พิมพ์หน้านี้ - นักวิจัยมข.เจ๋งใช้แสงซินโครตรอนแยกสเต็มเซลล์กระดูกอ่อนสำเร็จ

LSVคลังสมองออนไลน์ "ปีที่21"

นานาสาระ => สุขภาพ => ข้อความที่เริ่มโดย: eskimo_bkk-LSV team♥ ที่ พฤษภาคม 27, 2011, 05:57:54 AM



หัวข้อ: นักวิจัยมข.เจ๋งใช้แสงซินโครตรอนแยกสเต็มเซลล์กระดูกอ่อนสำเร็จ
เริ่มหัวข้อโดย: eskimo_bkk-LSV team♥ ที่ พฤษภาคม 27, 2011, 05:57:54 AM
(http://www.astv-tv.com/news1/backn/pics/1_1010348.jpg)


         ศูนย์ข่าวนครราชสีมา-ผู้ป่วยโรคไขข้อเสื่อมคนไทยเฮ! นักวิจัย มข. เจ๋ง แยกสเต็มเซลล์กระดูกอ่อนด้วยแสงซินโครตรอนประสบความสำเร็จเป็นครั้งแรกของไทย ลดค่าใช้จ่ายในการรักษาลงได้กว่าครึ่ง เผยใช้ระบบลำเลียงแสงอินฟราเรดที่ห้องปฏิบัติการแสงสยามโคราชหนึ่งเดียวของไทยใหญ่ที่สุดในอาเซียน ไม่ต้องไปไกลถึงต่างประเทศ ระบุเป็นเทคนิคใหม่ในการจำแนกเซลล์ต้นกำเนิด แทนการใช้สารติดตามหรือฉีดสีที่ยุ่งยาก ใช้เวลานาน ค่าใช้จ่ายสูงต้องสั่งซื้อจากต่างประเทศราคาแพง

         วานนี้( 26 พ.ค.) ที่ห้องปฏิบัติการแสงสยาม สถาบันวิจัยแสงซินโครตรอน (องค์การมหาชน) กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี อ.เมือง จ.นครราชสีมา ซึ่งมีอยู่แห่งเดียวในประเทศไทยและใหญ่ที่สุดในอาเซียน รศ. ดร.พัชรี เจียรนัยกุล ผู้ใช้บริการแสงซินโครตรอน จากคณะเทคนิคการแพทย์มหาวิทยาลัยขอนแก่น ประสบผลสำเร็จในการใช้เทคนิควิเคราะห์ทางจุลทรรศน์ และสเปกโตรสโกปีของรังสีอินฟราเรด เพื่อการตรวจจำแนกเซลล์ต้นกำเนิด (สเต็มเซลล์) ที่มีการพัฒนาไปเป็นเซลล์กระดูกอ่อน ซึ่งเป็นเทคนิควิเคราะห์ที่ช่วยตรวจจำแนกการเพาะเลี้ยงเซลล์ต้นกำเนิดได้เด่นชัดในระยะเวลาสั้น ทำให้ลดขั้นตอนและต้นทุนในการตรวจ สามารถนำไปใช้ได้จริงในห้องปฏิบัติการสำหรับการเพาะเลี้ยงและเหนี่ยวนำเซลล์ต้นกำเนิดไปเป็นเซลล์เป้าหมายชนิดอื่นๆ
       
         รศ. ดร.พัชรี เปิดเผยว่า ปัจจุบันโรคเกี่ยวกับความผิดปกติของข้อต่อ ที่มักพบในผู้ป่วยวัยกลางคน และวัยสูงอายุ เช่นโรคข้อกระดูกเสื่อมนั้น สามารถรักษาได้ด้วยเทคโนโลยีเซลล์ต้นกำเนิด (สเต็มเซลล์) โดยใช้การปลูกถ่ายกระดูกอ่อนใหม่ ที่เจริญจากเซลล์ต้นกำเนิด เพื่อแทนที่เซลล์กระดูกอ่อนเก่าที่เสื่อมสภาพไป
       
         ขั้นตอนที่สำคัญสำหรับการรักษาโรคด้วยเทคโนโลยีเซลล์ต้นกำเนิดคือ จะต้องทราบว่าเซลล์ต้นกำเนิดมีการเปลี่ยนแปลงไปเป็นเซลล์เป้าหมายได้จริง (ในที่นี้คือเซลล์กระดูกอ่อน) ในปัจจุบันวิธีที่ใช้ในการตรวจจำแนกเซลล์ต้นกำเนิดที่ใช้โดยทั่วไปทางห้องปฏิบัติการนั้นค่อนข้างยุ่งยาก และเสียค่าใช้จ่ายสูง คือการใช้เทคโนโลยีดีเอ็นเอ ในการตรวจหาการแสดงออกของยีนที่พบเฉพาะเซลล์กระดูกอ่อน วิธีดังกล่าวต้องการใช้ “สารติดตาม” (marker) หรือการฉีดสี สำหรับตรวจสอบยีนชนิดนั้นๆ โดยที่สารติดตามสำหรับยีนแต่ละชนิดมีราคาค่อนข้างสูงมาก และต้องนำเข้าจากต่างประเทศ
       
         ส่วนเทคนิคสเปกโตรสโกปีของอินฟราเรดเป็นเทคนิคใหม่ที่นิยมใช้อย่างแพร่หลายในต่างประเทศ เพื่อการวิเคราะห์ชนิดของสารจากหลักการการดูดกลืนแสงอินฟราเรดที่แตกต่างกันของสารแต่ละชนิด สารต่างชนิดกันจะมีรูปแบบการดูดกลืนแสงที่แตกต่างกัน การศึกษารูปแบบการดูดกลืนแสงอินฟราเรดนี้ จึงเปรียบเสมือนการเปรียบเทียบลักษณะลายนิ้วมือของคน ซึ่งที่ผ่านมานักวิจัยไทยมักจะไปใช้ห้องปฏิบัติการด้านนี้ในต่างประเทศ แต่ปัจจุบันห้องปฏิบัติการแสงสยามที่สถาบันวิจัยแสงซินโครตรอน(องค์การมหาชน) สามารถให้บริการในด้านนี้ได้แล้ว
       
         รศ.ดร.พัชรี กล่าวอีกว่า คณะผู้ทำวิจัยได้พัฒนาเทคนิคการเลี้ยงเซลล์ต้นกำเนิดชนิดมีเซนไคมอล (เป็นเซลล์ต้นกำเนิดที่แยกได้จากเซลล์หลายๆ ชนิดในร่างกาย ได้แก่ ไขกระดูก เม็ดเลือด และฟัน เป็นต้น) และทำการเหนี่ยวนำให้เกิดเซลล์เป้าหมายตามที่ต้องการ รวมถึงการประยุกต์ใช้เทคนิคทางจุลทรรศน์ และสเปกโตรสโกปีของรังสีอินฟราเรดจากแสงซินโครตรอน เพื่อการตรวจจำแนกการเหนี่ยวนำให้เซลล์ต้นกำเนิดกลายเป็นเซลล์กระดูกอ่อน
       
         ข้อดีจากการใช้แสงซินโครตรอนร่วมกับเทคนิคนี้คือ แสงซินโครตรอนเป็นแสงที่มีขนาดลำแสงที่เล็กและคม สามารถใช้ติดตามการเปลี่ยนแปลงในระดับเซลล์ได้ เป็นผลให้การวัดการดูดกลืน มีความแม่นยำกว่าการใช้แสงจากแหล่งกำเนิดโดยทั่วไป ซึ่งผลการทดลองที่ได้แสดงว่าเทคนิคดังกล่าวสามารถใช้ในการจำแนกเซลล์ต้นกำเนิด ที่ไม่มีการเหนี่ยวนำออกจากเซลล์ต้นกำเนิดที่ถูกเหนี่ยวนำให้กลายเป็นเซลล์กระดูกอ่อนในระยะต่างๆ

รศ.ดร.พัชรี กล่าวว่า ความสำเร็จครั้งนี้ จะส่งผลดีต่อผู้ป่วยโรคไขข้อเสื่อม เพราะทำให้ลดค่าใช้จ่ายในการรักษาลงได้อีกกว่าครึ่งหนึ่ง ซึ่งผู้ป่วยโรคนี้จะเสียค่าใช้จ่ายสูงในการรักษา และขณะนี้ทางคณะแพทย์ของ รพ.รามาธิบดี และคณะแพทย์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรจน์ (มศว) อยู่ระหว่างการนำสเต็มเซลล์ที่ปลูกถ่ายเป็นกระดูกอ่อนได้ใหม่นี้ฉีดกลับเข้าไปในข้อเข่าของผู้ป่วยที่เป็นอาสาสมัคร 10 คน ปัจจุบันอยู่ในระหว่างการทดลองได้ 9 เดือนแล้ว เพื่อดูผลของการรักษาว่า ถ้าผู้ป่วยได้รับการฉีดสเต็มเซลล์ฯ เข้าไปแล้วมีการเปลี่ยนแปลงอย่างไร หรือต้องมีการฉีดซ้ำหรือไม่ใน 1 ปี คาดว่าจะนำมาใช้กับผู้ป่วยได้ทั่วไปในเร็ว ๆ นี้แน่       
 

Credit   www.astv-tv.com