กุมารีองค์ใหม่ แห่งเนปาล
หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: กุมารีองค์ใหม่ แห่งเนปาล  (อ่าน 8633 ครั้ง)
b.chaiyasith
แก้ปัญหาไม่ตกคุยกันเวลางานline:chiabmillion
.กลุ่มผู้มีน้ำใจงาม.
member
*

คะแนน650
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3004


ไม้ดีไม่ลอยน้ำมาไกล


อีเมล์
« เมื่อ: ตุลาคม 11, 2008, 05:35:31 PM »


กุมารีองค์ใหม่ แห่งเนปาล

สำนักข่าวต่างประเทศ ให้ความสำคัญในการคัดเลือกกุมารีองค์ใหม่ของชาวเนปาล โดยครั้งนี้ นักบวชชาวพุทธและชาวฮินดูประกอบพิธีทางศาสนาเป็นการแต่งตั้งด.ญ.มาตินา ศากยะ วัย 3 ขวบเป็นกุมารีองค์ใหม่ประจำกรุงกาฐมาณฑุ เมืองหลวงเนปาล โดยพิธีทางศาสนาดังกล่าวมีขึ้นภายหลังรัฐบาลเนปาลตั้งแต่งด.ญ.มาตินาเป็นกุมารีองค์ใหม่อย่างเป็นทางการและประธานาธิบดีราม ภารัม ยาเดฟ ลงนามรับรองกุมารีองค์ใหม่เมื่อ 2-3 วันที่ผ่านมา หลังพิธีทางศาสนากุมารีองค์ใหม่ถูกเชิญออกจากบ้านไปประทับที่วังกุมารี ตั้งอยู่ในดอร์บาร์ สแควร์ ใจกลางเขตเมืองเก่าในกรุงกาฐมาณฑุ ตลอดเวลาที่ประทับอยู่ในวังกุมารีจะได้รับการบูชาจากทั้งชาวพุทธและฮินดู กุมารีองค์ใหม่จะประทับในวังจนกว่าพ้นจากความเป็นกุมารีหลังมีประจำเดือน
 
ชาวเนปาลเชื่อว่ากุมารีเป็นเทพเจ้าที่ยังมีชีวิตอยู่และกุมารีเป็นเทพเจ้าทาเลชูที่กลับชาติมาเกิดเพื่อปกป้องบ้านเมืองเช่นเดียวกับที่เคยปกป้องสมัยที่เทพเจ้าทาเลชูประทับอยู่ในวัดทาเลชูใกล้พระราชวังในดอร์บาร์ สแควร์ ในอดีตนานมาแล้ว เด็กหญิงที่จะได้รับเลือกเป็นกุมารีต้องครบอวัยวะ 32 ประการ มีบุคลิกแตกต่างจากเด็กทั่วไป ต้องเลือกมาจากครอบครัวนามสกุลศากยะที่นับถือพุทธศาสนา ต้องเป็นเด็กที่เส้นผม ลูกตา ฟัน และผิวหนังสวยงาม ไม่กลัวความมืด ไม่กลัวที่จะอยู่ในห้องมืดๆที่มีหัวควายและแพะที่ถูกพูชายัญตลอดคืน
 
นายประตาม มาน ศากยะ บิดาของกุมารีองค์ใหม่กล่าวว่ารู้สึกเสียใจที่ลูกสาวต้องออกไปอยู่ในวังแต่ดีใจที่ลูกสาวได้เป็นกุมารีที่ชาวเนปาลถือว่าเป็นเทพเจ้า ตลอดเวลาที่ดำรงความเป็นกุมารี องค์กุมารีจะต้องสวมชุดสีแดงตลอดเวลา มวยผมตลอดเวลา และเขียนลูกตาที่ 3 บนหน้าผาก เท้าห้ามแตะพื้น ออกจากวังได้เฉพาะช่วงเทศกาลเท่านั้น
 
ทั้งนี้ วิกิพีเดีย อธิบายความหมาย และความเป็นมาของการคัดเลือกกุมารีไว้ว่า   กุมารีคือ เทพธิดาผู้มีชีวิตจริงของชาวเนปาล ที่เชื่อว่าเป็นเทวีทาเลจูมาจุติเกิด มาจากการสรรหาจากเด็กหญิงจากวรรณะล่าง และเป็นที่เคารพของผู้นับถือศาสนาฮินดู จนกระทั่งเทวีทาเลจูมาออกจากร่าง ซึ่งจะนับเมื่อเด็กหญิงผู้นั้นมีประจำเดือน หรือได้รับบาดแผลจนมีเลือดออกจากร่างกายเป็นจำนวนมาก
 
ตามประวัติมีหลักฐานว่า ในประเทศอินเดีย ประเพณีเกี่ยวกับ "กุมารี" มีมานานมากกว่า 2,600 ปี และเผยแพร่เข้าสู่ประเทศเนปาลในราวคริสต์ศตวรรษที่ 6 โดยฮารี สิงห์ เดวา ที่หลบหนีมาจากทางอินเดียตอนเหนือ เขาได้นำความเชื่อนี้ติดตัวมาด้วย แต่มีหลักฐานที่บันทึกเป็นลายลักษณ์อักษรถึงพิธีการคัดเลือกกุมารี การแต่งตัวของกุมารี และ ความศรัทธาที่ประชาชนมีต่อกุมารี ไว้เมื่อประมาณคริสต์ศตวรรษที่ 13
 
ในเนปาล มีตำนานปรัมปราเกี่ยวกับ "กุมารี" มากมาย แต่ที่เลื่องลือและ น่าเชื่อถือที่สุด คือ ตำนาน ของกษัตริย์เนปาล องค์สุดท้ายแห่งราชวงศ์มัลละ ขณะที่พระองค์กำลังเล่นทอยลูกเต๋า (บางแห่งก็ว่าสะบ้า) กับ เทวีทาเลจู เทพผู้ปกป้องรักษาราชวงศ์ของพระองค์ วาบหนึ่งในความนึกคิด พระองค์ทรงหลงใหลในความงดงามของ เทวีทาเลจู มาก และทรงคิดว่านางงามกว่ามเหสีของพระองค์เสียอีก ขณะเดียวกัน เทวีทาเลจู ก็อ่านความคิดนั้นออก จึงยุติการเล่นทอย ลูกเต๋าทันที นางตำหนิพระองค์ และประกาศว่า ต่อไปนี้ถ้าพระองค์จะพูดคุยกับนางอีก ก็จะไม่อยู่ในร่างของ เทวีทาเลจู ให้ทรงเห็น แต่นางจะเป็น เด็กหญิงจากวรรณะล่าง และพระองค์จะต้องออกจากพระราชวังไปสักการะนาง ซึ่งอยู่ในร่างของเด็กหญิงจากวรรณะล่างเท่านั้น
 
การสรรหากุมารี การตรวจดูว่าเด็กหญิงคนนั้นมี ลักษณะของเทพ หรือไม่ จะต้องเป็นผู้มี รูปร่างเหมือนต้นกล้วย ขาเหมือนขากวาง หน้าอกเหมือนสิงห์ ลำคอเหมือนหอยสังข์ นํ้าเสียงสดใสและอ่อนนุ่ม เมื่อคัดเลือกได้แล้ว เด็กหญิงคนนั้นจะต้องจากครอบครัวของเธอมาอาศัยอยู่กับครอบครัวของผู้ดูแลภายใน วังใหญ่ ที่เรียกว่า การ์
 
ก่อสร้างด้วยอิฐ เป็นอาคารสูง 3 ชั้น มีหน้าต่างไม้เจาะรอบๆ สร้างขึ้นตามรูปแบบของวัด ไม้ที่แกะสลักโดยรอบนั้นจะเป็นเรื่องราวของฮินดูปกรฌัม ที่มีอายุกว่า 250 ปี (วังที่เมืองกาฏมัณฑุ) ตามปกติ "กุมารี" จะต้องเดินบนผ้าชนิดพิเศษ ที่ปูเป็นทางในวัง เนื่องจากมีข้อห้ามไม่ให้เท้าของเธอสัมผัสพื้นดิน นอกจากนี้ "กุมารี" ยังถูกห้ามไม่ให้ออกไปเล่นข้างนอก ในช่วงเวลาพระอาทิตย์ขึ้น ยกเว้นเวลาที่ต้องปรากฏ ตัวต่อหน้าสาธารณชน ในงานเทศกาลสำคัญต่างๆ เท่านั้น ซึ่งมีประมาณ 13 ครั้งต่อปี
 
ชีวิตของ "กุมารี" มีข้อจำกัดข้อห้ามมากมาย แต่เด็กสาวชาวเนปาลส่วนใหญ่ที่เป็น ชาวศากยะ ก็ต้องการที่จะเป็น "กุมารี" เพราะมีเกียรติสูง และครอบครัวของเธอก็จะได้รับการดูแลจากรัฐบาลเป็นอย่างดี
 



บันทึกการเข้า

"CHIAB"
มนุษย์เราแต่ละคน  ต่างไม่รู้ว่ามาจากไหน  ไม่มีใครรู้จักกันมาก่อนเลย  แล้ววันหนึ่งก็มาพบหน้ากัน  สมมุติเป็นพ่อ  เป็นแม่  เป็นเมีย  เป็นสามี  เป็นลูก  อยู่ร่วมกัน  ใช้ชีวิตร่วมกัน และแล้ววันหนึ่ง  ก็แยกย้ายด้วยการ  "ตายจาก"  กันไปสู่  ณ  ที่ซึ่งไม่มีใครได้ตามพบ  คืนสู่ความเป็นผู้ไม่รู้ว่ามาจากไหน  ไปไหน  และคืนสู่ความเป็น  "คนแปลกหน้า"  ซึ่งกันและกันอนันกาลอีกครั้งหนึ่ง...และอีกครั้งหนึ่ง!?
ขอขอบคุณ คุณเปลว สีเงิน ที่ให้ข้อคิดดีๆ

หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป: