Web 3.0 คือ? อาจทำให้โลกของโซเชียลในปัจจุบันต้องเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง
LSVคลังสมองออนไลน์ "ปีที่21"
เมษายน 25, 2024, 10:19:42 PM *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
   หน้าแรก   ช่วยเหลือ เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก  
หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: Web 3.0 คือ? อาจทำให้โลกของโซเชียลในปัจจุบันต้องเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง  (อ่าน 1105 ครั้ง)
ช่างเล็ก(LSV)
Administrator
member
*

คะแนน1346
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 18653


คิดดี ทำดี ชีวิตมีแต่สุข


อีเมล์
« เมื่อ: กรกฎาคม 25, 2022, 08:56:05 AM »

https://www.pohchae.com/2022/07/25/web-3-0/
Web 3.0 คือ? อาจทำให้โลกของโซเชียลในปัจจุบันต้องเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง
#Web3 #โซเชียล
--------------


โครงสร้างพื้นฐานสำคัญ ในการสร้างจักรวาล Metaverse ก่อนจะอธิบายตรงนี้ เรามาย้อนกลับไปเมื่อ 30 ปีก่อน การเกิดขึ้นของ “อินเทอร์เน็ต” ได้กลายเป็นจุดเริ่มต้น ที่สร้างความเปลี่ยนแปลงให้กับโลกเทคโนโลยีเลยก็ว่าได้ นวัตกรรมตัวนี้ได้เข้ามาสร้างสิ่งที่ไม่คาดคิดหลายอย่างให้เกิดขึ้น และได้มีการพัฒนามาอย่างต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน

แต่เมื่ออินเทอร์เน็ตเข้ามาสร้างให้เกิดเทคโนโลยี นวัตกรรมใหม่ ๆ สิ่งเหล่านี้ก็กลายเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้อินเทอร์เน็ตถูกพัฒนาไปเช่นกัน จนตอนนี้โลกของเรากำลังจะก้าวเข้าสู่รุ่นที่ 3 ที่เรียกว่า Web 3.0 แล้ว

บทความนี้จะพาทุกคนไปทำความเข้าใจวิวัฒนาการของอินเทอร์เน็ต และรู้จักกับอินเทอร์เน็ตรุ่นใหม่ หรือ Web 3.0 และมันจะเป็นยุคใหม่ที่รองรับและขับเคลื่อนเทคโนโลยีล้ำสมัย หรือ Cutting-Edge Technology

ย้อนวิวัฒนาการของอินเทอร์เน็ต
Web 1.0 (ปี 1989-2005)

Web 1.0 เป็นอินเทอร์เน็ตในยุคแรก ที่เริ่มเข้ามามีบทบาทในสังคมในช่วงยุค 90 โดยอินเทอร์เน็ตในยุคนี้ จะเป็นเว็บไซต์ที่ตอบสนองทางเดียว หรือที่เรียกกันว่า Static Web ไม่มีการเชื่อมต่อกับ Database ไม่สามารถเก็บข้อมูลต่าง ๆ ได้ การท่องเว็บในยุคแรกนั้น จึงเป็นเหมือนการอ่านหนังสือ ที่สามารถเข้าไปอ่านได้เท่านั้น ทำให้ในช่วงนั้น การสร้างเพจ หรือการแสดงความคิดเห็นต่อคอนเทนต์ไม่เกิดขึ้น นอกจากนั้นแล้ว Web 1.0 ยังไม่มีอัลกอริทึม ในการเปลี่ยนไปหน้าต่าง ๆ หรือเพจอื่น ๆ ทำให้เป็นเรื่องยากมาก ๆ ที่คนจะเข้าไปค้นหา แล้วเจอข้อมูลที่ต้องการ
Web 2.0 (ปี 2005-ปัจจุบัน)

Web 2.0 หรือ Social Web นับเป็นยุคที่เทคโนโลยี นวัตกรรม รวมทั้งธุรกิจที่เรียกว่า Startup เกิดขึ้นมา ทั้ง Facebook, Youtube, Wikipedia และอื่นๆอีกมากมาย ด้วยการพัฒนาไปของอินเทอร์เน็ตที่ทำให้ผู้ใช้งานสามารถโต้ตอบ มีปฏิสัมพันธ์กันได้บนเว็บ มีการเชื่อมต่อกับ Database ทำให้สามารถเก็บข้อมูลต่าง ๆ ไว้บนเว็บได้

อินเทอร์เน็ตในยุคนี้ทำให้เกิดขึ้นเป็นสังคมอีกหนึ่งแห่งบนโลกออนไลน์ หรือที่รู้จักกันในชื่อ Social media คอมมูนิตี้ที่คนสามารถโต้ตอบ แสดงความคิดเห็น สร้างคอนเทนต์ และสามารถแชร์ข้อมูลข้ามแพลตฟอร์ม หรือข้ามแอปพลิเคชันกันได้อีกด้วย
Web 3.0 (ยังไม่เกิดขึ้น ?) 

Web 3.0 มีการคาดการณ์ไว้ว่า จะเป็น The Next Era of the Internet ที่จะมีความอัจฉริยะมากขึ้น สามารถทำงาน วิเคราะห์ข้อมูลต่าง ๆ ได้ใกล้เคียงกับมนุษย์มากขึ้น อีกทั้งยังสามารถทำงานได้แบบอัตโนมัติ ..

และยุคนี้เองที่จะทำให้เทคโนโลยีอย่าง Machine Learning (ML), Big Data, AI, Blockchain และเทคโนโลยีอัจฉริยะอื่น ๆ สามารถทำงานได้อย่างเต็มที่ และวิวัฒนาการไปมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

โดย Tim Berners-Lee ผู้คิดค้น World Wide Web ได้กล่าวไว้ว่า Web 3.0 จะเป็น Semantic Web หรือเว็บที่สามารถถ่ายโอนข้อมูลระหว่างระบบ คน และอุปกรณ์ IoT ได้แบบอัตโนมัติ ตัวอย่างเช่น การสร้างคอนเทนต์ และการตัดสินใจ จะเป็นกระบวนการที่เกิดขึ้นระหว่างคน และเครื่องจักร ซึ่งจะทำให้การสร้างคอนเทนต์บนโลกอินเทอร์เน็ตมีความพิเศษมากขึ้น โดยจะสามารถสร้างสิ่งที่ตรงตามความต้องการของแต่ละผู้ใช้งานบนโลกอินเทอร์เน็ตได้เลย..

คำอธิบายของ Web 3.0 ยังบอกเพิ่มเติมอีกว่า จะเป็นแหล่งกักเก็บ Data แบบ Decentralized หรือแบบกระจายออกจากศูนย์กลาง ซึ่งแตกต่างจาก Web 2.0 ที่ Data ส่วนใหญ่จะถูกจัดเก็บไว้แบบ Centralized หรือที่ศูนย์กลางมากกว่า

และการรันข้อมูลบน Protocol แบบ Decentralized จะเหมือนกับเทคโนโลยีอย่าง Blockchain และ Cryptocurrency ทำให้คาดการณ์ได้ว่า ในอนาคตจะเห็นการทำงานร่วมกันของ 3 เทคโนโลยีนี้แบบไร้รอยต่อ บน Smart Contract ที่จะทำให้ทุกอย่างก้าวหน้าไปอีกขั้น ตั้งแต่ การทำ Microtransaction, Peer-to-Peer การกักเก็บข้อมูล การทำงานข้ามแอปพลิเคชัน ไปจนถึง การเปลี่ยนแปลงรูปแบบการทำธุรกิจของหลาย ๆ องค์กร..

และในอนาคตจะเห็นว่า DeFi Protocol ที่เราเห็นกันตอนนี้นั้น จะเป็นแค่สิ่งเล็ก ๆ เมื่อยุคของ Web 3.0 มาถึง

รู้จัก Web 3.0 ด้วย 4 Key Features
Ubiquity:

คำว่า Ubiquity หมายถึง การมีความสามารถในการอยู่ทุกๆที่ ทุกๆแห่ง ในเวลาเดียวกัน หรือมีอีกหนึ่งคำที่ใช้เรียกกัน คือ Omnipresent หรือไปทั่วทุกหนทุกแห่งในเวลาเดียวกัน

คำนี้ใช้อธิบายได้ทั้ง Web 2.0 และ 3.0 โดยในยุคปัจจุบันที่เป็น Web 2.0 มีการใช้คำนี้แล้ว ตัวอย่างเช่น การใช้งาน Facebook ที่ผู้ใช้สามารถแชร์ภาพ วิดีโอ รวมถึงข้อมูลต่าง ๆ ได้ทันทีจากทุกที่ เพียงแค่มีบัญชีบน Facebook และเมื่อเราก้าวเข้าสู่ยุคต่อไปที่เป็น Web 3.0 สิ่งต่าง ๆ ก็จะก้าวหน้ามากขึ้น เมื่ออินเทอร์เน็ตเข้าถึงได้ทุกที่ทุกเวลา การเชื่อมต่อสิ่งต่าง ๆ ก็จะเป็นไปได้เร็วขึ้น และต่อไปการเชื่อมต่ออุปกรณ์อย่าง IoT ก็ไม่จำเป็นที่จะต้องเชื่อมผ่านคอมพิวเตอร์หรือโทรศัพท์สมาร์ทโฟนเหมือนกับ Web 2.0 อีกต่อไป..

ในรายงานของ Singapore Fintech Festival บอกว่า Web 3.0 มีสามองค์ประกอบสำคัญ คือ..

1) บริการที่ขับเคลื่อนด้วย AI (AI-driven services) ที่ทำให้ประสบการณ์บนอินเทอร์เน็ตนั้นเฉพาะเจาะจงไปตามแต่ละบุคคล

2) การจัดเก็บข้อมูลไร้ตัวกลาง (decentralised data architecture) ที่เก็บผ่านระบบบล็อกเชนซึ่งยากต่อการแฮ็กข้อมูล

3) การประมวลผลใกล้แหล่งข้อมูล (edge computing) ที่จะทำให้อุปกรณ์ทำงานรวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น ถึงขั้นว่าเราสามารถรันอัลกอริทึมจดจำใบหน้าได้ด้วยสมาร์ทโฟนที่มีอยู่ในมือ
ทำไมต้อง Web 3.0?

Web 2.0 ที่เราใช้กันอยู่ทุกวันนี้มีปัญหาใหญ่ที่ยังแก้ไม่ตก คือ ความปลอดภัยของข้อมูล (data security) และความเป็นส่วนตัว (data privacy)

ในแต่ละวันมีข้อมูลมากมายที่เก็บจากกิจกรรมที่เราโพสต์ แชร์ ดู กดไลก์ หรือแม้แต่แค่เลื่อนผ่าน ข้อมูลเหล่านี้หลั่งไหลเข้าสู่ผู้ให้บริการ เช่น Meta (Facebook), Google, Amazon ที่นับเป็นกรรมสิทธิ์ของตัวบริษัทและสามารถนำข้อมูลของผู้ใช้งานไปใช้ประโยชน์ หรือส่งต่อให้บุคคลที่สาม การปกป้องข้อมูลของผู้ใช้ของผู้ให้บริการในยุค Web 2.0 ยังถูกตั้งคำถามและวิพากษ์วิจารณ์อยู่หลายครั้งในกรณีที่ข้อมูลถูกแฮ็กหรือหลุดออกไปจากระบบ

ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดก็เช่นกรณีที่บริษัท Cambridge Analytica ทำการเก็บข้อมูลผู้ใช้งานผ่านแอพฯ ทดสอบบุคลิกภาพใน Facebook ที่ต่อมาในปี ค.ศ.2016 ข้อมูลเหล่านั้นถูกโยงว่านำไปร่วมวิเคราะห์เพื่อทำแคมเปญการเมืองส่งให้ โดนัลด์ ทรัมป์ จากพรรครีพับบลิกัน ได้ขึ้นเป็นประธานาธิบดี

Web 3.0 อาจมีหน้าตาไม่ต่างจากในตอนนี้มากเท่าไหร่ แต่ด้วยระบบบล็อกเชนที่กระจายการเก็บข้อมูลให้ไปอยู่ในหลายแหล่ง หรือหลายโนด (node) การยืนยันตัวตนที่ต้องได้รับการพิสูจน์จากหลายโนดพร้อมกันจะทำให้การแฮ็กข้อมูลนั้นเป็นไปได้ยาก ต่างจากการเก็บข้อมูลในยุค Web 2.0 ที่มักจะเก็บอยู่ในแหล่งข้อมูลเดียวหรือไม่กี่แหล่ง

“เทคโนโลยีเหล่านี้จะทำให้ผู้ใช้งานมั่นใจและสามารถตรวจสอบได้ ทั้งข้อมูลที่พวกเขาได้รับ ข้อมูลที่ออกจากตัวพวกเขา อะไรบ้างที่พวกเขาจ่ายไปและอะไรบ้างที่ได้พวกเขาได้กลับมา การเซนเซอร์และการผูกขาดจะมีที่ซ่อนเหลือน้อยลงเมื่อเราสนับสนุนให้ผู้ใช้งานสร้างกำแพงเพื่อตัวเอง คิดเสียว่า Web 3.0 คือกฎบัตรแมกนา คาร์ตา (Magna Carta)—รากฐานเสรีภาพของประชาชนที่ลุกขึ้นต่อต้านการเอารัดเอาเปรียบโดยผู้มีอำนาจเผด็จการ” เกวิน วูด ผู้ร่วมก่อตั้ง Ethereum กล่าว
Semantic Web:

ตามที่กล่าวไปข้างต้น Semantic Web คือคำนิยามจากปากของผู้คิดคิด World Wide Web ที่ว่า Web 3.0 จะเป็นอินเทอร์เน็ตยุคใหม่ที่สามารถทำงานได้อย่างอัตโนมัติ คล้ายมนุษย์ ฉลาดมากขึ้น และรองรับเทคโนโลยีอัจฉริยะได้

ซึ่งคำว่า Semantic ในภาษาศาสตร์นั้น คือ การศึกษาด้านความหมาย ความสัมพันธ์ของคำ วลี หรือประโยคกับความหมาย ตัวอย่างเช่น คำว่า 1. I love Bitcoin และ 2. I <3 Bitcoin ซึ่งหากมองด้าน Syntax หรือไวยากรณ์จะพบว่า คำที่ 2 ไม่สามารถตีความหมายได้ แต่ในทาง Semantic ทั้งสองคำนั้นมีความหมายเดียวกัน

ดังนั้น การประยุกต์ศาสตร์ด้าน Semantic ลงบนเว็บจะทำให้ความสามารถในการวิเคราะห์ การทำงาน การถอดโค้ด และอื่น ๆ จะมีความอัจฉริยะมากขึ้น และจะช่วยให้ผู้ใช้งานได้พบกับประสบการณ์ที่เหนือกว่าในการท่องโลกอินเทอร์เน็ต
Artificial Intelligence หรือ AI:

AI หรือ ปัญญาประดิษฐ์ ที่หลายคนมองว่า เมื่อเข้าสู่ยุคของ Web 3.0 AI จะสามารถอ่าน และถอดความหมาย รวมถึงอารมณ์ ได้จากชุดข้อมูลที่ป้อนเข้าไป ซึ่งจะทำให้เครื่องมือต่าง ๆ มีความอัจฉริยะมากขึ้น

ถึงแม้ว่าในยุค Web 2.0 นี้ จะมีเทคโนโลยีที่พัฒนาขึ้นมาเรื่อย ๆ แล้วก็ตาม แต่ในโลกอินเทอร์เน็ตแล้ว คน ยังเป็นผู้ขับเคลื่อนหลักที่คอยดำเนินการต่าง ๆ อยู่ข้างหลัง ตัวอย่างเช่น การรีวิวบนแพลตฟอร์มต่าง ๆ ที่คนสามารถแสดงความคิดเห็นได้ทั้งด้านดี และด้านลบ รวมทั้งสามารถใส่ข้อมูลเท็จลงไปได้ ทำให้ผู้ให้บริการต่าง ๆ ต้องคอยว่าจ้างคนหลายกลุ่มให้เข้ามารีวิวผลิตภัณฑ์ไปในทางที่ดี สิ่งนี้เองทำให้อินเทอร์เน็ตถูกพัฒนาไป โดยนำเอา AI เข้ามาคัดแยกข้อมูลรีวิวที่เป็นด้านลบ หรือข้อมูลเท็จออก และเพิ่มเฉพาะข้อมูลที่เชื่อถือได้ลงไป

อย่างเช่น ระบบ AI ของ Google ที่ไปลบรีวิวด้านลบกว่า 100,000 รีวิวของแอปฯ Robinhood ออกจาก Play Store ซึ่งนับเป็นอีกก้าวของ AI ที่จะเข้ามามีบทบาทมากขึ้นในยุคของ Web 3.0 และในอนาคตเราอาจจะได้เห็นข้อมูลต่าง ๆ ที่ถูก AI คัดกรอง และช่วยลดความลำเอียง (Bias) ของการให้ข้อมูลที่เกิดจากคนได้
Spatial Web และ 3D Graphics:

มี Futurists หลายคนมองว่า Web 3.0 เป็น Spatial Web เนื่องจาก มันจะเข้ามาปิดช่องว่างระหว่างโลกดิจิทัล กับโลกจริงลง โดยการปฏิวัติเทคโนโลยีด้านกราฟิก ให้สามารถออกแบบ และสร้างโลก 3D เสมือนจริงขึ้นมาได้ และโลก 3D นี้จะไม่ได้เข้ามาเฉพาะรูปแบบของเกมที่ใครหลายคนกำลังให้ความสนใจ แต่จะมาในรูปแบบของอสังหาริมทรัพย์ และสามารถพัฒนาไปสู่ด้านสุขภาพ และ E-Commerce ได้ด้วยเช่นกัน
การก้าวเข้าสู่ยุค Web 3.0

ยังเป็นเรื่องที่ตอบได้ยาก หากจะบอกว่าตอนนี้โลกของเราก้าวเข้าสู่ยุคใหม่ของอินเทอร์เน็ตแล้ว แต่นับได้ว่าเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี เพราะคนได้หันมาให้ความสำคัญกับเทคโนโลยีอัจฉริยะ (Cutting-Edge Technology) กันอย่างต่อเนื่อง

มีบางองค์กรที่ตอนนี้เราสามารถบอกได้แล้วว่า พวกเขากำลังพัฒนานวัตกรรมที่ต้องอาศัยอินเทอร์เน็ตแบบ Web 3.0 ตัวอย่างที่จะเห็นในบทความนี้ เป็นนวัตกรรมจากเทคยักษ์ใหญ่ที่ใคร ๆ ก็ต้องรู้จัก อย่าง Apple, Amazon และ Google

    Siri: ผู้ช่วยอัจฉริยะ ระบบสั่งการด้วยเสียงของ Apple ที่ถูกพัฒนามาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ iPhone 4S เพื่อตอบโจทย์กับผู้ใช้สมาร์ทโฟนให้สะดวกยิ่งขึ้น และนอกจาก Siri แล้วยังมี Alexa ของ Amazon และ Bixby ของ Samsung ที่ทำหน้าที่คล้ายคลึงกัน ที่จะช่วยให้ผู้ใช้งานค้นหาข้อมูล และตอบรับในระยะอันสั้น

    Wolfram Alpha: เครื่องมือค้นหาข้อมูล (Search Engine) คู่แข่งของ Google ที่ขึ้นชื่อว่าเป็น ระบบค้นหาความรู้ด้วยการคำนวณ (Computational Knowledge Engine) ซึ่งถึงแม้ว่าจะเป็นเครื่องมือค้นหาข้อมูลเหมือนกัน แต่การให้ข้อมูลของ Wolfram Alpha จะมีความแตกต่างจาก Google ตัวอย่างเช่น เมื่อเราค้นหา “England vs Brazil” บน Google จะพบว่า ข้อมูลจะขึ้นเกี่ยวกับ Worldcup ซึ่งเป็นคีย์เวิร์ดของการแข่งขันฟุตบอล แต่สำหรับ Wolfram Alpha ข้อมูลที่ออกมาจะรวมไปถึงการเปรียบเทียบระหว่าง 2 ประเทศนี้อีกด้วย ซึ่งสิ่งที่เราเห็นได้จากความแตกต่างของ Google และ Wolfram Alpha นี้ ก็เป็นความแตกต่างของ Web 2.0 และ Web 3.0 เช่นกัน

จะเห็นว่า เรากำลังก้าวออกจากยุคของ Web 2.0 ทีละเล็กน้อย เทคโนโลยีต่าง ๆ เริ่มพัฒนาไปอย่างก้าวหน้ามากขึ้น มีการเกิดขึ้นของคำศัพท์ใหม่ ๆ มากมาย ที่บ่งบอกได้ว่า ยุคอินเทอร์เน็ตแบบ Web 3.0 คงจะอยู่ไม่ไกลเกินเอื้อมที่มนุษย์จะพัฒนาไปได้ โดยเฉพาะการมาของ Metaverse ที่หลังจากนี้ Web 3.0 จะเป็นโครงสร้างพื้นฐานสำคัญที่ทำให้เกิดกิจกรรมต่างๆขึ้น เหมือนกับบรรดา Social Media ที่เกิดขึ้นในช่วง Web 2.0 นั่นเอง.


บันทึกการเข้า

หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1 RC2 | SMF © 2001-2006, Lewis Media

lsv2555Please follow the new website at https://www.pohchae.com

Valid CSS!