้ว่าท่านหมายถึงอะไร

         “ที่อาตมาเลือกเทศน์เรื่องพระคุณแม่ เพราะรู้สึกซาบซึ้งในพระคุณของท่าน ถ้าไม่มีแม่เราทุกคนก็ไม่ได้เกิด อันนี้เป็นความจริงที่ไม่ต้องพิสูจน์ ผู้ใดก็ตามที่คุณแม่ยังมีชีวิตอยู่ เมื่อฟังเทศน์แล้วให้กลับไปหาแม่ ไปกราบเท้าขอศีลขอพรจากท่าน จะได้มั่งมีศรีสุข ส่วนคนที่เคยทำไม่ได้ไว้กับท่านก็นำธูปแพเทียนแพไปกราบขออโหสิกรรม ล้างเท้าให้ท่านด้วย เป็นการขอขมาลาโทษ

         บางคนไปรังเกียจคุณแม่ว่าแก่เฒ่าไม่สวยไม่งาม พอตัวเองแก่ก็เลยถูกลูกหลานรังเกียจ จึงเป็นกงกรรมกงเกวียนยืดเยื้อกันต่อไปอีก ใครที่คุณแม่ล่วงลับไปแล้วก็ให้หมั่นทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้ท่าน และถ้าจะทำบุญด้วยการมาเจริญกรรมฐานแล้วอุทิศส่วนกุศลไป การทำเช่นนี้ถือว่าได้บุญมากที่สุดทั้งฝ่ายผู้ให้และผู้รับ”

         คนฟังซึ่งมีทั้งพระภิกษุ สามเณร และฆราวาสต่างพากันรำลึกนึกถึงมารดาตน คนที่เคยเถียงพ่อเถียงแม่คำไม่ตกฟาก ก็เพิ่งจะรู้ตัวว่าได้สร้างกรรมทำเข็ญไว้กับผู้บังเกิดเกล้า จึงคิดที่จะกลับไปทำตามที่ท่านพระครูแนะนำ

         “ญาติโยมโปรดจำไว้ วันเกิดของลูกคือวันตายของแม่ เพราะวันที่ลูกเกิดนั้นแม่อาจต้องเสียชีวิต การออกศึกสงครามเป็นการเสี่ยงชีวิตสำหรับคนเป็นพ่อฉันใด การคลอดลูกก็เป็นการเสี่ยงตายสำหรับคนเป็นแม่ฉันนั้น

         ในสมัยโบราณที่วิทยาการต่าง ๆ ยังไม่เจริญก้าวหน้าเหมือนสมัยนี้ อัตราการตายเพราะการคลอดมีสูงมาก คนโบราณเขาจึงกล่าววันเกิดของลูกคือวันตายของแม่

         เมื่อคลอดลูกแล้ว แม่ก็ยังต้องประคบประหงมเลี้ยงดู ให้ดื่มเลือดในอกเป็นอาหาร ยามที่ลูกเจ็บป่วยก็อมยาพ่นฝนยาทารักษากันไปตามมีตามเกิด แม้เฝ้ากล่อมเกลี้ยงเลี้ยงลูกจนเติบใหญ่กระทั่งลูกแต่งงานมีเหย้ามีเรือนไปแล้ว แม่ก็ยังเฝ้าห่วงใยรักใคร่ไม่จืดจาง” ท่านหยุดจิบ “น้ำชา” จากถ้วย แล้วจึงเทศนาต่อ

         “อาตมาเห็นความทุกข์อย่างแสนสาหัสของคนเป็นแม่ก็ตอนที่เป็นหมอตำแยทำคลอดให้พี่สาว แม้ว่าเรื่องราวจะผ่านพ้นมาเกือบสี่สิบปีก็ยังจำภาพเหตุการณ์ครั้งนั้นได้ติดตาติดใจมากระทั่งทุกวันนี้ อาตมาจะเล่าให้ญาติโยมฟัง” ท่านหยุดทบทวนเรื่องราวแต่หนหลังแล้วเล่าว่า

         “สมัยนั้นอาตมาอายุสิบหาแต่ยังไม่ประสีประสาอะไร ยังเปลือยกายโดดน้ำตูม ๆ กับเพื่อนอย่างสนุกสนาน แต่เด็กสมัยนี้อายุสิบหกเป็นหนุ่มกันแล้ว” ท่านเล่าถึงชีวิตแสนลำเค็ญในครั้งนั้นว่า “อาตมาอาศัยอยู่กับยาย ลำบากลำบนมาก ต้องหาเงินเรียนเอง ตื่นตั้งแต่ตีสาม หาบของไปขายในตลาดบางขาม ห่างจากบ้านไป ๑๔ กิโลเมตร ถึงตลาดตี ๔ กว่า ๆ ก็นั่งขายของซึ่งเป็นพวกผักสวนครัวที่ช่วยกันปลูกกับยาย พอตีห้าก็ขายหมด บางวันขายไม่ค่อยดี ก็ไปหมดเอา ๗ โมง จากนั้นก็หาบกระจาดเปล่ากลับบ้าน หิวข้าวก็ต้องทนเอาเพราะยายสั่งไม่ให้ซื้อเขากิน ให้กลับมากินบ้านเรา ยายว่าซื้อเขากินมันแพง จานละตั้งสามสตางค์ สู้กลับมากินข้าวที่บ้านไม่ได้ อาตมาก็จำเป็นต้องเชื่อยาย บางทีกว่าจะถึงบ้านหิวแทบลมจับ

         อยู่มาวันหนึ่งขณะที่อาตมาหาบกระจาดเปล่ากลับบ้านพบกับพี่สาวกลางทาง เขากำลังท้องแก่จะเดินทางไปคลอดลูกที่บ้านแม่ของเขาซึ่งเป็นป้าของอาตมา ที่ต้องเดินทางไปคลอดบ้านแม่เพราะเขาอยู่กับพ่อผัว แม่ผัว ซึ่งรังเกียจว่าเขาจนและไม่ยอมช่วยเหลือเกื้อกูลแต่ประการใด เดินไปได้ครึ่งทางก็เกิดปวดท้องนอนร้องครวญครางอยู่ใต้ต้นไทร พอเห็นอาตมาเดินผ่านมา เขาก็ดีใจพูดกับอาตมาว่า

         “น้องเอ๋ยช่วยพี่ด้วย พี่ปวดท้องใจจะขาดอยู่แล้ว ช่วยเอาลูกออกให้พี่ที” อาตมาถึงจะอายุสิบหกแต่ก็ยังไม่รู้ว่าเขาออกลูกกันยังไง ผู้ใหญ่เขาเคยพูดให้ฟังว่าเขาออกลูกทางปาก บางคนก็บอกออกทางสะดือ บางคนก็ว่าออกทางก้น อาตมาก็เชื่อ นึกว่าเป็นอย่างนั้นจริง ๆ ที่แท้ก็ถูกผู้ใหญ่หลอก เพิ่งมารู้ความจริงตอนทำคลอดให้พี่สาวนี่แหละ

         พี่สาวเขาก็ร้องใหญ่ เขาบอกปวดมาก แล้วก็เป็นลูกท้องแรกจึงยังไม่เคยมีประสบการณ์เรื่องการคลอดลูกมาก่อน ได้ยินพี่สาวร้องโอย ๆ อาตมาก็ทำอะไรไม่ถูก เลยถามเขาว่าจะให้ช่วยยังไง เขาก็บอกช่วยดึงเด็กออกจากท้องให้เขาที มันกำลังจะออกแล้ว อาตมาก็ยังงงอยู่เลยนึกถึงเทวดา ก็นึกตามประสาเด็ก ๆ ไม่รู้ว่าเทวดามีจริงหรือเปล่า แต่ยายเคยเล่าให้ฟังบ่อย ๆ ก็คิดว่าคงจะมีมั้ง เลยประนมมือบอกรุกขเทวดาประจำต้นไทรให้ช่วย แล้วก็ร่ายคาถาชุมนุมเทวดาที่ยายเคยสอนจนจำได้ขึ้นใจ” แล้วท่านจึงร่ายบทชุมนุมเทวดาด้วยเสียงที่ไพเราะเพราะพริ้งว่า...

            สัคเค กาเม จะ รูเป คิริสิขะ ระตะเฎ จันตะลิกเข วิมาเน ทีเป รัฎเฐ จะ คาเม ตะรุวะนะคะหะเน เคหะ วัตถุมหิ เขตเต ภุมมา จายันตุ เทวา ชะละถะละวิสะเม ยักขะคันธัพพะนาคา ติฎฐันตา สันติเก ยัง มุนิวะระจะนัง สาธะโว เม สุณันตุฯ

            ธัมมัสสะวะนะกาโล อะยัมภะทันตา ธัมมัสสะวะนะกาโล อะยัมภะทันตา ธัมมัสสะวะนะกาโล อะยัมภะทันตาฯ

         คนฟังพากันยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ รู้สึกว่าหูของตนมีบุญที่ได้ฟังท่านร่ายพระคาถา

         “พอว่าคาถาจบ เทวดาเข้าสิงอาตมาเลย ที่รู้ว่าเทวดาเข้าสิงเพราะท่านมากระซิบข้างหูว่า “ดึงเด็กออกมา ดึงเด็กออกมา” อาตมาถาม “ดึงยังไง เด็กอยู่ที่ไหน” เทวดาบอก “อยู่ในท้อง เอามือล้วงเข้าไปในผ้านุ่งก็จะเจอหัวเด็ก” อาตมาก็ทำตาม ดึงพรวดสุดแรงเลย เสียงพี่สาวร้องกรี๊ดแล้วสลบเหมือดไปเลย อาตมาก็ตกใจ เพราะเห็นไส้ยาว ๆ ติดตัวเด็กออกมา คิดว่าเราคงดึงไส้พี่สาวออกมาหมดท้องแล้วมัง พี่สาวคงต้องตายแน่ ๆ จะทำยังไงดีหนอ เสียงเทวดากระซิบข้างหูว่า

         “ไม่ตายหรอก แค่สลบไปเท่านั้น ไปจัดการตัดสายรกให้เด็กก่อน ที่เธอเห็นนั่นเรียกว่าสายรก ไม่ใช่ใส้ของพี่สาวเธอหรอก” อาตมาก็ถามว่า “เอาอะไรตัดล่ะ มีดพร้าก็ไม่มี” เทวดาบอก “เอาเล็บของเธอนั่นแหละ จิกแน่น ๆ แล้วดึงมันจะขาดเอง” สมัยนั้นพวกหนุ่มรุ่น ๆ เขานิยมไว้เล็บยาวกัน เรียกว่าเป็นแฟชั่น อาตมาก็ไว้กับเขา คือเขาจะไว้เล็บข้างละสองนิ้ว นิ้วหัวแม่มือกับนิ้วก้อย อาตมาก็ทำตามที่เทวดาบอก พอรกขาดเลือดพุ่งเลย เด็กส่งเสียงร้องอุแว้ ๆ ลั่นป่า เทวดาบอกอีกว่า “ไปเอาฝุ่นมาโรงตรงแผล” อาตมาก็กอบฝุ่นโรงลงไปปรากฏว่าเลือดหยุดไหลแต่เด็กไม่หยุดร้อง เทวดาก็บอกอีกว่า “เอากระบอกไม้ไผ่อันหนึ่งที่แขวนอยู่ที่กิ่งไทร ไม่ทราบเหมือนกันว่าใครนำไปแขวนไว้ อาจเป็นเทวดาก็ได้นะ” ท่านพูดยิ้ม ๆ คนฟังยิ้มตาม

         “ข้าง ๆ ต้นไทรมีหนองน้ำอยู่แห่งหนึ่ง อาตมาจึงหยิบกระบอกเดินไปตักน้ำมาหยอดใส่ปากเด็ก เจ้าหนูหยุดร้องไห้เลย ดูดหยดน้ำจากนิ้วมืออาตมา เสียงดังจุ๊บ ๆ เป็นภาพที่ซึ้งใจอาตมามาจนทุกวันนี้ ได้เห็นสัญชาตญาณการดิ้นรนต่อสู้เพื่อความอยู่รอดของชีวิตก็ตอนที่เจ้าหนูดูดน้ำจากนิ้วมือนี่แหละ พอได้น้ำเจ้าหนูก็หยุดร้อง

         เทวดาก็กระซิบข้างหูอีกว่า “ช่วยพี่สาวด่วน ดูดปากเอาเลือดที่คั่งออก” อาตมาก็เอามือง้างปากพี่สาว ดูดเลือดและเสมหะของพี่สาวแล้วบ้วนทิ้ง ไม่ได้นึกรังเกียจเพราะกลัวเขาจะตาย สักพักพี่สาวก็ฟื้น ถามว่า “น้องเอ๋ย ลูกพี่ผู้หญิงหรือผู้ชาย” พอรู้ว่าได้ลูกชายเขาก็ดีใจ อาตมาก็เลยช่วยพากลับบ้านทั้งแม่ทั้งลูก ปัจจุบันพี่สาวอายุเกือบ ๆ จะหกสิบ ส่วนหลานชายที่อาตมาทำคลอดอายุเกือบสี่สิบแล้ว นี่แหละที่ทำให้อาตมาเห็นใจคนเป็นแม่ แล้วก็รักแม่มาตั้งแต่บัดนั้น” เมื่อท่านเทศน์จบ หลายคนแอบเช็ดน้ำตารวมทั้งโยมมารดาของผู้เทศน์ด้วย

 

            มีต่อ........๘๐

 
บันทึกการเข้า
ช่างเล็ก(LSV)
Administrator
member
*

คะแนน1346
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 18613


คิดดี ทำดี ชีวิตมีแต่สุข


อีเมล์
« ตอบ #82 เมื่อ: พฤษภาคม 05, 2007, 09:03:58 AM »

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม - ๘๐

 

สุทัสสา อ่อนค้อม

ธันวาคม ๒๕๓๗

S00080
๘๐...

            เช้าตรู่ของวันที่ ๑๔ ตุลาคม ๒๕๒๑ ขณะที่ท่านพระครูกำหนดจิตออกจากผลสมาบัติ เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นใกล้หู “วันนี้ใช้หนี้นกเป็ดน้ำ” ท่านตอบในใจว่า “รู้แล้ว” เมื่อหกเดือนก่อนก็มาเตือนครั้งหนึ่งแล้ว” และยังไม่ทันจะลืมตา เสียงเดิมบอกอีกว่า “ใช้หนีเต่าด้วย”

            “ก็ใช้ไปแล้วไง ใช้ไปเมื่อวันที่ ๑๔ ตุลาคม ๒๕๑๔ ทำไมถึงมาทวงอีก” ท่านยังจำได้แม้เหตุการณ์จะผ่านมาจึงเจ็ดปีเต็ม ๆ “วันนั้นใช้แค่เงินต้น แต่วันนี้จะคิดดอกเบี้ย”

         “เป็นอันว่า วันนี้ใช้สองงานเลยก็ดีจะได้หมดหนี้หมดสิน” จากนั้นท่านจึงตั้งจิตแผ่เมตตาไปยังสรรพสัตว์และเจ้ากรรมนายเวร โดยเฉพาะนกเป็ดน้ำฝูงนั้นกับเต่าอีกเจ็ดตัวที่รับจ้างเขาต้ม เสร็จกิจดังกล่าว จึงลงไปสรงน้ำ แปรงฟัน แล้วออกบิณฑบาตโปรดสัตว์ โดยมีนายสมชายหิ้วปิ่นโตเดินตามหลัง

         “โยม อาตมาขอขอบใจที่ใส่บาตรให้ฉันมานาน วันนี้จะเป็นวัดสุดท้าย เพราะเวลาเที่ยงสี่สิบห้า อาตมาจะได้รับอุบัติเหตุรถคว่ำคอหักตาย มาบิณฑบาตไม่ได้อีก ขอให้โยมจงมีความสุขความเจริญนะโยมนะ” ท่านจะพูดเช่นนี้กับผู้มาใส่บาตรทุกคน หลายคนเชื่อและรู้สึกเสียใจที่จะไม่ได้พบเห็นท่านอีก แต่บางคนก็คิดว่า “หลวงพ่อวัดป่ามะม่วงท่าจะเพี้ยนเสียแล้ว มีอย่างที่ไหน มาบอกว่าจะตายวันนี้ ใครเล่าจะรู้วันตายของตัวเอง พิกลแท้ ๆ”

         กลับจากบิณฑบาตโปรดสัตว์ ท่านฉันภัตตาหารแล้วจึงจดบันทึกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในตอนเช้า เสียงที่มาเตือนนั้นถูกท่านบันทึกไว้ทุกถ้อยคำ เสร็จแล้วจึงลงมารับแขกยังกุฏิชั้นล่าง ประโยคแรกที่พูดกับพวกเขาคือ “ต่อไปนี้ญาติโยมต้องช่วยตัวเองแล้วนะ พระพุทธองค์ตรัสสอนว่า “อัตตาหิ อัตตโน นาโถ โก หิ นาโถ ปะโร สิยา – ตนแลเป็นที่พึ่งแห่งตน ใครเล่าจะเป็นที่พึ่งให้คนอื่นได้” อาตมาเองก็จะไปในวันนี้แล้ว”       

         “หลวงพ่อจะไปไหนคะ” สตรีผู้หนึ่งถาม

         “ไปตาย” ท่านเจ้าของกุฏิตอบยิ้ม ๆ

         “หลวงพ่อพูดอย่างนี้ ลูกศิษย์ลูกหาใจฝ่อหมด อย่าพูดเล่นอย่างนั้นเลยครับ ผมขอร้อง” บุรุษผู้มาถึงเป็นคนแรกที่เข้าใจว่าท่านพูดเล่น

         “อาตมาพูดจริง ๆ นะ เมื่อเช้ามืด เจ้ากรรมนายเวรเขามาทวงแล้ว อาตมาเคยหักคอนกเป็นสิบ ๆ ตัว แล้วก็รับจ้างต้มเต่า วันนี้เที่ยงสี่สิบห้าต้องรถคว่ำคอหักตาย” คนฟังพากันตระหนก สตรีวัยกลางคนแนะนำว่า

         “ถ้าอย่างนั้นหลวงพ่อก็อย่าออกไปไหนซีคะ อย่าไปขึ้นรถ จะได้ไม่ต้องรถคว่ำ”

         ทำอย่างนั้นไม่ได้หรอกโยม นี่จะมาแนะนำให้อาตมาโกงเสียแล้ว โกงใครไม่โกง จะให้โกงกฎแห่งกรรม อาตมาทำไม่ได้หรอกโยม”

         “แล้วหลวงพ่อไม่เสียใจ ไม่เสียดายชีวิตหรือครับ” บุรุษอีกผู้หนึ่งถาม

         “เสียดายทำไมเล่าโยม คนที่เสียดายชีวิต แสดงว่า เขายังไม่เข้าใจคติแห่งความตาย การตายก็เหมือนการย้ายบ้าน คนที่ทำกรรมดีไว้มากก็จะได้ย้ายไปอยู่บ้านที่ดีกว่าหลังเก่า คือสะดวกสบายกว่า แต่คนที่ทำชั่วอาจจะต้องย้ายไปอยู่บ้านในนรก สำหรับอาตมาคงจะได้ไปอยู่บ้านที่ดีกว่านี้ จะนอนตื่นสักเที่ยงวัน เพราะไม่ต้องลงรับแขก” คราวนี้คนฟังหัวเราะ

         “แล้วกัน มาหัวเราะเยาะกันเสียแล้ว นี่อาตมาพูดจริง ๆ นะ บ้านนี้หาความสุขไม่ได้เลย ต้องทำงานหนักแสนหนัก จนแทบไม่มีเวลากินเวลานอน”

         “หนูไม่เคยเห็นใครเป็นแบบหลวงพ่อเลยค่ะ” หญิงสาวอายุน้อยที่สุดพูด “ขนาดรู้ว่าจะต้องตาย แทนที่จะเศร้าโศกเสียใจ กลับทำหน้าที่ได้ตามปกติ เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น”

         “นี่ พูดอย่างนี้แสดงว่ายังไม่เข้าใจ อุตส่าห์เปรียบเทียบให้ฟังก็แล้ว เอาอย่างนี้นะ สมมุติว่าหลวงพ่อเป็นข้าราชการชั้นโท แล้วอีกสองสามชั่วโมงข้างหน้า เขาจะเลื่อนให้เป็นชั้นเอก หลวงพ่อต้องมานั่งเศร้าโศกเสียใจหรือเปล่า หนูตอบมาซิ”

         “หลวงพ่อจะแน่ใจได้อย่างไรล่ะคะ เขาอาจจะลดลงไปเป็นชั้นตรีก็ได้” หญิงสาวยังคลางแคลง

         “ไม่ต้องห่วงหรอกหนู หลวงพ่อรับรองว่าจะไม่เป็นอย่างที่หนูคิด ถ้าหนูอยากรู้จริง ก็ต้องมาเข้ากรรมฐาน ปฏิบัติอย่างเคร่งครัด เมื่อใดเกิดปัญญารู้แจ้งเห็นจริง เมื่อนั้นความลังเลสงสัยก็จะหมดไป”

         “ก็หลวงพ่อจะไปแล้วใครจะมาสอนหนูล่ะคะ หลวงพ่อมีตัวแทนที่สามารถทำหน้าที่แทนหลวงพ่อได้ทุกอย่าง มีหรือเปล่าคะ”

         “ไม่มีหรอกหนู ถ้าจะให้หาแบบนั้นหาไม่ได้แน่ เพราะไม่มีใครจะเหมือนกันไปหมดทุกอย่าง แม้แต่ฝาแฝดที่หน้าตาเหมือนกัน จิตใจยังต่างกัน”

         “ถ้าเป็นอย่างนั้น คนคงไม่มาวัดนี้อีก ที่เขามาก็เพราะศรัทธาในหลวงพ่อ ไม่มีหลวงพ่อเสียแล้ว หนูเองก็คงไม่มา หนูพูดจริง ๆ นะคะ”

         “หนูอย่าไปยึดที่ตัวบุคคลซีจ๊ะ การเข้าวัดก็เพื่อมาแสวงหาธรรมะ แต่บางคนเข้าวัดเพราะไปชอบสมภาร ยิ่งสมภารหนุ่ม ๆ โอ้โฮ สาวแก่แม่หม้ายติดกันเกรียวเลย แบบนี้รับรองไม่ได้บุญ เอาละ ถึงแม้จะไม่มีอาตมาอยู่ในวัดนี้อีกต่อไป ญาติโยมก็ควรจะมาเข้ากรรมฐาน หอประชุมมีพร้อมแล้ว คนสอนก็มีแล้ว คือพระบัวเฮียว แล้วท่านก็สามารถเข้าผลสมาบัติได้ ซึ่งแปลว่า ท่านมีคุณธรรมสูงพอที่จะสอนคนอื่น ๆ ได้” ท่านแจ้งให้ญาติโยมทราบเกี่ยวกับพระบัวเฮียว

         “แสดงว่าท่านเป็นพระอริยบุคคลใช่ไหมครับหลวงพ่อ เพราะผู้ที่จะเข้าผลสมาบัติได้ จะต้องเป็นพระอริยบุคคล ผมว่าอย่างน้อย ๆ ท่านต้องเป็นพระโสดาบัน ใช่ไหมครับ” ชายหนุ่มถาม

         “ก็คงจะเป็นอย่างนั้น”

         “ถ้าเช่นนั้น ผมจะมาเรียนกรรมฐานกับท่าน ผมแสวงหาพระอริยบุคคลมานานแล้ว ขอกราบเรียนตามตรงว่า ผมเริ่มจะเบื่อพระ เพราะเจอแต่ประเภทที่สอนเก่ง แต่ปฏิบัติไม่ได้ อย่างเช่น พระรูปหนึ่งซึ่งผมเคยศรัทธาท่านมาก หากเอ่ยชื่อ ผมว่าใคร ๆ ก็ต้องรู้จัก ท่านสอนเก่ง สอนออกวิทยุกระจายเสียงทุกวัน แต่เบื้องหลังชั่วร้ายอย่าบอกใคร เปรอะไปหมดทั้งเรื่องเหล้าเรื่องผู้หญิง เห็นว่าท่านมีเงินเป็นร้อย ๆ ล้าน แต่ผมเชื่อว่า เงินช่วยให้ท่านพ้นจากขุมนรกไม่ได้แน่ นับวันพระประเภทนี้จะมีมากขึ้นนะครับ” แม้จะรู้ว่าบุรุษนั้นพูดความจริง หากท่านพระครูก็จำต้องวางอุเบกขา ท่านพูดตัดบทว่า

         “กรรมของเขาน่ะโยม อย่าไปสนใจเรื่องของคนอื่นเลย พระพุทธเจ้าสอนสติปัฏฐาน ๔ ให้พิจารณากาย เวทนา จิต ธรรม ซึ่งล้วนแต่อยู่ในตัวเราทั้งสิ้น อย่าเอาเรื่องนอกตัวเข้ามา แค่แบกขันธ์ ๕ ของตัวเอง ก็ทุกข์พอแล้ว อย่าเอาขันธ์ ๕ ของคนอื่นมาแบกอีกเลย ๕ ขันธ์หนักพอแล้ว อย่าไปเอา ๑๐ ขันธ์เลย” ท่านเปรียบเทียบตลก ยังผลให้คนฟังอมยิ้ม

         “วันนี้หลวงพ่อจะไปไหนหรือคะ” สตรีวัยกลางคนถามขึ้น

         “ไปบรรยายธรรมที่ วัดกวิศาวราราม จังหวัดลพบุรี เขาจะส่งรถมารับ” ท่านพระครูตอบ นายสมชายไม่ได้ทำกรรมมากับท่าน จึงไม่ต้องไปร่วมชะตากรรมในครั้งนี้

         เวลาสิบเอ็ดนาฬิกา นายแพทย์สมมิ่ง ผู้อำนวยการโรงพยาบาลประจำจังหวัด พาครอบครัวมาถวายภัตตาหารเพลแด่พระภิกษุสามเณรวัดป่ามะม่วง เขามิได้มานิมนต์ไว้ล่วงหน้า ด้วยต้องการจะให้เป็น “สังฆทาน” อย่างสมบูรณ์แบบ

         เจ้าอาวาสวัดป่ามะม่วงฉันภัตตาหารได้มากกว่าทุกครั้ง ยังผลให้ญาติโยมปลาบปลื้มใจ เพราะปรากฏการณ์เช่นนี้ไม่เคยมีมาก่อน ฉันเสร็จท่านถือโอกาสแสดงพระธรรมเทศนา เพราะต้องการสงเคราะห์ญาติโยมเป็นครั้งสุดท้าย โยมผู้หญิงคนหนึ่งแอบนินทาท่านว่า “แหมหลวงพ่อท่านไม่ยอมหายใจทิ้งเลยนะ ทุกเวลานาทีของท่านช่างมีค่าเสียจริง” แม้จะกระซิบเบา ๆ หากผู้ถูกนินทาก็ได้ยิน ท่านพูดขึ้นมาลอย ๆ ว่า

         “คนที่หายใจทิ้งเป็นคนไม่มีประโยชน์ ไม่สมควรจะมีชีวิตอยู่ เปลืองออกซิเจนเปล่า ๆ”

คนฟังพากันยิ้มทั้งที่ในอกสุดแสนเศร้า ด้วยรู้ว่า อีกไม่กี่นาทีข้างหน้าพวกเขาจะต้องสูญเสียปูชนียบุคคล เป็นการสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ที่สุด

         แม้จะเป็นการเทศน์ครั้งสุดท้าย หากคนฟังก็มิได้ตั้งใจฟังเท่าที่ควร ด้วยมัวกังวลกับเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้น เทศน์จบ ท่านพระครูบอกญาติโยมว่า “เดี๋ยวอาตมาจะต้องไปบรรยายธรรมที่วัดกวิศ แต่จะไปไม่ถึง เพราะจะเกิดอุบัติเหตุรถชนคอหักตายเวลาเที่ยงสี่สิบห้า อาตมาตั้งใจจะออกจากวัดเที่ยงครึ่ง จะได้ไม่ต้องไปตายไกลวัด เขาจะได้เอาศพกลับได้สะดวก” ท่านพูดด้วยสีหน้าท่าทางปกติ

         “อยากรู้ไหมว่า ทำไมอาตมาถึงต้องตายในวันนี้” ท่านถาม ไม่มีผู้ใดให้คำตอบ ด้วยต่างก็ทำใจไม่ได้ ทั้งสงสารทั้งเสียดายปูชนียบุคคลเช่นท่าน

         “เอาละ ไม่อยากรู้ก็ไม่เป็นไร แต่อาตมาอยากเล่า ญาติโยมจะได้เก็บไปคิดเป็นการบ้าน จะได้เชื่อว่าเวรกรรมนั้นมีจริง” เห็นคนฟังหน้าตาเศร้าสร้อย ท่านจึงพูดขึ้นว่า

         “ญาติโยมที่รักทั้งหลาย คนที่กำลังจะตายคืออาตมานะ ไม่ใช่ญาติโยม ทำไมต้องทำหน้าหมดอาลัยตายอยากกันอย่างนั้น” สตรีวัยกลางคนถึงกับปล่อยโฮ พูดละล่ำละลักว่า

         “ถ้าอีฉันตายแทนหลวงพ่อได้ อีฉันยอมตายจริง ๆ ชีวิตอีฉันหาประโยชน์มิได้ อยู่ไปก็เปลืองออกซีเจนอย่างหลวงพ่อว่า” ท่านพระครูยิ้มเพราะขำในถ้อยคำของหล่อน คนอื่น ๆ ก็ทำหน้าปั้นยาก จะยิ้มก็ไม่ใช่ร้องไห้ก็ไม่เชิง

         “เอาละ ๆ ขอบใจที่จะตายแทนอาตมา แม้ว่าจะเป็นไปไม่ได้ ทำกรรมแทนกันไม่ได้หรอกโยม ที่อาตมาต้องตายในวันนี้ก็เพราะ กรรมที่เคยหักคอนกกับรับจ้างต้มเต่า ตอนยิงนกนั่นอยู่มัธยมสาม อยู่กับยาย เวลาไปโรงเรียนก็ไม่เข้าเรียน แต่หนีครูไปเที่ยวยิงนกตกปลา แอบขโมยปืนแก๊ปของตาไป แล้วอาตมาก็มีความสามารถในการก่อกรรมทำเข็ญมาก เรียกว่าทำบาปขึ้น ยิ่งปืนแม่น เปรี้ยงเดียวนกเป็ดน้ำร่วงมาเป็นร้อยเลย ใครอยากรู้เทคนิคการยิงก็มาถามได้ เดี๋ยวอาตมาตายแล้วจะไม่มีใครบอก” ท่านพูดยิ้ม ๆ ทว่าคนฟังกลับยิ้มไม่ออก

         “ไม่มีใครถามหรือ งั้นอาตมาก็จะไม่บอก ให้วิชานี้มันตายตามอาตมาไปก็แล้วกัน” ท่านพูดเล่นเพราะหากมีผู้ถามขึ้นมาจริง ๆ ท่านก็จะไม่บอก เพราะสมณะย่อมไม่แนะนำบุคคลไปในทางชั่ว

         “ก็รวบรัดตัดใจความได้ว่า อาตมาเป็นแชมป์ยิงปืน แล้วอยู่มาวันหนึ่งก็หนีไปยิงนกอีก พอลั่นไกเปรี้ยงนกก็ร่วงลงมาทั้งฝูง แต่มีตัวหนึ่งมันไม่ยอมตาย แค่ปีกหักบินไม่ได้ ความรักชีวิตทำให้มันวิ่งหนี อาตมาก็วิ่งตาม พอจับตัวได้มันก็จิกมืออาตมาเลือดพุ่งเลย ด้วยความโกรธ อาตมาหักคอมันทันที แถมถลกหนังหัวมันอีกด้วย ตอนนั้นเป็นคนจิตใจเหี้ยมโหดมาก เสร็จแล้วก็โยนทิ้ง มันยังดิ้นกระแด่ว ๆ และคงจะอาฆาตพยาบาทอาตมากระทั่งมันสิ้นใจ

         ส่วนเรื่องต้มเต่านั้น ทำตอนอยู่มัธยมหนึ่ง แล้วก็ใช้หนี้ไปแล้วเมื่อวันที่ ๑๔ ตุลาคม ๒๕๑๔ แต่เจ้ากรรมนายเวรเขาบอกตอนนั้นมันแค่เงินต้น วันนี้เขาจะคิดดอกเบี้ย แหมขนาดใช้หนี้กรรมก็ยังต้องใช้ทั้งต้นทั้งดอก นะโยมนะ” ท่านหันไปพยักพเยิดกับโยมคนหนึ่ง แล้วเล่าต่อ “เรื่องมีอยู่ว่า พวกขี้เมาเขาเกิดอยากจะกินเต่าแกล้มเหล้า ก็ไปซื่อเต่ามา ๗ ตัว แล้วจ้างอาตมาต้ม ให้ค่าจ้างหนึ่งบาท

         “บาทเดียวเองหรือคะหลวงพ่อ” สตรีผู้หนึ่งถาม

         “บาทเดียวน่ะมากแล้วนะโยม สมัยนั้นก๋วยเตี๋ยวชามละสามสตางค์ เงินหนึ่งบาทซื้อก๋วยเตี๋ยวกินได้หนึ่งเดือนกับสามวัน อาตมาเอาเงินเขามา แล้วก็จัดการก่อไฟ เอาหม้อดินใบใหญ่ใส่น้ำขึ้นตั้งบนเตา พอน้ำเดือดก็เทเต่าเจ็ดตัวลงไป เต่ามันดิ้นใหญ่ คงจะสามัคคีกันดิ้น เพราะหม้อแตกเลย พอหม้อดินแตก มันก็พากันตะเกียกตะกายหนีเอาตัวรอดเข้ากอไผ่ไป โยมเชื่อไหม น้ำตามันไหลพราก ๆ แล้วมันก็ใช้สองขาหน้าปาดน้ำตา ที่โบราณเขาเปรียบเทียบว่า ร้องไห้น้ำตาเป็นเผ่าเต่า อาตมาก็เพิ่งประจักษ์ตอนนั้นแหละ เห็นแล้วรู้สึกทุเรศนัยน์ตา เลยปล่อยให้มันหนีไป พวกขี้เหล้าเขาก็โกรธ จะเอาค่าจ้างคืน อาตมาก็ไม่ยอมคืนให้ เลยไปลักปลาเค็มป้ามาปิ้งให้เขากินแทนเต่า โดนป้าด่าแหลกเลย นี่แหละกรรมที่อาตมาทำไว้ในวัยเด็ก แล้วก็กำลังจะไปใช้หนี้อีกไม่กี่นาทีข้างหน้า” ขณะนั้นเวลาเที่ยงครึ่ง รถที่ทางวัดกวิศาวรารามส่งมารับนั้นรออยู่แล้ว

         “เอาละ อาตมาเห็นจะต้องลา ขอให้ญาติโยมจงหมั่นเจริญกรรมฐาน ถ้าใครคิดถึงอาตมา ก็ให้ปฏิบัติมาก ๆ เอาละ ขอให้โชคดีมีความสุขทุก ๆ คนนะโยมนะ”

         รถที่มารับท่านพระครูเป็นรถสองแถวเก่า ๆ เจ้าอาวาสวัดป่ามะม่วงนั่งหน้าคู่กับคนขับ ส่วนอุบาสกในชุดนุ่งขาวห่มขาวที่มาด้วย ได้ย้ายมานั่งข้างหลัง รถแล่นออกจากวัดตรงไปยังถนนสายเอเชีย เมื่อถึงทางแยกเข้าจังหวัดลพบุรี คนขับจึงชิดขวาเตรียมตัวเลี้ยว ถนนฝั่งตรงข้ามมีรถวิ่งมาหลายคัน จึงต้องหยุดรอจังหวะที่จะเลี้ยว

         ขณะนั้น รถทัวร์ของบริษัททันจิตวิ่งแซงรถคันอื่นมาด้วยความเร็วสูงถึง ๑๔๐ กิโลเมตรต่อชั่วโมง คนขับมองไม่เห็นรถสองแถวที่เปิดไฟเลี้ยวขวาอยู่ข้างหน้า จึงชนโครมเสียงดังก้องราวกับฟ้าถล่ม ร่างของภิกษุวัยห้าสิบเศษ กระเด็นออกจากตัวรถในลักษณะถลาร่อนดุจเดียวกับนกที่ถูกยิง ลอยละลิ่วไปตกลงบนพื้นถนน ห่างจากตัวรถถึงยี่สิบวา คอหักพับลงมาถึงราวนม หนังศีรษะเปิดตั้งแต่หน้าผากถึงท้ายทอย ท่านพระครูเจริญได้ชดใช้กรรมของท่านอย่างกล้าหาญที่สุด เมื่อเวลาสิบสองนาฬิกาสี่สิบห้านาที ของวันที่ ๑๔ ตุลาคม ๒๕๒๑.

 

            จบบริบูรณ์

 
บันทึกการเข้า
Admax
member
*

คะแนน1
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2


อีเมล์
« ตอบ #83 เมื่อ: มิถุนายน 11, 2012, 09:18:26 PM »

สาธุกับท่าน ช่างเล็กๆ(LSV) ที่นำข้อมูลและเรื่องราวดีๆมีประโยชน์มาฝากครับ
บันทึกการเข้า
หน้า: 1 2 [3]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป: