ทุกข์เรื่องคำสาปแช่ง
หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: ทุกข์เรื่องคำสาปแช่ง  (อ่าน 1504 ครั้ง)
Nattawut-LSV Team
E23IUY
.กลุ่มผู้มีน้ำใจงาม.
member
*

คะแนน808
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3581


อีเมล์
« เมื่อ: พฤษภาคม 08, 2010, 06:43:30 AM »

ผู้ใดสาปแช่งผู้อื่นให้ได้รับความฉิบหายมีประการต่างๆด้วยความโกรธแค้นนั้น
ผู้นั้นก็บาปซิ     เพราะผิดศีลกรรมบถ    ข้อพูดคำหยาบ    ข้อมีจิตพยาบาทผู้อื่น
เมื่อมีบาปก็มีต้องมีโทษ   ท่านก็แสดงโทษของการด่าหรือสาปแช่งผู้อื่นไว้ที่เล่ม  17   หน้า   553

ผรุสวาจานี้  (คือคำด่าหรือคำสาปแช่งผู้อื่นที่ประกอบด้วยความโกรธแค้น)     
ชื่อว่ามีโทษน้อย    เพราะผู้ที่ผรุสวาทีบุคคลพูดหมายถึง    เป็นผู้มีคุณน้อย 
ชื่อว่ามีโทษมาก    เพราะ (ผู้ที่ถูกด่าหรือถูกสาปแช่ง) มีคุณมาก.
         
ผรุสวาจานั้น    มีองค์ประกอบ  ๓  ประการ    คือ 
ผู้ที่จะต้องถูกด่าเป็นคนอื่น ๑   
จิตขุ่นเคือง ๑ 
การด่า ๑.

ในคำสอนของพระพุทธเจ้าเรื่องการสาปนี้ก็มีเหมือนกัน   
แต่การสาปในพระพุทธศาสนาเป็น    "การสาปตามธรรม" 
เช่น  บอกว่า   ผู้ใดด่าผู้อื่นด้วยคำหยาบคายผู้นั้นมีบาปต้องตกนรก   
ผู้ใดโกหกผู้อื่นผู้นั้นมีบาปต้องตกนรก    ผู้ใดมีจิตอาฆาตต่อผู้อื่นผู้นั้นมีบาปต้องตกนรก    แบบนี้เป็นต้น   
ที่เรียกว่า   "การสาปตามธรรม"

ถ้าหากมีผู้ใดมาสาปแช่งเราให้มีอันเป็นไปต่างๆนาๆในทางที่ไม่ดี
ก็ต้องย้อนมาดูที่ตัวเราเองว่า    ได้มีความประพฤติที่จะเป็นไปในทางฉิบหายหรือเปล่า ?
ถ้าเราเป็นคนที่ดำเนินชีวิตที่ถูกต้องตามหลักธรรม   มีศีล    มีธรรมที่ดีงามกำกับกาย  วาจา   ใจ 
ในการดำเนินชีิวิตประจำ    ก็ไม่ต้องไปวิตกกังวลอะไร    เพราะดำรงชีวิตอยู่ในทางแห่งความดีอยู่แล้ว
ถ้าจะเกิดอาเภทภัยใดที่ชั่วร้ายทั้งๆที่ดำรงตนอยู่ในความดี    นั่นแสดงว่าเป็นเพราะบาปเก่าเวรเดิมให้ผล
ก็ต้องยอมรับและใช้หนี้บาปเวรด้วยการอุทิศบุญแก้ไขให้ถูกต้อง

แต่ถ้าเราเป็นคนที่ไม่มีศีล   ไม่มีธรรมที่ดีงาม    ดำเ้นินชีวิตอยู่ด้วยความประมาทมัวเมา
แบบนี้ก็ไม่ต้องรอให้ใครมาสาปแช่งให้ฉิบหายหรอก   
เพราะตนเองก็ดำเนินชีวิตอยู่ในทางแห่งความฉิบหายอยู่แล้ว

เรื่องการสาปแช่ง   หรือการอ้อนวอนนี้ก็มีคำสอนของพระพุทธเจ้ามาให้ศึกษาและพิจารณา
เรื่องนี้อยู่ทีเ่ล่ม   29     หน้า  189     ชื่อสูตรว่า     "ภูมิกสูตร"

สมัยหนึ่ง   พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่  ณ  ปาวาริกอัมพวัน  ใกล้เมืองนาลันทา   
ครั้งนั้นแล   นายบ้านนามว่าอสิพันธกบุตร   เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าถึงที่ประทับ   
ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้วนั่ง  ณ  ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง   

ครั้นแล้วได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า     ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ   พวกพราหมณ์ชาวปัจฉาภูมิ     
มีคนโทน้ำติดตัว    ประดับพวงมาลัยสาหร่าย    อาบน้ำทุกเช้าเย็น    บำเรอไฟ
พราหมณ์เหล่านั้นชื่อว่ายังสัตว์ที่ตายทำกาละแล้วให้ฟื้นขึ้นมา   ให้รู้สึกตัว    จูงให้ขึ้นสวรรค์

ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ   ก็พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า   
สามารถการทำให้สัตว์โลกทั้งหมด    เมื่อตายไป    พึงเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ได้หรือ ?

พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า   ดูก่อนนายคามณี   ถ้าอย่างนั้น   เราจักย้อนถามท่านในข้อนี้   
ปัญหาควรแก่ท่านด้วยประการใด  ท่านพึงพยากรณ์ (ตอบ) ปัญหาข้อนั้นด้วยประการนั้น   
ท่านจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน    บุรุษในโลกนี้ฆ่าสัตว์    ลักทรัพย์    ประพฤติผิดในกาม   
พูดเท็จ     พูดส่อเสียด   พูดคำหยาบ   พูดเพ้อเจ้อ   มากไปด้วยอภิชฌา (เพ่งเล็งอยากจะได้ของผู้อื่น)   
มีจิตพยาบาท     มีความเห็นผิด   หมู่มหาชนมาประชุมกันแล้ว    พึงสวดวิงวอน    สรรเสริญ   
ประนมมือเดินเวียนรอบผู้นั้นว่า    คือบุรุษนี้เมื่อตายไป    จงเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ 
ท่านจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน   บุรุษนั้นเมื่อตายไป  พึงเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์
เพราะเหตุการสวดวิงวอน   เพราะเหตุการสรรเสริญ  หรือเพราะเหตุการณ์ประนมมือเดินเวียนรอบดังนี้หรือ ?
           คา.   ไม่ใช่อย่างนั้น   พระเจ้าข้า.
           พ.  ดูก่อนนายคามณี  เปรียบเหมือนบุรุษโยนหินก้อนหนาใหญ่ลงในห้วงน้ำลึก     
หมู่มหาชนพึงมาประชุมกันแล้ว    สวดวิงวอน   สรรเสริญ   ประนมมือเดินเวียนรอบหินนั้นว่า     
ขอจงโผล่ขึ้นเกิดท่านก้อนหิน     ขอจงลอยขึ้นเถิดท่านก้อนหิน    ขอจงขึ้นบกเถิดท่านก้อนหิน
ท่านจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน    ก้อนหินนั้นพึงโผล่ขึ้น    พึงลอยขึ้น     หรือพึงขึ้นบก   
เพราะเหตุการสวดวิงวอน     สรรเสริญ    ประนมมือเดินเวียนรอบของหมู่มหาชนบ้างหรือ ?
           คา.  ไม่ใช่อย่างนั้น   พระเจ้าข้า.
           พ.  ดูก่อนนายคามณี     ฉันนั้นเหมือนกัน     บุรุษคนใดฆ่าสัตว์    ลักทรัพย์  ประพฤติผิดในกาม   
พูดเท็จ   พูดส่อเสียด   พูดคำหยาบ   พูดเพ้อเจ้อ   มากไปด้วยอภิชฌา   มีจิตพยาบาท   มีความเห็นผิด   
หมู่มหาชนพึงมาประชุมกันแล้วสวดวิงวอน     สรรเสริญ     ประนมมือเดินเวียนรอบบุรุษนั้นว่า 
ขอบุรุษนี้เมื่อตายไป  จงเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์  ก็จริง 
แต่บุรุษนั้นเมื่อตาย   พึงเข้าถึงอบาย   ทุคติ   วินิบาต   นรก.
 

ดูก่อนนายคามณี     ท่านจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน    บุรุษในโลกนี้เว้นจากการฆ่าสัตว์   
ลักทรัพย์   ประพฤติผิดในกาม   พูดเท็จ   พูดส่อเสียด   พูดคำหยาบ   พูดเพ้อเจ้อ   
ไม่มากไปด้วยอภิชฌา   มีจิตไม่พยาบาท    มีความเห็นชอบ   หมู่มหาชนพึงมาประชุมกันแล้ว
สวดวิงวอน   สรรเสริญ    ประนมมือเดินเวียนรอบบุรุษนั้นว่า    ขอบุรุษนี้เมื่อตายไป   
จงเข้าถึงอบาย   ทุคติ   วินิบาต    นรก     ท่านจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน 
บุรุษนั้นเมื่อตายไปพึงเข้าถึงอบาย  ทุคติ  วินิบาต   นรก  เพราะเหตุการสวดวิงวอน   สรรเสริญ
หรือเพราะเหตุการประนมมือเดินเวียนรอบของหมู่มหาชนบ้างหรือ ?
           คา.  ไม่ใช่อย่างนั้น   พระเจ้าข้า.
           พ.   ดูก่อนนายคามณี    เปรียบเหมือนบุรุษลงยังห้วงน้ำลึกแล้ว   
พึงทุบหม้อเนยใสหรือหม้อน้ำมัน   ก้อนกรวดหรือก้อนหินที่มีอยู่ในหม้อนั้น     พึงจมลง     
เนยใสหรือน้ำมันที่มีอยู่ในหม้อนั้นพึงลอยขึ้น    หมู่มหาชนพึงมาประชุมกันแล้วสวดวิงวอน   
สรรเสริญ    ประนมมือเดินเวียนรอบเนยใสหรือน้ำมันนั้นว่า    ขอจงจมลงเถิดท่านเนยใสและน้ำมัน     
ขอจงดำลงเถิดท่านเนยใสและน้ำมัน   ขอจงลงภายใต้เถิดท่านเนยใสและน้ำมัน   
ท่านจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน   เนยใสและน้ำมันนั้นพึงจมลงพึงดำลง   พึงลงภายใต้    เพราะเหตุ
แห่งการสวดวิงวอน   สรรเสริญ   หรือเพราะเหตุการประนมมือเดินเวียนรอบของหมู่มหาชนบ้างหรือ ?
           คา.  ไม่ใช่อย่างนั้น   พระเจ้าข้า.
           พ.  ดูก่อนนายคามณี   ฉันนั้นเหมือนกัน   บุรุษใดเว้นจากปาณาติบาต    อทินนาทาน   
กาเมสุมิจฉาจาร   มุสาวาท   ปิสุณาวาจา   ผรุสวาจา    สัมผัปปลาปะ   ไม่มากไปด้วยอภิชฌา   
มีจิตไม่พยาบาท   มีความเห็นชอบ    หมู่มหาชนจะพากันมาประชุมแล้วสวดวิงวอน    สรรเสริญ 
ประนมมือเดิน    เวียนรอบบุรุษนั้นว่า   ขอบุรุษนี้เมื่อตายไป   
จงเข้าถึงอบาย  ทุคติ  วินิบาต นรก   ก็จริง   
แต่บุรุษนั้นเมื่อตายไปพึงเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์.

เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสอย่างนี้แล้ว  นายบ้านนามว่าอสิพันธกบุตรได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า     
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ     พระธรรมเทศนาของพระองค์แจ่มแจ้งนัก   
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ     พระธรรมเทศนาของพระองค์แจ่มแจ้งนัก   
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงประกาศธรรมโดยอเนกปริยาย  ดุจหงายของที่คว่ำ  เปิดของที่ปิด 
บอกทางให้แก่คนหลงทางหรือส่องไฟในที่มืดด้วยหวังว่า   คนมีจักษุจักเห็นรูป 
ฉะนั้น   ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ     ข้าพระองค์นี้ขอถึงพระผู้มีพระภาคเจ้ากับทั้งพระธรรมและภิกษุสงฆ์
ว่าเป็นสรณะ    ขอพระผู้มีพระภาคเจ้าโปรดทรงจำข้าพระองค์ 
ว่าเป็นอุบาสกผู้ถึงพระรัตนตรัยเป็นสรณะจนตลอดชีวิต   ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป.

www.samyaek.com


บันทึกการเข้า

หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป: