ขี้กลากกินกบาล
หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: ขี้กลากกินกบาล  (อ่าน 2277 ครั้ง)
eskimo_bkk-LSV team♥
.กลุ่มผู้มีน้ำใจงาม..
member
*

คะแนน1883
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 13320


ไม่แล่เนื้อเถือหนังพวก


อีเมล์
« เมื่อ: ตุลาคม 09, 2010, 02:01:05 PM »

ขี้กลากกินกบาล
Credit  : แมว มหาภัย  http://forum.serithai.net/
ขี้กลากกินกบาล
โดย แมว มหาภัย
พวกไอ้ใจ ไอ้หงอก อีเพ็ญ อีดา ไอ้และอีพวกนี้มันเกิดมารุ่นหลัง
และไม่เคยพลิกอ่านประวัติศาสตร์ มันจึงไม่รู้ว่าสถาบันกษัตริย์มาคุณูปการมามากมายอย่างไรกับประเทศชาติบ้าง เจอเศษตังจากเงินเจ็ดหมื่นกว่าล้านกระเซ็นกระสายมาตกตรงหน้าเข้านิดหน่อยก็ ลืมกันหมดว่าโคตรเหง้าวงศ์ตระกูลเคยสั่งเคยสอนกันมาอย่างไร แต่ไหนแต่ไรมาไม่ว่าบ้านไหนครัวไหน ต่างก็สอนให้รักเคารพเทิดทูนชาติ ศาสนา พระมากษัตริย์ ออกจากบ้านไปโรงเรียนก็ต้องเรียนวิชาหน้าที่พลเมือง วิชาศีลธรรมอีกอย่างน้อยอาทิตย์ละ ๒ ชั่วโมง หัวคิดชั่วๆอย่างพวกมันสงสัยเอาแต่จ้องจะเปิดกระโปรงดูกางเกงในเพื่อนหรือไร
 เรื่องราวดีๆที่จะฝังตัวอยู่ในหัวกบาลถึงไม่มีเอาเสียเลย
 แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่ากระบวนการบ่อนทำลายความน่าเชื่อถือของสถาบันที่พวกคุณ พรวนดินรดน้ำเอาไว้ได้งอกงามแพร่พันธุ์ชั่วออกไปเกินเป้าหมายในใจของพวกคุณ แล้วซินะ
วางบิลย์เบิกตังไอ้เหลี่ยมมันหรือยังล่ะ ต้องรีบวางนะเดี่ยวมันโดนยึดทรัพย์แล้วจะวางบิลย์ไม่ได้
เรื่องวางบิลย์นั่นเรื่องหนึ่งอีกเรื่องหนึ่งที่เป็นห่วงพวกคุณก็เรื่องที่
 อยากให้พวกคุณ หาซื้อซีม่า และ ขี้ผึ้งเบอร์ ๒๘ แก้ขี้กลากมาติดตัวไว้บ้าง

เรื่องอย่างนี้แม้พวกคุณจะเกิดมาในยุคสมัย วายไฟร์ สายเดี่ยว ๓ จี ๔จี แต่อย่างไรเสียพระเทศไทยเราก็มีประวัติศาสตร์สืบเนื่องติดต่อกันมายาวนาน ๒,๐๐๐ กว่าปี ผีปู่ ผีย่า ผีตา ผียาย พระเสื้อเมือง ทรงเมือง และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำแผ่นดินนี้ ก็คงมีน้ำยานำพาประเทศชาติผ่านพ้นวิกฤติการณ์มาได้หลายๆครั้ง เอ็งลองย้อนกลับไปอ่านประวัติศาสตร์ซะ หลายๆตอนประเทศชาติเราเจียนอยู่เจียนไปแต่ก็ดูเหมือนจะมีสิ่งที่ต้องเรียก ว่ามหัศจรรย์ เกินกว่ามนุษย์เดินดินธรรมดาๆจะวางแผนจัดการ
-ไม่คิดว่าเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์หรือ ที่ทำให้ปืนใหญ่ระเบิดใส่หน้ากษัตริย์พม่าพระเจ้าอลองพญา ขณะที่จุดชนวนปืนด้วยพระองค์เพื่อยิ่งใส่ พระที่นั่งสรรเพชญมหาปราสาท ทำให้วันรุ่งขึ้นต้องยกทัพกลับ
ไปตายที่บ้านเกิดเมืองพม่า อยู่ได้ ๒ วัน ยังไม่ทันได้พ้นขอบขัณฑสีมาก็สวรรคต
-ไม่คิดเหรอะว่า อะไรดลใจให้นายสิน นายทองด้วง นายสุดจินดา นายทองดีฟันขาว ซึ่งต่อมาเป็นพระเจ้าตาก รัชการที่หนึ่ง วังหน้ากรมราชวังบวร และพระยาพิชัยดาบหัก ได้มาร่วมมือกันกอบกู้ชาติ ซึ่งสถานการณ์ในขณะนั้นแทบจะขาดใครคนใดคนหนึ่งไปไม่ได้เลย
- ไม่คิดเลยเหรอว่าประเทศเล็กๆ แบบไทยจะยืนหยัดต้านลัทธิจักรวรรดินิยมล่าเมืองขึ้นมาได้
- ไม่คิดเลยเหรอสงครามโลกครั้งที่สอง ไทยเข้าข้างญี่ปุ่นแต่กลายเป็นฝ่ายชนะ
- แล้วทฤษฎี โดมิโน่ อันโด่งดัง ทำไมมาสะดุดหยุดอยู่ที่ตรงประเทศไทย
หลายๆเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่พอที่จะสรุปได้เหรอว่า “สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่คุ้มครองประเทศนี้อยู่มีจริง”


ผม ทำงานอยู่กับวิทยาศาสตร์อยู่พักหนึ่ง มีหน้าที่โดยตรงที่จะ
 ค้นหาและอธิบายความไม่เป็นวิทยาศาสตร์ต่างๆที่เกิดขึ้นในประเทศ
ผมไปงมก้นแม่น้ำโขงอยู่เป็นวันๆ กินนอนอยู่ปากคาด
 บึงกาฬอยู่เป็นเดือนๆ เพื่อหาคำตอบเกี่ยวกับบั้งไฟพญานาค
 เพื่อจะบอกเป็นข้อสรุปออกมาว่า
 เรื่องบางเรื่องเกินกว่าหน้าที่ภารกิจของวิทยาศาสตร์


แต่เป็นเรื่องของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ และ เรื่องบางเรื่องก็เกินกว่าการเอื้อมถึงของกฎหมาย แต่เป็นเรื่องของกฎแห่งกรรม
 โบราญเราเชื่อถือสืบต่อกันมานานนมแล้วว่าการที่มีใคร บังอาจที่ล่วงละเมิดพระมหากษัตริย์ไม่ว่าจะตั้งใจหรือไม่
 เช่นใช้ของร่วมกับพระองค์ หรือละเมิดด้วยกริยาอื่นๆถ้าหัวไม่ขาดด้วยพระราชอาญา
 ก็ต้องขี้กลากกินกบาล เรื่องนี้เป็นเรื่องจริงมีหลักฐานสืบสาวราวเรื่องกันได้ว่าพระมหากษัตริย์ นั้นศักดิ์สิทธิ์
 โดยเฉพาะกษัตริย์องค์ไหนที่ทรงทศพิศราชธรรมเป็นที่เคารพรักแห่งอาณาประชา ราษฎร์
 กษัตริย์พระองค์นั้นจะยิ่งมีอำนาจบารมีสูงยิ่ง
เมื่อครั้งไฟไหม้ใหญ่ในกรุงศรีอยุธยา เหลือกำลังกว่าที่มหาดเล็กกรมวังจะดับได้
พระมหากษัตริย์ได้เสด็จมาชูพระขรรค์ขวางไว้ ไฟที่กำลังโหมไหม้อยู่ก็ค่อยๆมอดลง
จะด้วยนโยบายทางการศึกษาของกระทรวงศึกษารุ่นเก่าๆอย่างไรมิทราบ
 แต่มหาราชกษัตริย์ไทยที่ยิ่งใหญ่ทั้งหลายในอดีต
ต่างก็ล้วนมีเรื่องเล่าที่เกี่ยวพันไปถึงอิทธิปาติหาร และบุญาบารมีของท่านเอาไว้หลายๆเรื่อง
ไม่เว้นแม้กระทั้งองค์ปัจจุบัน
ที่ท่านเปี่ยมล้มด้วยทศพิศราชธรรม บุญาบารมี งานนี้เล่นเอาทั้งปูติน และ จอร์จ บุช อ้าปากหวอมาแล้ว


เศษดินเศษหินบริเวณสถูปที่เชื่อกันว่าเป็นจุดที่พระนเรศวรสิ้นพระชนม์
 ทหารไทยใหญ่จะกอบใส่ถุงผ้าเล็กๆแขวนคอไว้เสมือนสิ่งศักดิ์สิทธิ์
คุ้มภัยจากอาวุธพวกพม่า เลื่องลือกันมาปากต่อปากว่าอาร์ก้าก็ยังยิงไม่เข้า

คำ สาปแช่งของสมเด็จพระนารายณ์มหาราชที่สาปแช่งพระเพทราชา
 และหลวงสรศักดิ์ ผู้ชิงราชสมบัติ ในขณะที่สมเด็จพระนารายณ์ทรงพระประชวรหนัก
 ยังไม่สิ้นพระชนม์ ส่งผลให้กษัตริย์ และ ราชวงศ์บ้านพลูหลวงต้องประสบชะตากรรมที่เลวร้ายต่างๆกัน

กรมขุนเสนา พิทักษ์ เป็นโรคผู้หญิง และ เป็นคุดทะราช ถูกพระบรมโกษ พระชนกโบยจนตายคาหวาย
 เพราะไปเป็นชู้กับชายา กรมขุนอนุรักษ์มนตรีเป็นขี้เรื้อน กรมหมื่นเทพพิพิธถูกเนรเทศไปลังกา
 เมื่อกลับมาก็พยายามตั้งก๊กกรมหมื่นเพทพิพิธ ถูกพระเจ้ากรุงธนปราบและถูกประหาร
 กรมหมื่นจิตรสุนทร กรมหมื่นสุนทรเทพ กรมหมื่นเสพภัคดี โอรสพระบรมโกษ ๓ พระองค์
 ถูกกรมขุนพรพินิตประหารด้วยท่อนจัทร์ ทั้งหมด สวนตัวเองก็ถูกพม่าเอาตัวไปเป็นทาส

มหาราชอีกพระองค์หนึ่งก็คือเสด็จ พ่อ ร๕. ทุกวันอังคารและวันพฤหัส
ไปดูได้ที่ลานพระรูปว่า พระองค์ท่านยังคงศักดิ์สิทธิ์ และ อยู่ในใจคนไทยแค่ไหน


ให้กลับไปดูเทปวันที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯรัชกาลปัจจุบัน ทรงออกมหาสมาคม ที่ลานพระรูปกลายเป็นทำเลสีเหลือง
 ก่อนเสด็จออกมา แดดเปรี้ยงร่มหลากสีกางกันให้พรึ่บ
 ครั้นพอเสด็จออกพลันท้องฟ้าก็ครึ้มลงทันใดประชาชนต่างเก็บร่มและสิ่งบังกาย
 ลงให้เราท่านได้เห็น ทะเลสีเหลืองสุดลูกหูลูกตา นี่อัศจรรย์โดยแท้
พวกไม่เจียมตัวใจชั่วทั้งหลายหากสำนึกตอนนี้ยังกลับตัวทัน
 แต่ถ้ายังถลำลึกไป คิดว่าคงไม่ได้ตายดีกันซักคน

คนธรรมดาๆถ้ามีจิตใจดีงาม วัตรปฏิบัติปฏิบัติชอบ อยู่ในศีลในธรรม
คนธรรมดาๆนี่แหละ ก็สามารถทำอะไรๆที่ไม่ธรรมดาได้
อย่างขุนพันธ์รักษ์ราชเดช (เจ้าตำรับจตุคามรามเทพ)
 ท่านก็เป็นที่เคารพนับถือของชาวนครศรีธรรมราช เทียบเท่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์
 เถ้ากระดูกงานศพท่านถูกเก็บไปบูชาจนเมรุสะอาดเอี่ยม
 พระเกจิอาจารย์ชื่อดังๆทุกองค์ต่างก็ล้วนมาจากชาวบ้าน ชาวนา ชาวไร่ ธรรมดาๆ
ยก เว้นสมเด็จโต พรหมรังสี ที่เชื่อกันว่าท่านมีเชื้อสายรัชการที่ ๑ เมื่อได้ฝึกจิต
ปฏิบัติอยู่เคร่งครัดในพระธรรมวินัย ความศักดิ์สิทธิ์ต่างๆก็จะเกิดขึ้นแก่ตัวผู้ปฏิบัติเทพดาอารักษ์ก็จะปกป้อง คุ้มครอง จิตรหากมั่นคง แน่วแน่
 พลังอำนาจแห่งจิตรนั้นก็จะมีผลออกมาเป็นพลังงาน
 ซึ่งเรื่องนี้มันต้องคุยกันยาวๆมากๆ จึงจะขอเว้นเอาไว้
 เอาเป็นสรุปและมีเหตุมีผล มีคำอธิบายทางวิทยาศาสตร์ได้ว่า
จิตรเป็นพลังงานอย่างหนึ่งเลยแล้วกัน

ยามศึกมาถึงหน้าบ้าน สิ่งศักสิทธิ์อะไรที่จะหาติดตัวออกไปรบ ก็หาไม่มีหาไม่ได้
 นักรบโบราณเอาผ้าเตี่ยวซับประจำเดือนแม่ โพกหัวออกศึก ด้วยฤทธาอาถรรพ์
 และ อานุภาพความรักระหว่างแม่กับลูกที่ผูกพันกัน
 ผ้าซับประจำเดือนก็กลายเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ได้
ผมก็ได้ข่าวคราวมาว่าในยุคสงครามเย็นทหารไทยในเวียดนาม
 สืบต่อมาถึงทหารพรานยุคใกล้ๆนี้ก็ยังมีคนใช้ผ้าอนามัยเปื้อนประจำเดือนแม่
ใส่ตลับแขวนคอเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์อยู่

พระองค์ท่านผู้อยู่ในธรรมแห่งการปกครองแผ่นดินทั้ง ๑๐ ประการมาตลอดพระชนม์ชีพของพระองค์
ทรงรักทรงเมตตาต่อมวลพสกนิกร และ พสกนิกร ๗๐ ล้านคน
ต่างก็เคารพรักพระองค์ การสวดขอพรพระผู้เป็นเจ้าของคริสต์
 การทำดูอาห์ ของศาสนาอิสลาม และ การสวดถวายพระพรชัยมงคลถวายแด่พระองค์ท่าน
ที่พวกเรา ทำถวายกันมาอย่างต่อเนื่องโดยตลอด
ทุกสิ่งเป็นความรัก เป็นความมุ่งหมาย และ
กลายเป็นพลังงานที่มากมายเกินกว่าจะคิดคำนวณได้
มาประจุอยู่ที่พระองค์ท่าน สิ่งที่ประชาชนทุกคนรักพระองค์
และ สิ่งที่พระองค์เป็นผู้อุปถัมภ์ ศาสนาทุกศาสนาในขันธ์สีมาแห่งนี้
ทำให้ทุกศาสนาต่างก็มีความเจริญในแนวทางของศาสนาของตนอย่างเท่าเทียมกัน
 สิ่งเหล่านี้ปฏิบัติสืบต่อกันมาอย่างต่อเนื่อง ผมไม่เชื่อว่ามันจะสูญเปล่าหายไปในอากาศ
 มันจะกลายเป็นพลังงานแฝงอยู่ในที่แห่งใดสักแห่งหนึ่ง
 และเมื่อถึงคราวต้องใช้
สิ่งที่เราอธิษฐานให้พระองค์มาตลอด “หวังสิ่งใดขอให้ พระองค์ได้ดังปรารถนา”
 จึงปลดปล่อยพลังนั้นออกมา ผมเชื่อแล้วว่าพระองค์ท่าน เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์
(ไม่รู้พูดถูกหรือเปล่านะตรงนี้ แต่ปัจจุบันผมเชื่ออย่างนี้จริงๆ
 พร้อมๆกับเซียนพระทั่วประเทศ ทุกวันนี้พระสมเด็จจิตรลดา
ซึ่งเป็นพระพิมพ์ที่พระบามสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงออกแบบ นำมวลสารมาผลิต
 และกดพิมพ์ด้วยพระหัตถ์ของพระองค์เอง
 เพื่อไว้แจกจ่ายแก่ข้าราชบริภารผู้ใกล้ชิด และ
ทหารตำรวจที่อยู่แนวหน้ากลายเป็นสิ่งล้ำค่าอย่างยิ่งในวงการพระเครื่อง
 หาเช่ากันในราคาตั้งแต่ ๒ ล้านถึง ๕ ล้านบาท ถ้าเป็นองค์ที่สภาพสวยๆ)

เคยรับเสด็จพระเทพฯที่นครปฐม เห็นกับตาว่าช่วงรอรับเสด็จ ยังมีฝนตกปรอยๆ
 อากาศหนาวนิดหน่อย พอพระเทพฯท่านเสด็จมาถึงปุ๊บ ฝนขาดช่วงทันที
 ระหว่างที่ท่านเดินดูงานสร้างตึกโรงเรียน ท่านก็เดินลิ่วไปดูทุกตึก
 ระหว่างนั้นอากาศเย็นสบาย ฝนไม่ตกเลย คนตามเสด็จถึงจะเดินเยอะก็ชิวๆ

อีก ครั้งก็งานเสาชิงช้าที่กรุงเทพฯ ตอนบ่ายแดดเปรี้ยง ขนาดรอในเต้นท์ยังอากาศอ้าว
 แล้วอยู่ๆแดดก็ลดความแรงจ้า เมฆมาปกคลุม หายใจหายคอกันสะดวกขึ้น
 ทำเอาคิดว่าสักพักรถพระที่นั่งของในหลวงคงกำลังมา
 ปรากฎว่าคิดถูกต้อง ไม่กี่นาที ในหลวงท่านก็เสด็จมา
พอเสร็จราชพิธี ในหลวงเสด็จกลับ แดดก็กลับมาเปรี้ยงต่อ
พระพุทธองค์ท่านสั่งสอนเรื่องกาลามสูตรเอาไว้ ว่าอย่างนี้

กาลามสูตร 10 ประการ

1. อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการฟังตามๆ กันมา
2. อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการถือสืบๆ กันมา
3. อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการเล่าลือ
4. อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการอ้างตำราหรือคัมภีร์
5. อย่าปลงใจเชื่อ เพราะตรรก
6. อย่าปลงใจเชื่อ เพราะการอนุมาน
7. อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการคิดตรองตามแนวเหตุผล
8. อย่าปลงใจเชื่อ เพราะเข้าได้กับทฤษฎีที่พินิจไว้แล้ว
9. อย่าปลงใจเชื่อ เพราะเห็นรูปการณ์ว่าน่าจะเป็นไปได้
10. อย่าปลงใจเชื่อ เพราะนับถือว่า ท่านสมณะนี้เป็นครูของเรา

ต่อเมื่อใดที่รู้ และเข้าใจด้วยตนว่า ธรรมเหล่านั้นเป็นกุศล เป็นอกุศล มีโทษ ไม่มีโทษ เป็นต้นแล้ว จึงควรละหรือถือปฏิบัติตามนั้น

ผมก็เคยอยู่เกือบๆหัวแถวของ
องค์กรณ์ที่รับผิดชอบเรื่องราวของความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ของประเทศ อยู่ช่วงสั้นๆ
 เรื่องการเชื่อแบบงมงายโดยไม่พิสูจน์อะไรเลยรับรองได้ว่าไม่ใช่วิสัยของผม

ถ้าคนไทยเรายึดถือเรื่องกาลามสูตรกันบ้าง
 ไอ้พวกหัวขวดมันคงอดตายหัวโต อย่าพยายามที่จะเชื่อก่อนที่จะได้รับฟัง
 และ อย่าเชื่อจนกว่าจะได้พิสูจน์ซิครับ

ผมโชคดีครับที่ได้ รับพระบารมีปกเกล้าปกกระหม่อม
 ทำให้ชีวิตรอดตายมาถึง ๒ ครั้ง และ ได้พบกับสิ่งที่เรียกว่า
 พระบารมีด้วยตัวเองกับตาหนึ่งครั้ง
 ถ้าคุณคิดว่าคนที่มีความเชื่อเรื่องแบบนี้ โง่เง่า และ เหลวไหล

คุณคงเก่งกว่าบิล เกตย์มากแหละมั้ง เพราะบิลย์ ก็ยังเชื่อว่าพระเจ้ามีจริงอยู่เลย

กรณีที่เวียดนามเตรียมบุกไทย หลังจากปราบเขมรแดงแล้ว ไทยคือเป้าหมายต่อไป

แต่ก็ไม่รู้ว่ามีอะไรมาดลใจ ให้จีนเปิดสงครามสั่งสอนเวียดนามซะงั้น ในเวลานั้นพอดี

ทั้งๆที่จะว่าไป จีนไม่ต้องรีบบุกก็ได้ รอให้เวียดนามเข้าไทยได้ก่อน
 จีนก็ค่อยบุกเวียดนามก็ยังไม่สาย

ทำให้ทหารที่มีฝีมือดีที่สุดของเวียดนามกว่าสองแสนคน
 ต้องถอยกลับไปฮานอยแทบไม่ทัน และไม่เคยย้อนกลับมาที่เขมรอีกเลย

ถ้าไม่เรียกว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ก็ไม่รู้ว่าจะเรียกว่าอะไรแล้วล่ะครับ

อะไรที่กูไม่เชื่อกูก็ลบหลู่มันทุกครั้งไป แหละ แล้วก็ไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น
ซุนยัดเซ็น ก็เคยรื้อศาลเจ้าโบร่ำโบราณของหมู่บ้านตัวเองมาแล้วเหมือนกัน
ทุกวันนี้ ซุนยัดเซ็น ก็กลายเป็นสิ่งที่คนจีนเกือบทุกคนเอารูปขึ้นข้างฝาบูชากันหมดแล้ว
กาลามสูตรผมก็โพสให้แล้ว การเชื่อหรือไม่เชื่อในพระสูตรก็บอกว่าต้องพิสูจน์ด้วยตัวเอง
ดังนั้นใครจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ขึ้นอยู่กับประสบการณ์ในชีวิตของแต่ละคน แต่ละท่าน

สิ่งศักดิ์สิทธิ์กับผมปกติแล้วโคจรกันคนละเส้นทาง
 แต่มาเจอกันเมื่อไรก็ต้องลบหลู่ทุกครั้ง แต่ลบหลู่แล้ว บางครั้งก็โดนเอาคืนเหมือนกัน
 แต่มาในรูปแบบของสัตว์ (งู) คือไม่รู้ว่ามันมาเองตามธรรมชาติ หรือ อะไรจัดส่งมา
แถมนิด สำหรับคนที่บารมีไม่ถึง แต่มักใหญ่ใฝ่สูงอยากจะเป็น ถ้าถึงขั้นทำพิธีกรรมที่
เป็นพิธีเฉพาะของกษัตริย์ อาจจะโดนมากกว่า "ขี้กลากกินกบาล" แบบนี้ก็ได้
เมื่อครั้งสมัยพระเจ้ากรุงธนบุรี อยู่ในช่วงกู้ชาติ รวบรวมประเทศที่แตกเป็นก๊กเป็นเหล่า ๕ ก็ก
 พระยาพิษณุโลก เจ้าเมืองพิษณุโลก ก็คิดการณ์มักใหญ่ใฝ่สูง
 ถือว่าตัวเองครองหัวเมืองใหญ่ฝ่ายเหนือ มีกองทหารเข้มแข็ง พระเจ้ากรุงธนบุรียกกองทัพมาปราบก็ต้องอาวุธปืนคาบศิลา
 บาดเจ็บจนต้องยกทัพกลับ พระยาพิษณุโลกคิดเหิมเกรมว่าฝ่ายตัวเองชนะศึกเด็ดขาดแล้ว
 จึงประกาศตั้งตัวเป็นใหญ่ และ ประกอบพิธีราชาภิเษกด้วย แต่หลังจากประกอบพิธีราชาภิเษกได้เพียง ๗ วัน
 ก็ล้มป่วยสิ้นบุญกะทันหันโดยไม่ทราบสาเหตุ
 พระอินนากรณ์น้องชายจึงขึ้นครองเมืองพิษณุโลกแทน แต่ก็ไม่กล้าตั้งตัวเองเป็นกษัตริย์สิบทอดจากพี่ชายอีกต่อไป
 คงแค่เป็นเจ้าเมืองพิษณุโลกเหมือนก่อนที่พี่ชายจะตั้งตัวเป็นกษัตริย์เท่า นั้น

ชาวพิษณุโลกเชื่อว่า เป็นเพราะบุญญาบารมีไม่ถึง ไม่มีวาสนาพอเพียงที่จะได้เป็นกษัตริย์
 แต่มักใหญ่ใฝ่สูง เกินอำนาจวาสนาของตัว ฟ้าดินจึงลงโทษ

พวกไปนั่งเป็นประธานพิธีในวัดพระแก้ว ก็คงใกล้จะถึงกำหนดที่บุญเก่าหมด และ ได้เวลา ชดใช้กรรมใหม่กันแล้วล่ะ

๑๒ มิถุนายน ๒๕๔๙ วันที่จะมีการแสดงกระบวนพยุหยาตราถูกประกาศเป็นวันหยุดราชการ เวลาราวๆสี่โมงเย็น
 ผมมาเดินหาอะไรกินอยู่ที่โอลสยามพลาซ่า พออิ่มแล้วก็เดินไปหาดูเรซิ่นที่แถวๆหน้าโรงเรียนเพาะช่าง เพื่อเอาทำกรอบรูปวิทยาศาสตร์ รู้เรื่องหมายกำหนดการอยู่ครับว่ากระบวนเรือจะเคลื่อนกี่โมง ก็จะรีบๆซื้อของให้เสร็จๆไปแล้วรีบกลับบ้าน
 เพราะถ้ากลับหลังจากกระบวนเรือผ่านไปแล้วต้องเจอรถติดแน่ๆ ดูฝนฟ้าที่กำลังตั้งเค้ามาดูท่าว่าจะตกหนักแน่ๆ หากผสมโรงกับจำนวนคนที่กลับจากการชมกระบวนผมว่างานนี้รถคงติดหนักจึงรีบซื้อ เพื่อจะรีบกลับบ้าน
 ส่วนเรื่องกระบวนพยุหยาตราสำหรับคนที่มีออฟฟิซอยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยาอย่าง
ผมนั้นมันไม่ค่อยจะตื่นเต้นเท่าไร เห็นมาหลายครั้งแล้วทั้งกระบวนซ้อม กระบวนจริง
 ครั้งนี้จึงไม่อยากดูอยากกลับบ้านไปทำกรอบรูปมากกว่า จึงหิ้วของรีบเดินจะกลับไปเอารถที่โอลสยาม
 ระหว่างรอไฟข้ามเขียวเพื่อถนน ก็หันหน้ามองท้องฟ้าอีกครั้งมันมืดทมึนมากกว่าเดิม
 ลมก็พัดแรงมากจนก้อนเมฆแย่งกันแซงกันเองอยู่บนท้องฟ้า ทำให้ผมนึกห่วงถึง
การแสดงกระบวนพยุหยาตราที่กำลังจะเริ่มในไม่กี่นาทีนี้จะ เริ่มได้อย่างไร
 ถ้าลงได้ลมแรงขนาดนี้คลื่นในแม่น้ำเจ้าพระยาคงแรงมาก
และเมื่อดูสีบนท้องฟ้าแล้วอีกสักครู่ฝนหนักคงลงมาผสมโรงกับลมแรงแน่ๆ
งานสำคัญต้อนรับแขกบ้านแขกเมืองจะดำเนินต่อไปได้สำเร็จหรือไม่
 ชักเป็นห่วงจึงรีบย้อนกลับมาที่เชิงสะพานพุทธ
ผมกึ่งวิ่งกึ่งเดินมุ่งหน้าตรงไปยังสะพานพุทธ
เห็นประชาชนมากมายใส่เสื้อเหลืองยืนออกันแน่นอยู่ริมแม่น้ำ
 ฝนก็เทลงมาแรงมากและแต่ละเม็ดก็ใหญ่มากไม่ใช่ฝนธรรมดาหรือละอองฝน
 ถ้าเอาขันไปรองรับน้ำฝนไม่กี่สิบเม็ดรับรองว่าเต็มขัน
 ผมคงกึ่งวิ่งกึ่งเดินอีกต่อไปไม่ได้แล้ววิ่งพรวดเดียวยาวเลย
ผู้คนที่ออกันอยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยาดูเหมือนจะตั้งป้อมสู้กับฝน
 ที่เปียกก็เปียกไปที่มีร่มก็คว้าเอาออกมากาง ดูเหมือนว่าจะไม่มีใครยอมเสียพื้นที่ยึดครองของตัวเองให้คนอื่น คนที่ขยับหนีฝนมีแค่เพียงประปรายเท่านั้น
 เมื่อมองท้องฟ้าอีกครั้งฟ้าก็คงยังดำและสายฝนก็คงยังโปรยไม่มีที่ท่าจะหยุด
 เมื่อมองลงไปที่แม่น้ำเจ้าพระยา กระแสน้ำก็ยังแรงกระแสลมก็ผสมโรงจนน้ำตีเกลียวเป็นคลื่นลูกใหญ่ๆ
 สภาพแบบนี้วิเคราะห์กันตามประสาคนที่อยู่ริมน้ำคุ้นเคยกับกระบวนเรือพระราช
 พิธีมาหลายงาน สรุปเอาไว้ในใจแล้วว่างานนี้ล่มแหงๆ
แต่แล้วสักพักอยู่ฝนก็ซาเม็ดลงไปเฉยๆ
เมฆที่กำลังวิ่งแข่งกันอยู่บนท้องฟ้าก็วิ่งมาจนสุดท้ายแถวเปิดให้เห็นความ
สว่างของแดดอ่อนๆยามเย็น ผู้คนเริ่มเดินกลับมาจากที่กำบังฝนออกมาจับจองพื้นที่ว่างอีกครั้งหนึ่ง
 ทุกอย่างค่อยๆมันกลับคืนสู่สภาพปกติจนไม่มีใครสังเกตว่ามันไม่ปกติ
แม้แต่กระแสคลื่นที่เมื่อสักครู่เพิ่งจะตีเกลียว กระฉอกเห็นฟองขาวอยู่ยอดสันคลื่น
มาถึงขณะนี้สายน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยาก็สงบนิ่งเป็นกระเบื้องแผ่นเรียบ
 ไหลเอื่อยๆไม่รีบร้อนอะไรเหมือนเมื่อสักครู่ที่ผ่านมา ฝน คลื่น และ ลม พร้อมใจกันสงบนิ่ง
 ผมเองในเวลานั้นก็ไม่ได้คิดหรอกว่ามันมีอิทธิฤทธิ์ปาติหารอันใดเกิดขึ้น
 เพราะความคิดมันไปคิดจรดจ่ออยู่กับเรื่องที่จะรีบกลับบ้านไปทำกรอบรูป และ
 ความกลัวที่รถจะติดหากขืนกลับล่าช้า

เพิ่งมาอ่านเจอในนิตยสารเล่มหนึ่ง แล้วนึกภาพย้อนหลังกลับไปใน
 เย็นวันที่ ๑๒ มิถุนายน ๒๕๔๙ วันนั้น ก็ต้องเอามือลูบแขนไม่ให้ขนลุกแล้วพึมพำอยู่กับตัวเองว่า
 “เออ จริงว่ะ” นิตยสารเล่มนั้น
ลงพิมพ์บทประทานสัมภาษณ์ ขององค์ภา
ประทานสัมภาษณ์เรื่องราวเกี่ยวกับเสด็จปู่ของพระองค์
เนื้อหาก็เป็นความยาวหลายหน้ากระดาษอยู่
แต่ผมจำเอาเฉพาะเหตุการณ์ ตรงนั้นที่ผมอยู่ร่วมในเหตุการณ์ด้วย ความโดยรวมว่าไว้อย่างนี้

ทรงให้สัมภาษณ์ว่า เมื่อวันแสดงกระบวนพยุยาตราทางชลมารค
องค์ภาและพระสหายซึ่งเป็นเหล่าเชื้อพระวงศ์จากราชวงศ์ประเทศต่างๆ ๒๕ ประเทศ
 รอชมการแสดงกระบวนพยุหยาตราอยู่ที่ราชนาวิกสภาอยู่นั้น ก่อนการแสดงก็เกิดพายุฝนตกอย่างหนัก
 จนน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยาปั่นป่วนไปด้วยคลื่นและลม จะพระองค์หนักพระทัยว่าจะไม่สามารถดำเนินการแสดงกระบวนพยุหยาตรได้
 แต่แล้วเมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จมาถึง
 ฝนและลมแรงที่กระหน่ำอยู่ในบริเวณหอประชุมกองทัพเรือ และ บริเวณสะพานพุทธที่ผมทำธุระอยู่ก็ค่อยซาเม็ดลงจนสงบนิ่ง
จากคำที่ทรงประทานให้สัมภาษณ์ ก็ตรงกับช่วงเวลาที่ผมเดิน
ไปดูสภาพคลื่นลมในแม่น้ำเจ้าพระยาช่วงนั้นจริงๆ ถามใครที่อยู่ในเหตุการณ์ถ้าลองมาอ่านบทความนี้แล้วนึกถึงภาพย้อนหลังไปก็จะ
 เพิ่งจะนึกประหลาดใจเหมือนกันกับผม ที่มาทบทวนภาพในวันนั้นเมื่อได้อ่านคำที่ทรงประทานให้สัมภาษณ์
 อาจจะเป็นด้วยว่าในวันนั้นต่างคนต่างก็มีจิตใจจรดจ่ออยู่แต่กับกระบวนเรือ
 แม่น้ำเจ้าพระยาในวันนั้นนิ่งสนิทมีแต่น้ำกระเพื่อมเล็กๆให้รู้ว่ามันเป็น แม่น้ำเจ้าพระยานะ ไม่ใช่กระจก
สายน้ำก็ไหลเอื่อยๆ ไม่มีอะไรบ่งบอกสืบสาวไปให้ถึงพายุฝนและลมแรง
 ที่เพิ่งจะผ่านไปเมื่อไม่กี่นาทีมานี้เองเลย ทรงประทานสัมภาษณ์ต่อไปว่าหลังจากการแสดงเสร็จลง
 พระสหายที่เป็นราชวงศ์จากต่างประเทศก็มาตรัสถามว่า
 ประเทศไทยเรามีเทคโนโลยี่ที่ทันสมัยอันใดหรือที่หยุดฝนหนักและลมแรง ลงได้ในพริบตา
ทำให้การแสดงสามารถดำเนินต่อไปได้

องค์ภาก็ตรัสตอบไปว่า ประเทศเราไม่มีเทคโนโลยี่ที่ทันสมัยอะไรขนาดหยุดฝน หยุดลมได้ขนาดนั้นหรอก
สิ่งที่เกิดขึ้น คนไทยเรียกกันว่า "พระบารมี"

คำว่า "พระบารมี" ในภาษาอังกฤษไม่มี ก็ทรงอธิบายเป็นภาษาอังกฤษจนพระสหายเข้าใจ
และ ทุกพระสหายทุกพระองค์ก็ทรงปลื้มปิติเป็นอย่างมากที่มีโอกาสได้ร่วมอยู่ใน เหตุการณ์วันนั้น

โดยส่วนตัวแล้วไม่เคยเชื่ออะไรที่ไม่สามารถอธิบายไม่ได้ด้วยวิทยาศาสตร์
 คราวนี้ก็เหมือนกัน แต่มาหนักใจเอาอีตรงที่
หลังจากพระองค์เสด็จกลับไปแล้ว ฝนหนักและลมแรง ก็กลับมาเหมือนเดิมอีกครั้งนี่ซิ
พรรคพวกผมเป็นฝรั่งมังค่าก็เยอะอยู่เหมือนกัน
หลังจากงานนี้แล้วจึงต้องฝึก ทรานสเลตท์  translate คำว่า "พระบารมี"เป็นภาษาอังกฤษตามรอยพระองค์ภา
 ไปด้วยอีกคนหนึ่งแล้ว.

แถมแบบหลังไมค์ ออฟเร็คคอร์ด เรือพระที่นั่งแต่เดิมวางผังกันไว้ว่า
 ลำแรกเรือพระที่นั่งอนันตนาคราช เรือพระที่นั่งลำถัดไป
 คือเรือพระที่นั่งนารายณ์ทรงสุบรรณ แล้วจึงเป็นเรือพระที่นั่งสุพรรณหงส์
 และปิดท้ายเรือพระที่นั่ง ด้วยเรืออเนกชาติภุชงค์

ในการซ้อมปรากฏว่า เรือพระที่นั่งสุพรรณหงส์ พายเท่าไรก็ไม่ยอมเขยับเขยื่อนออกจากท่า
 จนต้องจัดลำดับใหม่ให้เรือพระที่นั่งนารายณ์ทรงสุบรรณมาอยู่ข้างหลังเป็นลำ
ที่สามถึงจะยอมออกจากท่าเรือ จึงต้องปรับขบวนกันใหม่ในวันแสดงจริง

วิทยาศาสตร์จะว่าอย่างไงกันดีล่ะครับเนี่ยะ

พระเศวต เมื่อครั้งเป็นช้างต้นใหม่ๆ คนอื่นๆเดินไป เดินมา เดินผ่านเป็นร้อยคนก็ไม่ถวายการเคารพ
 ต้องพระเจ้าอยู่หัวมาถึงจะถวายการเคารพ

ที่สำคัญ ควาญช้างยังไม่ได้สอน ยังไม่ได้สั่ง เสียด้วย

นึกไปแล้วยุคเสื้อแดงเฟื่องฟู นี่ทำโรงงานผลิตยารักษาขี้กลาก ถ้าจะรวยแหงๆ

เกลียดอีดาดอกทองหัวแดง แดงมากๆ
 แต่ก่อนรับโออิชิ มาขาย พอรู้ว่าอีดอกนี่มีหุ้นอยู่ด้วย กูเลิกเลย


นายสุชาติ นาคบางไทร เพื่อนเก่าผม จบเภสัชจุฬา แต่ก่อนก็มีฐานะการงานมั่นคง แต่พอมีความคิดวิปลาสแบบนี้มาเข้าหัว
ครอบครัวพร้อมลูกๆน่ารักอีก ๒ คนก็ล่มสลาย เป็นหนี้เป็นสินตั้งแต่ลงผู้ว่า กทม. เมียหอบลูกทิ้งไว้แต่ห้องเปล่าๆ

บางทีบรรดาพวกที่มีความคิดแบบนี้ อาจจะไม่ต้องทำอะไรกับเขาเลย แต่ปล่อยเค้าไป รอให้บุญเก่าเค้าหมด และ กรรมวิ่งไล่ทัน
เท่านั้นเอง ผมจะดูชะตากรรมของ***แดง อีกตัวนึง จะจบอย่างไร

ยังจำกันได้อยู่หรือเปล่า




บันทึกการเข้า

หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป: