พิมพ์หน้านี้ - “ทีวีไดเร็ค” โต้โกง “ตา สุรางคนา” บอกยังรอเคลียร์ แต่ถ้าไม่ยอมก็เจอกันที่ศาล

LSVคลังสมองออนไลน์ "ปีที่21"

นานาสาระ => เส้นทางการเงิน-เศรษฐกิจ => ข้อความที่เริ่มโดย: ช่างเล็ก(LSV) ที่ มีนาคม 30, 2011, 10:02:40 AM



หัวข้อ: “ทีวีไดเร็ค” โต้โกง “ตา สุรางคนา” บอกยังรอเคลียร์ แต่ถ้าไม่ยอมก็เจอกันที่ศาล
เริ่มหัวข้อโดย: ช่างเล็ก(LSV) ที่ มีนาคม 30, 2011, 10:02:40 AM
“ทีวีไดเร็ค” โต้โกง “ตา สุรางคนา” บอกยังรอเคลียร์ แต่ถ้าไม่ยอมก็เจอกันที่ศาล

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์   29 มีนาคม 2554 17:57 น.
(http://pics.manager.co.th/Images/554000004239606.JPEG)
   
“ทีวีไดเร็ค” หอบหลักฐานแถลงโต้ “ตา สุรางคนา” ยัน ไม่เคยโกงแต่คู่กรณีเข้าใจผิดไปเอง บอก ทำงานกับดารามาหลายปีและหลายคนไม่เคยมีปัญหา เผย ตอนนี้ทนายทางฝั่งของคู่กรณีก็ถอนตัวไปแล้วจนเปลี่ยนคนใหม่ ลั่น พร้อมเจรจา แต่ถ้าอีกฝ่ายไม่ยอมเคลียร์ก็เจอกันในศาล
       
       หลังจากที่อดีตดาราสาว “ตา สุรางคนา สุนทรพนาเวศ” หรือชื่อใหม่ “วัชรารัศมิ์ สุนทรวนาเวศ” ได้ทำการยื่นฟ้องบริษัท ทีวีไดเร็ค จำกัด ข้อหาผิดสัญญาจ้างทำของ, ละเมิด, เรียกเงินคืน, ตัวการตัวแทน, กรรมการทำผิดหน้าที่ โดยเรียกร้องค่าเสียหายเป็นจำนวนเงิน 129,600,000 บาท ตั้งแต่เมื่อวันที่ 11 มกราคมที่ผ่านมา จากกรณีที่เจ้าตัวเผยว่าตนในฐานะผู้ถือหุ้น 20% ของบริษัททีวีไดเร็ค แต่ไม่เคยได้รับเงินปันผลตลอดระยะเวลา 5 ปีที่ถือหุ้น ซึ่งเจ้าตัวถึงกับร่ำไห้เสียใจเพราะโดนหาว่าโง่ที่อุตส่าห์เรียนมาสูง แต่ยังโดนหลอก พร้อมบอกจะดำเนินการเอาเรื่องถึงที่สุด
       
       ล่าสุดเมื่อเวลา 11.00 น. วันนี้(29 มี.ค.) “นายทรงพล ชัญมาตรกิจ” ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท ทีวีไดเร็ค จำกัด ได้ทำการแถลงข่าวชี้แจงเกี่ยวกับกรณีนี้ ณ ห้องกฤษณา โรงแรงสวิสโซเทล เลอ คอง คอร์ด ถนนรัชดาภิเษก โดยเผยว่าบริษัทเปิดทำการมาร่วม 12 ปี และทำงานกับดารามากว่า 130 คนไม่เคยมีปัญหา ส่วนกรณีของ “ตา สุรางคนา” ถ้าบริษัททำสิ่งใดบกพร่องก็พร้อมจะดูแลรับผิดชอบทั้งหมด แต่กรณีนี้เจ้าตัวยืนยันว่าสิ่งที่คู่กรณีอ้างมาไม่เป็นความจริงเลย จึงไม่สามารถรับผิดชอบในสิ่งที่ขอมาได้ และเรื่องนี้ก็ทำให้บริษัทได้รับความเสียหายไม่น้อย
       
       ซึ่ง “นายทรงพล” ได้แจกแจงประเด็นที่อดีตดาราสาวต้องการออกเป็น 11 ข้อด้วยกัน โดยได้เปิดฉากเคลียร์ข้อขัดแย้งเรื่องแรกว่า…
       
       “กรณีที่คุณตาต้องการจะเป็นเจ้าของผลิตภัณฑ์ Velform Hair Grow ซึ่งแท้จริงแล้วเป็นผลิตภัณฑ์ของบริษัท Industex ประเทศสเปน และบริษัท Response TV ก็เป็นตัวแทนจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียวมาตลอด 7 ปีที่ผ่านมา แต่ต่อมาทีวีไดเร็คเราก็ได้รับเป็นตัวแทนจำหน่ายต่อมาตั้งแต่ปี 2554 เป็นต้นไป เนื่องจากบริษัท Response TV ได้เปลี่ยนแนวธุรกิจไปทำอย่างอื่นแทน จึงทำให้ทีวีไดเร็คไม่สามารถทำตามคำขอของทางเขาได้ เพราะเนื่องจากบริษัทเป็นแค่ตัวแทนจำหน่ายเท่านั้น”
       
       “เรื่องที่ 2 ก็คือเรื่องของการปิดตัวของบริษัท วีฟอร์ม จำกัด ซึ่งคุณตาเคยเป็นหุ้นส่วนอยู่ก่อนหน้านี้ แต่ที่เราต้องปิดก็เพราะบริษัทเกิดการขาดทุนอย่างต่อเนื่องเป็นระยะเวลาถึง 3 ปี รวมความเสียหายถึง 1.5 ล้านบาท แต่ทั้งนี้คุณตาก็ไม่เคยร่วมรับรู้ในหนี้สินของบริษัทฯ ซึ่งทางเราก็ได้มอบหุ้นของทีวีไดเร็คให้กับเขาเป็นจำนวน 14,464 หุ้นราคาหุ้นละ 5 บาทให้เพื่อรักษาความสัมพันธ์ที่ดีกันต่อไป ทำให้เขาได้เข้ามาเป็นผู้ถือหุ้นของทีวีไดเร็คตั้งแต่ปี 2550 เป็นต้นมา ซึ่งเรื่องนี้เป็นเรื่องที่คุณตาต้องไปตกลงเจรจากับอดีตหุ้นส่วนเก่าเอง เพราะบริษัทไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับส่วนนี้ด้วย”
       
       “ข้อ 3 กรณีที่คุณตาได้ลงทุนกับบริษัท วีฟอร์ม จำกัดไปเป็นจำนวน 4 แสนบาท และต้องการผลตอบแทนจากการลงทุนดังกล่าวเป็นจำนวน 22 ล้านบาทนั้น ก็เป็นเรื่องที่ต้องไปคุยกับอดีตหุ้นส่วนเหมือนกันว่าตอนตกลงรับผลประโยชน์ตกลงกันยังไง เพราะทางทีวีไดเร็คคงไม่ได้เข้าไปมีส่วนร่วมด้วยอีกเหมือนกันครับ”
       
       “เรื่องที่ 4 ที่คุณตาอ้างว่าไม่ได้รับเงินปันผลจากทีวีไดเร็คมาตั้งแต่ปี 2551 จริงๆ เรายืนยันว่ามีการจ่ายเช็คออกให้ตลอดไม่เคยขาด แต่เพิ่งมาไม่ได้รับจริงๆ ก็เมื่อปี 2553 เหตุเพราะเขาได้แจ้งกับเราว่าต้องการให้เปลี่ยนเอกสารทุกอย่างไปให้ที่บ้านของผู้ดูแลแทน ซึ่งเป็นคนที่บริษัทจัดไว้ให้ดูแลดาราแต่ละคนโดยเฉพาะ ทั้งนี้บริษัทจึงได้สอบถามไปยังผู้ดูแลคนนี้ และได้คำตอบว่าได้แจ้งกับทางคุณคาไปแล้วว่ามีเช็คส่งมาให้ แต่เป็นทางเขาที่ยังไม่ได้มารับเอง แต่ดาราคนอื่นๆ ที่มีก็ได้รับหมดไม่มีปัญหาใดๆ”
       
       “แล้วที่คุณตาบอกว่าไม่ได้รับส่วนแบ่ง 10% จากผลกำไรของผลิตภัณฑ์ Velform และเรียกร้องส่วนแบ่งเป็นจำนวน 11 ล้านบาทนั้น ผมว่าเขาน่าจะเข้าใจผิด เพราะแท้จริงแล้ว 10% ที่ว่าคือจากผลกำไรสุทธิที่ต้องหักค่าใช้จ่ายทั้งหมดเสียก่อนถึงได้เอามาแบ่งกัน แต่ที่คุณตาพูดคือจากยอดขาย บอกตั้งแต่ปี 50-51 รายได้ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ แต่ถึงอย่างนั้นเมื่อปี 50 ก็ยังมีส่วนแบ่งเป็นจำนวน 19,000 บาท ซึ่งพอรวมกับของดาราคนอื่นที่ถือหุ้นอีกประมาณ 4-5 คน ก็จะได้รวมอยู่ที่ 5-6 หมื่นบาท ก็เลยตกลงกันโดยที่ไม่ได้ทำเป็นลายลักษณ์อักษรว่าแค่ไปกินข้าวกันก็พอ ซึ่งปีต่อมาก็ได้เงินส่วนแบ่งมาที่ 5,655 บาท ก็ยังคงใช้วิธีไปกินข้าวกันเหมือนเดิม แต่พอปี 2552 ได้ส่วนแบ่งทั้งสิ้น 67,683 บาท จึงได้มาประชุมกันและตัดสินใจที่จะไปเที่ยวที่ฮ่องกงกันอยู่ เลยไม่คิดว่าจะมีประเด็นตรงนี้เกิดขึ้น”
       
       “ข้อ 6 การที่คุณตาต้องการส่วนแบ่ง 0.75% โดยคิดเป็นเวลา 6 เดือนและเรียกร้องส่วนแบ่งจำนวน 6 แสนบาท ซึ่งมีการคุยกันไว้ก่อนแล้วว่าถ้าผลิตภัณฑ์ Velform Hair Grow ทำยอดขายได้ 170 ล้าน จะสัดส่วนค่าคอมมิชชั่นเดิม 0.35% ก็จะเพิ่มให้เป็น 0.75% ซึ่งก็ได้ตามเป้าเมื่อต้นเดือนตุลาคมปีที่ผ่านมา จึงได้ยกขบวนไปเที่ยวที่ประเทศเกาหลีกันเพื่อเป็นการฉลอง ผมขอยืนยันว่าบริษัททำตามสัญญาในทุกข้ออย่างระมัดระวังเสมอครับ”
       
       “ส่วนข้อ 7 และข้อ 8 ที่เขาบอกว่าไม่ได้รับเงินเดือนและค่าคอมมิชชั่นในพฤศจิกายนและเดือนธันวาคม ซึ่งเงินเดือนที่บริษัทจ่ายให้ในฐานะที่ปรึกษาคือเดือนละ 3 หมื่นบาท พร้อมค่าคอมมิชชั่นและค่าเดินทางอีกต่างหาก ซึ่งทางบริษัทจ่ายให้ตามกำหนดทุกเดือน แต่คุณตาให้ทางผู้ดูแลเป็นคนรับเช็คแทนตลอด ยืนยันว่าจ่ายไม่เคยขาด และได้ไปเช็คกับทางฝ่ายบัญชีก็ถูกต้องทุกอย่าง ผมคิดว่าทางเขาอาจจะไม่ได้มีการอัพบุ๊คแบงค์ก็เลยไม่รู้ว่ามีเงินเข้าบัญชีไปแล้ว แต่พอวันที่ 24 ธ.ค. เขากลับออกมาแถลงข่าวว่าไม่เคยได้รับเงินซึ่งผมก็ไม่รู้ว่าเป็นแบบนี้ได้อย่างไร”
       
       “แล้วข้อ 9 เรื่องค่าเดินทางที่คุณตาบอกว่าบริษัทไม่จ่าย ส่วนนี้เรามีหลักฐานสลิปธนาคารการจ่ายเงินให้ดูว่าไม่เคยมีติดค้าง และทำการจ่ายตลอดทุกเดือนเช่นกัน ส่วนข้อ 10 ที่กล่าวหาว่าบริษัทได้ละเมิดลิขสิทธิ์การแพร่ภาพและการสื่อสารการตลาดหลังจากที่ได้ยกเลิกสัญญาแล้วนั้น ผมขอชี้แจงวันนี้เลยว่า เขาเป็นคนแจ้งกับเราว่าต้องการเปลี่ยนคนดูแลคนใหม่ และไม่พร้อมในการทำงานแล้ว ซึ่งก็ได้มีการคุยกันและผมในฐานะเจ้าของบริษัทก็พร้อมแก้ปัญหาให้ทุกอย่าง แต่ถ้าเขายืนยันว่าไม่พร้อมในการทำงานแล้ว ผมก็สั่งเบรกไว้ก่อนได้ไม่มีปัญหา และในสัญญาเองก็มีระบุชัดเจนว่าถ้าจะยุติการทำงานใดๆ ก็ตาม ต้องแจ้งล่วงหน้าก่อน 30 วัน และบริษัทมีสิทธิที่จะเก็บสินค้าและสื่อต่างๆ กลับในอีก 90 วันซึ่งเป็นสิทธิโดยชอบทำ แต่พอทางเขาแถลงข่าวเมื่อวันที่ 24 ธันวาคม เราจึงตัดสินใจเก็บสินค้ากลับหมด ซึ่งเราก็ใช้เวลาเก็บสื่อทุกอย่างแค่ 7 วันเท่านั้น”
       
       “ข้อสุดท้ายที่คุณตาเรียกร้องค่าเสียหายเป็นจำนวน 36 ล้านบาท รวมถึงค่าเสียผลประโยชน์ในอีก 10 ปีข้างหน้าอีก 60 ล้านบาท รวมเป็น 129 ล้านบาท เรื่องนี้ผมไม่ขอออกความคิดเห็นดีกว่าครับ แต่อยากให้กลับมาคุยกันดีกว่าเพราะคิดว่าทุกอย่างน่าจะง่ายขึ้น แต่ตอนนี้เรายังไม่มีโอกาสได้คุยกัน แต่สิ่งที่เรายืนยันได้ก็คือบริษัทไม่ได้สร้างความเสียหายใดๆ ให้กับคุณตาอย่างแน่นอน ผลิตภัณฑ์ต่างๆ ก็ยังขายได้เหมือนเดิม แต่เริ่มจะเสียหายก็ตอนที่ทางเขาออกมาแถลงข่าวนี่แหละครับ”
       
       อย่างไรก็ตามภายหลังการแถลงข่าวเสร็จสิ้น “นายทรงพล” ก็ได้นำเอกสารที่ยืนยันว่า “นายอนันชัย ไชยเดช” ทนายความของอดีตดาราสาวได้ถอนตัวจากคดีนี้แล้ว และได้ให้คนอื่นเข้ามารับหน้าที่แทนแล้ว พร้อมตบท้ายด้วยว่า จริงๆ แล้วไม่ได้คิดจะเอาเรื่อง และไม่คิดจะแถลงข่าวใดๆ ทั้งสิ้น คิดจะรอให้ข่าวเงียบไปเอง แต่พอถูกถามมากๆ จึงต้องจัดการแถลงข่าวชี้แจงว่าไม่ได้ทำอย่างที่อดีตดาราสาวกล่าวหา และตอนนี้อยู่ในขั้นตอนของคณะกรรมการบริษัทว่าจะเอายังไงต่อ พร้อมบอกหวังว่าน่าจะจบด้วยดี ซึ่งถ้าคู่กรณีไม่ไกล่เกลี่ยก็คงต้องไปเคลียร์กันในชั้นศาลต่อไป ซึ่งจะมีการนัดไกล่เกลี่ยกันนัดแรกในวันที่ 11 เม.ย. ที่จะถึงนี้