สักยันต์"2008" เหนียวหรือเสริมความงาม
LSVคลังสมองออนไลน์ "ปีที่21"
พฤษภาคม 15, 2024, 04:54:56 PM *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
   หน้าแรก   ช่วยเหลือ เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก  
หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: สักยันต์"2008" เหนียวหรือเสริมความงาม  (อ่าน 11478 ครั้ง)
แวมไพร์-LSVteam♥
.กลุ่มผู้มีน้ำใจงาม.
member
*

คะแนน912
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3712


..เรียนให้รู้เป็นครูเขา.Learning by doing


« เมื่อ: เมษายน 30, 2008, 08:18:22 AM »

สักยันต์"2008" เหนียวหรือเสริมความงาม





ภาพชายฉกรรจ์ไปจนถึงสูงวัยที่คลาคล่ำอยู่หน้าปะรำพิธีไหว้ครูหลายคนเปลือยท่อนบนโชว์ให้เห็นลายสักเต็มแผ่นหลังและแผ่นอก บ้างสักเป็นสัตว์ในวรรณคดี ฤาษี

หรืออักขระจนยากจะหาช่องว่างของเนื้อหนัง จากสงบนิ่งไม่ไหวติง เริ่มสั่นน้อยๆ ก่อนจะโผนเผ่นลุกขึ้นเต้นเร่าๆ หลับตาพริ้ม ไปจนถึงเขม่นตาขมึงทึง จับจ้องไปยังปะรำพิธีเบื้องหน้าไม่วางตา




บัดนั้นความวุ่นวายย่อมๆก็บังเกิดขึ้น หลายต่อหลายคนกระโจนทะยานไปเบื้องหน้า เหมือนราชสีห์ตะครุบเหยื่อ ปากก็แผดร้องก้องตะโกนฟังได้เหมือนกับเสียงร้องของส่ำสัตว์ บางคนถึงกับลงไปนอนคลุกฝุ่นตีแปลงจนธุลีดินคลุ้งไปทั่วบริเวณ ร้อนถึงเพื่อนและคนรอบข้างต้องไขว่คว้าหาตัว จับติ่งหูหรือตบกกหูเบาๆ เรียกสติกลับคืน

ภาพและปรากฏการณ์เหล่านี้คนในแวดวงสักยันต์เชื่อว่าเป็นอาการ "ของขึ้น" แต่คนส่วนใหญ่มองด้วยสายตาฉงนฉงายระคนสงสัยว่า เป็นจริงตามนั้นหรือเป็นเรื่องของอุปทานหมู่ ดังที่นักวิชาการด้านจิตวิทยาพร่ำบอกอยู่เสมอๆ

แต่ไม่ว่าจะเกิดจากอะไรปรากฏกการณ์แห่งความเชื่อหรือจะเรียกว่าแฟชั่นนิยมที่ดำรงมาตั้งแต่โบราณกาลมาจนถึงยุค 2008 ผู้คนก็ยังหลงใหลในศาสตร์แห่งความลี้ลับและมืดมนนี้อย่างไม่รู้คลาย ไม่ว่าจะเป็นคนไทยหรือต่างชาติก็ตามที




ภายในอาคารพาณิชย์เลขที่ 183 ซอยจรัญสนิทวงศ์ 85 ถนนจรัญสนิทวงศ์ เขตบางพลัด กรุงเทพฯ ที่ตั้ง "ชมรมอนุรักษ์การสักยันต์ไทย" ก็เป็นอีกแห่งที่มีผู้คนแวะไปเยี่ยมเยือนและคารวะฝากตัวเป็นลูกศิษย์ลูกหาอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน

อาจารย์เสือเข็มเทวดา ในฐานะประธานชมรม อาจจะฟังไม่คุ้นหูสำหรับคนนอกแวดวงสักยันต์ ไม่เหมือนกับ "หลวงพ่อเปิ่น ฐิตคุโณ" หรือพระอุดมประชานาถ แห่งวัดบางพระ ต.บางแก้วฟ้า อ.นครชัยศรี จ.นครปฐม หรือ อาจารย์หนูกันภัย ผู้ลงอักขระให้นางเอกฮอลลีวู้ดปากอิ่ม "แองเจลินา โจลี" แต่กระนั้นชื่อชั้นในหมู่อาจารย์สักยันต์แล้วก็นับว่าไม่เป็นสองรองใคร

ด้วยลวดลายการสักยันต์ที่เน้นลายไทยโบราณละเอียด ประณีต และบรรจง เน้นความขลังด้านเมตตามหานิยมมากกว่าคงกระพันชาตรี โดยเฉพาะลายเสือเหลียวหลัง และพระพิฆเนศ จึงทำให้ชื่อเสียงขจรขจายไปไกลถึงต่างแดน ล่าสุดเขาได้รับเชิญให้ไปพำนักและลงลายสัก ณ แดนลอดช่อง สิงคโปร์ ในอีกไม่กี่วันข้างหน้านี้แล้ว




ณอาคารพาณิชย์ในซอยจรัญสนิทวงศ์ 85 ชายฉกรรจ์หน้าตาเหยเกหลายคนบ่งบอกถึงความเจ็บปวด ขณะเข็มกระทบเนื้อหนังบนแผ่นหนังอันเปล่าเปลือย หูก็ฟังบทสวดของผู้ที่พวกเขาเรียกว่า "อาจารย์" ด้วยเหตุใดกันแน่ระหว่างแฟชั่นกับความเชื่อ พวกเขาถึงกับยอมเจ็บปวด เพื่อแลกมากับรอยสักบนผิวกาย 

เมื่อสักยันต์ให้ลูกศิษย์คนสุดท้ายเสร็จเรียบร้อยแล้วอาจารย์เสือ เข็มเทวดา ก็หันมาพูดถึงการสักยันต์ของไทยให้ "คม ชัด ลึก" ฟังว่า การสักลวดลายบนผิวหนังหรือที่เรียกว่า "สักลาย" หรือ "สักยันต์" เป็นวัฒนธรรมอย่างหนึ่งของไทยที่มีมาช้านานแต่ทุกวันนี้ลายสักตามความเชื่อโบราณแทบจะไม่มีเหลือแล้ว ส่วนใหญ่เป็นเพื่อความสวยงาม เป็นการตกแต่งเสริมความงามให้ร่างกาย ทั้งที่เรื่องราวการสักลายของไทยเป็นสิ่งที่น่าศึกษาค้นคว้า แต่ดูเหมือนไม่มีใครสนใจใคร่ศึกษามากนัก นับวันรังจะสูญหายไปจากสังคมไทย

การสักคือ กรเอาเหล็กแหลมแทงลงไปบนผิวหนัง โดยใช้เหล็กแหลมจุ่มน้ำหมึกหรือน้ำมันให้เป็นอักขระ เครื่องหมาย หรือลวดลาย หากใช้หมึกจะเรียกว่า สักหมึก แต่ถ้าใช้น้ำมันจะเรียกว่า สักน้ำมัน หรือโบ




ในอดีตมีการสักเป็นเครื่องหมายแสดงสถานะของผู้คนเช่น สักข้อมือ หมายถึงได้ขึ้นทะเบียนเป็นชายฉกรรจ์ หรือมีสังกัดกรมกองแล้ว สักหน้า หมายถึงเป็นผู้ต้องโทษปาราชิก เป็นต้น

ทว่าในความเข้าใจของผู้คนทั่วไปในอดีตแล้วการสักหมายถึงต้องการให้รอยสักเป็นเครื่องรางติดตัว เป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจ สมัยโบราณการสักยันต์เกิดก่อนพระเครื่อง เนื่องจากชาวบ้านหรือนักรบสมัยก่อนไม่นิยมแขวนพระไว้กับตัว ด้วยถือเป็นของสูงควรที่จะอยู่ในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์เท่านั้น จึงเกิดการสักยันต์ลงบนร่างกายสืบทอดกันมาจนถึงทุกวันนี้

แม้ยุค2008 การสักยันต์จะเป็นมากกว่าความเชื่อและศรัทธาก็ตาม ทว่าการสักยันต์สามารถแบ่งออกเป็น 2 หลักใหญ่ๆ คือ เพื่อผลทางเมตตามหานิยมและคงกระพันชาตรี




การสักเมตตามหานิยมเป็นการสักเพื่อให้ผลทางความรักความเมตตา และนิยมชมชอบ ส่วนใหญ่จะเป็นรูปจิ้งจกหรือนกสาลิกา ซึ่งเป็นตัวแทนแห่งความมีเสน่ห์ เป็นที่รักใคร่ชอบพอของบุคคลทั่วไป โดยเฉพาะให้ผลดีทางการเจรจา ค้าขายเจริญรุ่งเรือง ทำมาค้าขึ้น หากเป็นอักขระก็จะปรากฏอยู่ในรูปยันต์ดอกบัว ยันต์ก้นถุง ยันต์โภคทรัพย์ ซึ่งมีผลทางด้านการเงิน เป็นต้น

ส่วนด้านคงกระพันชาตรี เพื่อให้แคล้วคลาดจากของมีคม อุบัติเหตุ หรืออันตรายทั้งปวง ลักษณะของลายสักนิยมลวดลายที่เป็นตัวแทนแห่งความดุร้าย ปราดเปรียว สง่างาม และกล้าหาญ ได้แก่ เสือเผ่น หนุมานคลุกฝุ่น หงส์ และสิงห์ เป็นต้น หรือถ้าเป็นลายที่เปรียบเสมือนเกราะป้องกันภยันตรายก็เช่น ยันต์เก้ายอด ยันต์เกราะเพชร ตลอดจนยันต์ลายต่างๆ

"การสักยันต์ไม่ว่าจะเน้นเรื่องคงกระพันชาตรีหรือเมตตามหานิยมต่างมีจุดมุ่งหมายเดียวกัน คือ เป็นการเตือนสติให้ระลึกถึงแต่การกระทำคุณงามความดีตามที่ครูบาอาจารย์ท่านสั่งสอน จึงถือได้ว่าการสักยันต์เป็นศาสตร์ที่สอนให้คนเป็นคนดี ไม่น่าแปลกใจที่วิชาเหล่านี้จะหล่อหลอมรวมเข้าไปอยู่ร่วมกับศาสนาเราโดยไม่รู้ตัว" อาจารย์เสืออธิบาย

ทั้งนี้ใช่ว่าอยากจะสักยันต์แล้วสักที่ไหนก็ได้ อาจารย์เสืออธิบายเพิ่มเติมว่า ลายสักจะต้องอยู่ในตำแหน่งที่ถูกที่ควร ไม่เช่นนั้นความขลังก็จะไม่เกิด โดยมากผู้ที่มาสักต้องการให้ลายสักอยู่ในร่มผ้า ตำแหน่งที่นิมสักเรียงตามลำดับได้ดังนี้คือ หลัง หน้าอก คอ ศีรษะ ไหล่ แขน ชายโครง หน้า มือ และหัวเข่า

ขณะเดียวกันอาจารย์เสือได้ให้ข้อคิดด้วยว่า การสักยันต์ในเมืองไทยไม่ค่อยได้รับความนิยมแพร่หลาย เนื่องจากคนไทยส่วนใหญ่ยังมองว่า คนสักยันต์เป็นคนชั้นต่ำ เป็นนักเลง และใช้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่มีอยู่ไปในทางที่ผิด แม้ว่าเมื่อเวลาเปลี่ยนไปจะทำให้คนไทยส่วนหนึ่งมีความคิดและทัศนคติต่อคนสักยันต์เปลี่ยนไปบ้าง แต่สำหรับคนกลุ่มหนึ่งที่นิยมลายสักนั้น พวกเขายังคงเชื่อมั่นว่ารอยสักเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวทางใจอยู่

"ช่วง3 ปีที่ผ่านมา การสักยันต์ในเมืองไทยถือว่าดีขึ้น มีคนให้ความสนใจเยอะ ทั้งชาวไทยและต่างชาติ เหตุผลที่การสักยังคงมีอยู่คือ หลายๆ คนยังเชื่อว่าการสักจะทำให้มีโชค แคล้วคลาด ปลอดภัย และอยู่ยงคงกระพัน พ้นจากอันตรายต่างๆ รูปแบบของการสักแต่ละชนิดจะมีความขลังแตกต่างกัน ลายสักหรือยันต์บางชนิดสามารถช่วยผู้ที่สักให้รอดพ้นจากสถานการณ์ยุ่งยากได้ สรุปง่ายๆ ก็คือสังคมมีความวุ่นวาย คนที่มาสักก็ต้องการที่พึ่งทางจิตใจ"

อาจารย์เสือบอกด้วยว่าปัจจุบันอาจารย์สักในเมืองไทย ที่ลงคาถาอาคมที่ขึ้นชื่อในหมู่คนสักยันต์มีไม่เกิน 10 สำนัก ส่วนใหญ่เป็นอาจารย์ผู้ชายวัย 50 ปีขึ้นไป มีประสบการณ์มากกว่า 20 ปี ส่วนผู้ที่มาสักในปัจจุบันจะพบว่า ผู้หญิงเริ่มให้ความสนใจมากขึ้น ส่วนใหญ่ต้องการให้มีเสน่ห์ต่อเพศตรงข้าม หรือทำมาค้าขายคล่อง

"อุกฤษ องอาจ" ผู้จัดการฝ่ายปฏิบัติการซูเปอร์ 2 ห้างสรรพสินค้าดิ เอ็มโพเรี่ยม วัย 40 เศษ เป็นลูกศิษย์อีกคนของอาจารย์เสือ ที่เพียงแค่ปีเศษก็แทบจะไม่มีร่างกายส่วนใดว่างเว้นจากรอยสักเลย ด้วยบัดนี้ทั้งสองแขน สองขา และแผ่นหลัง ต่างก็เต็มไปด้วยรอยสักแล้วทั้งสิ้น ยังก็แต่หน้าอกและลำตัวที่เขากำลังวางโปรเจกท์ว่าจะสักยันต์ลายไหนดี

อุกฤษบอกว่ารู้จักการสักยันต์มานานแล้ว แต่ไม่ได้สนใจอะไรเป็นพิเศษ กระทั่งเมื่อปีที่แล้วรู้สึกว่าต้องการที่ยึดเหนี่ยวทางใจ จึงพยายามศึกษาและค้นคว้าจากเพื่อนฝูงและสื่อ จนในที่สุดพบและได้บทสรุปว่า การสักยันต์คือสิ่งที่เขาต้องการ

"หลังจากไปสักมาแล้ว ผมรู้สึกว่าผมมีเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจ มีอะไรบางอย่างเป็นกำลังใจให้ จากคนอารมณ์ร้อนโผงผาง กลายเป็นคนสุภาพอ่อนโยน จิตใจอ่อนนุ่มทว่าเข้มแข็ง เนื่องจากเราต้องยึดถือข้อปฏิบัติของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ติดตัวเราอยู่"

ลายสักจะยังคงเป็นทั้งความเชื่อศรัทธา แฟชั่น ตลอดจนสิ่งใคร่รู้ค้นหาไปอีกนาน เปรียบได้กับปริศนาบนผิวหนังที่รอผู้ไขคำตอบ ด้วยสายตาและมุมมองของแต่ละผู้คน !?!

ระวัง"วัณโรคผิวหนัง"
นพ.จิโรจน์สินธวานนท์ ผู้อำนวยการสถาบันโรคผิวหนังกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า ผู้ที่สักจะต้องคำนึงถึง 2 สิ่งด้วยกัน คือ เรื่องเครื่องมือ ซึ่งเป็นเหล็กหรือวัตถุแหลมทำหน้าที่เปิดผิวหนังนำหมึกลงไป หากไม่มีการทำความสะอาดให้ดีอาจทำให้เชื้อแบคทีเรียต่างๆ เข้าไปอยู่ในร่างกายได้ อีกประการก็คือเรื่องของหมึกที่ผู้สักใช้ จะต้องดูว่าเป็นหมึกที่มีคุณภาพดีมากน้อยแค่ไหน ผู้สักบางรายมีอาการแพ้สีหมึก ซึ่งมีให้เห็นอยู่บ่อยๆ แทนที่รอยสักจะสวยกลับทำให้เป็นผื่นแดงและติดเชื้อในที่สุด ที่พบบ่อยคือตุ่มแข็งบนผิวหนัง ทางการแพทย์เรียกว่าวัณโรคผิวหนัง

"คนที่คิดจะสักพอแก่ตัวเข้าก็อยากจะเอารอยสักออก ปัจจุบันทำได้ด้วยการยิงเลเซอร์ แต่ก็ไม่ช่วยให้เอารอยสักออกได้ทั้งหมด เพราะเลเซอร์ยังมีข้อจำกัดต่อสีบางสี หากสีดำก็สามารถลบได้ แต่ก็ต้องดูอีกว่าลบได้ง่ายหรือยาก ขึ้นอยู่กับความลึกของเข็มที่แทงลงไป อย่างกรณี เด็กนักเรียน รร.สระแก้ว ที่นิยมสักกัน สถาบันพยายามใช้เลเซอร์ลบออก แต่บางรายใช้การรักษานาน 6-7 ครั้ง"

สัก: เพศและความก้าวร้าว
ดร.วัลลภปิยมโนธรรม นักจิตวิทยาชื่อดังมองว่า การสักยันต์หรือสักอะไรก็ตามเป็นเรื่องของความเชื่อส่วนบุคคล ที่มีเหตุผลมาจากเรื่องเพศและความก้าวร้าว ทั้งนี้ หลังการศึกษาพฤติกรรมของการสักในอดีตพบว่า การสักที่มุ่งเกี่ยวไปทางเพศเริ่มมาจากทหารเรืออเมริกัน ที่ต้องออกทะเลนานๆ แต่ยังต้องการมีเพศสัมพันธ์หรือปลดเปลื้อง ดังนั้น จึงริเริ่มสักรูปผู้หญิงไว้ที่ต้นแขน เวลาเข้าห้องน้ำก็จะมองรูปแล้วปลดปล่อยด้วยจินตนาการ

ส่วนเหตุผลของการสักที่มาจากความกร้าวร้าวเริ่มจากคนที่เกิดความกลัวขึ้นในจิตใจ พยายามหาที่พึ่งทางใจ เมื่อไปสักก็รู้สึกมั่นใจ เพราะร่างกายผิวหนังของตนเริ่มทนเจ็บปวดได้ ก็เกิดความมั่นใจว่า ตนเองหนังเหนียวทนเจ็บปวดได้

"จากเหตุผลข้างต้นจะเห็นว่า การสักในอดีตมาจากเรื่อง 2 เรื่อง คือ เพศและความก้าวร้าว ปัจจุบันก็เช่นกัน ผู้หญิสักที่หน้าอก เอว สะโพก หน้าท้อง ก็เพื่อเรียกร้องให้เพศตรงข้ามมอง ส่วนผู้ชายสักเสือ หนุมาน หรือลายอื่นๆ เพื่อสร้างความน่ากลัวให้แก่ตนเอง เนื่องจากขาดความมั่นใจ ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเข้าไปรักษาคนไข้ในเรือนจำพบว่านักโทษสักกันมาก บางคนสักทั้งตัว พอถามบอกว่าเขาต้องการอะไร คำตอบคือเพื่อปกป้องตนเอง"

รู้จักเข็มสัก
ส่วนประกอบที่สำคัญที่สุดในการสักคือเข็มสักหรือวัตถุปลายแหลมที่ใช้ทำหน้าที่เป็นเข็มสักแทงลงไปบนผิวหนัง การเลือกใช้เข็มสักและวัตถุปลายแหลมของอาจารย์สักแต่ละคนจะแตกต่างกันไปตามแต่ความถนัด สะดวก หรือตามที่ได้รับการถ่ายทอดมาจากอาจารย์สักรุ่นก่อนๆ ซึ่งพอจะรวบรวมชนิดของเข็มสักได้ดังต่อไปนี้

1.หนามหวาย ที่มีปลายแหลมและแข็ง

2.เข็มหมุดหรือเข็มเย็บผ้า 3-4 เล่ม มัดเข้าไว้ด้วยกันแล้วผูกติดกับด้ามไม้ที่ใช้เป็นด้ามจับ

3.ก้านร่ม ฝนปลายแหลมเป็นหน้าตัด

4.เหล็กปลายแหลม ที่ทำด้วยทองเหลือง

5.เข็มที่ทำจากเหล็กตะปูที่ตอกโลงผี เพื่อให้เกิดความศักดิ์สิทธิ์ทางอาคม



บันทึกการเข้า

แวมไพร์-LSVteam♥
.กลุ่มผู้มีน้ำใจงาม.
member
*

คะแนน912
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3712


..เรียนให้รู้เป็นครูเขา.Learning by doing


« ตอบ #1 เมื่อ: เมษายน 30, 2008, 08:23:09 AM »

ผมขอต่อนี้เลยนะครับ Smiley

ยันต์ยอดนิยม สำนัก อ.หนู





ในวันพุธที่ ๓๐ เมษายน ๒๕๕๑ นี้ ที่สำนักสักยันต์ อ.หนู กันภัย จ.ปทุมธานี ได้จัดให้มีพิธีพุทธาภิเษกบุญฤทธิ์หนุนดวงตั้งแต่ ๑๗.๐๐ น. หลังจากนั้นจะประกอบพิธีครอบครูตลอดทั้งคืนไปจนถึงเย็นวันที่ ๑ พฤษภาคม ๒๕๕๑

หรือว่าจนกว่าจะครอบครูให้ลูกศิษย์ครบทุกคน

อย่างไรก็ตามเป็นที่รู้กันดีในหมู่ผู้นิยมลายสักยันต์ โดยเฉพาะเหล่าบรรดานักรองนักแสดงว่า สำนักสักยันต์ของ อ.หนู ถือว่าเป็นสุดยอดสำนักสักยันต์สายฆารวาส ดาราที่มีชื่อเสียงต่างไปสักยันต์และของฝากตัวเป็นลูกศิษย์ เช่น สาวสองพันปี ต่าย-เพ็ญพักตร์ ศิริกุล อ.หนู ได้ฝากรอยสักให้ไว้ที่บริเวณไหล่ด้านซ้าย ในขณะที่เซ็กซี่รุ่นน้อง ฟลอเรนซ์-วนิดา เฟเวอร์ ได้สักยันต์หนุนดวง ๕ แถว และยันต์พญาเสือโคร่ง ด้วยน้ำมันซึ่งไม่สามารถมองเห็นได้ และอีกหนึ่งสาวที่ให้ความสนใจในเรื่องสักนี่ไม่แพ้กัน คือ โย-ยศวดี หัสดีวิจิตร ที่ขอสักยันต์หนุนดวง ๕ แถว ด้วยหมึกที่บริเวณไหล่ด้านซ้าย

ใช่จะมีแต่นางแบบเท่านั้น แต่นางเอกดังอย่าง น้ำฝน-กุณณัฏฐ์ กุลปรียาวัฒน์ นอกจากจะมีความเชื่อเรื่องเปลี่ยนชื่อแล้วดวงจะเฮง ก็ยังขอเอาไหล่ขวาเข้ารับการสักจากอาจารย์หนูเช่นกัน แต่เป็นสักน้ำมัน นางเอกสาวลูกครึ่งอย่าง ชมพู่-อารยา เอ ฮาร์เก็ต ก็เป็นศิษย์ของอาจารย์หนูเช่นกัน โดยได้รับคำแนะนำจากเพื่อนซี้ "เติ้ล" ตะวัน จารุจินดา ที่ไปสักมาก่อนหน้านั้นแล้วรวมทั้งสาวเซ็กซี่ทรงโต ตั๊ก-บงกช คงมาลัย กระแต-ศุภักษร ไชยมงคล ก็สักยันต์หนุนดวง ๕ แถวด้วยเหมือนกัน
อ.หนู บอกว่า ยันต์ยอดนิยมที่ลูกศิษย์นิยมสักมากที่สุด คือ ยันต์หนุนดวง ๕ แถว ยันต์ ณ มหาสำเร็จ และยันต์โภคทรัพย์ อย่างแองเจลินา โจลี เขาก็สักยันต์หนุนดวง ๕ แถว เพราะเขาบอกว่าเขาอยากได้ของดีที่สุดในเมืองไทย ส่วนความหมายของยันต์หนุนดวง ๕ แถวนั้น แถวแรก เป็นการแก้ฮวงจุ้ย บ้านเรือน ทางสามแพร่ง ฯลฯ เรียกว่าแก้ได้หมด แถวสองเป็นการหนุนดวงโดยตรง ใครที่ดวงตกก็จะได้ตรงนี้ช่วย คนที่เป็นหมอดูก็มาสักลายนี้กันเยอะ ส่วนแถวที่ ๓ ใช้กันคุณไสย ใครที่ขับรถไปกลางทาง ตามแยกต่างๆ จะมีสัมภเวสี พวกที่ตายก่อนกำหนด เขาอาจจะบังตาเรา หรือพวกลมเพลมพัด ยันต์แถวนี้ก็จะช่วยได้ ส่วนแถวที่ ๔ จะช่วยในเรื่องโชคลาภ ความสำเร็จ และแถวที่ ๕ เป็นเรื่องมหาเสน่ห์ ส่วนยันต์โภคทรัพย์ ก็จะได้ในเรื่องของการค้าขาย และยันต์นะสำเร็จ ก็ตรงตามชื่อเลย คือทำอะไรก็ประสบความสำเร็จ โดยทั้ง ๕ แถวจะสักสลับก่อนหลังก็ได้พุทธคุณเหมือนกัย โดยจะสักบริเวณหัวไหล่ขวาหรือซ้าย

ในขณะที่ยันต์ยอดนิยมอันดับ ๒ คือ ยันต์รูปเสือเหลียวหลังโดยนิยมสักบริเวณแผ่นหลังค่อนลงมาด้านล่าง ส่วนเสือที่อยูในลักษณะอื่นๆ ก็ได้รับความนิยมแต่ไม่มาก เช่น เสือสมิง เสือลายพาดกลอน อันดับที่ ๓ เป็นยันต์จิ้งจกมหาเสน่ห์ จิ้งจกคาบถุงเงิน-ถุงทอง ส่วนที่เป็นเฉพาะอักขระเลขยันต์ เช่น ยันต์มหาโภคทรัพย์ ยันต์ ๙ ยอด ยันต์หัวใจพระธรรม ๗ คัมภีร์ ยันต์หัวใจพระสูตร ยันต์หัวใจพระวินัย ยันต์หัวใจสัตตะโพชฌงค์ ยันต์หัวใจพระรัตนตรัย ยันต์หัวใจพาหุง ยันต์หัวใจพระพุทธเจ้า ยันต์หัวใจปฏิสังขาโย ฯลฯ ยันต์เหล่านี้ไม่ค่อยได้รับความนิยมมานัก

"ข้อห้ามของผูสักยันต์เหมือนเป็นกุศโลบายที่ไม่ให้ผู้สักกระทำผิด และให้หมั่นสวดมนต์ ถ้าสักแล้วไม่มีสติ คดโกง ผิดศีลธรรม สักไปก็ไม่มีผล แต่ถ้าเกิดสำนึกได้ใหม่ ก็จุดธูปอธิษฐานได้ใหม่ จริงๆ เรื่องนี้ มันมีทั้งคนที่เชื่อ และคนไม่เชื่อ มันเป็นเรื่องธรรมดา แต่ก็อยากจะบอกว่า เรื่องการสักมันมีมาตั้งแต่สมัยสมเด็จพระนเรศวรมหาราชแล้ว สมัยค่ายบางระจันเขาก็สัก ฯลฯ คนไทยเรามีปลูกฝังเรื่องนี้มาตั้งแต่โบราณแล้ว แต่ถามว่าแนะนำอยากให้คนมาสักไหม เรื่องนี้คงแล้วแต่ความชอบ ถ้าอยากมาสักก็สัก แต่ถ้าหากอายุต่ำกว่า ๒๐ ปี อาจารย์ไม่รับสักให้ เพราะยังไม่บรรลุนิติภาวะ สักแล้วเดี๋ยวเอาไปตีกัน อวดความหนังเหนียวไม่ได้ สักแล้วต้องขยันทำมาหากิน และตั้งอยู่ในศีลธรรมด้วย" อ.หนูกล่าว

สำหรับค่าครูในการสักยันต์นั้น อ.หนู บอกว่า ได้ปวารนาที่จะช่วยเหลือเรื่องซื้อโรงศพให้กับศพที่ยากไร้และศพที่ไม่มีญาติที่จังหวัดเชียงใหม่เอาไว้ ซึ่งถือเป็นปัจจัยที่ต้องนำส่งให้กับ พระใบฎีกาเทียนชัย สุภัทโท ทุกเดือน สร้างพระอุโบสถวัดแม่ตะใคร้ใพระบรมราชินูปถัมภ์ ฯ อ.แม่ออน จ.เชียงใหม่ โดยได้เริ่มสร้างมาตั้งแต่เมื่อกลางปี ๒๕๔๖ มาจนกระทั่งถึงปัจจุบัน จัดตั้ง คลินิก ๓ บาทเพื่อบ้านแม่ตะไคร้จัดขึ้นเพื่อเป็นการแจกจ่ายเครื่องเวชภัณฑ์ให้กับผู้ป่วยในชุมชนพื้นที่ใกล้เคียงด้วยเหตุที่ ต.ทาเหนือตั้งอยู่บนยอดดอยอยู่ห่างไกลจากเมืองเชียงใหม่กว่า ๓๐กม. รวมทั้งสร้างห้องสมุดเพื่อประชาชนเป็นการเพิ่มความรู้ในการศึกษาให้กับเด็กและผู้ที่สนใจหาความรู้ในพื้นที่ได้เป็นอย่างดี-ศูนย์การเรียนรู้ท่องโลกผ่านอินเตอร์เน็ทเป็นการเพิ่มพูนทักษะอีกทางหนึ่งเพื่อให้ทันกับยุคสมัย-พุทธศาสนาวันอาทิตย์

ข้อห้ามของผู้มียันต์
ทุกคนที่สักยันต์จากสำนัก ของ อ.หนู นั้น เพื่อให้ยันต์มีความเข้มขลังในอำนาจพุทธคุณ ข้อหามสำหรับบุรุษเพศ(ชาย) มี ๓ ข้อ คือ ๑.ห้ามทุบตี-ด่าว่า-บุพการีผู้ให้กำเนิด ความหมายที่แท้คือ ไม่ว่าจะเป็นการกระทำ ในลักษณะใดก็ตามที่ทำให้บุพการีคือพ่อและแม่ ได้เจ็บได้ช้ำตามร่างกายหรือให้ได้รับบาดเจ็บบาดแผลแม้แต่รอยเท่าแมว ข่วนถือว่าผิด... ถ้อยคำใดก็ตามที่กล่าวไปแล้วทำให้บุพการีคือ พ่อและ แม่ผู้ให้กำเนิด เสียใจจะเป็นคำพูดที่ต่อว่าคำใดก็ตาม ที่ทำให้บุพการี เกิดความน้อยเนื้อต่ำใจจากคำพูดที่กล่าวออกไป ถือว่าผิด
๒.ห้ามไปผิดเมียของคนอื่น คำว่าผิดเมียคนอื่นนั้น ในที่นี้หมายถึง ห้ามร่วมหลับนอนกับสตรีที่มีสามีเป็นตัวเป็นตนอยู่โดยเด็ดขาด หากไปหลับ นอนกับหญิงที่ไม่ใช่ภรรยาของตนเอง แต่สตรีผู้นั้นไม่มีสามีหรือเลิก กับสามีไปแล้วไม่อยู่ในข้อถือ แต่หากไปร่วมหลับนอนกับสตรีที่มีสามี โดยที่ตนเองไม่ รู้ไม่ทราบมาก่อนเลยว่าหญิงนั้นมีสามี แต่มาทราบภายหลังก็ไม่ถือว่าผิด และ ๓.ห้ามลบหลู่หรือดูหมิ่น ครูอาจารย์ผู้ประสิทธิ์ประสาท วิชาความหมายที่แท้คือครูผู้ประสิทธิ์ประสาทความรู้ อาจารย์ผู้สั่ง สอนถ่ายทอดวิชาให้
ส่วนข้อห้ามสำหรับ สตรีเพศ(หญิง) นั้นารสักยันต์ยึดถือเพียงข้อเดียว คือ ห้ามทุบตี-ด่าว่าบุพการีผู้ให้กำเนิด ส่วนข้ออื่นๆ นั้น ไม่มีข้อถือและหากไม่ยึดถือตามที่กล่าวมานี้ถือว่าผิดของที่ได้ไปนั้นถือ ว่า“หลุดหรือเสื่อม” ส่วนข้อห้ามอื่นๆนอกเหนือจากตามระบุเขียนห้ามไม่ว่าจะเป็นการลอดราวตากผ้า -ลอดสะพาน -ใต้ถุนบ้าน หรือการรับประทานอาหารเช่น ฟักแฟงแตงกวา หรืออาหารอื่นๆที่สงสัย ไม่ห้ามไม่อยู่ในสิ่งถือ
เรื่องไตรเทพ ไกรงู ภาพไพศาล เชิดชูชาติ

วันพุธที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2551
หนังสือพิมพ์คมชัดลึก
บันทึกการเข้า
หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1 RC2 | SMF © 2001-2006, Lewis Media

lsv2555Please follow the new website at https://www.pohchae.com

Valid CSS!