การเลี้ยงนก เลิฟเบิร์ด (love bird)รายได้ดี.
LSVคลังสมองออนไลน์ "ปีที่21"
พฤษภาคม 14, 2024, 04:53:47 PM *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
   หน้าแรก   ช่วยเหลือ เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก  
หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: การเลี้ยงนก เลิฟเบิร์ด (love bird)รายได้ดี.  (อ่าน 1841 ครั้ง)
ช่างเล็ก(LSV)
Administrator
member
*

คะแนน1346
ออนไลน์ ออนไลน์

กระทู้: 18675


คิดดี ทำดี ชีวิตมีแต่สุข


อีเมล์
« เมื่อ: ตุลาคม 04, 2018, 10:45:17 AM »

หากอ่านบทความไม่พอดีกับจอมือถือ ดูเนื้อหาและคลิปวีดีโอที่เกี่ยวข้อง> w ww.ubmthai.com เวอร์ชั่นสมาร์ทโฟน >>คลิ๊ก!!  www.pohchae.com
.
.      ------------------------- การเลี้ยงนกเลิฟเบิร์ด "เลิฟเบิร์ด" จัดเป็นนกแก้วชนิดหนึ่งที่มีตัวเล็ก มีหลายสายพันธุ์แยกได้เป็นทั้งหมด 9 ชนิด มีถิ่นกำเนิดในทวีปแอฟริกาและหมู่เกาะมาดากัสการ์ มักอยู่รวมกันเป็นฝูง ปัจจุบันคนไทยได้นำนกชนิดนี้มาเลี้ยงเป็นสัตว์สวยงามกันแพร่หลายและสามารถเพาะขยายพันธุ์ได้ตลอดทั้งปี, เลิฟเบิร์ดจัดเป็นนกที่มีเสน่ห์, ขี้เล่น จะอยู่กันเป็นคู่ ที่สำคัญ เป็นนกที่มีนิสัยรักเดียวใจเดียวและมีสีสันที่หลากหลาย ในวงการเลี้ยงนกต่างก็ทราบดีว่าเลิฟเบิร์ดขยายพันธุ์ได้ง่ายทำให้เกิดสีใหม่ ๆ และพัฒนาอย่างต่อเนื่อง [embed]https://www.youtube.com/watch?v=CBFXkOxZZP0[/embed] คุณยุทธนา อิ่มอโนทัย ชาวคลองสาน กรุงเทพมหานคร เป็นคนไทยรายหนึ่งที่ประสบความสำเร็จในการพัฒนาสายพันธุ์นกเลิฟเบิร์ด ได้รับการยอมรับจากผู้นิยมเลี้ยงทั้งในและต่างประเทศปัจจุบันมีพ่อ-แม่พันธุ์นกเลิฟเบิร์ดประมาณ 700 คู่ การเลี้ยงในระบบโรงเรือนปิด ป้องกันเชื้อโรคทั้งจากยุง นกหรือแมลงต่าง ๆ จากภายนอก จัดเป็นแหล่งเลี้ยงนกที่มีการจัดการและความสะอาดได้มาตรฐานทีเดียว.. คุณยุทธนายังได้ให้รายละเอียดเกี่ยวกับการผสมพันธุ์นกเลิฟเบิร์ดว่า นกที่จะใช้เป็นพ่อ-แม่พันธุ์ จะต้องมีอายุไม่ต่ำกว่า 1 ปี วิธีการดูนกเพศผู้และเพศเมียให้สังเกตดังนี้ ถ้าดูจากลักษณะภายนอก ตัวเมียจะค่อนข้างโตกว่าตัวผู้ แต่สีสันของตัวผู้จะเด่นชัดและสวยกว่าตัวเมีย ใช้วิธีจับตะเกียบ ตัวเมียตะเกียบจะห่าง ๆ และไม่ค่อยแหลม ส่วนตัวผู้ตะเกียบจะชิดกันและค่อนข้างแหลม เมื่อเราได้พ่อ-แม่พันธุ์แล้วทดลองจับนกทั้ง 2 ตัวใส่ในกรงเพาะที่ได้เตรียมไว้พร้อมกับรังไข่ ถ้าปรากฏว่านกยืนคู่กันและเข้าไปในรังไข่แสดงว่านกเข้าคู่กันแล้ว นกเลิฟเบิร์ดที่เพาะขยายพันธุ์และนิยมเลี้ยงในประเทศไทยจะแบ่งออกเป็น 2 ประเภทคือ ไม่มีขอบตาและมีขอบตา แรกเริ่มจะมีสีอยู่ 2 กลุ่มคือ นกกลุ่มสีเขียวและนกกลุ่มสีฟ้า ปัจจุบันนกกลุ่มสีเขียวได้มีการพัฒนาสายพันธุ์ไปจนกระทั่งเป็นนกสีเหลือง ส่วนสีบริเวณหน้านกจะเป็นสีแดงในช่วงแรกและถูกพัฒนาจนกระทั่ง เป็นหน้าสีส้ม ส่วนนกกลุ่มสีฟ้าจะถูกพัฒนาไปจนกระทั่งเป็นนกสีม่วงและสีหน้าของนกกลุ่มนี้จากเดิมจะเป็นสีปูน (สีขาวหม่น ๆ ออกสีส้มจาง ๆ บริเวณหน้าผาก) ได้ถูกพัฒนาพันธุ์เป็นนกหน้าขาว นกเลิฟเบิร์ดในแต่ละสายพันธุ์อาจจะมีชื่อเรียกที่แตกต่างกันออกไป ราคาซื้อ-ขายนกเลิฟเบิร์ดจะถูกหรือแพงคงหนีไม่พ้นเรื่องสี อย่างกรณีของ นกขอบตาหนา เซเบอร์พายด์ม่วง (โดมิแนนท์) จะมีราคาสูงมาก เนื่องจากยังไม่มีใครมี อย่างไรก็ตามปัจจัยในการตั้งราคาจะขึ้นอยู่กับความต้องการในตลาดมากกว่า ถ้าตลาดมีความต้องการสูง ราคาจะแพง.. ..อีกตำราอธิบายว่า เลิฟเบิร์ด เป็น นกแก้วประเภทหนึ่งที่มีขนาดเล็กความยาว 5-6 นิ้ว โดยมีถิ่นกำเนิดในทวีปอัฟริกา และหมู่เกาะมาดากัสก้าซึ่งเป็นแถบที่อบอุ่นถึงค่อนข้างร้อน ในธรรมชาติ เลิฟเบิร์ดจะอยู่รวมกันเป็นกลุ่ม เมื่อถึงวัยเจริญพันธุ์และเลือกคู่ได้แล้ว มันจะอยู่กับคู่ของมันไปจนตาย ด้วยเหตุนี้จึงมีชื่อวิทยาศาสตร์เป็นภาษากรีกว่า Agapornis มีความหมายในภาษาอังกฤษว่า Lovebird แต่ในปัจจุบัน Lovebird ได้กลายเป็นนกสวยงามที่มนุษย์ได้นำมาทำการพัฒนาจนกลายเป็นนกสวยงาม ซึ่งสามารถเพาะขยายพันธุ์ในกรง อีกทั้งสามารถสลับคู่ครองได้จึงแตกต่างไปจากนกในธรรมชาติที่จะอยู่ กับคู่ของมันเพียงตัวเดียวไปจนตาย เลิฟเบิร์ด เป็นนกที่มีสีสันสวยงามและสามารถพัฒนาสีได้ จึงเป็นนกที่ทำให้ผู้เลี้ยงเกิดจินตนาการ และมีความสุขเมื่อได้เห็นลูกหลาน ที่มีสีสันแตกต่างออกไปจากพ่อแม่นก อีกทั้งสามารถนำลูกนกมาป้อนเพื่อให้เป็นนกเชื่องและสามารถสอนให้พูดได้อีกด้วย ประวัติความเป็นมา ในสมัยแรกเริ่มคือช่วงปี 1840 นก Lovebirds เป็นนกที่มีสายพันธุ์เดียวกับนกแก้ว (Parrot) จึงเรียกว่าเป็น Little Parrot ตามประวัติกล่าวว่าชาวแอฟริกาเป็นผู้นำนกชนิดนี้เข้าไปแพร่หลายในทวีปยุโรป และ ด้วยเอกลักษณ์ของนกชนิดนี้ก็คือ ชอบอยู่เป็นคู่ และจะดูแลกันและกันเป็นอย่างดี จึงได้รับการเรียกขานว่า Lovebirds ในที่สุด ต่อมา Lovebirds ก็แพร่ขยายไปในอเมริกาด้วยในศตวรรษที่ 60 เมื่อมีการแพร่ไปมาก ๆ จึงเกิดการกลายพันธุ์ จากเดิมที่เป็นสายพันธุ์ Parrot ก็มีการเรียกชื่อใหม่ ว่าเป็นสายพันธุ์ Agapornis ต่อมา ในช่วงศตวรรษที่ 80 การเลี้ยงนก Lovebirds มีจุดมุ่งหมายก็เพื่อให้ได้สีสันใหม่ ๆ ที่สวยงามขึ้น และเป็นการพัฒนาสายพันธุ์ รวมทั้งมีการผสมกับนกสายพันธุ์อื่น ๆ อีกด้วยจนปัจจุบันนก Lovebirds ได้กลายเป็นสัตว์เลี้ยงภายในครอบครัว และเป็นที่นิยมมากขึ้น เรื่อย ๆ สายพันธุ์ เลิฟเบิร์ด เป็นนกแก้วที่ตัวเล็ก มีสายพันธ์ แยกเป็น 9 ชนิด มีถิ่นกำเนิดจากทวีป แอฟริกา เป็นนกที่มีเสน่ห์ ขี้เล่น จะอยู่กันเป็นคู่ มีสีสันมากมาย เริ่มต้นทีแรกเลยจะเป็นสีเขียว แล้วคนนำมาเพาะเลี้ยงแล้วพัฒนาสายพันธ์ ผสมออกมามีสีต่าง ๆ มากมายจนตอนนี้มีสีม่วงแล้ว อายุโดยเฉลี่ยประมาณ 15 - 20 ปี ประเทศไทยสามารถเพาะพันธ์นกได้ตลอดทั้งปีเลิฟเบิร์ด โดยทั่วไปนิยมแยกนกเลิฟเบิร์ด ออกเป็น 2 ชนิด คือ.. 1.ชนิดมีขอบตา (White Eye-ring) 2.ไม่มีขอบตา (Non Eye-ring) นกทั้ง 2 ชนิดแบ่งออกเป็นสายพันธุ์หลักๆ ได้ 9 สายพันธุ์ ดังนี้ ชนิดมีขอบตา (White Eye-ring) 1. Personata (Mask Lovebird) ลักษณะทั่วไป : หัวจะมีสีดำสนิท มีสีกว่า 30 สี สีม่วงเป็นสีที่หายาก แบ่งเป็น - Black Personata - Blue Personata - Yellow Personata - Cobalt Personata - Mauve Personata - Olive Personata - Pastel Blue Personata - Pastel Cobalt Personata - Pastel Mauve Personata - Pastel Olive Personata - Spangle Blue Personata - Spangle Mauve Personata 2. fischeri (Fischer’s Lovebird) : ขนาด 15 ซม. ลักษณะทั่วไป : ถ้าเป็นโทนสีเขียว หน้านกจะสีแดง ถ้าเป็นโทนสีฟ้า หน้านกเป็นสีขาว ปัจจุบันนก FISHER จะมีการพัฒนาได้สีสันใหม่ ๆ มากมาย สีม่วงเป็นสีที่หายาก แบ่งเป็น - Green Fischer - Dark Green Fischer - Blue Fischer - Yellow Fischer - Cobalt Fischer - Mauve Fischer - Olive Fischer - Pastel Green Fischer - Medium pastel Green Fischer - Pastel Yellow Fischer - Pastel Cobalt Fischer - Pastel Mauve Fischer - Pastel Olive Fischer - Spangle Green Fischer - Spangle Cobalt Fischer - Spangle Mauve Fischer - Spangle Olive Fischer - Golden Cherry Fischer - Dilute Double Golden Fischer 3. Nigrigenis (Black Cheeked Lovebird) : ขนาด 13.5 ซม. ลักษณะทั่วไป : หัวจะดำ หน้าจะเป็นคล้าย ๆ หน้ากากตัวจะเล็กกว่าพวก MASKED , FISHERI เป็นนกที่ป้อนลูกเก่ง แบ่งเป็น - Black Cheeked - Dark Green Cheeked - Blue Cheeked 4. Lilianae (Nyasa Lovebird) ขนาด 13.5 ซม. ลักษณะทั่วไป : เป็นประเภทมีขอบตา ถ้านกมีสีเขียวหน้าจะมีสีแดง ถ้านกสีฟ้าหน้าจะสีขาว สีเหลืองตาแดงจะหายาก ชนิดไม่มีขอบตา (Non Eye-ring) 5. Roseicollis (Peach Face Lovebird) ลักษณะทั่วไป: ขนสีเขียวสดทั้งตัว ส่วนท้าย(Rump) มีสีฟ้าสดจากหน้าผากตลอดข้างแก้มทั้ง 2 ข้าง เล็บสีแดง ปากสีขาวหรือสีงาช้าง 6. Swindemiana (Black Collared Lovebird) ลักษณะทั่วไป: ลำตัวมีสีเขียวแบบ swinderenis สีส่วนบนจะมีสีอ่อนกว่า คอมีสีเหลือง 7. Cana (Madagascar LoveBird) ขนาด 13 ซม. ลักษณะทั่วไป : ตัวเล็กพอ ๆ กับ BLACKCHEEKED ตัวเมียจะมีสีเขียวทั้งตัว ตัวผู้ตัวจะมีสีเขียว หัว,คอ จะมีสีขาว 8. Taranto (Abyssinian Lovebird) ลักษณะทั่วไป : ตัวนกจะค่อนข้างโต ตัวผู้หน้าจะมีสีแดง ตัวเมียหน้าจะไม่มีสีแดง 9. Pullaria (Red Face Lovebird) ลักษณะทั่วไป : นกจะมีสีเขียว หน้าจะมีสีแดง เลิฟเบิร์ด ที่สามารถพบเห็นได้ในปัจจุบันโดยทั่วๆ ไป ได้แก่ - Personata (Mask Lovebird) - fischeri (Fischer’s Lovebird) - Roseicollis (Peach Face Lovebird)   การเลือกซื้อนกเลิฟเบิร์ด ในกรณีที่เลี้ยงไว้ดูเล่นเพื่อความเพลิดเพลินจะต้องรู้จักสายพันธุ์อย่างที่ ยกตัวอย่างมาแล้ว คือ มีขอบตาและไม่มีขอบตา โดยทั่วไปอุปนิสัยของ Lovebirds จะชอบอยู่เป็นคู่ ร่าเริง สดใส ส่งเสียงร้องเจื้อยแจ้วตลอดเวลา สถานที่เลี้ยง ควรอยู่ในที่ที่มีอากาศถ่ายเทสะดวก และควรหลีกเลี่ยงที่ที่มีลมโกรกรุนแรง หรือแดดจัดเกินไป ฝนสาดเข้ามาโดนได้ แล้วล้อมรอบด้วยมุ้งลวดอีกชั้นหนึ่ง เพื่อป้องกันยุงและแมลง และควรระวังศัตรูธรรมชาติของนก เช่น แมว หรือหนูด้วยการล้อมรอบโรงเรือนด้วยตาข่าย ภายในโรงเรือนควรติดสปริงเกิลเพื่อความเย็นสบายของนกและกระเบื้องมุงหลังคา ควรสลับกับกระเบื้องแผ่นใสเพื่อให้โรงเรือนมีแสงส่องสว่างด้วย ลักษณะนกเลิฟเบิร์ดที่ดี เราสามารถดูลักษณะ Lovebirds ที่ดีได้จากรูปร่างภายนอก นั่นก็คือ ขนจะต้องเงางาม ตามีแวว สดใส ปาก ขา เล็บ ไม่ขาด ไม่แหว่ง หรือกุด ดูร่าเริง มีอาการตอบโต้ ไม่ซึม หรือยืนพองขน ส่วนเรื่องเพศของนก Lovebirds จะดูได้จากภายนอกค่อนข้างยาก แต่ก็มีวิธีดู โดยต้องจับตัวนกแล้วพลิกหงายท้อง จากนั้นจับตะเกียบหรือ กระดูกเชิงกราน ตรงส่วนท้ายที่ติดกับโคนหาง แล้วใช้นิ้วมือคลำเบา ๆ ซึ่งกระดูกเชิงกรานจะเป็นกระดูก 2 ชิ้น คู่กัน - เพศผู้กระดูกส่วนนี้จะชิดกัน และแข็ง นูนขึ้นมามาก - เพศเมีย จะค่อนข้างห่างและอ่อน อายุของนกที่เหมาะสมในการซื้อมาเลี้ยง ควรจะเลือกนกที่อายุยังน้อย ประมาณ 3 - 4 เดือน เนื่องจากนกที่มีอายุมาก มักจะก่อให้เกิดปัญหา หลาย ๆอย่าง เช่น มีความก้าวร้าว เมื่อนำมารวมกับตัวอื่นก็มักจะจิกตีกัน ส่วนอีกข้อคือ นกที่เจ้าของเก่าปลดทิ้ง เนื่องจากแก่เกินไป นกมีปัญหา ก็จะอยู่กับเราได้ไม่นาน การเลี้ยงดู ควรจะเลี้ยง Lovebirds ไว้เป็นคู่ ภายในกรงขนาด กว้าง x ยาว x สูง เท่ากับ 18" x 15" x 15" หรือกรง "หมอนเล็ก" โดยประมาณ อาหารเสริมที่สำคัญ .. หญ้าขน -ใบกระเพรา ข้อควรระวังในการเลือกซื้อ ควรหลีกเลี่ยงร้านค้าที่มีสัตว์เลี้ยงหลาย ๆ ชนิด รวมกันมาก ๆ และอยู่ปะปนกับ Lovebirds เพราะนกอาจจะติดเชื้อจากสัตว์เหล่านั้นได้ เพราะฉะนั้นจึงควรเลือกซื้อจากฟาร์ม Lovebirds โดยตรง หรือร้านค้าที่มีการจัดสรรที่ดี แยกสัตว์แต่ละชนิดเป็นสัดส่วน ไม่ปะปนกัน และที่สำคัญ คือ ควรพิจารณาดูภายในกรง ที่ใส่น้ำ อาหาร รวมถึงถาดรองมูลนกให้สะอาดพอสมควร     การเลี้ยงดูและการขยายพันธุ์นก LOVEBIRDS ในกรณีที่เลี้ยงเพื่อขยายพันธุ์ และพัฒนาสายพันธุ์ หรือเลี้ยงไว้จำนวนมาก สถานที่ ควรเป็นที่ที่มีอากาศถ่ายเทสะดวก ไม่อบทึบ ป้องกันฝนได้ดี แดดสามารถส่องถึงบ้างเล็กน้อย จะเป็นการดี ส่วนลักษณะของกรงที่ดีควรจะ เป็นแบบโรงเรือน กรุด้วยตาข่ายตาถี่ เพื่อป้องกันยุงและแมลงอื่น ๆ ภายในจัดวางกรงเพาะเป็นชั้น ๆ และเป็นแถวอย่างมีระเบียบ เพื่อให้ง่ายต่อการจัดการเรื่องความสะอาด อุปกรณ์ 1. กรงเพาะ ขนาด ก x ย x ส เท่ากับ 21" x 32" x 22" 2. รังฟัก สำหรับให้นกเข้าไปวางไข่ และเลี้ยงดูลูกนกจนโต ขนาดโดยประมาณ 7" x 12" x 7" ด้านหนึ่งเจาะรู ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 2" สำหรับเป็นทางเข้าออกของนก อีกด้าน ทำเป็นประตูสำหรับ ผู้เลี้ยงสามารถเปิดดู ไข่และลูกนกได้สะดวก 3. อาหารนก ได้แก่ เมล็ดธัญพืชต่าง ๆ เช่น มิลเลต ข้าวไรน์ ข้าวเปลือกมะเขือ ฮวยมั้ง (เมล็ดกัญชา) เมล็ดทานตะวัน ข้าวโอ๊ต เป็นต้น ส่วน อาหารเสริม ได้แก่ขนมปังแผ่น ข้าวโพดดิบ ส่วนแคลเซียมมี กระดองปลาหมึก หญ้าขน ใบกระถิน 2 อย่างหลัง สามารถให้ได้ทุกวัน ซึ่งจะดีต่อนกมาก 4. น้ำ ควรเป็นน้ำที่สะอาด จำเป็นต้องเปลี่ยนทุกวัน และควรผสมวิตามินให้นกได้กินเป็นประจำด้วย   โรคที่มักจะพบ ได้แก่ 1. โรคหวัด เกิดจากอากาศเปลี่ยนแปลงกะทันหัน นกจะซึม ขนพอง ไม่กินอาหาร ไม่ร่าเริง 2. โรคตาแข็ง ตาแดง มีหลายสาเหตุ คือ - ยุงเป็นพาหะนำเชื้อมาสู่นก - ฝุ่นละออง มาจากถาดรองมูลนก เวลานกบิน ฝุ่นจะเข้าตาได้ ทำให้เกิดอาการ ระคายเคือง จนตาแดง ตาเจ็บได้ 3. การรักษา ไม่ว่านกจะมีอาการหรือเป็นโรคอะไรที่ผิดปกติ ผู้เลี้ยงควรแยกนกออกจากโรงเรือนโดยด่วน จากนั้นก็แยกไว้ตัวเดียว และทำการรักษา โดยให้ยาปฏิชีวนะเฉพาะอาการนั้น 4. เกร็ดอื่น ๆ เมื่อจำเป็นต้องนำนกใหม่เข้ากรง อย่าได้นำเข้าภายในโรงเรือนด็ดขาด ควรแยกไว้ต่างหากเพื่อดูอาการ ให้ยาฆ่าเชื้อโดยผสมในน้ำให้นกกิน แล้วเลี้ยงตามปกติ เพื่อดูอาการสัก 15 วัน ถ้านกปกติดี แข็งแรง ร่าเริง ก็สามารถเอาเข้าโรงเรือนได้ นก LOVEBIRDS สามารถเลี้ยงและฝึกให้ฉลาดได้ โดยต้องเลี้ยงตั้งแต่ นกอายุประมาณ 2 สัปดาห์ ใช้เวลาอยู่กับนกของเรามาก ๆ ป้อนอาหาร 3 เวลา เช้า กลางวัน เย็น และในแต่ละมื้อ เวลาให้อาหาร ให้นำนกไปวางไว้ในระยะห่างจากตัวเราสักเล็กน้อย แล้วเคาะเรียกหรือผิวปากเรียก เมื่อนกเดินมาหาค่อยป้อนอาหาร ทำเช่นนี้ทุกมื้อ ทุกวัน จนนกเคยชิน และเพื่มระยะห่างเรื่อย ๆ เมื่อนกโต ขนขึ้นเต็ม นกจะบินมาหาแทนการเดิน เมื่อนกบินคงที่ ไม่ว่าเวลาไหนเมื่อผู้เลี้ยงผิวปาก หรือเคาะนกจะบินมาทางผู้เลี้ยงทันที.. :www.108kaset.com รวบรวม [embed]https://www.youtube.com/watch?v=iZT4MHAXxPk[/embed]

↗ประสบการณ์เลี้ยงนก

ขอบคุณ https://www.siamsouth.com/smf/index.php?topic=17020.0 https://i.ytimg.com/vi/qpT9rlvLhqY/hqdefault https://i1.24x7th.com/df/0/ui/post/2016/01/14/9/b/139fdd3667ec462c698898b385addadc  


บันทึกการเข้า

หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1 RC2 | SMF © 2001-2006, Lewis Media

lsv2555Please follow the new website at https://www.pohchae.com

Valid CSS!