ในปัจจุบันนิยมใช้หลักดินเป็นแท่งเหล็กกลมหุ้มด้วยทองแดงเพื่อป้องกันการผุกร่อนของเหล็กตอกลงไปในดิน จำนวนของหลักสายดินมากหรือน้อย ขึ้นอยู่กับค่าความต้านทานทางระบบไฟฟ้าของระบบ และในกรณีที่ต้องการหลักสายดินมากกว่า 1 ต้น National Electrical code (NEC) กำหนดให้มีระยะห่างระหว่างต้นไม่น้อยกว่า 6 ฟุต หรือ 1.80 เมตร ทั้งนี้เป็นการป้องกันการเกิด step voltage ซึ่งเป็นอันตรายต่อผู้อยู่ใกล้เคียง กับหลักสายดิน การติดตั้งหลักสายดินให้ห่างกันจะช่วยให้การคายประจุไฟฟ้าสู่ดินได้ดีขึ้น และเป็นวงกว้างทำให้ลดค่า step voltage
โดยปกติมักมีการกำหนดให้ใช้ระยะ 3 เมตร
การใช้หลักสายดินแบบตาข่ายถักเป็นตารางขนาดไม่น้อยกว่า 2.40x2.40 เมตร(strip electrode)ซึ่งมีข้อกำหนดอยู่ในมาตรฐานอังกฤษ ระบบนี้นอกจากจะช่วยในระบบป้องกันฟ้าผ่าแล้วมีบางท่านแจ้งว่า เป็นระบบที่เหมาะสมกับอาคารที่มีการใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ด้วย
ระบบป้องกันฟ้าผ่า ในอาคารสูงแบบ Faraday cage
ระบบป้องกันฟ้าผ่าที่นิยมใช้กันมากในปัจจุบันสำหรับอาคารสูงๆซึ่งประหยัดค่าใช้จ่ายในด้านตัวนำลงดินโดยไม่ใช้สายทองแดงหรือสายตัวนำอื่นเพิ่มขึ้นมาอีก มีหลักการดังต่อไปนี้
1.ใช้เหล็กโครงสร้างตามแนวดิ่ง(เหล็กเสริมเสา) เป็นตัวนำลงดิน โดยเหล็กเสริมนี้ต้องต่อเชื่อมอย่างแข็งแรงและมีความต่อเนื่องทางไฟฟ้าตลอดความสูงของอาคารอย่างน้อยต้องเป็นเสาทั้ง4มุมของอาคารแต่ถ้าอาคารมีขนาดความกว้างมากจำเป็นต้องใช้เสาหลายต้นซึ่งมีระยะห่างไม่เกิน 30 เมตรตามมาตรฐานอังกฤษ และระยะห่างไม่เกิน 18 เมตรตามมาตรฐาน NFPA
2.ทุกๆระดับความสูงอาคาร 30 เมตร ต้องมีการเชื่อมเหล็กเสริมคานรอบนอกเป็นวงกลมและเชื่อมต่อเหล็กตามข้อ(1)
3.เสาเข็มซึ่งปกติจะมีเส้นลวดเหล็กเสริมและตอกลึกลงไปไนดินมาก ทำให้ค่าความต้านทานของการลงดินต่ำมาก ดังนั้นเส้นลวดนี้สามารถใช้แทนหลักสายดินได้ดีโดยการเชื่อมเส้นลวดนี้เข้ากับเหล็กเสริมเสาเข็ม
ที่มาจาก หนังสือคู่มือวิศวกรไฟฟ้า(Electrical Engineering Quick Reference)