พิมพ์หน้านี้ - facfbook Thirachai Phuvanatnaranubala · อนาคตของเศรษฐกิจไทย

LSVคลังสมองออนไลน์ "ปีที่21"

นานาสาระ => เส้นทางการเงิน-เศรษฐกิจ => ข้อความที่เริ่มโดย: eskimo_bkk-LSV team♥ ที่ สิงหาคม 26, 2013, 09:04:11 AM



หัวข้อ: facfbook Thirachai Phuvanatnaranubala · อนาคตของเศรษฐกิจไทย
เริ่มหัวข้อโดย: eskimo_bkk-LSV team♥ ที่ สิงหาคม 26, 2013, 09:04:11 AM
(http://www.nationmultimedia.com/new/2011/10/03/business/images/30166721-01.jpg)

อนาคตของเศรษฐกิจไทย

- เนื่องจากในสัปดาห์ที่ผ่านมา ถึงแม้ได้มีผู้สื่อข่าวสอบถามมาต่อเนื่อง
เดิมผมไม่ได้คิดจะวิจารณ์ภาวะเศรษฐกิจไทย แต่วันนี้ผมเปลี่ยนใจ
 เพราะคิดว่าผู้อ่าน ควรจะได้ข้อมูลที่รอบด้าน เพื่อวางแผนสำหรับตัวของท่านเองได้ดีขึ้น

- คำถามแรก เศรษฐกิจไทยชะลอหรือถดถอย

- ตามคำนิยามเศรษฐศาสตร์ หากตัวเลข GDP รายไตรมาสลดลงต่อเนื่อง 2 ไตรมาส
เขาเรียกว่าเข้าลักษณะถดถอยทางเทคนิก (technical recession)
- ดังนั้น เนื่องจากตัวเลขไตรมาสสี่ 2555 ไตรมาสหนึ่ง
และไตรมาสสอง 2556 ขยายตัวร้อยละ 18.9 ร้อยละ 5.3 และร้อยละ 2.8
จึงเข้าลักษณะถดถอยทางเทคนิก

- คำถามที่สอง เราควรจะเดือดร้อนกังวล กับสภาวะการถดถอยทางเทคนิกหรือไม่

- ยังไม่ถึงขั้นกินไม่ได้ นอนไม่หลับครับ เพราะ GDP ปีต่อปียังขยายตัว ไม่ใช่หดตัว
อีกประการหนึ่ง ตัวเลขไตรมาสสี่ 2555 นั้นสูงผิดปกติ
- อย่างไรก็ดี การที่ตัวเลขถดถอยทางเทคนิก เป็นการส่งสัญญาณ
เตือนว่าอนาคตมันไม่สดใสเหมือนเดิม เตือนว่ามีปัญหาที่ต้องเอาใจใส่
- การเตือนทางเศรษฐศาสตร์ เขาจะอาศัยข้อมูลไตรมาส ซึ่งเป็นข้อมูลเร็ว
เพราะหากดูแต่เฉพาะข้อมูลปีต่อปี กว่าจะเห็นปัญหา ก็จะกลับตัวกันไม่ทันเสียแล้ว

- คำถามที่สาม มีปัจจัยอะไร ที่ทำให้ตัวเลขส่งสัญญาณเช่นนี้

- ในช่วงสองปีที่ผ่านมา มีสถานการณ์ธรรมชาติอะไร ที่กระทบตัวเลขได้บ้าง

- ถ้าไม่คำนึงถึงนโยบายของรัฐบาลไทย ก็ไม่น่าจะมีอะไรที่ทำให้เกิดสภาวะแบบนี้
เพราะถึงแม้ในช่วงน้ำท่วมใหญ่ เศรษฐกิจได้ชะลอตัว
แต่หลังจากนั้น การทำงานก็ได้กลับเข้าสู่ภาวะปกติ ภาคเอกชนเดินหน้าได้ปกติ

- ในช่วงสองปีที่ผ่านมา มีภาวะเศรษฐกิจโลก ที่กระทบการส่งออกหรือไม่

- ภาวะเศรษฐกิจของสหรัฐค่อยๆ ดีขึ้นมาตลอด ยุโรปยังแย่ แต่ก็เป็นเหมือนเดิม
ไม่ได้ทรุดลงหนักกว่าเดิม ญี่ปุ่นดีขึ้นภายหลังการเปลี่ยนรัฐบาล
ถึงแม้ประเทศกำลังพัฒนาชะลอตัวลงบ้าง แต่เศรษฐกิจก็ยังขยายตัว
- ดังนั้น พิจารณาโดยรวม ถึงแม้ภาวะต่างประเทศไม่ได้เอื้ออำนวยต่อการส่งออกมากนัก
แต่สถานการณ์ไม่ได้ทรุดลงมากเป็นพิเศษในช่วงสองปีนี้

- แสดงว่าปัจจัยที่สำคัญ น่าจะมาจากภายในประเทศ โดยเฉพาะจากนโยบายและการดำเนินการของรัฐบาลไทย

- ในช่วงสองปีที่ผ่านมา มีปัจจัยภายในประเทศหลายปัจจัย

- ปัจจัยที่หนึ่ง การปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ
- ย่อมกระทบต้นทุนและราคาขายของผู้ส่งออก ปัจจัยนี้จะมีผลต่อไปอีกระยะหนึ่ง
เพราะกว่าผู้ส่งออกจะปรับตัว กว่าจะสามารถเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต หรือเพิ่มมูลค่าสินค้า ก็ต้องใช้เวลา

- ปัจจัยที่สอง โครงการจำนำข้าว
- รัฐบาลไม่ได้เร่งขายข้าวออกไป การกักเก็บเอาไว้ในสต๊อก ไม่ได้ช่วยเพิ่มตัวเลขส่งออก
ปัจจัยนี้จะมีผลต่อไปอีกระยะหนึ่งเช่นกัน
เพราะเท่าที่ดูแนวโน้มการประมูลขาย จะใช้เวลาอีกนาน

- ปัจจัยที่สาม โครงการรถคันแรก
- ทำให้ผู้ที่ผ่อนซื้อ มีภาระต้องจ่ายค่าน้ำมัน ค่าซ่อมบำรุง ค่าประกันภัย
และค่าดอกเบี้ยรวมทั้งต้นเงิน ปัจจัยนี้จะมีผลต่อไปอีกหลายปี
ภาระเหล่านี้จะกดดันกำลังซื้อสินค้าด้านอื่นๆ

- ปัจจัยที่สี่ หนี้ครัวเรือน
- เมื่อรัฐบาลดำเนินนโยบายการคลังแบบกระตุ้น
ก็ควรจะปล่อยให้แบงค์ชาติเขาดำเนินนโยบายการเงินแบบระมัดระวัง เพื่อถ่วงดุล
- แต่รัฐมนตรีคลังกลับพยายามกดดันแบงค์ชาติให้ลดดอกเบี้ย ทำให้ดอกเบี้ยต่ำ
- ดอกเบี้ยต่ำนี้เอง ทำให้ประชาชนกู้หนี้ครัวเรือนเพิ่มขึ้นมาก ปัจจัยนี้จะมีผลต่อไปอีกหลายปี กระทบกำลังซื้อ

- ปัจจัยที่ห้า การลงทุนภาคเอกชนไม่ขยายตัวมากอย่างที่หวัง
- นักธุรกิจส่งออก ที่มีภาระค่าแรงสูงขึ้น แต่สภาวะตลาดไม่สดใส คงยังไม่คิดขยายการลงทุน
- โรงงานที่ผลิตเพื่อขายในประเทศ ที่มีภาระค่าแรงสูงขึ้น
ก็พบว่าพ่อค้าสามารถนำเข้าสินค้าจากจีนและประเทศเพื่อนบ้าน
เข้ามาแข่งขันตีตลาดได้มากขึ้น ก็คงยังไม่คิดขยายการลงทุน

- ปัจจัยที่หก ฟองสบู่ที่เกิดจากเงินทุนไหลเข้า
- ปัจจัยนี้ผมเห็นว่าเป็นปัจจัยที่มีผลมากที่สุด ก็คือการที่กระทรวงการคลังปล่อยให้มีเงินทุนไหลเข้ามา มากจนเกินไป
โดยไม่มีมาตรการควบคุม และกว่าจะยอมเตรียมการที่จะควบคุมเรื่องนี้
 เงินก็กลับเป็นภาวะไหลกลับออกไปเสียแล้ว

- เงินทุนไหลเข้า ทำให้ตลาดหุ้นบูม กดดอกเบี้ยระยะยาวในตลาดพันธบัตรให้ต่ำ
ทำให้ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์บูมซ้ำซ้อน คนที่กำไรหุ้น ก็เก็งกำไรคอนโดกันซ้ำซ้อน
- ช่วงที่เงินทุนไหลเข้า อะไรๆ ก็ดูดีไปหมด ทำให้ภาพลักษณ์ของกระทรวงการคลังดูดีไปด้วย
จนกระทั่งเริ่มก่อปัญหา ทำให้ค่าเงินบาทแข็งขึ้นๆ ยิ่งกระทบส่งออก
- แทนที่กระทรวงการคลัง จะใช้อำนาจออกมาตรการเพื่อชะลอเงินไหลเข้า กลับคิดในทาง “คุณ น่ะ ทำ”
(ไม่ใช่คุณธรรมนะครับ) คือพยายามพูดให้แบงค์ชาติลดดอกเบี้ย
โดยเข้าใจว่าดอกเบี้ยระยะสั้น เป็นตัวการที่ดึงดูดเงินทุนไหลเข้า

- หลังจากถกเถียงกัน ในที่สุดกระทรวงการคลังก็ยอมตามที่แบงค์ชาติเสนอ
มีการออกกฎระเบียบ ให้อำนาจในการชะลอเงินไหลเข้า เตรียมการเอาไว้
- แต่ก็สายไปเสียแล้ว เงินทุนได้กลับเข้าสู่โหมดไหลออกเสียแล้ว
- ทิ้งเหลือไว้แต่สภาพตลาดหุ้นที่แฟบลง ตลาดพันธบัตรที่ดอกเบี้ยระยะยาวกลับสูงขึ้น
และตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่เข้าสภาวะฟองสบู่

- เพื่อนๆ ของผม เล่ากันว่า ขณะนี้ทุกๆ สัปดาห์ จะมีเซลล์โครงการอสังหาริมทรัพย์
โทรศัพท์พยายามขายคอนโดให้แก่เขา สามหรือสี่ราย
- มาบัดนี้ แบงค์ก็เริ่มไหวตัว และระมัดระวังการปล่อยสินเชื่อ

- ปัจจัยที่เจ็ด คือพันธนาการต่อโครงการพื้นฐาน

- ในประเทศที่พัฒนาแล้ว การใช้เงินของรัฐบาลนั้น นอกเหนือจากสวัสดิการรัฐ
ซึ่งจะเป็นจำนวนเท่าๆ กันแต่ละปีแล้ว หากจะมีการใช้เงินพิเศษเป็นก้อนๆ
มักจะเน้นสองอย่าง คือการพัฒนาความเก่งของประชากร และการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ
- (ส่วนเรื่องประชานิยม แบบไฟใหม้ฟาง ที่เน้นการอุปโภคบริโภค
ชนิดที่กินใช้กันปีเดียว แล้วก็หายหมดไปนั้น จะเป็นเรื่องยอดนิยมเฉพาะในประเทศยังไม่พัฒนา)
- ดังนั้น นักเศรษฐศาสตร์จึงไม่ค่อยจะขัดข้อง
ต่อโครงการลงทุนพื้นฐานของรัฐบาล (แต่ยังมีข้อท้วงติง ว่าต้องเป็นโครงการที่คุ้มค่านะครับ)
ซึ่งการลงทุนแบบนี้ จะสามารถช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้ทางหนึ่ง

- อย่างไรก็ดี รัฐมนตรีคลังได้สร้างกับดักให้แก่ตัวเองเอาไว้ครับ

- กรณีโครงการเรื่องน้ำ 350,000 ล้าน ถึงแม้ศาลรัฐธรรนูญจะได้ช่วยตีความ
ให้ออกเป็นพระราชกำหนดได้ แต่แทนที่จะทำให้ขบวนการจัดซื้อจัดจ้าง
แทนที่จะดำเนินการอย่างโปร่งใสตามขั้นตอนปกติ กลับไปใช้วิธีพิสดาร จนเรื่องต้องช้าออกไป
- กรณีโครงการ 2 ล้านล้าน แทนที่จะใช้ช่องทางงบประมาณปกติ
ที่จะเริ่มทะยอยทำได้เลย กลับไปใช้วิธีออกกฎหมายเฉพาะ
ผิดรัฐธรรมนูญ ทำให้เรื่องจะต้องล่าช้าออกไปอีกด้วย

- คำถามที่สี่ แบงค์ชาติจะช่วยลดดอกเบี้ยได้หรือไม่

- ถึงวันนี้ หากแบงค์ชาติมีการลดดอกเบี้ย เศรษฐกิจก็คงจะกระเตื้องขึ้น
- แต่เนื่องจากเดิมถูกกกดดันให้ดอกเบี้ยมีระดับที่ต่ำ ช่องทางที่จะลด จึงจะไม่มากนัก
- แต่ปัญหาที่สำคัญ คือเงินทุนไหลออก ได้ทำให้เงินบาทอ่อนตัว
- เงินบาทที่อ่อนตัวนี่แหละครับ จะทำให้เงินเฟ้อสูงขึ้น
ดังนั้น ถ้าแบงค์ชาติจะคิดลดดอกเบี้ย ก็จะมีปัญหานี้ให้ต้องระมัดระวัง

- นอกจากนี้ แบงค์ชาติย่อมตระหนักดีถึงความเสี่ยงฟองสบู่
หากลดดอกเบี้ย หนี้ครัวเรือนอาจจะสูงขึ้นไปอีก โครงการอสังหาริมทรัพย์อาจจะยิ่งบูมขึ้นไปอีก
- และต่อไป หากเมื่อใดที่สหรัฐเริ่มขึ้นดอกเบี้ย ก็หนีไม่พ้น
ที่ดอกเบี้ยของไทยจะต้องกลับเป็นแนวโน้มขาขึ้น ไม่มากก็น้อย
- เมื่อใดที่เกิดภาวะดังกล่าว ภาระการผ่อนดอกเบี้ยรายเดือนของครัวเรือน
และของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ก็จะยิ่งหนักขึ้น

- ความเสี่ยงทั้งด้านครัวเรือนและด้านอสังหาริมทรัพย์ดังกล่าว
จะทำให้แบงค์ชาติยิ่งเตือนให้แบงค์พาณิชย์
ต้องระมัดระวังในการพิจารณาสินเชื่อรายใหม่อีกด้วย
- ยิ่งระมัดระวังสินเชื่อ เศรษฐกิจก็ยิ่งอืด

- คำถามสุดท้าย อนาคตเศรษฐกิจไทยจะเป็นอย่างไร

- ถ้าท่านผู้อ่านฟังแต่รัฐมนตรีคลัง ก็อาจจะคิดเหมือนท่าน
ว่าไม่มีอะไรต้องเป็นห่วง เพราะน้ำเสียงของท่าน ทุกอย่างยังสดใส
ท่านยังอยากให้แบงค์ชาติลดดอกเบี้ยลงไปอีกเสียด้วย
- ถ้าท่านผู้อ่านฟังแต่รัฐมนตรีคลัง ผมเกรงว่าท่านอาจจะวางแผนเตรียมตัว
เพื่อรับมือกับสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้น อย่างไม่รอบคอบรัดกุม

- แต่ท่านจะสามารถตอบคำถามนี้ได้เองครับ
โดยกลับไปดูแต่ละปัจจัยข้างต้น
ว่ามีแนวโน้มจะคลี่คลายได้อย่างเร็วหรือไม่


 ping!