กระทู้ธรรม

กระทู้ธรรม

<< < (12/48) > >>

kittanan_2589:
แม่ตายไป ๕ วันแล้วฟื้น

ก่อนข้าพเจ้าจะมาปฏิสนธิในครรภ์ของแม่ หลังจากแม่ได้ให้กำเนิดพี่ ๆ สามคนแล้ว แม่ก็เจ็บออด ๆ แอด ๆ มาตลอด จนถึงวันหนึ่งแม่ได้เสียชีวิตลงอย่างกระทันหัน

แม่เป็นลูกผู้หญิงคนเดียวของครอบครัว จึงเป็นที่รักและหวงแหนของทุกคน ทำให้เกิดความเศร้าโศกเสียใจเป็นอย่างยิ่ง แม่ถูกผูกตราสังนำเข้านอนในโลง สมัยก่อนไม่มีการฉีดยาเพื่อกันไม่ให้ศพเน่าเหม็นเหมือนปัจจุบัน เพียงแต่ใช้ผ้าขาวห่อหุ้มร่างกายของแม่ แม่เฒ่า(ยาย) ทำใจยังไม่ได้ จึงไม่ให้ปิดฝาโลงศพ เพียงแต่ให้ใช้ผ้าขาวคลุมปากโลงเอาไว้ ได้ทำบุญสวดอภิธรรมตามประเพณี

*ในงานศพคืนที่ห้า ภายในโลงศพมีเสียงดังเหมือนการขยับตัวและเคาะโลง จึงทำให้หลายคนไปเปิดผ้าคลุมโลงศพดู ปรากฏเห็นแม่กำลังดิ้นเพราะมือถูกผูกตราสัง ตัวถูกห่อด้วยผ้าขาว เป็นที่ตกอกตกใจทั้งพระและผู้ช่วยงานเป็นอย่างยิ่ง เมื่อเห็นดังนั้น ทุกคนจึงช่วยกันแก้มัดและยกแม่ขึ้น นำร่างแม่ออกมาจากโลงศพ*

แม่ขอน้ำดื่มเพราะกระหายน้ำมาก เมื่อแม่ได้ดื่มน้ำแล้ว จึงถามว่าพระท่านมาทำอะไร ? คนมากันมากมายเพื่อมาทำอะไร ? ทุกคนตอบว่ามางานศพ แม่ถามว่าศพของใคร แม่ได้รับคำตอบว่าศพของแม่ แม่จึงร้องไห้เป็นที่น่าเวทนา ทุกคนพากันปีติยินดีที่แม่ฟื้นขึ้นมา

kittanan_2589:
แม่เล่าว่าแม่นอนหลับไป มีคนเอาวอมารับ (วอ คือ คานหาม) มีเครื่องดนตรีดีดสีตีเป่า มีคน ๔ คนหามวอ พวกเขาให้แม่ขึ้นไปนั่ง คนเหล่านั้นแต่งตัวสวย แม่ถามว่าจะพาไปไหน ก็ไม่มีใครให้คำตอบ ต่างพาเดินไปเรื่อย ๆ พร้อมเครื่องมโหรีตีนำ แม่บอกว่า แม่รู้สึกเหมือนเป็นเจ้าหญิงอย่างนั้น

เมื่อพาเดินไปถึงที่แห่งหนึ่งเป็นแม่น้ำ มีไม้กลม ๆ พาดทอดข้ามฝั่ง คนหามจึงให้แม่ลง คนหามข้ามกันหมดแล้ว แต่แม่ข้ามไม่ได้ พอเหยียบไม้ที่ทอดข้ามฝั่ง ไม้ก็จะหมุนอยู่ตลอดเวลา จนคนที่ข้ามไปแล้วต้องมาช่วยกันประคองข้ามไปจนได้ ก็ขึ้นวอเดินทางไปเรื่อย ๆ สองข้างทางสวย จนเพลิดเพลินกับการเดินทาง ถึงไหนไม่อาจรู้ได้

ไปถึงสถานที่แห่งหนึ่ง มีคนนั่งอยู่มากมาย รู้จักบ้าง ไม่รู้จักบ้าง ทักทาย ถามไถ่ ก็ไม่มีใครพูดด้วย ทำเหมือนไม่ได้ยิน ต่างคนต่างอยู่กับการกินอาหารของตน จัดเป็นสำรับ ๆ เฉพาะตน แม่รู้สึกหิว ไปขอคนรู้จักกิน แต่ก็กินไม่ได้ จับไม่ได้ มันร้อน ผู้ที่นำแม่มาบอกว่า *"เป็นของคนอื่น กินไม่ได้ เพราะเป็นของที่เขาเคยทำบุญไว้* เขาได้ทำบุญกุศลกับสมณะชีพราหมณ์ ทำทานกับคนตกทุกข์ได้ยากมาเมื่อมีชีวิต" คนพวกนั้นบอก แล้วชี้ให้แม่ไปกินส่วนที่เป็นของแม่ แม่เดินไปเห็นมีแต่น้ำขันเดียว แม่จึงถามว่า "ทำไมมีแต่น้ำขันเดียว" คนนำแม่มาบอกว่า "เพราะตอนที่อยู่ในโลกมนุษย์เมื่อยังไม่ตาย ไม่เคยทำบุญด้วยตนเอง มีแต่คนอื่นทำให้ทั้งสิ้น เราเคยถวายน้ำให้พระเดินทางมาขอดื่ม ๑ ขัน จึงมีแค่นี้" "เราตายแล้วไม่รู้หรือ?" แม่เถียงว่าไม่จริงแม่ยังไม่ตาย ใจหนึ่ง แม่ก็คิดว่าเราตายแล้วจริง ๆ

เมื่อได้ดื่มน้ำ ๑ ขันแก้กระหายแล้ว คนที่นำแม่มาก็พาแม่ไปพบคน ๆ หนึ่ง แต่งตัวแปลก มีคนนั่งอยู่ข้าง ๆ ที่นั่งเป็นบัลลังก์ มารู้ภายหลังว่าเป็นยมบาล ผู้ตัดสินความเมื่อตายจากโลกมนุษย์ ชายผู้นั้นถามชื่อ นามสกุล แม่บอกชื่อสกุลแล้ว ชายผู้นั้นหันไปถามชายผู้ที่นั่งอยู่ทางขวามือให้ตรวจดูรายชื่อ ชายผู้นั้นได้ตรวจดูรายชื่อไม่พบในบัญชีตาย ยมบาลบอกว่าเอาตัวผิดมา จึงสั่งให้รีบเอาแม่กลับมาส่งด่วน เดี๋ยวร่างถูกทำลายเสียก่อน

แล้วสั่งว่าให้ไปดูบัญชีตายของมนุษย์ ให้ดูคนที่รู้จักสามคนที่ต้องตายตามวัน เวลา สถานที่ และเหตุที่ตาย เดี๋ยวจะไม่เชื่อว่าได้ลงมาในยมโลกซึ่งเป็นที่ตัดสินผลกรรมของมนุษย์ ก่อนส่งวิญญาณไปสู่ภูมิของกรรมที่ได้ทำมา แม่ได้ดูชื่อคนที่จะต้องตายในไม่นานนี้สามคน (ขอไม่เอ่ยชื่อให้เป็นวิบากกรรม) จากนั้นมีคนนำทางพาแม่ ไปดูคนที่ทำกรรมชั่ว ที่ได้รับการทรมานเพราะผลของการกระทำ แม่บอกว่ามันน่ากลัว น่าเวทนา น่าสงสารยิ่ง ถูกทรมานต่าง ๆ กัน เป็นกลุ่ม ๆ เป็นเหล่า ๆ ตามผลของการกระทำชั่ว

คนทั้งสามได้ตายตามที่แม่ได้ดูจากบัญชีรายชื่อทุกคน ทั้ง ๆ ที่แม่ได้บอกกับเจ้าตัว ลูกหลานให้ระวัง แต่กฎแห่งกรรมไม่มีใครอาจหลีกเลี่ยงได้ ทั้งไม่ปรานีใคร จากนั้นมาแม่เป็นผู้กลัวบาป แม่จะไม่กระทำกรรมชั่ว แม่ถือศีลทำแต่กรรมดี ทำบุญ ทำแต่ความดีตลอดจนสิ้นชีวิตของแม่ แม่เป็นคนกลัวบาป แม่จะสอนอยู่เสมอ เล่าให้ลูก ๆ ฟังตลอดเวลา เพราะแม่ไม่ต้องการให้ลูกของแม่เป็นอย่างที่แม่ได้เห็น ข้าพเจ้าเขียนเล่าเรื่องนี้จากคำบอกเล่าของแม่ เพื่อเตือนสติแก่ผู้คิดประพฤติทำกรรมชั่ว ผู้ที่ไม่กลัวบาป

kittanan_2589:
วิบากกรรมของครอบครัว

ก่อนข้าพเจ้าเกิดลืมตาดูโลก ข้าพเจ้าได้กล่าวมาแล้วแต่ข้างต้นว่า ครอบครัวของข้าพเจ้าอยู่ในฐานะดี แต่ด้วยบาปเคราะห์ของคนในครอบครัว ที่ได้กระทำมาจากอดีตชาติหนไหนไม่อาจรู้ได้ มาดลจิตดลใจให้ก๋งเกิดความเบื่อหน่ายในธุรกิจเหมืองแร่ จึงคิดขายเหมือง แล้วอพยพครอบครัวเข้ากรุงเทพฯ

เมื่อตกลงกันแล้วจึงขายเหมือง เมื่อดำเนินการขายสิ้นสุด รับเงินค่าเหมืองแร่เสร็จ ได้แบ่งที่ดินจำนวน ๗๐ ไร่ให้กับเด็กผู้ชายที่เลี้ยงไว้เหมือนลูกหลาน เพราะกลัวจะทุกข์ยากลำบาก แบ่งสมบัติเป็นที่เรียบร้อย ตกกลางคืนวันนั้น เด็กคนนี้ได้นำพรรคพวกมาปล้นเอาเงินที่ขายเหมืองไปหมดสิ้น ทำให้สิ้นเนื้อประดาตัว ก๋งเสียใจมาก ตรอมใจจนเสียชีวิตหลังจากนั้น ๗ วัน

ครอบครัวต้องเสียหัวเรือหลัก ระส่ำระสายทำอะไรไม่ถูก หลังจากจัดงานศพของก๋งเสร็จสิ้น แม้ที่ดินจะฝังร่างตามประเพณีก็ไม่มี จึงต้องเผาตามประเพณีไทยในที่สุด เป็นที่สงสัยว่า ตอนต้นได้เกริ่นไว้ว่า ก๋งเป็นผู้มีใจบุญสุนทาน สร้างกุศลไว้มากมาย เป็นผู้มีน้ำใจอันประเสริฐ เป็นรากฐานอันดีให้กับทางญาติ ลูกหลาน ทั้งเป็นผู้มีฐานะมั่นคง ในการดำรงชีวิตชั่วลูกชั่วหลานก็ใช้ไม่หมด ทำไมจึงประสบเคราะห์กรรมเช่นนี้

ได้เขียนยกเรื่องนี้ขึ้นมาเพื่อแสดงว่า กฎแห่งกรรมจากอดีตจนถึงปัจจุบัน มีจริงตอบสนองจริง ตามกฎของการทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว อันเป็นสัจธรรม เป็นความจริงอันเที่ยงแท้แน่นอน ไม่ว่าจะเกิดในชาติภพใด ผลกรรมที่ได้กระทำมาในอดีต ก็จะตามมาแสดงตัวพิพากษาได้ในทุก ๆ ภพ ทุก ๆ ชาติ และมีความเที่ยงธรรม เที่ยงตรงเสมอ ไม่ยกเว้น แม้ในภพนี้จะทำแต่ดี แต่ในอเนกชาติอาจทำไม่ดีไว้ ในชาติปัจจุบันจึงต้องมาใช้หนี้กรรมนั้น ทุกผู้ทุกคนที่เวียนว่ายตายเกิด ไม่เลือกชั้นวรรณะ

ไม่เว้นแม้แต่ก๋งผู้ทำแต่กรรมดีในชาตินี้ เราจึงพึงสังวรไว้เสมอ เพื่อความไม่ประมาทในกรรม การกระทำทุกอย่างย่อมไม่มีวันเสื่อมสูญ ไม่สิ้นกระแส เมื่อมีการเวียนว่ายตายเกิดของสัตว์โลก จะเกิดในโลกใบนี้หรือโลกใบไหน ๆ ก็หนีไม่พ้น กรรมดี กรรมชั่ว ทำกรรมดีย่อมสุขสบายในทุกภพทุกชาติ ทำความชั่วย่อมได้รับทุกข์เช่นกัน เขียนบอกไว้เพื่อเตือนสติตนเองและผู้ได้พบอ่านว่า อย่าประมาท อย่าหลงผิดคิดชั่ว อย่าทรนงต่อกระแสกรรม

kittanan_2589:
การอพยพถิ่นฐาน

เมื่อเสาหลักของครอบครัวล้มลง ครอบครัวขาดที่พึ่ง ขาดกำลังใจ มีแต่ความเศร้าโศก ทรัพย์ที่เคยมีอยู่ก็หมด ยังคงมีเหลืออยู่บ้าง ก็ต้องแบ่งกันครอบครอง พี่น้องแยกกันไป แม่ย้ายไปอยู่ที่บ้านส้อง ตำบลเวียงสระ อำเภอบ้านนาสาร จังหวัดสุราษฎร์ธานี ได้ไปสร้างบ้านเล็ก ๆ อยู่ในสวนที่เป็นมรดก ห่างตลาดประมาณ ๕ กิโลเมตร

พ่อกับแม่เป็นคนอดทน ขยันขันแข็งหาเลี้ยงลูก ลูกที่โตพอช่วยทำมาหากินได้ ก็ไปเป็นลูกจ้างหาเงินช่วยครอบครัว ณ บ้านหลังนี้ข้าพเจ้าได้ลืมตามองโลกอาศัยอยู่จนอายุ ๓ ขวบ พ่อแม่ก็ย้ายเข้ามาเช่าบ้านอยู่ในตลาดเพื่อสะดวกในการทำมาหากิน พ่อแม่ช่วยกันทำของขายข้างสถานีรถไฟ ขายขนม ข้าวหมูแดง (ใส่กระทงขาย) ไก่ย่าง ขายก๋วยเตี๋ยวเลี้ยงชีพมาตลอดเวลา อายุ ๔ ขวบ วิบากตามมาทันซ้ำเติมครอบครัวอีกครั้ง ไฟไหม้ตลาด บ้านที่เช่าอยู่ถูกไหม้ไปด้วย สิ้นเนื้อประดาตัว ไม่มีอะไรเหลือเป็นครั้งที่สอง

พ่อกับแม่ต้องไปขออาศัยโรงสีข้าวอยู่เป็นห้องเล็ก พอมีที่นอน ๔ คน คือ พ่อ แม่ พี่สาวและข้าพเจ้า ได้รับความทุกข์ทรมานอย่างเหลือล้น เพราะห้องพักเต็มไปด้วยฝุ่นจากรำข้าวในโรงสี ทำให้เกิดอาการคันตามเนื้อตามตัว ได้รับความทุกข์ยากเวทนาเป็นอย่างยิ่ง ส่วนพี่ ๆ แยกกันไปเป็นลูกจ้างในร้านต่าง ๆ

kittanan_2589:
ผลกรรมตามสนอง

หากจะไม่เขียนเรื่องนี้ อาจมีผู้สงสัยกฎแห่งกรรมอีก คนที่ก๋งเลี้ยงไว้อุปถัมภ์เหมือนลูกคนหนึ่ง ตอนหลังได้นำพวกมาปล้นทรัพย์ที่ได้จากการขายเหมืองแร่ จนก๋งเสียใจจนถึงกับเสียชีวิตในที่สุด

*ในเดือนต่อมา ได้ประสบเคราะห์กรรมที่ได้กระทำไว้ ได้ขึ้นต้นมะพร้าวเพื่อเก็บลูกมะพร้าว พลาดตกจากต้นมะพร้าวเสียชีวิต ชดใช้กรรมที่ได้กระทำมาเช่นกัน* จะด้วยเหตุผลอันใดขอท่านผู้มีปัญญาได้พิจารณามองหาเหตุผลตามกฎแห่งกรรมดู น่าจะเข้าใจ ผู้ประทุษร้ายต่อผู้มีพระคุณประดุจดังพ่อแม่ ย่อมเป็นบาปหนักหนา

พระพุทธองค์ทรงตรัสสอนไว้ว่า “บุคคลใดประทุษร้ายต่อผู้ไม่ประทุษร้ายตอบ บุคคลนั้นย่อมได้รับโทษทัณฑ์ในปัจจุบัน ๑๐ ประการ” เขาผู้นั้นได้กระทำกรรมชั่วต่อผู้มีพระคุณ จึงได้รับโทษตามกฎที่ได้แสดงผลให้ปรากฏ เพื่อรักษากฎอย่างมั่นคงต่อการกระทำนั้น จึงน่าจะเป็นคติเตือนใจแก่คนรุ่นหลัง

ท่านผู้ได้พบอ่านจะเห็นว่า ข้าพเจ้าไม่ได้เอ่ยชื่อบุคคลใดบุคคลหนึ่งในข้อเขียนนี้ เพื่อไม่ให้เกิดวิบากกรรมต่อกัน จนเป็นเจ้ากรรมนายเวรสืบต่อ ๆ กันไป จนติดภพชาติไปเรื่อย ๆ ไม่มีที่สิ้นสุด ไม่มีอโหสิกรรมต่อกัน ซึ่งเรื่องราวทั้งหมดนี้ ครอบครัวของข้าพเจ้าได้ให้อภัยเป็นอโหสิกรรมแล้ว ทุกคนไม่ผูกติด คิดอาฆาตพยาบาทต่อกันอีกต่อไป

เพียงแต่จะบอกกล่าวว่า บาปบุญคุณโทษนั้นมีจริง ภพต่าง ๆ มีจริง กระแสกรรมมีจริง การเวียนว่ายตายเกิดของสัตว์โลกมีจริง ทุกคนเกิดด้วยแรงแห่งกรรม เรามีกรรมเป็นถิ่นกำเนิด มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ เราเป็นทายาทแห่งกรรม มีกรรมเป็นปัจจัย เป็นพื้นฐานของชีวิต มีกรรมเป็นเครื่องบอกกล่าวถึงผลการกระทำในอดีตของเราที่ได้กระทำอยู่อย่าง นั้น จมอยู่อย่างนั้น หมกมุ่นอยู่อย่างนั้น จึงมีสุข มีทุกข์ มีความสำเร็จ สมหวัง ความผิดหวัง มีฐานะร่ำรวยหรือยากจน มีหน้าที่การงานดี มีผู้เคารพนบน้อม มีหน้ามีตาในสังคม มีสุขภาพสมบูรณ์ ไม่สมบูรณ์ มีพวกพ้องบริวาร ทุกข์ยากอับจน ล้วนแต่กรรมเป็นเครื่องกำหนด มาบอกความจริงทั้งสิ้น

*หากใครมีจิตตื่นสว่าง มีปัญญามองเห็นวัฏฏะสงสาร แก้ไขด้วยการสร้างแต่คุณงามความดี เพิ่มพูนบุญวาสนาบุญญาธิการของตัวเอง ด้วยตนเอง ด้วยความสำนึกละอายเกรงกลัวต่อการกระทำกรรมชั่ว ประพฤติกระทำแต่กรรมดีตลอดที่มีโอกาส ที่มีร่างกายเป็นเครื่องรองรับการกระทำดีนั้น* เมื่อรู้ว่าการกระทำกรรมดีมีคุณ กระทำกรรมชั่วมีโทษ แล้วเราจะกระทำกรรมใด ขอจงพิจารณาให้ถ่องแท้เถิด จงหมั่นขอขมากรรมที่ได้สร้างเอาไว้ ให้อกุศลกรรมนั้น ๆ เป็นอโหสิกรรมอยู่ทุกเมื่อ เพื่อความไม่ประมาทในชีวิต

นำร่อง

[0] ดัชนีข้อความ

[#] หน้าถัดไป

[*] หน้าที่แล้ว