พิมพ์หน้านี้ - หลวงปู่หลอด ปโมทิโต เผชิญอำนาจวิญญาณร้ายเข้าสิง

LSVคลังสมองออนไลน์ "ปีที่14"

นานาสาระ => ลึกลับ-เหลือเชื่อ-ธรรมะ => ข้อความที่เริ่มโดย: kittanan_2589 ที่ มกราคม 05, 2011, 05:32:49 am



หัวข้อ: หลวงปู่หลอด ปโมทิโต เผชิญอำนาจวิญญาณร้ายเข้าสิง
เริ่มหัวข้อโดย: kittanan_2589 ที่ มกราคม 05, 2011, 05:32:49 am
(http://img716.imageshack.us/img716/2756/53436610.jpg)

หลวงปู่หลอด ปโมทิโต ในวัยชราท่านจำพรรษาอยู่ที่วัดสิริกมลาวาส (วัดใหม่เสนานิคม) เขตบางเขน กรุงเทพมหานคร

ในวัยฉกรรจ์... พระเถราจารย์ท่านนี้ยึดถือธุดงค์เป็นวัตรตลอดเวลา ๙ เดือนของกาลออกพรรษาเป็นเวลานับ ๑๐ ปี

ตลอด เวลาอันยาวนานซึ่งหลวงปู่หลอดจาริกสู่ป่าเขาอันเปล่าเปลี่ยว ห่างไกลจากผู้คนพลุกพล่านและร้อนเร่าด้วยไฟกิเลส ก็เพื่อพารูปกายสังขารนี้ไปสู่ความวิเวก มุ่งหน้าฝึกจิตด้วยการปฏิบัติสมณธรรมอย่างอุกฤษฏ์ มุ่งมั่นตัดขาดปวงกิเลสทั้งหลายซึ่งเกาะติดจิตวิญญาณข้ามภพข้ามชาติเหลือที่ จะนับมาแล้วให้จงได้

และในห้วงเวลาดัง กล่าวนั้น หลวงปู่หลอดได้เผชิญกับประสบการณ์ซึ่งไม่ผิดกับพลังแห่งสัจจธรรมที่หล่อ หลอมดวงจิตให้แข็งแกร่งภายใต้สติอันมั่นคง
ดังเช่นการเผชิญกับเสือเป็นครั้งแรกในชีวิตของท่าน

"เสือ" ...เดรัจฉานผู้ซึ่งได้รับการยกย่องให้เป็น "จ้าวป่า" คือสัตว์กินเนื้อที่น่ากลัวที่สุด อานุภาพน่าพรั่นพรึงสุดขีดของมันจะปรากฏให้เห็นขณะออกล่าเหยื่อหรือได้รับ บาดเจ็บ หรือจนตรอก
เพียงแค่เสียงเสือคำรามสะท้อนสะท้านมาให้ได้ยิน ส่ำสัตว์ในป่าดิบดงลึกก็แตกตื่นหนีกันกระเจิง

ว่า กันว่า ขนาดลิงอยู่บนยอดไม้สูงลิบ เสืออยู่บนพื้นดินโคนต้นไม้เพียงแค่เสือแผดเสียงคำรามสนั่น ลิงถึงกับมืออ่อนตีนอ่อนด้วยความหวาดกลัวสุดขีด หล่นลิ่วลงมาให้เสือตะปปกินง่ายๆเสียยังงั้นแหละ
แม้แต่สัตว์มนุษย์เช่นเราท่านก็เถอะ ต่อให้มีอาวุธปืนทรงอานุภาพสังหารเฉียบขาดในมือ ก็ยังไม่กล้าบังอาจประจันหน้ากับเสือตรงๆ
ขนาดเสืออยู่ในกรงยังอดแหยงมันไม่ได้
แต่...หลวงปู่หลอดท่านเคยเผชิญกับเสือมาแล้ว และประจันหน้าห่างกันไม่ถึง ๒ วาเสียด้วยซ้ำ

ครั้ง นั้น...หลวงปู่หลอดเพิ่งจะออกธุดงค์เป็นครั้งแรก โดยเริ่มต้นที่จังหวัดอุดรธานี เดินลัดตัดป่าไปทางอำเภอหนองบัวลำภู ทะลุออกบ้านหนองภัยศูนย์ บ้านกกคร้อ กระทั่งมาถึงบ้านผาวัง
บ้านผาวัง ฝังตัวเองอยู่บนพื้นที่ของป่าซึ่งยังอุดมสมบูรณ์ และชุกชุมด้วยสัตว์ป่า โดยเฉพาะ "เสือ" ปรากฏโฉมให้เห็นเป็นประจำ
หลวง ปู่หลอดเลือกทำเลปักกลดในที่อันสงบสงัดแล้วเร่งกระทำความเพียรทั้งกลางวัน และกลางคืน ใกล้ๆกับกลด หลวงปู่ทำทางเดินจงกรมเอาไว้เพื่อสลับกิริยานั่งภาวนามาเป็นยืนและเดิน

คืน นั้น...เลยเวลาเที่ยงคืนแล้ว หลวงปู่หลอดเปลี่ยนจากนั่งภาวนามาเป็นเดินจงกรม โดยจุดโคมเทียนแขวนไว้ที่ข้างทางเดินพอสว่างรำไร ขณะที่กำหนดกิริยาก้าวเดินโดยมีสติรับรู้ทุกเสี้ยวความเคลื่อนไหว พลันนั้น เสียงเสือก็คำรามโฮกสนั่นขึ้นมาใกล้ๆ แล้วร่างของเสือใหญ่ลายพาดกลอนได้เยื้องย่างออกมาจากเงามืดข้างๆทางเดิน จงกรม

ความตื่นตระหนกและหวาดกลัวสุด ขีดจู่โจมโถมกระแทกหลวงปู่หลอดชนิดไม่เคยเจอมาก่อน ความรักตัวกลัวตายไม่รู้ว่ามาจากไหน อารมณ์พรั่นพรึงของจิตนี้เล่นงานสติเสียจนย่อยยับป่นปี้
ถ้าเป็นคนธรรมดาทั่วไป หากตกอยู่ในภาวะที่เสือกำลังจะเข้ามาตะปปขบขย้ำเห็นๆอยู่ห่างไม่ถึง ๒ วา ก็คงสติแตกเพราะความกลัวไปแล้ว
สำหรับ หลวงปู่หลอดผ่านการฝึกจิตควบคุมสติมาพอสมควร จึงเสียศูนย์ไปแค่วูบเดียว วูบหนึ่งที่กลัวจนเลยขีดสุด ความกลัวก็ดับวูบไปเหลืออยู่แต่ตัว "สติ" จะอยู่หรือตายก็ไม่สำคัญอีกต่อไป จิตวูบเข้าไปยึดเหนี่ยวพระบารมีของพระพุทธเจ้าแนบแน่น คิดอยู่แต่ว่าถ้ามีกรรมกับเสือตัวนี้มาก่อนก็ให้มันฆ่ามันกินไปเสียเถอะ จะได้ชดใช้หนี้เวรหมดสิ้นกันเสียที

แล้วหลวงปู่ก็หลับตาปิดสนิท พุ่งจิตไปที่คำภาวนา "พุทโธ" กำหนดลมหายใจเข้าออกตามแนวทางอานาปานสติ จิตก็ดิ่งสู่ความสงบอย่างรวดเร็ว
ไม่รับรู้ว่ามีเสืออยู่หรือไม่ ไม่มีความเป็นความตายหลงเหลืออยู่แต่อย่างใด
จิต สงบเงียบอยู่เช่นนั้นเนิ่นนาน กระทั่งใกล้เวลาเกือบฟ้าสาง จิตจึงค่อยคลายออกจากสมาธิ ลืมตาขึ้นดูปรากฏว่าเสือหายไปแล้ว ไม่รู้ว่าเสือมันหายไป ทางไหนและไปเมื่อไหร่ หลวงปู่หลอดก็บังเกิดธรรมปีติอย่างล้นพ้น

รู้แล้วว่าอานุภาพแห่งสมณธรรมนั้นทรงพลังสุดจะประมาณได้
รู้แล้วว่ากฎแห่งกรรมนั้นเป็นเช่นไร
และรู้แล้วว่าวิถีทางที่จะปฏิบัติสืบต่อไปเบื้องหน้านั้นควรกระทำอย่างไร

หลาย พรรษาผ่านไป...กระทั่งถึงกาลออกพรรษาหนึ่ง หลวงปู่หลอด ปฏมทิโต ได้จาริกธุดงค์ไปกับ หลวงปู่บัวพา ปัญญาพาโส แห่งวัดพระสถิตย์ อำเภอท่าบ่อ จังหวัดหนองคาย เพียง ๒ รูปโดยมุ่งหน้าไปทางบ้านนาศรีนวลผ่านบ้านห้วยหีบ บ้านนาตะงอย บ้านจันทร์เพ็ญ จากนั้นก็ถึงบ้านควนปุ่น
บ้าน ควนปุ่นแห่งนี้อยู่ติดเชิงเขา ภูมิประเทศเป็นป่าดงกันดาร ชาวบ้านทำไร่ทำนหาเลี้ยงชีวิตไปตามประสา เมื่อหลวงปู่หลอด หลวงปู่บัวพามาถึงเชิงเขาบ้านควนปุ่นจึงได้ปักกลดอยู่ห่างจากหมู่บ้านตาม สมควร ด้วยเห็นเป็นสถานที่ร่มรื่นสงบสงัดเย็นกายเย็นใจ และเหมาะสมที่จะกระทำความเพียรสักระยะหนึ่ง
ชาวบ้านควนปุ่นเห็นพระธุดงค์กรรมฐานมาปักกลดบำเพ็ญธรรม ก็พากันมากราบไหว้หลายคน ในจำนวนนี้มีหญิงวัยกลางคนชื่อ "คำต้น" รวมอยู่ด้วย
แม่ คำต้น แนะนำตัวเองว่าเป็นคนทรงผีประจำหมู่บ้าน เวลาชาวบ้านมีเรื่องราวเดือดร้อนอะไร หรือเกิดเจ็บไข้ได้ป่วยก็จะมาหาแม่คำต้น ให้แม่คำต้นเข้าทรงผี แล้วผีที่สิงร่างจะให้คำแนะนำต่างๆให้กลับไปปฏิบัติ ซึ่งก็ต้องมีการจัดหาเครื่องเซ่นสังเวยต่างๆมาบูชาผีให้ผีได้เสพทุกครั้งไป

แม่คำต้นเล่าถวายพระธุดงค์กรรมฐานต่อไปอีกว่าเป็นคนทรง ผีนี้ลำบากทรมานเหลือเกิน จะทำอะไรก็ต้องระมัดระวังไปหมดทุกสิ่งทุกอย่างเพราะกลัวจะผิดผี เวลาทำผิดผีคราวใดผีก็จะเข้าสิงจนหมดสติไม่รู้สึกตัว ผีต้องการให้ทำอะไรก็ต้องทำตามที่ผีบัญชาทุกอย่ง ไม่มีความสุขสบายเช่นคนธรรมดาทั่วไปแม้แต่น้อย เพราะผีที่เข้าสิงไม่ได้มีตัวเดียว หากมีผีหลายตัวคอยรบกวนไม่ได้หยุด


แม่ คำต้นถามหลวงปู่หลอดและหลวงปู่บัวพาว่า ท่านทั้งสองพอจะช่วยเหลืออย่าให้ผีเข้าสิงได้หรือไม่ อยากให้ไล่ผีออกไปจากร่างไม่ต้องการให้ผีมากระทำเช่นที่ผ่านมาอีก

หลวงปู่หลอดจึงถามว่า "โยมคิดอย่างไร ถึงไม่อยากเป็นคนทรงต่อไปอีกล่ะ"
แม่ คำต้นตอบว่า "...เกิดจากข้าน้อยฝันประหลาดเหลือหลาย คือในคืนหนึ่งกำลังหลับสนิท ฝันว่าข้าน้อยอยู่ในห้องหนึ่ง มีประตูสองบานอยู่คนละฟาก ประตูหนึ่งมีชายร่างสูงใหญ่ดำมืดไปทั้งตัวยืนอยู่ อีกประตูหนึ่งมีพระแก่ชรารูปหนึ่งยืนอยู่ ชายสูงใหญ่ตัวดำมืดบอกให้ตามเขาไป พระผู้เฒ่าก็บอกให้ตามท่านไปเช่นกัน ในฝันนั้นข้าน้อยก็เกิดความลังเลไม่รู้ว่าควรจะไปกับใครดี ในที่สุดก็เชื่อว่าพระต้องดีกว่าผีแน่ จึงตัดสินใจไปกับพระ จากนั้นได้ตกใจตื่น..."
แม่คำต้นเชื่อมั่น ว่าความฝันต้องเป็นความจริงแน่ๆ เพราะเพิ่งฝันเมื่อคืนนี้เอง พอล่วงเข้าตอนบ่ายพระธุดงค์คือหลวงปู่หลอดกับหลวงปู่บัวพาก็มาถึงหมู่บ้าน แม่คำต้นได้ขอให้หลวงปู่หลอดเมตตาช่วยเหลือด้วยเถิด

หลวง ปู่หลอดได้ปรึกษากับหลวงปู่บัวพาว่าพอจะช่วยโยมคำต้นได้หรือไม่ เพราะหลวงปู่บัวพานั้นท่านเก่งทางพุทธาคมไสยเวท มีความชำนาญในการสงเคราะห์ญาติโยมที่ถูกผีเข้าสิงหรือถูกกระทำทางคุณไสย
หลวง ปู่บัวพาบอกว่าถ้ามีหลวงปู่หลอดช่วยอีกแรงหนึ่งก็คงสงเคราะห์ให้ได้ แม้วิญญาณจะกล้าแข็งสักเพียงใดก็คงไม่อาจต้านทานกระแสจิตของสมณะถึงสองรูป ได้แน่นอน

ดังนั้นหลวงปู่หลอดจึงบอก ให้แม่คำต้นมาทำพิธีในวันรุ่งขึ้นและกำชับให้พาลูกหลานมาด้วยหลายคน เพราะเวลาวิญญาณที่สิงร่างอาละวาดจะมีกำลังแรงเกินคนธรรมดาหลายเท่า
ชาว บ้านนอกชนบททางภาคอีสานสมัยก่อนนั้นมีความเชื่อและนับถือผีกันแทบทุกบ้าน เวลาใดที่เกิดเจ็บไข้ได้ป่วยหรือทำไรทำนาไม่ได้ผลอุดมสมบูรณ์ ก็มักคิดว่าเกิดจากการดลบันดาลของภูตผี หรืออาจจะทำให้ผีขุ่นเคืองไม่พอใจ
ดัง นั้นจึงมีการบูชาผีด้วยเครื่องเซ่นสังเวยต่างๆ ทั้งๆที่ผีไม่ได้กระทำกลั่นแกล้งแต่อย่างใด หากเป็นเพราะเจ็บไข้ได้ป่วยด้วยไข้ป่าหรือไข้มาเลเรียถึงขั้นขึ้นสมอง จึงมีอาการเพ้อคลั่งไปต่างๆนานา ชาวบ้านไม่มีการศึกษาไม่รู้สมมติฐานของโรคก็เชื่อไปว่าถูกผีกระทำเอา หรือพืชพันธุ์ธัญญาหารไม่เจริญงอกงามเนื่องจากดินฟ้าอากาศแปรปรวน หรือดินจืดขาดปุ๋ย ชาวบ้านก็เหมาเอาว่าภูตผีดลบันดาลด้วยความไม่รู้ข้อเท็จจริง

ส่วน ที่ว่าถูกผีกระทำ ถูกผีสิง หรือมีเหตุการณ์ผิดปกติอันเนื่องกับอำนาจของภูตผีปีศาจนั้นได้เกิดขึ้นจริงๆ ก็มี ในกรณีเช่นนี้ขออธิบายแต่เพียงย่อๆว่า ผีหรือวิญญาณของผู้ตายนั้นไม่มีรูป สัมผัสไม่ได้ การติดต่อสื่อสารระหว่างคนกับผีกระทำได้ด้วยจิตทางเดียว ถ้าจิตของคนไม่เปิดรับ คือไม่ยอมรับอำนาจกระแสจิต วิญญาณของผีก็ไม่สามารถต่อเชื่อมกับกระแสจิตคนได้ การติดต่อรู้เห็นซึ่งกันและกันก็ย่อมเป็นไปไม่ได้

ขอ ให้สังเกตว่า...ในเขตเมืองหรือชุมชนที่เจริญแทบไม่มีเรื่องผีมาปรากฏเลย ทั้งนี้ก็เพราะผู้คนซึ่งเจริญแล้วด้วยการศึกษาพอสมควรไม่เชื่อว่าพลังอำนาจ ของผีมีจริง ไม่ยอมรับหรืออาจต่อต้านเสียด้วยซ้ำ จิตที่ไม่เชื่อไม่ยอมรับก็เท่ากับปิดประตูสนิท ตัดขาดการติดต่อกับกระแสจิตวิญญาณไปโดยปริยาย ดังนั้นจึงเป็นการยากที่จะมีใครพบเห็นผีเข้าสิงชนิดจังๆในเขตเมืองที่เจริญ แล้ว
แต่คนบ้านนอกอยู่ห่างไกลความเจริญ มีความเชื่อว่าผีมีจริงๆมาตั้งแต่เล็กแต่น้อย ยิ่งประกอบกับบรรพบุรุษนับถือผี ได้รับรู้รับเห็นพิธีกรรมเซ่นสรวงสังเวยบูชาผีเข้าไปอีก จิตของบุคคลเหล่านี้เท่ากับเปิดประตูรับกระแสจิตวิญญาณโดยไม่เคลือบแคลง สงสัย ดังนั้นการติดต่อสื่อสารระหว่างคนกับผีจึงเกิดขึ้นได้ง่าย
ดังนั้น เรื่องผีเข้าสิงและทรงผีจึงมิใช่เป็นเรื่องงมงายไร้สาระไปเสียทีเดียว
ดัง เช่นรายแม่คำต้นนี้ หลวงปู่หลอด "พิจารณา" แล้วเห็นว่าตกอยู่ใต้อำนาจจิตวิญญาณจริงๆ ท่านกับหลวงปู่บัวพาจึงตกลงรับปากช่วยสงเคราะห์ ให้ตามกำลัง

เช้า วันรุ่งขึ้น...หลวงปู่ทั้งสองได้ไปบิณฑบาตรที่หมู่บ้านควนปุ่น กลับมาที่กลดก็กระทำภัตตกิจเป็นที่เรียบร้อย กระทั่งสายพอสมควร แม่คำต้นและลูกหลานตลอดจนชาวบ้านซึ่งรู้ว่าแม่คำต้นจะเลิกเป็นคนทรงผีเด็ด ขาด ก็รวมกลุ่มกันมาที่กลดของหลวงปู่หลอดและหลวงปู่บัวพา

หลวง ปู่ทั้งสองได้ถามย้ำแม่คำต้นว่า ตัดสินใจแน่วแน่เด็ดขาดแล้วหรือ แม่คำต้นก็ยืนยันเป็นมั่นคงว่าจะไม่ยอมเป็นทาสผีอีกต่อไป หลวงปู่บัวพาจึงได้ทำน้ำพระพุทธมนต์ในบาตร และให้แม่คำต้นรับไตรสรณคมน์ปฏิญาณตนเป็นพุทธมามกะ
จาก นั้นก็บอกให้แม่คำต้นสงบใจตั้งจิต รำลึกนึกถึงคุณพระพุทธ คุณพระธรรม คุณพระสงฆ์เอาไว้ให้แน่วแน่ แล้วหลวงปู่บัวพาก็กล่าวนำไหว้พระเริ่มต้นที่ "อิติปิโสภควา...."

ระหว่างนั้น หลวงปู่หลอดก็รวมจิตลงสู่สมาธิแผ่กระแสกุศลเมตตาเป็นพลังช่วยหลวงปู่บัวพา อีกทางหนึ่ง เมื่อแม่คำต้นสวดมนต์ไหว้พระเสร็จแล้วก็นั่งพนมมือหลับตา พยายามทำจิตน้อมรำลึกถึงพระรัตนตรัย ขณะที่หลวงปู่บัวพาสวดพุทธาคมทำน้ำพระพุทธมนต์ไล่ผี

ตอน แรกๆแม่คำต้นก็นั่งนิ่งเฉยเป็นปกติ พอเวลาผ่านไปได้ครู่หนึ่งก็เกิดอาการกระสับกระส่าย ร่างกายสั่นเทิ้มไม่ได้หยุด พร้อมกับส่งเสียงครางเครือในลำคอตลอดเวลา พอดีกับหลวงปู่บัวพาทำน้ำพระพุทธมนต์เสร็จสิ้นท่านจึงใช้กำหญ้าคาจุ่มน้ำพระ พุทธมนต์พรมไปที่แม่คำต้น
ทันทีที่หยาดน้ำ พระพุทธมนต์กระทบร่างแม่คำต้น หญิงวัยกลางคนก็กรีดร้องสุดเสียง ทะลึ่งพรวดสุดตัวประหนึ่งน้ำพระพุทธมนต์เป็นน้ำร้อนเดือดพล่าน ญาติพี่น้อง ๔-๕ คนซึ่งคอยทีอยู่แล้วต่างถลันเข้าไปช่วยกันจับยึดตัว แม่คำต้นเอาไว้ทั้งแขนทั้งขา ก่อนจะดิ้นรนเกลือกกลิ้งไปกับพื้น

แม่ คำต้นไม่ได้มีรูปร่างสูงใหญ่อ้วนล่ำแต่อย่างไร ออกจะเป็นหญิงร่างเล็กและผอมบางเสียด้วยซ้ำ แต่เวลานั้นไม่รู้ว่าเอาเรี่ยวแรงมาจากไหน ญาติพี่น้องซึ่งช่วยกันจับยึดเป็นชายฉกรรจ์ก็หลายคน ส่วนที่เป็นหญิงจัดว่าร่างใหญ่แข็งแรงเอาการทีเดียว กระนั้นแต่ละคนก็ต้องออกแรงจับกดกันจนเหงื่อหยดโซมหน้า
หลวง ปู่บัวพาท่านสาธยายมนต์ไม่หยุด พร้อมกับพรมน้ำพระพุทธมนต์เข้าใส่อย่างต่อเนื่อง แม่คำต้นพยายามดิ้นสะบัดให้หลุดจากคนหลายคนที่จับยึดเอาไว้แน่นจนตัวแอ่น เบิ่งนัยน์ตาขุ่นขวางแทบถลนออกนอกเบ้า หน้าตาบิดเบี้ยวถมึงทึงเหมือนไม่ใช่แม่คำต้นคนเดิม คำรามเสียงแหบห้าวอย่างกราดเกรี้ยวว่า

"เอาน้ำร้อนมารดกูทำไม! กูร้อน! ปวดแสบปวดร้อนทนไม่ไหวแล้ว! หยุดสาดน้ำร้อนใส่กูเดี๋ยวนี้! หยุดเดี๋ยวนี้!"

หลวง ปู่บัวพาและหลวงปู่หลอดมิได้โต้ตอบแต่อย่างใด หลวงปู่บัวพายิ่งพรมน้ำพระพุทธมนต์หนักมือกว่าเดิมเข้าไปอีก แม่คำต้นก็อาละวาดด้วยกิริยาโกรธแค้นสุดขีด ปากก็ตะโกนโวยวายไม่ยอมหยุด หลวงปู่บัวพาบอกให้ผีที่แอบสิงอยู่ในร่างแม่คำต้นออกไปเสีย แต่ผีก็ยังดื้อดึงสุดฤทธิ์ทั้งๆที่ท่าทางของมัน (แม่คำต้นแสดงออกมา) กำลังได้รับความเจ็บปวดทรมานอย่างแสนสาหัส
คราว นี้หลวงปู่บัวพาไม่พรมน้ำพระพุทธมนต์แล้ว หากยกบาตรขึ้นเทน้ำพระพุทธมนต์รดลงไปที่กลางกระหม่อมแม่คำต้นตรงๆ หญิงกลางคนซึ่งเป็นร่างทรงของผีทะลึ่งพรวดสุดตัว นัยน์ตาเหลือกค้างเห็นแต่ตาขาว หวีดร้องโหยหวนน่าขนพองสยองเกล้า

"โอย...ทนไม่ไหวแล้ว...ข้ายอมแล้ว...จะออกไปแล้ว...อย่าทำข้า"

สิ้น คำร้องร่ำไม่เป็นส่ำ ตัวแม่คำต้นก็อ่อนยวบฟุบหมอบคาที่ หลวงปู่บัวพารดน้ำพระพุทธมนต์ที่เหลือในบาตรลงไปบนศีรษะจนหมด คราวนี้แม่คำต้นไม่มีปฏิกิริยาอะไร คงฟุบหมอบหายใจระรวยแน่นิ่งอยู่อย่างนั้นแสดงว่าวิญญาณผีที่แอบแฝงสิง ร่างอยู่เตลิดเปิดเปิงหนีหายไปหมดแล้ว
พัก ใหญ่ๆแม่คำต้นจึงได้ฟื้นคืนสติ เงยหน้าขึ้นมาด้วยท่าทางมึนงงเต็มที่ เพราะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับตนเองบ้างขณะที่วิญญาณผีร้ายเข้าสิงญาติพี่ น้องต้องเล่าเหตุการณ์ทั้งหมดให้ฟังกระทั่งผีออกไปจากร่าง แม่คำต้นก็ปีติดีใจนักที่หลุดพ้นจากอำนาจผีเสียที หลังจากเป็นทุกข์ทรมานมานานหลวงปู่บัวพากับหลวงปู่หลอด ได้ผูกข้อมือแม่คำต้นด้วยด้ายสายสิญจน์และทำมงคลคล้องคอให้อีก เพื่อป้องกันไม่ให้ผีแอบแฝงมาเข้าสิงต่อไป

นับ แต่นั้น...แม่คำต้นร่างทรงผีก็ไม่ปรากฏมีผีมาเข้าทรงเข้าสิงอีกเลย ทว่า หลวงปู่หลอดและหลวงปู่บัวพาก็ต้องอยู่ที่บ้านควนปุ่นต่อไปอีกระยะหนึ่ง เพราะผีซึ่งเข้าสิงแม่คำต้นได้กลับไปรังควานชาวบ้านคนอื่นๆ เป็นภาระให้หลวงปู่ทั้งสองต้องทำพิธีไล่ออกหลายราย
หลวง ปู่หลอด จึงได้ให้ชาวบ้านควนปุ่นมารับไตรสรณคมน์ปฏิญาณตนเป็นพุทธมามกะทุกคน แล้วสอนให้สวดมนต์ไหว้พระและปฏิบัติภาวนาพร้อมกันนั้นยังสอนให้ทุกคนรักษา ศีล ๕ อย่างเคร่งครัดเพื่อประโยชน์ส่วนตนและส่วนรวม

ในที่สุดชาวบ้านควนปุ่นก็ไม่มีภูตผีวิญญาณร้ายใดๆ มาแสดงฤทธิ์ข่มเหงรังแกอีกเลย...

หลวงปู่หลอดจาริกธุดงค์ไปกับหลวงปู่บัวพาผู้เป็นสหธรรมมิกตลอดพรรษานั้น ตราบถึงกาลเข้าพรรษาจึงได้แยกย้ายไปจำพรรษาต่างอารามกัน
หลัง ออกพรรษาทุกๆปี หลวงปู่หลอด ปโมทิโต จะถือธุดงค์เป็นวัตรตลอดมา กล่าวได้ว่าหลวงปู่หลอดจาริกไปทั่วทั้งภาคเหนือและภาคอีสานท่องไปในป่าดิบดง กันดารสู่สถานวิเวก เพื่อกระทำความเพียรสะบั้นภพชาติซึ่งร้อยรัดสัตว์โลกเอาไว้อย่างเหนียวแน่น นับอนันตกาล

ประสบการณ์ธุดงค์ของหลวง ปู่หลอดมีมากมาย ทั้งเป็นเรื่องอัศจรรย์เหนือโลกเหนือวิสัย เกินกว่าที่วิทยาการสมัยใหม่จะทดสอบพิสูจน์ได้ เรื่องใดที่ท่านไปพบเห็นสัมผัสมาแล้ว และเห็นว่าไม่เกิดประโยชน์ในทางธรรมซึ่งพุทธศาสนิกชนควรพึงมีพึงได้ หลวงปู่ก็จะละเว้นไม่นำพามากล่าวถึง นอกจากบางเรื่องที่ท่านเห็นว่า ถ้าเปิดเผยออกไปแล้วน่าจะทำให้เกิดสะดุ้งกลัวต่อบาปเวร หรือฉุกคิดถึงสัจธรรมขึ้นมาจึงจะถ่ายทอดให้ได้รับรู้

มี อยู่คราวหนึ่ง...หลวงปู่หลอดเดินธุดงค์ไปทางภาคเหนือ ไปถึงอำเภอสบปราบ จังหวัดลำปาง มีแม่ชีคนหนึ่งชื่อแม่ชีตุ้มและอุบาสิกาคำซึ่งเป็นชาวเขานุ่งดำห่มดำไป ปฏิบัติธรรมที่ "ถ้ำแม่แก่ง" ขณะกำลังนั่งสมาธิกรรมฐานอยู่นั้น ได้ยินเสียงคนเดินไปเดินมาในถ้ำ และมีเสียงร้องคร่ำครวญให้ช่วย จึงได้แผ่เมตตาให้แก่วิญญาณซึ่งทุกข์ทรมานเหล่านั้น แต่ดูเหมือนว่าวิญญาณซึ่งปรากฏ ณ ถ้ำแม่แก่งยังคงวนเวียนอยู่

หลวงปู่หลอดจึงได้ไปปฏิบัติสมณธรรมกรรมฐานที่ถ้ำแม่แก่ง และท่านก็ได้สัมผัสรับรู้ถึงวิญญาณทรมานซึ่งวนเวียนอยู่ที่ถ้ำแม่แก่ง
พวก เขาเหล่านั้นเป็นชาวไทยใหญ่ มีอาชีพค้าขายเพชรพลอยซึ่งเดินทางจากฝั่งพม่ามาไทยเป็นประจำ วันหนึ่งถูกพวกผู้ร้ายใจบาปเข้าปล้นแย่งชิงอัญมณีมีค่าและเงินทองติดตัวไปจน หมด แล้วฆ่าปิดปากทุกคน จากนั้นได้นำศพมาฝังไว้ใกล้ๆกับถ้ำแม่แก่งเพื่อกลบเกลื่อนร่องรอยการกระทำ ความผิดอย่างมหันต์ของตน

วิญญาณของชาว ไทยใหญ่พ่อค้าเพชรพลอย ซึ่งต้องมาตายอย่างไร้ญาติขาดมิตรกลางดงกันดาร จึงเกาะติดยึกเหนี่ยวอยู่ ณ บริเวณนี้ด้วยความทรมาน รอคอยผู้ทรงศีลบริสุทธิ์มาเมตตาช่วยให้หลุดพ้นไปจากสถานที่นี้นานแสนนานแล้ว
เมื่อ หลวงปู่หลอดรับรู้เช่นนั้น ท่านจึงอุทิศส่วนบุญส่วนกุศลที่ท่านได้ปฏิบัติมาแผ่เมตตาออกไปให้แก่ปวง วิญญาณทรมานทั้งหลายอย่างไม่มีประมาณ

ตั้งแต่นั้น เสียงคร่ำครวญโหยหวนที่ปรากฏ ณ ถ้ำแม่แก่งก็สูญสิ้นหายไป...




ขอบคุณที่มา...จากหนังสือ "พระเจอผี" โดย นที ลานโพธิ์