บทความน่าอ่าน Modern Trade ภัยเงียบที่คืบคลานเข้าทำลายธุรกิจ ...by vairai2001
LSVคลังสมองออนไลน์ "ปีที่21"
พฤษภาคม 15, 2024, 02:09:05 PM *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
   หน้าแรก   ช่วยเหลือ เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก  
หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: บทความน่าอ่าน Modern Trade ภัยเงียบที่คืบคลานเข้าทำลายธุรกิจ ...by vairai2001  (อ่าน 17690 ครั้ง)
eskimo_bkk-LSV team♥
.กลุ่มผู้มีน้ำใจงาม..
member
*

คะแนน1883
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 13326


ไม่แล่เนื้อเถือหนังพวก


อีเมล์
« เมื่อ: ธันวาคม 03, 2008, 01:52:26 PM »

http://forum.serithai.net/viewtopic.php?f=2&t=1429

Modern Trade ภัยเงียบที่คืบคลานเข้าทำลายธุรกิจ
ปัจจุบัน ระบบเศรษฐกิจของไทยกำลังอยู่ในเงื้อมือคนต่างชาติอย่างไม่รู้ตัว
 ธุรกิจรายย่อยค่อยๆถูกทำลาย
การประกอบอาชีพแบบเศรษฐกิจพอเพียงด้วยการพึ่งพาตัวเองกำลังจะหมดไป
 ทุกวันนี้ท่านเคยถามตัวเองไหมว่า
เดือนหนึ่งเข้าแม็คโคร คาร์ฟูร์ โลตัส หรือบิ๊กซี เดือนละกี่ครั้ง
ท่านซื้อของจากร้านชำใกล้บ้านหลังหลังสุดเมื่อไหร่
 แล้วท่านรู้ไหมว่า
 การซื้อสินค้าในห้างเหล่านั้น ใครได้? ใครเสีย?

ระบบการจัดจำหน่ายสินค้าสู่มือผู้บริโภคแบ่งเป็นประเภทใหญ่ได้ 3 ประเภท ได้แก่
1.Traditional Trade หรือ ช่องทางกระจายสินค้าแบบการตลาดดั้งเดิม
คือ จากผู้ผลิตไปยังยี่ปั๊ว ซาปั๊ว และร้านค้าโชว์ห่วย
 ซึ่งการจัดการในร้านค้า ไม่ค่อยเป็นระบบ
 เป็นการขายในรูปแบบเดิมๆ ที่ถ่ายทอดจากรุ่นสู่รุ่น
 ระบบนี้มีข้อดี คือ มีการกระจายรายได้ สร้างงานในชุมชน
 มีการเกื้อหนุนการแบบ อัฐยายซื้อขนมยาย
ทำให้มีเงินหมุนเวียนอยู่ในท้องถิ่นค่อนข้างมาก
ข้อเสียคือ ไม่มีการแข่งขันในรูปแบบของบริการ
 ไม่เกิดการพัฒนาในระบบการจัดจำหน่าย การจัดวางสินค้าไม่เป็นระเบียบ
 ผู้ซื้อมักไม่สามารถหยิบจับสินค้าได้โดยตรง
 มักไม่มีป้ายราคาบอก ไม่มีโปรโมชั่น ไม่มีของแถม
 มีประเภทของสินค้าค่อนข้างจำกัด
 และในบางกรณีมีการผูกขาด เช่น
 ร้านขายรองเท้าแห่งเดียวในหมู่บ้าน
 ร้านขายจักรยาน
และร้านขายชุดนักเรียน เป็นต้น
 ระบบนี้อาจไม่ใช่ระบบการค้าที่ดีที่สุด
 แต่เป็นระบบที่มีการสร้างงานสร้างรายได้ กระจายรายได้
 และทำให้คนท้องถิ่นสามารถเป็นเจ้าของธุรกิจได้ไม่ยากเย็นนัก
 เพียงแต่ต้องมีมาตราการการควบคุมการค้า ไม่ให้เกิดการผูกขาดในท้องถิ่น
ระบบการค้านี้ยังคงอยู่จำนวนมากในต่างจังหวัด
และค่อยๆเลือนหายไปจากในเมือง
 แต่ในปัจจุบันกำลังถูกรุกหนักจากธุรกิจแบบ Modern Trade และคาดว่าระบบการค้าแบบนี้ไม่เกิน 10 ปีข้างหน้า
 อาจหายไปจากระบบการขายของเมืองไทย
 หากไม่ได้รับการปกป้องจากมาตรการของรัฐ
 ในต่างประเทศในหลายๆประเทศ ได้ให้ความสำคัญกับธุรกิจประเภทนี้
พยายามที่จะรักษาการค้าแบบดั่งเดิมไว้ โดยการสนับสนุนของภาครัฐ เช่น ออกเงินกู้ให้ปรับปรุงร้านค้า มีเจ้าหน้าที่รัฐคอยให้คำปรึกษา
และแนะนำการปรับเปลี่ยนรูปแบบการจัดจำหน่าย
 แพ็คเก็จ
 การจัดชั้นวาง
 การจัดร้าน
การติดป้ายราคา อาทิเช่น ประเทศญี่ปุ่น
 ซึ่งสามารถเปลี่ยนโฉมของการค้าแบบ Traditional Trade ให้สามารถปรับตัวเข้ากับสังคมยุคใหม่ และสามารถแข่งขันได้กับ Modern trade ในแบบยั่งยืน

2.Modern Trade หรือ ช่องทางกระจายสินค้าแบบการตลาดสมัยใหม่ คือ
จากผู้ผลิตไปยังศูนย์กระจายสินค้า (Distribution Center)
 และร้านค้าสมัยใหม่ประเภทต่างๆ อาทิเช่น
 คอนวิเนี่ยนสโตร์อย่างเซเว่นอีเลเว่น หรือซุปเปอร์มาร์เก็ต
ในห้างสรรพสินค้าต่างๆ ซึ่งมีการจัดการในร้านค้าอย่างเป็นระบบ
 ซึ่งธุระกิจประเภทนี้เป็นผลมาจากการค้าเสรี ที่รัฐเปิดโอกาสให้ต่างเข้าลงทุน อาทิ เช่น โลตัส คาร์ฟูร์ บิ๊กซี และแม็คโคร เป็นต้น
 ธุรกิจประเภทนี้กำลังเติบโตเป็นอย่างมากในประเทศไทย
อันเป็นผลมาจากการเปิดการค้าเสรีในโลกปัจจุบัน
และนโยบายการส่งเสริมการลงทุนจากรัฐบาล
 ถ้ามองในแง่ของผู้บริโภคย่อมมีผลดีมากมาย อาทิ เช่น ได้ซื้อสินค้าปลีกในราคาต่ำกว่าท้องตลาด
 มีสินค้าหลากหลายให้เลือกไม่ต้องเดินทางไปหลายๆที่ในการซื้อสินค้าหลายชนิด เป็นสถานที่พักผ่อนและนัดพบ เป็นต้น
 แต่ข้อเสียที่ไม่อาจประเมินค่าได้ มีรายละเอียดดังต่อไปนี้

- เป็นการทำลายอาชีพค้าปลีกในท้องถิ่น
 ธุรกิจรายย่อยจำนวนมากในท้องถิ่นอาจต้องปิดตัวลงหรือลดยอดขายลง
 ทำให้ไม่เกิดการหมุนเวียนรายได้ในท้องถิ่น อาทิเช่น ร้านชำหรือร้านโชว์ห่วย, ร้านรองเท้า, ร้านอาหาร, ร้านเสื้อผ้า, ร้านเทปซีดี, ร้านขายเครื่องเขียน, ร้านขายจักรยาน ร้านขายหนังสือ และร้านขายเครื่องใช้ไฟฟ้า เป็นต้น

- ลดการสร้างงานสร้างรายได้ในท้องถิ่น การเป็นเจ้าของกิจการในท้องถิ่น
ทำให้คนไทยสามารถมีธุรกิจของตนเองได้ ไม่ต้องเป็นลูกจ้าง ไม่ต้องเสี่ยงกับการตกงาน ไม่ต้องเดินหน้าไปหางานในต่างถิ่น
เจ้าของธุรกิจสามารถสร้างฐานะ การใช้จ่ายในท้องถิ่นยิ่งมากเท่าใด ก็ยิ่งทำให้เงินหมุนเวียนมากเท่านั้น
 เป็นธุรกิจแบบพึ่งพาตนเองที่ไม่ต้องอาศัยการลงทุนจากต่างชาติ หากแต่ถ้าธุรกิจ Modern Trade เข้าครอบงำเมื่อไหร่ การสร้างงานและสร้างรายได้จะค่อยๆลดลงไป
 สุดท้ายทุกคนต่างก็เปลี่ยนทิศทางด้วยการมุ่งเน้นลงทุนในห้างสรรพสินค้าเหล่า นั้น ด้วยราคาค่าเช่าที่มหาโหด
จึงจำเป็นที่ต้องขายสินค้าในราคาที่แพงขึ้น
และกำไรส่วนใหญ่ก็จะหมดเปลืองไปกับค่าเช่าสถานที่ หากรายได้ไม่สามารถทำกำไรได้มากพอก็ต้องขาดทุนและเลิกกิจการไปในที่สุด

- เสียดุลการค้าระหว่างประเทศ แม้ว่าในระยะสั้นเราอาจได้เงินลงทุนจากต่างชาติอย่างมากในเปิดธุรกิจ Modern Trade ในประเทศ
 แต่ผลกำไรทั้งหมดของบริษัทเหล่านี้ จะถูกส่งกลับประเทศทั้งหมด

ไม่มีธุรกิจใดที่ลงทุนแล้วจะหวังเพียงเพื่อช่วยเหลือสังคม
 ทุกกิจการย่อมต้องมีเป้าหมายคือทำกำไรสูงสุด

- สร้างนิสัยการใช้จ่ายแบบบริโภคนิยมให้กับคนในประเทศ
 เนื่องการโฆษณาประชาสัมพันธ์สินค้าจากทีวี ใบปิดโฆษณา และเอกสารต่างๆที่ส่งถึงมือผู้บริโภค ล้วนเป็นเทคนิคในการเร่งให้คนมาใช้จ่ายเงินในสินค้าที่เกินความจำเป็น ประเทศที่บริโภคนิยมจัดมักล้มละลายทางเศรษฐกิจ
ทำให้ประชาชนขาดการออม ไม่มีวินัยการใช้เงิน ฟุ่งเฟื้อ และการเป็นหนี้เสียในที่สุด(NPL=Non Performance Loan ซึ่งแปลว่า หนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้)
ตัวอย่างเกิดขึ้นแล้วในหลายประเทศ และขณะนี้กำลังรุกลามหนักในสหรัฐอเมริกา อันเนื่องมาจากนโยบายกระตุ้นให้คนออกมาใช้เงินของภาครัฐ
รวมทั้งกำลังเป็นแนวโน้มของคนวัยทำงานในประเทศของเรา

- บริษัทข้ามชาติเป็นผู้ควบคุมราคาสินค้าในประเทศ
 จนรัฐไม่สามารถควบคุมสินค้าต่างๆได้
 เนื่องจากผู้ผลิตทุกรายต่างมุ่งเน้นการส่งขายสินค้าให้กับผู้ประกอบการ Modern trade ภายใต้เงื่อนไขราคาที่ผู้จัดจำหน่ายเป็นคนควบคุม รัฐสามารถทำได้เพียงการขอความร่วมมือเท่านั้น


3.Direct Marketing หรือ ช่องทางการกระจายสินค้าแบบการตลาดทางตรง คือไม่ผ่าน ตัวแทนการจำหน่ายซึ่งมีเครื่องมือหลายเครื่องมือ เช่น
 การขายตรงโดยพนักงานขาย(Direct self)
 การใช้จดหมายทางตรง (Direct mail)
การขายโดยใช้โทรศัพท์ (Tele-marketing)
 หรือการขายทางอินเตอร์เน็ต ระบบการขายตรงนี้
 เป็นระบบการค้าใหม่ที่พึ่งมีมาไม่นาน เป็นการเข้าถึงผู้บริโภคโดยตรง โดยใช้สื่อต่างๆเป็นตัวแทน เช่น พนักงานขายตรง อินเตอร์เน็ท โทรทัศน์
 ข้อความทางโทรศัพท์(Message) และจดหมายเป็นต้น มีข้อดีคือสามารถลดต้นทุนในการโฆษณา เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้มากขึ้น ไม่ต้องทำสต็อก และกระจายรายได้สู่พนักงานขาย ทำให้ผู้ขายรู้สึกมีส่วนในร่วมในการขาย
ตัวอย่างธุรกิจนี้ได้แก่ แอมเวย์, มิสทีน, Giffarin, ประกันชีวิต
 บัตรเครดิตต่างๆ และTV Direct เป็นต้น
 ธุรกิจนี้ได้รับการยอมรับอย่างแพร่หลาย เนื่องจากทำรายได้ให้ผู้ขายอย่างเป็นกอบเป็นกำและใช้เงินทุนต่ำในการทำ ธุรกิจ บางธุรกิจไม่ต้องใช้เงินทุนเลยแม้แต่บาทเดียว
ขึ้นอยู่กับความสามารถของผู้ขายเองว่าสามารถที่จะจูงใจผู้ซื้อได้เพียงใด
 แต่ข้อเสียของธุรกิจนี้ คือมักมีการโน้มน้าวจูงใจผู้ซื้อด้วยการโอ้อวดสินค้าเกินคุณภาพจริง เนื่องจากเป็นการซื้อขายตรง
การควบคุมการอวดคุณภาพเกินจริงจึงทำได้ยาก ตรวจจับได้ยาก
และในหลายธุรกิจได้นำการนำเนินธุรกิจแบบลูกโซ่ออกมาใช้
ซึ่งเป็นสิ่งที่ผิดกฎหมาย
 แต่หลายธุรกิจก็ยังกำกึ่งว่าผิดกฎหมายหรือไม่
 ทำให้รัฐไม่สามารถเข้าไปจับกุมได้ ลักษณะการขายตรงแบบนี้มักมีธุรกิจแฝงที่หลอกลวงประชาชนปะปนเข้ามาด้วยเสมอ โดยมีการถูกจับกุมเป็นระยะ
 แต่ผู้ประการเหล่านี้ก็มักจะกลับมาทำธุรกิจแบบเดิมอยู่เสมอ
เนื่องจากโทษของกฎหมายที่เบาเกินไป
 ไม่ทันต่อยุคสมัย ธุรกิจหลอกลวงประเภทนี้มักมาในรูปแบบการขายตรงที่ให้ผลประโยชน์ตอบแทนสูง
 เน้นการเพิ่มสมาชิก มีค่าสมัครแรกเข้าค่อนข้างสูง
 เน้นคุณภาพสินค้าสูงเกินกว่าความเป็นจริง
 และเน้นผลตอบแทนมากกว่าตัวสินค้า
 บางแห่งมีการตอบแทนด้วยการส่งไปเที่ยวต่างประเทศ
 มีการอบรมการขายจากนักพูดที่โน้มน้าวจิตใจเก่ง


อันดับหนึ่ง ผมให้พวก "คอนวิเนี่ยนสโตร์" (7-11, Lotus Express, Tops, Family Mart)

ส่วนรองลงมาได้แก่ "ซุปเปอร์สโตร์" (BIG C, LOTUS, Carrefour)

เหตุที่ผมให้พวกธุรกิจ 7-11 อันตรายมากก็เพราะว่า
 ธุรกิจแบบนี้มันฝั่งเข้าไปในหัวของเราๆท่านๆแล้วยังไงครับ
เช่นเวลาที่เราหิว ก็เดินไปซื้อของ, ของเล็กๆน้อยๆขาดก็ไป, อยากกินขนม เหล้า เบียร์ ก็ไปซื่อที่นี้กันไปหมดแล้ว
 คือคิดออกเป็นตัวเลือกแรกๆเลย ยิ่งของที่เห็นอยู่บนชั่น
 มันไม่ได้วางง่ายๆด้วย เพราะต้องซื้อที่เข้าไปวาง
 ยิ่งที่อยู่ในระดับสายตาแล้ว ยิ่งแพงเข้าไปใหญ่ ...

ได้ยินเค้าเล่ามา พวกธุรกิจ 7-11 เลวมาก
 ที่มาโฆษณาขายฝันให้ประชาชนเป็นเจ้าของร้าน 7-11
 ด้วยเงื้อนไขที่เยอะแยะ บีบบังคับมากมาย
 เช่นต้องขายให้ได้ยอดตามที่กำหนด
 รับผิดชอบค่าเช่าพื้นที่เอง ยังไม่รวมเช่าตรา 7-11 อีก
 บางร้านอาจจะขายได้ดี เจ้าของ7-11 ก็เริ่มวิธีการเลวๆจัดตั้งเปิดร้านแข่งกับ
ประชาชนที่โดนหลอกขายฝันคนนั้นเลย
 เปิดร้านเดียวไม่พอ ไปเปิดหลายๆร้านในย่านนั้น
 ทำให้เจ้าของที่เป็นประชาชนโดนหลอกขายฝัน ประสบภาวะขาดทุน
 ต้องขายร้านคืนให้กับ 7-11 เลวมากครับ วิธีการแบบนี้

จริงๆแล้ว ถ้าจะทำกันจริงๆก็ต้องปลุกจิตสำนึกครับ
ว่าหาทางเลี่ยงเข้า 7-11 ให้น้อยมากที่สุด
โดยเน้นไปร้านอาหารตามสั่งบ้าง ข้ามต้มรอบดึกบ้างอะไรพวกนี้ แต่ยากมากส์

อีกเรื่องหนึ่งคือการสร้างนิสัยไม่ดีในการช็อปปิ้งให้คนไทย
 แต่ขอพูดรวมกับข้างล่างละกัน

ส่วนธุรกิจอย่าง "ซุปเปอร์สโตร์"
 อย่างแรกเลยปฏิเสธไม่ได้หรอกครับว่า
โชว์ห่วยก็ซื้อของจากร้านพวกนี้ไปขายกันนี่ละ และพวกนี้ละตัวดีเลย
 ต้องขอชมจริงๆว่าพวกนี้วางแผนเก่งมากๆครับ
คือการบีบราคาสินค้าบริโภคให้ถูก (ซึ่งก็ถูกจริงๆ)
 ก็คือไม่เน้นกำไรในส่วนนี้มาก แต่ไปเน้นกำไรในส่วนอื่นแทนเช่น
 เปิดพื้นที่ภายในห้างในร้านต่างๆเช่า แล้วเก็บค่าเช่า
กับสินค้าอื่นที่ทางห้างอาจจะเอามาตั้งเอง เช่นเฟอร์นิเจอร์ เครื่องใช้ เสื้อผ้า เครื่องตกแต่งบ้าน
 สินค้าเล็กทรอนิกส์ต่างๆ จะเห็นได้ว่าสินค้าเหล่านี้ไม่ได้ถูกตามสินค้าบริโภคไปด้วย
 ทางห้างก็จะมีกำไรหลักๆอย่างที่ว่านี่ละ มา กลบ ส่วนสินค้าบริโภคที่ถูกๆ

แต่สิ่งที่น่ากลัวมากๆคือการสร้างนิสัยเสียในการช็อปปิ้ง
 ให้กับคนที่ไปช็อป โดนทำให้ตัวคนเข้าไปช็อปรู้สึกดี
ไม่รู้สึกเสียดายกับเงินที่เสียไป เช่นมีการกำหนดยอดช็อปให้ถึงราคาระดับหนึ่ง
 แล้วจะได้บัตรลด ของแถมอะไรก็ว่าไป
 เพราะแบบนี้ทำให้คนที่เข้าไปซื้อของ อยากได้รางวัลตามที่เค้าตั้งเป้าไว้
ทำให้ยอดขาย-กำไรเพิ่มขึ้น เช่น ห้างหนึ่งอาจจะตั้งยอดการช็อปไว้ที่ 600 บาท
 จะได้บัตรลด 30 บาท เป็นต้น
ทำให้บางคนที่ปกติจะช็อปครั้งหนึ่งประมาณ 300-500 อาจจะต้องเพิ่มยอม
 ซื้อของเพิ่มขึ้นเพื่อให้เกิน 600 ตามยอดที่เค้าตั้งไว้ให้

แถมไอ้บัตรลด 30 บาทนี่ใช่ว่าจะดีจริง เพราะมันอาจจะมีเงื่อนไขตัวเล็กเพิ่มขึ้นมาอีก เช่น

1. ต้องซื้อ 100 บาทขึ้นไป ถึงจะใช้บัตรลดนี้ได้
2. มีกำหนดเวลาหมดอายุในเวลาที่สั้น ทำให้เป็นการบังคับคนให้กลับมาช็อปอีกครั้ง

เหล่านี้เป็นต้น...

พอเป็นเช่นนี้บ่อยๆ มากๆแล้ว (บีบให้ผู้บริโภคช็อปปิ้ง ทีเดียวราคาสูงๆ )
ก็จะทำให้ผู้บริโภคจะเกิดความรู้สึกว่าการช็อปครั้งหนึ่งราคา 600 บาทขึ้นไป
 ไม่ใช่เรื่องที่ร้าย ทั้งๆที่ตอนแรกๆอาจจะชอบไม่ถึง 600
แต่โดนของพวกนี้เข้าไปเยอะทำให้เกิดความเคยชินในการช็อปครับ
 เลือกๆๆ โยนๆๆๆ แป๊ปเดียว ทะลุพันกว่าไปแล้ว
ยิ่งมีครอบครัว มีลูก การช็อปครั้งหนึ่ง ทะลุ 1000 ไม่ใช่เรื่องเกินไปเลย ...



กลับมาที่ 7-11 หลักการบีบบังคับ โน้มน้าวใจให้คนเข้า 7-11
 ก็คล้ายๆกับข้างบนครับ เห็นได้ง่ายๆชัดๆก็คือ
 ซื้อครบ40 บาท แลกแสตมป์ 1 ดวงนี่ละ สะสมให้ครบยอด
จะได้ของที่เค้ากำหนดไว้ ซึ่งเป็นการบีบบังคับให้คนเข้าไปซื้อของเกินจำเป็นมากๆ
เรียกได้ว่า เอะอะ อะไรก็ 7-11, 7-11, 7-11 บ่อยๆมากๆ
 เพื่อจะได้แลกแสตมป์ครบ เอาไปแลกของตามที่ต้องการได้
ส่วนเรื่องการสร้างนิสัยเสียในการช็อปปิ้งนี่มาแนวเดียวกันเลยครับ
 คือหลอกล่อให้คนซื้อของยอดทุกๆ 40 บาทขึ้นไปเรื่อยๆ เช่น 40 80 120 160 200
และพนักงานนี่ละตัวดีเลย บอกว่าขาดอีก เท่านั้น เท่านี้
 จะครบยอดนะ ซื้อของเพิ่มไหม แลกเสตมป์มูลค่า 1 บาท ได้ตั้ง 1 ดวงนะ
 (แต่โทษไม่ได้ครับ เข้าใจว่าเป็นนโยบายบริษัท)
ทำให้ 7-11 ฝั่งเข้าไปในหัวมากขึ้น เวลาหมดโปรโมชั่นแล้ว คำว่า 7-11 มันก็ฝั่งอยู่ในหัวนี้ละ

นี่ละครับ ความเลวร้ายของระบบทุนนิยมสามานย์
ที่มันครองงำคนไทยจนเสพติดไปแล้ว




ส่วนที่ผมจะกล่าวถึงคือธุรกิจเสื้อผ้าในโลตัสที่ได้ยินมาจากปากคนมีประสพการณ์

บ้านผมทำเสื้อ ดังนั้นญาติๆหลายคน เพื่อนในวงการก็เยอะ
อากู๋ทำวัตถุดิบสิ่งทอ เพื่อนอากู๋หลายคนก็ทำสิ่งทอครับ
อากู๋ เค้าเล่าว่าส่วนใหญ่ทำส่งออกแต่หลายคนหลวมตัว หลุดไปรับ งานของ โลตัส บิ๊กซี และ คาร์ฟู
ซึ่งอากู๋ ส่งปกไปขายให้บริษัทเพื่อนเค้าคนนี้ เลย ที่ทำให้โลตัส
ซึ่ง โหดร้าย
และ บริษัทพวกนี้ เอาเปรียบ ผู้ผลิตในประเทศอย่างเราๆ มาก
บริหารเก่งแค่ไหน โดน ปัดการจ่ายเงินไปเรื่อยๆ ก็เจ๊งได้เหมือนกันคับ
ซึ่งค่าแรกเข้า 500000 บาท เหมือนเป็นระบบเช่าพื้นที่ ขายได้ถึงจ่ายตังค์
แต่จริงๆ ควรจะให้เราบริหารการขาย แต่ไม่ เค้าจะเป็นคนขาย
และสั่งซื้อจากเรา (เวร) คือเรามีหน้าที่ผลิต ก็ผลิตไป
ซึ่ง ปรกติโลตัส คาร์ฟู บิ๊กซี(อีนี่ตัวดีเครือเซ็นทรัลโคตรโหด)
ตกลงกัน 6 เดือน (โคตรนาน)
ถ้าโลตัส role back มะไหร่ เค้าอ้างว่าทำสินค้าเราขายดี
ต้องลดราคาให้ 10%-20% ให้บิลรวมสินค้า ตอนที่เราไปเก็บเงิน
บางทีขายไม่ดี บอกขายไมได้เลย ก็ยังไม่จ่ายเรา
ตอนที่เค้าเล่าให้ผมฟัง ตอน ธันวาปีก่อน โลตัสติดเค้า 10 กว่าล้าน (เสื้อผ้านะ)
ตอนกลางปีที่ผ่านมา ปิดโรงงานไปแล้ว
ฮาไหมละ ยังเรียกเงินไม่ได้เลยด้วยนะ
มีรายแรก ก็ต้องมีรายสอง
 คนในอยากออก คนนอกอยากเข้า Modern Trade สัญญาเค้าต้องอ่านดีดี
 ถ้าไม่ดีอย่าเข้าไปขายในนั้นเลย


ไก่ต้ม ไก่ย่างตลาดนัด ก็ไก่ CP คับ
ยากที่เค้าจะไปซื้อไก่เลี้ยง
เพื่อนผมคนนึงเลี้ยงไก่ ก็ขายต่อไปให้ซีพี เพราะเค้ารับเยอะ แล้วCP ก็เอาไปคัดอีกที

ยกเว้น ถ้ากินแบบ ขนมปังปิ๊บ กะปิ หรือพวก ผักตามตลาด นี่ไม่ CP แน่ๆ

ย่านการค้าที่ผมอยู่ ย่านการค้านครเพชรเกษม อยู่ตรง เพชรเกษม 75/1
มี นายกสมาคมค้าปลีกแห่งประเทศไทย อาศัยอยู่ทำธุรกิจอยู่ที่นั่น(ในหมู่บ้านเวลามีงานอะไรเค้าก็เป็น ประธานทุกที)
เค้าต่อสู้เรื่อง โลตัส คาร์ฟู เซเว่นมานาน
เค้าก็บอกว่า ไม่จำเป็นต้อง พึ่งเซเว่น เราก็สามารถเปิด minimart ครบวงจรได้ เช่น Express หรือมีโนฮาวด้านการค้าปลีกก็สามารถทำเองได้
ตัวเค้าเองก็เปิด มินิมาร์ท หน้าถนน ของก็ถูก แต่ไม่มีพวก ไส้กรอกซาลาเปานะ
ผมเคยไปดูโกดังเค้า โหยิ่งกว่า Macro มีทุกอย่างจริงๆ ตั้งแต่สากกระเบือยันเรือรบ แถมทำกะปิ ขายส่งเองด้วย
เค้า จัดการบริหาร สินค้าเอง ด้วยเทคโนโลยี่ที่หามาได้ ไม่ว่าจะเป็ฯ บาร์โค๊ด ระบบ รางเลื่อน เช็คสต๊อกด้วยคอม ซึ่งก็ไม่ต้องใช้สเป็คสูง ไม่ต้องใช้ จอLCD ก็ทำงานได้
เค้าบอกอีกว่า ถ้าให้ โลตัส คาร์ฟู เซเว่นเป็นใหญ่ เราก็ไม่มีทางได้เป็นนายตัวเอง ได้แต่เป็นลูกจ้าง ตลอดชาติ จนลูกจนหลานของเรา
เป็นทาสนายทุนตลอดกาล

เรื่องที่จะรณรงค์ไม่ให้ซื้อ หรือ หยุดไม่ให้พวก ร้านสะดวกซื้อ กับ ห้างค้าปลีก หยุดขยายสาขา มันคงเป็นไปไม่ได้อยู่แล้วครับ

ปัญหานี้มันต้องพึ่งรัฐบาลจริงๆนั่นละครับ
ที่จะเข้ามาช่วยยกระดับ ร้านโชว์ห่วย
ให้เป็นแบบที่ คุณ กล่าวถึง อาเฮีย สมาคมค้าปลีก คนนั้น

อาจจะให้ตั้งในรูปของสหกรณ์ให้เป็นศูนย์กลางใหญ่ที่กรุงเทพ
แล้วแตกสาขาตามจังหวัดต่างๆ(มีสถานเป็นองค์การของรัฐ - เอกชน ก็ว่าไป แต่รัฐต้องถือหุ้นเกิน 51% ขึ้นไป เพื่อให้มีอำนาจในการบริหาร)
ที่จะทำการแจกจ่ายสินค้าไปตามร้านโชว์ห่วยต่างๆ
เพื่อที่จะได้ต้นทุนที่เป็นธรรมขึ้น ไม่ต้องไปซื้อจากห้างค้าปลีกพวกนี้

ในรูปสหกรณ์ ที่หลายๆคนว่ามาข้างบนก็น่าสนใจครับ
 อาจจะเก็บภาษีในอัตราต่ำ และมีระบบเงินปันผลให้สมาชิกคืนด้วย

ถ้ารัฐบาลรณรงค์อย่างจริงจัง
ออกโครงการปลุกจิตสำนึกรักชาติ ไทยช่วยไทย
 ผมว่าน่าจะมีทางไปได้นะครับ
 คงไม่ถึงกับต้องเอาชนะพวกร้านสะดวกซื้อหรอก

เอาแค่ให้มีอนาคตมากกว่าที่เป็นอยู่นี้ ก็น่าจะเพียงพอแล้ว


ถ้ารัฐบาลมีนโยบายส่งเสริมร้านค้าปลีก ร้านขายของชำ
 ร้านโชวห่วยในเมืองไทยอย่างจริงจัง มีธรรมาภิบาล
ไม่ช่วยเหลือ เปิดช่องทางให้กลุ่ม'ค้าปลีก'
 ของนายทุนพรรคฯเอารัดเอาเปรียบ
 ภายใต้การค้าเสรีขององค์การค้าโลก WTO ก็ทำได้....!!!

แต่รัฐมนตรีกระทรวงพาณิชย์ไทย
ทำหน้าที่รัฐมนตรีกระทรวงพาณิชย์(ต่างประเทศ)ประจำประเทศไทยมากกว่า
จะเห็นว่ารัฐมนตรีต่างชาติ เอกอัครราชฑูตต่างชาติ นักธุรกิจต่างชาติ
เข้าพบรัฐมนตรีกระทรวงพาณิชย์'อย่างว่า' มากกว่านักธุรกิจไทย
 ผู้ค้าปลีกไทย.....ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า

ประเทศไทยควรให้
ค้าปลีกขนาดเล็ก ขนาดกลาง ขนาดใหญ่ ขนาดยักษ์ และ ข้ามชาติ
ประกอบธุรกิจในประเทศไทยอยู่ร่วมกัน
 เป็นกำลังพัฒนาเศรษฐกิจไทย ธุรกิจค้าปลีก
 ภายใต้กฎหมายและกำกับของกระทรวงพาณิชย์
 หรือ หน่วยงานอื่นๆ เช่นเดียวกับรัฐบาลประเทศอื่นๆ
ได้บริหาร กำกับธุรกิจค้าปลีกภายในประเทศของเขา
 โดยเฉพาะประเทศมหาอำนาจทางเศรษฐกิจ ทางค้าปลีก เช่น
 สหรัฐอเมริกา อังกฤษ ฝรั่งเศส เนเธอร์แลนด์ ญี่ปุ่น
 ที่มีการลงทุนค้าปลีกในประเทศไทยอยู่แล้ว....!!!

ที่ผ่านมารัฐมนตรีฉ้อฉล แสร้งโง่
 ข้าราชการประจำกระทรวงพาณิชย์ที่ควรจะรู้จริง
 ควรจะชี้แจงให้รัฐมนตรีให้เข้าใจ
ให้สำนึกถึงหน้าที่ตำแหน่ง แต่ไม่ได้กระทำอย่างนั้น
 ส่วนใหญ่ตอบสนองความต้องการของรัฐมนตรี
ที่มาจากนายทุนพรรคฯด้วยซ้ำไป....

รัฐมนตรีเหล่านี้ ข้าราชการเหล่านี้
 แสดงความคิดเห็นเป็น'แผ่นเสียงตกร่อง'ว่า
ประเทศไทยอยู่ภายใต้กฏ ระเบียบการค้าเสรีขององค์การค้าโลก
 จึงต้องปฏิบัติตามกฏกติกาด้วย การมีกฎหมาย
 การมี พรบ.ค้าปลีกไม่ได้
 ทั้งที่ประเทศที่เอ่ยในคคห.นี้
ล้วนแต่เป็นประเทศที่สนับสนุนการค้าเสรี(เพราะได้เปรียบ)
และเป็นสมาชิกองค์การค้าโลกWTO ทั้งสิ้น....

พวกเขาไม่รู้ ไม่เข้าใจ หรือ เข้าใจ ไม่ยอมแก้ไข
ไม่ยอมออกฎหมายอย่างจริงจัง
 และ รวดเร็ว ยอมให้คนไทยที่'รู้ทัน'
 แสดงความรังเกียจ
 เหยียดหยามและประณามพฤติกรรมโฉดเขลา
 เพื่อรับใช้นายทุนพรรคฯ..... !!!


ทางออกของผมมันออกจะห้วนไปมาก
 เพราะเป็นธรรมดาที่ผู้บริโภคต้องแสวงหาสินค้าที่ราคาถูกกว่าอยู่แล้ว

มันคงเป็นไปได้ยากที่จะให้ผู้บริโภคไปอุดหนุนสินค้าตามร้ายโชว์ห่วย
ที่มีราคาสูงกว่าร้านสะดวกซื้อหรือห้างค้าปลีก

แต่ในมุมกลับกัน ก็พวกนี้ไม่ใช่หรือ ที่เอาแต่ถีบ บีบ
กฎหมายที่จะมาควบคุมห้างค้าปลีก
 (ฝ่ายนิติบัญญัติของเรา ก็ไม่ได้เรื่อง ไม่ได้คิดจริงจัง สำเหนียกต่อหน้าที่ของตนเองเลย มิหนำซ้ำยังโดดประชุมเป็นว่าเล่นอีก)
 ผมถึงอยากให้รัฐมาช่วยเหลืออย่างจริงๆจังไงครับ

ไม่ใช่ปล่อยให้แค่ คนไม่กี่คนที่ไม่มีอำนาจเต็มที่
มาเคลื่อนไหวอย่างที่เป็นอยู่ มันไม่ได้ผลเท่าไรหรอกครับ
 ห้างพวกนี้ไม่สะเทือนอยู่ละ

ส่วนเรื่องแผนการตลาดที่ผมมาโยงกับทุนนิยมสามานย์
 ต้องขออภัยด้วยครับ จริงๆแล้วผมก็ต้องขอชมเชยนะครับ
 พวกนี้ที่วางแผนการตลาดได้ดีขนาดนี้

เช่น ออกใบปลิวแจกว่า วันนี้ถึงวันนี้ มีสินค้าราคาถูก
 ซึ่งก็ถูกจริงๆและทางห้างก็อาจจะขาดทุนกับสินค้าประเภทนั้น
 แต่ว่าถ้าคนที่มาซื้อของ ซื้อสินค้าอย่างอื่นที่ไม่ได้ลดราคาไปด้วย
 มันก็พอหักลบต้นทุน แถมยังกำไรมากขึ้นได้อีก

ซึ่งความคิดพวกนี้ ของร้านค้าปลีก
 จะเอามาปรับใช้ให้เหมาะสมกับร้านโชว์ห่วยก็ได้
เพราะแผนการตลาดต่างๆที่ออกมา ก็เพื่อโน้มน้าวใจให้ผู้บริโภคเข้าไปอุดหนุนอยู่แล้ว


กฎเกณฑ์เท่านั้นจะเป็นตัวสร้างสมดุลย์ให้เกิดระหว่าง ค้าปลีก
 และร้านสะดวกซื้อขนาดใหญ่
การอ้าง เรื่องระเบียบการค้าตลาดเสรี
นั้นเป็นแค่ข้ออ้างมากกว่า เพราะว่า จริงๆ แล้ว มันไม่ีมีตลาดเสรีที่ไหน
ที่ไม่มีกฎเกณฑ์อะไรเลย
 เสรียังไงก็ต้องอยู่ใต้กฎเกณฑ์ เพียงแต่ว่า วันนี้ยังไม่ค่อยมีใคร
 (หรืออาจจะมีก็ได้ แต่ผมคงตกข่าว ไม่ค่อยได้เห็นข้อเสนอดีๆ จากใครเลย)
ที่เสนอให้รัฐออกกฎเกณฑ์
ที่เป็นรูปธรรม และยุติธรรม ต่อทั้งพวก โมเดอร์นเทรดและค้าปลีก

ส่วนร้านค้าโชห่วย ก็ต้องปรับตัวตามสภาพตลาดที่เปลี่ยนไปด้วยเหมือนกัน
 ตรงนี้ต้องยอมรับจริงๆ
ว่าใครจะไปเข้าไปซื้อร้านที่มืดๆ ฝุ่นเขรอะ
 ทั้งที่ข้างๆร้านเป็น เซเว่น อีเลเว่น เปิดแอร์เย็นฉ่ำราคา
เ่่ท่ากัน

สรุปว่าา มันต้องมีสมดุลของกฎเกณฑ์
 และการปรับตัวตามยุคของผู้ค้าเอง ให้สามารถแข่งขันได้


ปล คิดมาถึงตรงนี้ผมก็แปลกใจเหมือนกัน ว่าทุกวันนี้ที่เราบอกกันว่า ค้าปลีกไปไม่รอด จริงๆ แล้ว
มันหมายถึง ค้าปลีกพวกโชห่วยเท่านั้นใช่มั้ย
เพราะว่า พวกค้าปลีกเสื้อผ้าตามแผงลอย ทุกวันนี้ก็ยัง
ขายได้ขายดี คนเดินช๊อบตามข้างถนนเยอะแยะไปหมด
หรือพวก ข้าวแกงข้างถนน ก๋วยเตี๋ยวต้มยำ
ต่างๆ ก็ไม่ได้ถูก โมเดอร์นเทรด กลืนไปแม้แต่น้อย
ตรงนี้ผมก็ไม่มีคำอธิบายเหมือนกัน ว่าทำไมถ้าใคร
พอเข้าใจพอยท์ของผม ช่วยอธิบายหน่อยจะเป็นพระคุณอย่างสูง


ก็อย่างที่คนข้างบนบอกแหละคับ ที่ว่า
 ในเงินที่เท่ากันซื้อของได้ถูกกว่า เป็นทางเลือกของผู้บริโภค
เคยมีคนบอกว่า ถ้าซื้้อในชุมชน ก็ไม่ต้องเสียค่าเดินทางไปก็อาจจะประหยัดกว่า
แต่คนไทย ชอบอะไร ฟู่ฟ่าหวืหวา แบบห้าง มีแอร์ เดิน ด้วยส่วนนึง
ซึ่ง อาจจะมีอะไรให้ช๊อปมากกว่า ที่จะมาเดิน ตามโชวห่วย หรือตลาดนัด

ถ้ารัฐบาลสนับสนุนให้มีการจัดตั้งสหกรณ์ แล้วก็มี ตลาดนัดทุกวัน
 สำหรับชุมชนๆ นึง ซึ่ง
ผมว่า ระบบตลาดนัด ที่มีก๋วยเตี๋ยว บะหมี่ ข้าว อาหารตามสั่ง ก็ยังดีอยู่นะคับ
ถ้ามีการจัดสถานที่ เป็นระบบระเบียบ
ทางเดินสะอาดปลอดโปร่ง สินค้าราคาถูกยุติธรรม
เพราะสถานที่มีค่าเช่าที่ถูก คนก็ต้องมาช่วยอุดหนุน
ของในชุมชมก็จะขายได้ด้วยคับ

ยกตัวอย่างเช่น ตลาดและตลาดนัด ถนอมมิตรปาร์ค ตรงวัชรพล เป็นตัวอย่างที่ดี
คุณในย่านนั้น อยู่คอนโดแถวนั้น มาจับจ่ายของแถวนั้นกันหมด
 มีทั้ง ธนาคาร ตู้เอทีเอ็ม ของสดของแห้งขาย มือถือ นาฬิกา มีทุกอย่าง
ของกินเยอะมาก ตรงถนอมมิตรปาร์ค แต่ผมว่าไม่ใช่รัฐจัด
 แต่คงเป็นนายทุนเจ้าของที่ เดิมปรับปรุงสถานที่ใหม่ให้เป็นระเบียบหน้าเดิน ทันสมัยขึ้น
ด้านบนโปร่งสบาย ร้านโชว์ห่วยขายของทั่วๆ ไป
ก็เช่าที่ในนั้นขาย ซี่อิ้ว น้ำปลากะปิก็มี
ขายเป็นร้านอยู่แถวนั้น ตกดึกสามทุ่มสี่ทุ่มก็ ปิดร้าน
สบายเช่าเอาไม่ต้องใช้บ้านตัวเองคับ
ซึ่งถือว่า ครบวงจรมาก ซึ่งโลตัสแถวๆ นั้น
เป็นโลตัส express ขนาดใหญ่ คนเดินไม่พลุกพล่านเท่าตลาดนี้เลยคับ
 เพราะตรงนั้นมี เสถียรธรรมสถาน อยู่ด้วยมั้ง (เกี่ยวไม้เนี่ย)

คุณสวีทชิน เฮีย นายกสมาคมค้าปลีกแห่งประเทศไทย
 ชื่อ เฮียบู้ ถามแม่มาแล้ว
ออกทีวีบ่อยๆ หัวล้านๆ ที่คอยวิ่งเต้นร่างกฎหมาย
 ข้อบังคับของการขยายสาขา ของ ห้างยักษ์ใหญ่

ผมว่านะ 7/11 มันจะดีถ้า CP ไม่มาโจมตีกันเองแบบนี้ รายได้ก็จะกระจายทั่วถึงจริงๆ

ในความคิดผม ถ้าจะทำ minimart ผมจะเลือก family mart ไม่ก็ ยี่ห้ออื่นคับ ไม่เลือก 7/11 เด็ดขาด

จากการสำรวจตลาดนัดแถวบ้าน
ตลาดนัด หน้าบิ๊กซี เพชรเกษม (พวกเสื้อผ้ากระเป๋า) ค่าเช่าวันละ 600 บาท
ผมว่าเสื้อที่ถูกผลิตขึ้นมัน Overdemand กว่าความต้องการของคนปัจจุบันนะ
ผู้เข้าเล่นเกมธุรกิจเสื้อผ้า มันเยอะมากๆนะคับ
อย่างจากประมาณโดยสายตา ตลาดนัดบิ๊กซี มีผู้ค้าเสื้อผ้าไม่ต่ำกว่า 50 เจ้า
เจ้านึง มีเสื้ออยู่ประมาณ เฉลี่ย 100-500 ตัว Stock นี่ผู้ค้ารายย่อยนะคับ
ยังไม่รวม โบ๊เบ๊ ที่มีสต๊อกผ้ามากมาย
Platinum ห้างเดียวไม่ต่ำกว่า 2 ล้านตัว
ของที่สต๊อกต้นทุนคือเงิน ที่เสื่อมค่าลงทุกวัน ด้วย กฏ Time Value Of Money
เงินทุกบาท ถ้าสต๊อก มีค่าเสียโอกาศ ดอกเบี้ย และ ผลตอบแทนนะคับ
ถ้าอาหารผมไม่เถียงเลยคับว่าขายดีและยังขายได้อยู่
แต่เสื้อผ้า นี่ เถียงขาดใจเลยคับ

ที่พิมพ์มานี่คือ เสื้อผ้าไม่ใช่ว่าขายดีนะคับ ไม่ดีเลยอย่างแรงๆ
ไปคุยกะคนขายมา เค้าก้ปวดหัว ตามๆกัน
แค่ขออยู่รอดได้ไปวันๆ แหนะคับผม

เป็นไปได้มั๊ยครับว่าเมื่อถึงช่วงวิกฤตเศรษฐกิจที่กำลังเกิดขึ้นในปีหน้าของไทย
 จะทำให้พวกคอนวีเนี่ยนสโตว์ล้มลงแบบโดมิโน
เพราะปัจจัยการบริโภคของคนต้องปรับเปลี่ยนอันเนื่องจากรายได้ลดลง
 มีอยู่ช่วงนึงที่เจ้าสัวซีพีออกมาโชว์วิชั่นส์ในเรื่องเศรษฐกิจว่าของต้องสูง
รายได้สูง ซึ่งผมมองว่าเป็นประโยชน์กับธุรกิจของแกมากกว่าประโยชน์ต่อคนส่วนรวม
 ลองนึกดูนะครับว่า ถ้าคุณมีรายได้สูงขึ้นจริงในขณะที่เงินเดือนคุณเพื่มขึ้นแค่ส่วนเดียว
 แต่สินค้าทุกชนิดนั้นสูงขึ้นหมด เท่ากับว่าคุณต้องแบกรับภาระมากขึ้นกี่เท่าตัวหล่ะครับ เงินเดือนส่วนเดียวของคุณต้องไปจ่ายให้กับสินค้านับสิบชนิดหมด
หากไม่รู้จักแบ่งสรรปันส่วน ในสมัยที่ผมเรียนหนังสือในวิทยาลัย
 อาจารย์ผมก็เคยทำนายไว้ว่าอีกหน่อย
พวกร้านโชว์ห่วยต้องเปลี่ยนเป็นคอนวีเนี่ยนสโตว์หมด
 พอมาวันนี้ผมก็นึกถึงคำพูดท่านได้เสมอ
จุดนึงที่เป็นข้อด้อยของร้านโชว์ห่วยคือ
 คุณไม่ได้จับต้องสินค้าหรือพิจารณาก่อนซื้อ
 และบางอย่างไม่ได้ติดราคากำกับไว้
โดยนิสัยของคนต้องการจับต้องหรือเลือกสินค้าจนถูกใจก่อนที่จะจ่ายตัง
 ดังนั้นถ้าปรับปรุงร้านให้ใกล้เคียงกับคอนวีเนียนสโตว์ก็น่าจะพออยู่ได้ดูจากหลายๆ ร้านเจ้าของก็ปรับปรุงชั้นวางสินค้า
หาสินค้าให้หลากหลายมากขึ้น ติดราคา มีเคาเตอร์คิดเงิน
 จะต่างกันตรงอาจจะไม่ได้เปิด 24 ชั่วโมง
แต่ก็จะเซฟเรื่องการจ้างพนักงาน แต่จุดขายของโชว์ห่วยก็จะไม่ต่างจากคอนวีเนียนเลย ทางออกก็คือต้องหาจุดต่างในการเรียกคู่แข่ง
อย่างเช่น อาจจะหาสินค้าเกษตรพื้นเมืองที่ไม่ผ่านพ่อค้าคนกลางมาขายโดยตรงมาเสริม
หรืออาจจะทำขายเองเช่นในเซเว่นมี ขนมจีบซาละเปา
ของร้านโชว์ห่วยอาจทำพวกน้ำพริกต่างๆพร้อมกินไว้จิ้มกินกับข้าวเหนียว เป็นต้น
 แล้วแต่แหล่งชุมชนนั้นๆ
ผมว่าตอนนี้คนไทยควรตื่นตัวกันเอง มากกว่าจะมารอการออกกฎหมายป้องกัน
 ส่วนหนึ่งควรรณรงค์ให้ใช้ร้านค้าไทยมากกว่าร้านค้าจากต่างชาติ
 เช่นอุดหนุนสหกรณ์ในชุมชน (แต่สาขาน้อยเหลือเกินในกรุงเทพฯรู้สึกจะมีแค่สี่สาขา)
 ถ้าใครที่มีพื้นที่ใกล้สะดวกก็ควรอุดหนุน มันจะได้เกิดการสมดุลในเศรษฐกิจ


อย่างเซเว่น ถ้าเป็นของคนธรรมดาอาจจะล้มเมื่อเศรษฐกิจไม่ดี
แต่เซเว่นของ ทาง CP มาเปิดเองล้มยากครับ เค้าเอารายได้
 สาขาอื่นช่วยสาขารายได้น้อยอยู่

ยกตัวอย่าง McDonald หน้าเอแบค วันๆ ขายไม่ค่อยได้
 ทั้งวันคิดว่ามีคนกินเบอร์เกอร์ไม่เกิน 20 ชิ้นหรอกครับ
ที่เหลือก็น้ำ โต๊ะละแก้ว เฟรนฟราย โต๊ะละถุง นั่งกันห้าคน ติวหนังสือไปทั้งวัน
แต่สาขานี้ก็ยังอยู่ได้ ไม่เจ๊ง
จารย์บอกว่าเป็นกลยุทธ ที่ปิดทาง เจ้าอื่นเช่น A&W กับ ChesterGrill
สองเจ้าเปิดข้างแม็คเจ๊งไปหมด แม็คยังอยู่คับ
ถึงขายได้น้อย แต่ก็เปิดๆไว้ ปิดทางเจ้าอื่น แต่กำไรไม่มากใช้กำไรสาขาอื่นช่วย

อีกตัวอย่าง สตาร์บัค ถ้าไปสังเกตุ ที่ แยก ราชประสงค์แหล่ง คนเมือง
รอบอนาบริเวณ นั้น มีสตาร์บัค มากกว่า 10 สาขานะคับ
กลยุทธ ป่าล้อมเมือง คับ
ต่อให้คุณมีไอเดีย เริดหรู เปิดกาแฟเทพแค่ไหน
 คนก็ไม่เข้า เข้าสตาร์บัคหมด
เค้าปิดทางคนเดินผ่าน ทุกทาง ตั้งแต่ หลังสวน หน้าเซ็นทรัลชิดลม หน้าโซโก้ ในเซ็นทรัลเวิรด์ ไม่ก็พาราก้อน แห่งเดียวมี สี่สาขา
ไม่ใช่ทุกสาขาจะขายได้หมด แต่ทุกสาขาช่วยกันดูดลูกค้าเข้าบริษัท

กรณี 7/11 ก็เหมือนกัน อนาบริเวณ ล้อมรอบ
 ชุมชนชุมชนหนึ่ง สมมุติ ในชุมชน+รอบๆ มี 10 สาขา และเป็น CP ดูแลทั้งหมด
ไม่ทุกสาขาหรอก ที่ขายดีคับ แต่แต่ กำไรรายได้ เค้าน่าจะถัวเฉลี่ยกันได้
เพราะ เจ้าของเดียวกันหมด แถมได้มา ด้วยการ
ไปซื้อคืนครึ่งราคา ต้นทุนการเปิด ก็น้อยลงไปอีกคับ
 ถือว่าแต่ละสาขาต้นทุนทางธุรกิจน้อย จริงไหมคับ
แต่ สมมุติ 2 ใน 10 เป็นของบุคคลธรรมดา ก็ต้องไม่ไหวเป็นธรรมดา
 เพราะเป็นประชาชนตาดำๆ ฐานะปานกลางอยากลงทุน
คนเข้าเฉลี่ยไปใน 10 สาขา รายได้น้อยอยู่ต่อไม่ไหวก็ต้อง ปิดเป็นธรรมดา ไม่เหมือน ทุนใหญ่อย่าง CP
อยู่ได้ เพราะมีทุน อำนาจต่อรอง supply เครดิตอย่างที่ผมบอกพวก ห่า นี่ ครึ่งปี
เลยคับ
LH ก็ครึ่งปีนะ Land & House มันถึงอยู่รอดได้ถึงทุกวันนี้ไม่เคยเจ๊งไง LH

ถ้าเป็นกลยุทธจีนเค้าเรียก หลี่ตายแทนถาว
คือเอาร้านไปตั้งในเขตที่ขายไม่ดี
 แต่ก็ดีกว่าที่เค้าไปเข้าเจ้าอื่นจริงไหมคับ
กลยุทธนี้ใช้กับทุกอย่าง เช่น Nokia ยิลเล็ต
Nokia ออก รุ่นใหญ๋ๆ มาก่อน ฟังชั่นครบครัน 28000
หนึ่งเดือนต่อมาออกรุ่นเล็ก ตัดไปหนึ่งฟังชั่น 14000 โอ้วถูกลงครึ่งนึง
 ตัดฟังชั่น ถ่ายรูปทะลุกระโปร่งออกไป คุ้มคนก็แห่ไปซื้อกัน

ยิลเล็ท สังเกตุง่ายสุด
ใบมีดแพ็ค 5 อันขาย 250
แต่ด้ามบวก 3 ใบมีดขาย 320 (เหตุสมมุติ)
คนทั่วไปก็จะคิด "เฮ้ยคุ้มว่ะ เพิ่ม 70 บาทได้ด้ามด้วย"
เหล่าหรอก เค้าหลอกขายด้ามนายตางหาก
ใบมีดก็อยู่บนหิ้งไปนานแสนนาน ยอมให้มีดตายและขายไม่ได้ไป
เพื่อขายด้ามที่ราคาแพงกว่าออก

แผนการตลาดพวกนี้ ส่วนใหญ่ใช้จิตวิทยา มาช่วยทั้งนั้นละครับ
 เพื่อให้คนเราคิดไปเองว่า ของนั้นเราซื้อได้ในราคาถูกแล้ว

ซึ่งความเป็นจริงมันอาจจะไม่ใช้สิ่งที่เราคิดก็เป็นไปด้วย
 กลยุทธ์พวกนี้เห็นได้ง่ายๆตามห้างค้าปลีกด้วย
เช่น ออกใบปลิวบอกว่าสินค้าใดมีลดราคา

หรือขายสินค้ายอดนิยมบางอย่างที่ต้นทุนไม่สูงมากแบบยอมขาดทุน
 แล้วไปถั่วเฉลี่ยในสินค้าอื่นที่ไม่ได้ลดราคาไปด้วย(หักลบแล้วยังไงก็กำไร)

เช่นขนมถุงละ 20 บาท
 ซื้อถุงเดียวราคา 20 บาท / ซื้อ 2 ถุงราคา 30 ซึ่งจริงๆแล้วก็ขาดทุน
 แต่ไม่มีใครหรอกเข้าห้างแบบนี้ทั้งที เพื่อมาซื้อขนม

มันก็ต้องหยิบอย่างอื่นไปด้วยอยู่แล้ว ซึ่งในที่สุดห้างฯ ก็ได้กำไรจาดพวกนั้นละ ยิ่งมีโปรโมชั่นซื้อสินค้าในเครือบริษัทนี้ครบ ... บาท
จะได้ของแถมเป็นแก้ว นาฬิกา หมอน ฯลฯ
 พวกนี้เป็นกลยุทธ์การขายที่มีแต่ห้างค้าปลีก
หรือ ร้านคอนเวอร์เนี่ยนสโตร์(สะดวกซื้อ) เท่านั้นละครับที่ทำได้

กลับไปที่ร้านโชว์ห่วยอีกครั้งนั้น เห็นได้ว่า
ถ้าไม่รวมตัวกันจริงๆจัง มี สหกรณ์
หรือ องค์กร ใดเป็น ศูนย์กลางในการรับ - ส่งสินค้า
ก็จะไม่มีอำนาจต่อรองแบบพวกห้างค้าปลีก
 ร้านคอนเวอร์เนี่ยนสโตร์ เด็ดขาด

เพราะยังไงแล้ว ของที่วางขายตามร้านโชว์ห่วย
 ส่วนใหญ่มันก็รับมาจากห้างค้าปลีกอยู่ดีนั่นละ
 ไม่มีใครหรอกบ้าไปซื้อของประเภทเดียวกันแต่แพงกว่ามา

เพราะฉะนั้น ทำยังไงที่ร้านโชว์ห่วยจะมีอำนาจต่อรองในการเจรจากับ ผู้ผลิต เพื่อที่จะเป็นศูนย์การในการแจกจ่ายสินค้าไปยังร้านโชว์ห่วยได้
 ด้วยต้นทุนหรือถูกกว่าราคาเดียวกับห้างค้าปลีก
 ร้านคอนเวอร์เนี่ยนสโตร์ รับมา

ผมว่าการจะตั้งศูนย์กลางแบบนี้ขึ้นมาได้
 รัฐบาลก็ต้องมีส่วนผลักดันอย่างจริงๆจังๆอยู่แล้วครับ
ไม่งั้นก็ไปไม่รอดหรอก และต้องให้อำนาจรัฐเหนือเอกชน
ไปให้ศูนย์กลางพวกนี้ด้วย เพื่อใช้ในการเจรจาต่อรอง

และก็ไม่ควรเอาเปรียบ ผู้ผลิต จนเกินไปนัก อาจจะลดเครดิตลงมา หรือ มีการให้สิทธิพิเศษทางภาษีบางประการ หากมาขายให้ ศูนย์กลาง ที่ว่านี้แบบราคาพิเศษ

เรื่องจะมีคนซื้อหรือไม่ซื้อร้านโชว์ห่วยนั้น
 ถ้ามีการปลุกสำนึกรักชาติ ไทยช่วยไทย กันจริงๆ
 ผมว่าก็มีคนซื้ออยู่ดีนั้นละครับ การปรับปรุงภาพลักษณ์ร้านโชว์ห่วย
 ไม่ได้ยากจนเกินไปนัก หากว่าร้านนั้นมีของถูก
(ถูกกว่าห้างค้าปลีก ร้านคอนเวอร์เนี่ยนสโตร์ ยิ่งดี)มาวางอยู่ ...
เซเว่น เป็นเครือข่ายครับ ไม่ล้มง่ายๆหรอกเพราะมันเป็น Franchise
เขาก็มีกลยุทธรับมือของเขากับภาวะ ศก.
โปรโมชั่นเยอะขึ้น การต่อรองเยอะกว่าร้านโชวห่วย

พวกขายผ้าตามแผงลอยอย่าคิดว่าขายได้อย่างเดียวนะครับ
ลองคิดดูดีๆ ขายได้สักเท่าไหร่เชียว ค่าครองชีพ
กินวันเดียวก็หมดแล้วครับ ขายเป็นวันๆ อยู่ไปวันๆล่ะ
พวกขายผ้า ขายของริมถนนน่ะ..
ส่วนพวกธุรกิจถั่วงอกแบบร้านกาแฟ ร้านผ้าตามสยาม จตุจักร
 อยู่ได้ไม่นานหรอกครับ แปปๆก็เจ๊งแล้ว know-how ไม่มี
คิดถึง supply มากกว่า demand อ่ะ

ลองอ่านนี่สิครับ
http://www.bangkokbizweek.com/20070903/ ... 49625.html


ก็เห็นด้วยแหละว่ามีผลกระทบจริงๆ แต่การแก้ไขควรทำทั้งสองฝั่ง
 โดยการยกระดับของโชว์ห่วยขึ้นมาให้ได้
ไม่ใช้ไปกดดันผู้ผลิตรายใหญ่อย่างเดียว เพราะเห็นคนโวยวายกันเยอะว่าเดือดร้อน
 แต่พอจะให้รวมตัวกันทีไร ก็ต่างคนต่างทำไม่ช่วยกันเองจริงๆจังๆสักที
ก็คงยากจะแข่งขันครับ
 (แต่ก็พอเข้าใจว่าร้านเก่าแก่ทั้งหลายที่เปิดมานานแล้ว มักไม่ค่อยมีไอเดียจะ upgrade ตัวเองเท่าไหร่)

- การบริหาร logistic + supply chain ช่วยให้บริษัทใหญ่ๆอยู่ด้วย
 โชว์ห่วยควรเลียนแบบมั่ง โดยการรวมตัวกันสร้างอำนาจต่อรองเอง
ไม่ใช่ประท้วงขับไล่ เพราะถ้าหาก Store ขนาดใหญ่
หายไปโชว์ห่วยจะลำบากกว่าเก่า

- การแข่งขันกับ 7-11 นั้นปกติแล้วเป็นไปไม่ได้ในแง่คุณภาพ
โชว์ห่วยต้องทดแทนด้วยการเน้นสินค้าที่ 7-11 ไม่มี(สินค้าท้องถิ่น) หรือขายให้ถูกกว่า7-11 เพราะ7-11 มีลักษณะพื้นฐานคือกำหนดราคาจาก ศูนย์กลาง
 (สินค้าทุกตัวถูก set ราคาจากสำนักงานใหญ่-ตรงดิ่งไปที่คอมร้านเท่านั้นบังคับราคามาตรฐาน)
ซึ่งโชว์ห่วยถ้าจัดการขนส่ง + stock ดีๆก็สามารถขายถูกได้มากกว่าเล็กน้อย (แน่นอนว่าต้องพึ่งห้างขายส่งขนาดใหญ่ด้วย)

- โชว์ห่วยมี 3แสน , 7-11 กำหนดมี5พันสาขาเท่านั้น (นโยบายเขาไม่เพิ่มกว่านี้แล้ว)
 แต่ที่โชว์ห่วยจะตายเพราะตัดลูกค้ากันเองด้วยมากกว่า


ตอนที่ซีพีขายโลตัสเนี่ย โลตัสเป็นธุรกิจที่ทำกำไรให้ซีพีมากนะครับ
เพียงแต่ว่าต้องขายของดีเพื่อให้ได้ราคา
ตอนนั้นถ้าจำไม่ผิดขายได้ 9200ล้านจากจำนวน 13 - 14 สาขา เค้าต้องเอาเงินมาโปะธุรกิจที่ขาดทุนแต่คิดว่ามีอนาคต(มั้ง) อย่าง True หรือ TA สมัยก่อน

ตอนแรกการบริหารของโลตัส ใช้คอนเส็ปของ Wallmart ซึ่งเป็นอเมริกันมากๆ
เค้าใช้การขายเอากำไรน้อยๆ
แต่ขายจำนวนเยอะๆ เพิ่อใช้จำนวนซิ้อรวมต่อรองกะซัพพลายเออร์ให้ได้ราคาที่ถูกลง สมัยก่อน ซํพพลายเออรฺเป็นคนกำหนดตลาดครับ
 คิดว่า เค้าคงเอาโลตัสเป็นตัวรองเพื่อปิดยอดขายเวลาที่ยอดขายรายเดือนไม่ถึงเป้า ซึ่งทำให้โลตัสสามารถโตขึ้นมาได้
ตอนนี้พวกซัพพลายเออร์คงกะลังร้องให้เสียใจกันอยู่ครับ)

หลังจากที่ขายให้เทสโก้แล้ว
จึงเป็นช่วงแห่งการขยายตัวของโลตัสอย่างแท้จริง
และก็นำเอาคอนเซ็ปของยุโรปมาใช้ คือขายของราคาปกติ
 ส่วนของถูกใช้ Housebrand มาเป็นตัวธง
 และปรับตัวเองเพิ่มฟอร์แมท ซึ่งจริงๆแล้ว Tesco Express คือธุรกิจที่ถนัดของเทสโก้ เทสโก้ไม่รู้จักซูเปอร์สโตร์มาจนซื้อโลตัส
ถึงได้เอาคอนเซ็ปซูเปอร์สโตร์จากไทยไปเปิดที่อังกฤษ
 ถ้าไปเดินที่โน่นก็จะเห็นป้ายคุ้นๆ

ถามว่าแล้วร้านพวกนี้ขายของถูกจริงรึป่าว
 คำตอบคือถูกแต่ไม่หมดครับ เค้าใช้วิธีทำให้คนรู้สึกว่าถูกมากกว่า
 ถ้าเช็คราคาสินค้าดูจริงๆ จะพบว่าของในร้านค้าใกล้บ้านเราขายถูกกว่าเป็นส่วนใหญ่ครับ
 แต่เค้าจะเลือกสินค้าที่ขายดีอยู่ใน top 100 ตัว
และก็ขายในราคาที่ถูกกว่าคนอื่น 25สตางค์ ถึง 1บาท
 และก็หาสินค้าโปรโมชั่นมาขายตัดราคาเพิ่อตอกย้ำให้คนรู้สึกว่าถูก
 ที่ผ่านมาจะเห็นร้านโมเดอร์นเทรดแข่งกันโฆษณาราคาสินค้ากัน
 ยิ่งทำให้คนรู้สีกว่าต้องซื้อในร้านแบบนี้ถึงจะถูก

ส่วนที่ว่ากันว่าสินค้าหลายตัวเค้ามีกำไรเกินครึ่ง จริงครับ
แต่เค้าจะใช้วิธีถัวเฉลี่ยครับ สินค้าจะแยกเป็น 4กลุ่ม
 สินค้าอุปโภคกำไรประมาณ 0 - 3% เสื้อผ้า 20 - 50% อาหารสด 50-100%
ของใช้ 50-100% แต่ถัวออกมาแล้วเหลือกำไรประมาณ 15 - 20%
 ยังไม่หักค่าใช้จ่ายนะครับ หักแล้วเหลือประมาณ 8-10%

เอาแค่นี้ก่อนแล้วกันครับ ถ้าอยากรู้ประเด็นไหนลองถามมาครับ
ถ้าพอมีความรู้จะลองตอบให้
ส่วนเรื่องทางรอดของโชวห่วยไทยพอมีครับ
แต่คนรอดคงไม่เยอะ...มันมีปัญหาหลายอย่างครับ
 และก็มีคนหรือองค์กรเข้ามาเกี่ยวข้องหลายฝ่ายครับ

 Sad


บันทึกการเข้า

แวมไพร์-LSVteam♥
.กลุ่มผู้มีน้ำใจงาม.
member
*

คะแนน912
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3712


..เรียนให้รู้เป็นครูเขา.Learning by doing


« ตอบ #1 เมื่อ: ธันวาคม 03, 2008, 02:13:23 PM »

สินค้าก่อสร้างยังไม่ลดลงเลย งงงง น้ำมันก้อลงไปเยอะแล้ว ปูนเพชร ยังราคา 135 บาทต่อถุงส่วน ปูนก่อฉาบอยู่ ถุงละ 110 บาท

ราคาเหล็กลดลงเล็กน้อย คุณภาพก้อลดลงด้วย หักง่ายไม่เหนียวเหมือนแต่ก่อน งง
บันทึกการเข้า
หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1 RC2 | SMF © 2001-2006, Lewis Media

lsv2555Please follow the new website at https://www.pohchae.com

Valid CSS!