พิมพ์หน้านี้ - ความเป็นมาของไพ่ยิปซีหรือไพ่ทาโรต์

LSVคลังสมองออนไลน์ "ปีที่21"

นานาสาระ => นานาสาระ => ข้อความที่เริ่มโดย: Touch2557 ที่ พฤษภาคม 08, 2014, 01:36:35 PM



หัวข้อ: ความเป็นมาของไพ่ยิปซีหรือไพ่ทาโรต์
เริ่มหัวข้อโดย: Touch2557 ที่ พฤษภาคม 08, 2014, 01:36:35 PM
(http://ดูไพ่.com/images/about_tarot.png)

ประวัติความเป็นมาของไพ่ยิปซี หรือ ไพ่ทาโรต์  ping!

 การจะหาที่มาของไพ่ยิปซี คงเลี่ยงไม่พ้นที่จะต้องกล่าวถึงกลุ่มชนที่เรารู้จักกันในชื่อ ยิปซี (gypsy) ก่อน  >:D
แม้ความเป็นมาเทือกเถาเหล่ากอของเผ่าพันธุ์ยิปซีดูจะคลุมเครือ  จนยากที่จะชี้ชัดลงไปได้ว่าจุดกำเนิดที่แท้จริงนั้นอยู่ที่ไหนกันแน่  แต่พอจะสันนิษฐานจากข้อมูลทางประวัติศาสตร์ได้ว่าน่าจะมาจากแถวๆ อนุทวีปอินเดีย  ซึ่งน่าจะเป็นพวกดราวิเดียน ซึ่งเป็นอีกหนึ่งกลุ่มชนที่ถ่ายทอดอารยธรรมให้แก่พวกบาบิโลเนียน ก่อนจะเคลื่อนย้ายกระจัดกระจายไปตามเส้นทางเลียบฝั่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียน และจำนวนไม่น้อยก็ลงหลักปักฐานอยู่ในดินแดนอียิปต์  ก่อนที่ระยะต่อมาบางส่วนจะเร่ร่อนต่อไปในแผ่นดินยุโรป และคำว่า “ยิปซี” ก็เกิดขึ้นมาจากการปรากฏตัวของกลุ่มชนนี้ในอังกฤษ เมื่อต้นศตวรรษที่ 16 และถูกทึกทักว่าเป็นพวกอียิปต์อพยพ
            นอกเหนือจากภาษาโรมานี ที่ยิปซีใช้จะร่วมตระกูลกับภาษาฮินดี และการแต่งเนื้อแต่งตัวที่ดูจะเป็นเอกลักษณ์แล้ว  สิ่งที่เป็นภาพจำสำหรับคนทั่วไปก็คือความเป็นนักพยากรณ์ “ผู้หยั่งรู้” ของพวกยิปซี
            หากดูจากข้อเท็จจริงแล้ว ชาวยิปซีเองก็มีวัตรปฏิบัติที่ดูเหมือนจะตอกย้ำภาพลักษณ์ในเรื่องนี้  การรักษาขนบธรรมเนียม ประเพณี วัฒนธรรม รวมถึงภาษาของเผ่าพันธุ์ ไว้ได้อย่างเหนียวแน่น แม้จะผ่านกาลเวลามายาวนานเพียงใด และแม้จะต้องระเหเร่ร่อนไปอยู่แห่งหนใด  ยิ่งตอกย้ำให้คนทั่วไปรู้สึกถึงความขลังและลึกลับของพวกยิปซี  แน่นอนว่าความสามารถในการพยากรณ์ก็สืบทอดส่งผ่านมาด้วยเช่นกัน แต่เราไม่สามารถชี้ชัดว่าทำไมพวกยิปซีถึงใช้วิธีพยากรณ์เช่นนี้
            ศาสตร์ในการพยากรณ์ของยิปซีดูจะแหวกและแหกคอกไปจากธรรมเนียมนิยมของการพยากรณ์ในยุคอดีต โดยเฉพาะที่มีหลักแหล่งมาจากแถบเอเชียไมเนอร์และเมดิเตอร์เรเนียนเหมือนกัน ที่มักจะใช้ดวงดาวและวันเวลาเกิดเป็นฐานข้อมูล  แต่พวกยิปซีจะนำลูกแก้วมาร่ายมนต์และพยากรณ์โดยแทบไม่ต้องรู้ภูมิหลังของผู้มารับคำพยากรณ์เลย  ซึ่งแน่นอนว่าอาจจะมีการคลาดเคลื่อนอยู่บ้าง (แต่การพยากรณ์โดยอาศัยการโคจรของดวงดาวและข้อมูลวันเวลาเกิดที่เรียกว่า “โหราศาสตร์” ก็ใช่ว่าจะแม่นกว่าเสมอไป)

(http://www.oknation.net/blog/home/blog_data/857/6857/images/Gypsyfortuneteller.jpg)

 กระทั่งในยุคต่อมา ซึ่งน่าจะเป็นช่วงกลางของยุคกลาง คือราวศตวรรษที่ 10 พวกยิปซีได้สร้างนวัตกรรมการพยากรณ์อีกแบบหนึ่งขึ้นมา แน่นอนว่ามันมีอุดมการณ์เดียวกันกับการใช้ลูกแก้ว ในแง่ที่ว่าไม่ต้องอาศัยดวงดาวและวันเวลาเกิด แต่กลับให้ความแม่นยำมากยิ่งกว่าและไม่ต้องร่ายมนต์ลูกแก้วให้ดูเพ้อเจ้ออีกต่อไป  ในที่สุดนวัตกรรมอันนี้ก็กลายเป็น “เครื่องมือ” พยากรณ์อันลือลั่นและได้รับความนิยมไปทั่วโลก 
ครับ ผมกำลังพูดถึงไพ่พยากรณ์จากภูมิปัญญาของพวกยิปซี  ที่เรียกอย่างเป็นทางการว่า “ทาโรต์”
ไพ่ยิปซีมาอาละวาดระบาดหนักในยุโรป ในช่วงที่พวกนี้เริ่มอพยพมาเดินเพ่นพ่านในแถบชายฝั่งยุโรปใต้ ตรงกับยุคสมัยทางประวัติศาสตร์ที่เรียกว่ายุคกลาง หรือยุคที่อยู่ตรงกลางระหว่างยุคกรีก-โรมัน กับยุคเรอแนสซองส์หรือยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาการ (เริ่มตั้งแต่การล่มสลายของจักรวรรดิโรมัน ในคริสตวรรษที่ 5  จนถึงการล่มสลายของกรุงคอนสแตนติโนเปิล ในปี 1453)  อันเป็นยุคที่คริสตจักรเรืองอำนาจและกดข่มความคิดความเชื่ออื่นจนแทบจมธรณี
แต่ดั้งเดิมนั้น ไพ่ยิปซีจะผูกติดอยู่กับตำนานความเชื่อเรื่องเทพและภูตผี โดยเฉพาะจากทางอียิปต์และกรีก ซึ่งทำให้ชาวยุโรปมองเป็นเรื่องไสยเวทมนต์ดำ อยากดูก็อยากดู กลัวก็กลัว  ที่อยากดูเพราะเชื่อว่าแม่นแน่ๆ แต่ก็กลัวจะโดนข้อหานอกรีต จึงทำให้วงการไพ่ยิปซียุคนั้นต้องหลบๆ ซ่อนๆ เป็นหมอดูอันเดอร์กราวด์  ในที่สุด เพื่อความอยู่รอดปลอดภัยและไม่ถูกจับไปเผาทั้งเป็น บรรดาหมอดูยิปซีจึงต้องพลิกแพลงโดยนำตำนานจากคัมภีร์ไบเบิลมาผสมผสานและเกลี่ยไปกับตำนานเดิมจนดูแนบเนียนเป็นเนื้อเดียวกัน ถึงค่อยโงหัวขึ้นมาอยู่บนดินได้ แต่ก็ยังคงต้องระวังไม่ให้ประเจิดประเจ้อเร่อร่านัก เพราะอำนาจคริสตจักรจะมองเป็นเรื่องท้าทาย
จนกระทั่งราวศตวรรษที่ 14 ไพ่ยิปซีจึงเริ่มเป็นที่ยอมรับอย่างเปิดเผย โดยเฉพาะจากบุคคลชั้นสูงในสังคมยุโรป หลักฐานที่แน่ชัดระบุว่าในปี 1390 กษัตริย์ชาร์ลส์ที่ 6 แห่งฝรั่งเศสทรงอนุญาตให้หมอดูหญิงชาวยิปซี เข้ามาทำนายทายทักพระองค์และพระราชินีโอเด็ตต์  ซึ่งผลของการพยากรณ์ครั้งนั้นออกมาอย่างแม่นยิ่งนัก  ส่งผลให้ต่อมาอีกสามปี คือปี 1393 พระองค์จึงมีรับสั่งให้จัดทำไพ่ทาโรต์ขึ้นมาสามชุด โดยมีจิตรกรชื่อ ชาร์ลส์ หรือชากเกอแมง แกรงกงเนอร์ (Charles Gringonneur) เป็นผู้วาดภาพหน้าไพ่ โดยแต่งภาพด้วยลายทองและเดินขอบไพ่ด้วยเงิน ไพ่ทั้งสามชุดนี้ถือเป็นไพ่ยิปซีชุดเก่าแก่ที่สุดเท่าที่มีการบันทึกไว้
การจัดทำไพ่ตามบัญชาของบุคคลระดับสูงเช่นเจ้าแผ่นดินดังกล่าว เป็นการยืนยันครั้งสำคัญที่สุดถึงความแม่นของไพ่ยิปซี  นับเป็นการเปิดศักราชอย่างเป็นทางการที่ทำให้ไพ่ยิปซีมีที่ทางในสังคมยุโรปอย่างเปิดเผยชัดเจน  และทำให้ไพ่ยิปซีกลายเป็นเป็นศาสตร์แห่งการพยากรณ์ที่แพร่หลายมากที่สุดในยุโรปในเวลาต่อมา
ล่วงมาถึงศตวรรษที่ 19 ไพ่ยิปซีซึ่งมีการเปลี่ยนแปลงรูปแบบเรื่อยมาและแต่ละสำนักก็มีวิธีการทำนายไม่ค่อยจะตรงกัน ก็ได้คลี่คลายมาถึงจุดลงตัวและเป็นเอกภาพ  เมื่อเจ้าสำนักยิปซีชาวฝรั่งเศส ได้สังคายนากฏกติกาไพ่ยิปซีครั้งใหญ่ โดยเริ่มจากการตีความว่าไพ่ยิปซีชุดหลักทั้ง 22 ใบ มีความเกี่ยวโยงกับอักขระ 22 ตัวของภาษาฮิบรู ซึ่งเป็นภาษาโบราณจากดินแดนไกลโพ้นแถบตะวันออกกลาง
จากนั้นก็สะสางไพ่ชุดรอง (น่าจะเข้ามามีบทบาทในสำรับไพ่ยิปซีช่วงศตวรรษที่ 18) ซึ่งกระจัดกระจาย ไร้เอกภาพ  เพราะบางสำนักก็ไม่ได้นำมาใช้ และสำนักที่ใช้ก็อาจมีจำนวนใบไม่เท่ากัน ยังไม่ต้องพูดถึงคำทำนายที่แตกต่างกัน  แต่ถึงกระนั้น ไพ่ชุดรองที่ใช้กันอยู่ กลับมีจุดร่วมเดียวกันก็คือสัญลักษณ์รูป ไม้เท้า ถ้วย ดาบ เหรียญ  โดยมีการตีความว่าโยงมาจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ 4 ชนิด ที่พบในวิหารอัศวินของกษัตรย์อาเทอร์
ไม้เท้า (Wand)  เทียบได้กับด้ามหอกของทหารโรมันที่ใช้ทิ่มแทงพระเยซูขณะตรึงกางเขน
ถ้วย (Cup)  เทียบได้กับจอก (Grail)  ที่พระเยซูใช้ดื่มในอาหารมื้อสุดท้าย บ้างก็ว่าจอกนี้ใช้รองรับโลหิตของพระองค์ในวันตรึงกางเขน (ลองอ่าน The Da Vinci Code  เทียบดู จะช่วยให้ฟุ้งซ่านในเรื่องนี้ได้ดี)
ดาบ (Sword)  เทียบได้กับดาบศักดิ์สิทธิ์ของกษัตรย์ดาวิด ในตำนานไบเบิล
เหรียญ (Pentacle)  เทียบได้กับจานรับอาหารมื้อสุดท้ายของพระเยซู

(http://www.oknation.net/blog/home/blog_data/857/6857/images/minor.jpg)

การชำระสะสางเช่นนี้ ทำให้ไพ่ยิปซีหลากหลายสำนักดูมีเอกภาพและความน่าเชื่อถือมากยิ่งขึ้น จนสามารถพัฒนาเป็นศาสตร์แห่งการพยากรณ์ได้อย่างเป็นระบบ หลุดพ้นจากภาพลักษณ์ของการร่ายมนต์เพ้อคลั่งอีกต่อไป  และทำให้ไพ่ยิปซีหนึ่งสำรับมีไพ่ทั้งหมด 78 ใบ แบ่งเป็นชุดหลัก (Major Arcana) 22 ใบ และชุดรอง (Minor Arcana) 56 ใบ
แต่กระนั้นภาพหน้าไพ่ก็ยังคงหาแบบมาตรฐานจริงๆ ไม่ได้  จนเมื่อปี 1909 ศิลปินและหมอดูสาวชาวอังกฤษนาม พาเมลา โคลแมน สมิธ (Pamela Colman Smith) ได้วาดรูปหน้าไพ่ทั้ง 78 ใบให้แก่บริษัท ไรเดอร์ (Rider)  ผู้ผลิตไพ่และตำราพยากรณ์ยิปซี เพื่อเป็นภาพประกอบหนังสือของอาเทอร์ เอดเวิร์ด เวต (Arthur Edward Waite) ปรมาจารย์ไพ่ยิปซีชื่อดังแห่งยุค

(http://www.oknation.net/blog/home/blog_data/857/6857/images/ArthurEdwardWaite1880.jpg)

เมื่อตีพิมพ์ออกมาจำหน่าย ปรากฏว่าสำรับไพ่ชุดนี้เป็นที่ยอมรับของหมอดูยิปซีในยุโรปอย่างท่วมท้น แล้วยังสร้างกระแสความนิยมไพ่ยิปซีขึ้นในวงกว้างอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ในที่สุดภาพหน้าไพ่ดังกล่าวก็ได้กลายเป็นภาพต้นแบบมาตรฐานของไพ่ยิปซีมาจนทุกวันนี้ (ตั้งแต่ปี 1971 บริษัท ยูเอสเกมส์ซิสเตมส์ของสหรัฐอเมริกาได้เป็นผู้ถือลิขสิทธิ์ในการผลิตไพ่ชุดไรเดอร์-เวต)
นักวิจารณ์ศิลปะของอังกฤษและอเมริกาจำนวนไม่น้อย ได้ยกย่องให้ภาพหน้าไพ่ของพาเมลา โคลแมน สมิธ  ขึ้นชั้นทำเนียบงานป๊อปอาร์ต ที่ยืนยงคงกระพันที่สุดชุดหนึ่งของโลก (หนังสือของกระผมเล่มนี้ก็ได้ใช้ไพ่ชุดนี้มาเป็นไพ่คู่มือ อาวุธประจำกายของผู้มีอุปการคุณ)
(http://www.oknation.net/blog/home/blog_data/857/6857/images/Pamela_Colman_Smith.jpg)

ถึงที่สุดแล้ว  ความนิยมในไพ่ยิปซีคงไม่ได้มาจากตำนานอันลึกลับซับซ้อนหรือความสวยงามชวนพิศวงบนหน้าไพ่เท่านั้น  หากแต่มาจากความแม่นของการทำนายหรือพยากรณ์ชีวิตด้วย 
ไม่มีใครตอบได้อย่างชัดเจนว่า เหตุใดไพ่ยิปซีจึงทำนายได้แม่นราวกับตาเห็นเช่นนั้น โดยเฉพาะเมื่ออยู่ในมือของหมอดูผู้จัดเจนและทรงภูมิ  หลายคนสงสัยว่ามันแม่นได้ยังไง วันเดือนปีเกิดก็ไม่ต้องรู้ เวลาตกฟากยิ่งไม่เกี่ยว คำตอบแบบขวานผ่าซากก็คือ ถ้าหมอดูเก่งจริง ดูอะไรก็แม่น แต่ถ้ามั่ว ถึงจะมาร์เกตติ้งยังไง ก็ไปไม่รอด อาจจะโกยไปก่อน แล้วค่อยใช้กรรมวันหลัง ก็ว่ากันไป 
แต่จากการศึกษาค้นคว้าและประสบการณ์ลงสนามจริงอย่างโชกโชน อาจจะพอตอบได้ว่าไพ่แต่ละใบที่แต่ละท่านหยิบได้ มันคือภาพสะท้อนแห่งจิตใต้สำนึกที่เปิดเผยออกมาเพื่อไขปริศนาดำมืดแห่งดวงชะตา รายละเอียดในส่วนนี้คงจะได้กล่าวถึงโอกาสต่อๆ ไป
เป็นอันว่าผมได้เล่าตำนานที่มาที่ไปของไพ่ยิปซีพอให้ได้รับทราบกันตามสมควรแล้ว แต่หากท่านผู้มีเกียรติแรงเหลือ หรือสนใจใคร่รู้มากกว่านี้  ก็เรียนเชิญค้นคว้ากันตามสะดวก มีหนังสือให้ศึกษาเยอะมาก แต่จะหนักไปทางภาษาต่างประเทศ หรือมีโอกาสก็มาแลกเปลี่ยนความรู้กันได้