ศุกรที่ ๑๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๐ นัดส่งท้ายคดี"แพะหรือแกะ"?เปลว สีเงิน
LSVคลังสมองออนไลน์ "ปีที่21"
มีนาคม 28, 2024, 04:21:18 PM *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
   หน้าแรก   ช่วยเหลือ เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก  
หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: ศุกรที่ ๑๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๐ นัดส่งท้ายคดี"แพะหรือแกะ"?เปลว สีเงิน  (อ่าน 924 ครั้ง)
eskimo_bkk-LSV team♥
.กลุ่มผู้มีน้ำใจงาม..
member
*

คะแนน1882
ออนไลน์ ออนไลน์

กระทู้: 13199


ไม่แล่เนื้อเถือหนังพวก


อีเมล์
« เมื่อ: กุมภาพันธ์ 10, 2017, 09:19:45 AM »

สมัยก่อนมี"ตลกขาลาก"อยู่คำ คือ
"บ้านม้ากับภาชีครือกัน"!?
คนรุ่นนี้ ฟังแล้วงงง...."ไรของมันวะ?"
มันเป็นเรื่องจริง-อิงเรื่องโม้ เล่าปากต่อปากสืบๆกันมา จนขึ้นชั้นเป็น"ตลกลายคราม"
มันมาจาก"สังคมคนนั่งรถไฟ"น่ะ ........
คือรถไฟเหนือ-อีสานทุกสาย จะต้องผ่านอำเภอบางปะอิน อำเภอพระนครศรีอยุธยา อำเภอภาชี
พระนครศรีอยุธยามี"สถานีบ้านม้า"อำเภอภาชี มีสถานี"บ้านภาชี"
การได้นั่งรถไฟสมัยก่อน โก้พอกับได้นั่งเครื่องบินสมัยนี้ ผมเองอยู่แม่กลอง พระให้สะพายย่ามตามตูดไปกรุงเทพฯ
รู้ว่าจะได้นั่งรถไฟจากแม่กลองไปสถานีวงเวียนใหญ่เท่านั้นแหละ ตระเวณโม้กับ ปู่-ย่า-ตา-ยาย-พี่-ป้า-น้า-อา ไปทั้งตำบล
และนอนไม่หลับเป็นอาทิตย์!
บ้านนอกที่ไม่เคยเข้ากรุงอย่างผมมีเยอะ เขาเล่าปากต่อปาก จนจำปากแรกที่เล่าไม่ได้
สรุปว่า มีบ้านนอกจะเข้ากรุงประมาณนั้น ขึ้นรถไฟไปอยุธยา ตีตั๋วลงสถานีบ้านม้า
แต่พอถึงสถานีบ้านภาชี อีกพวกจะลง อีกพวกบอก...อย่าเพิ่งลง นี่มันสถานีบ้านภาชี
ไอ้พวกจะลงก็เถียง"เฮ่ย...บ้านม้ากับภาชีครือกันแหละวะ"!?
เอ้า...ครือก็ครือ ว่าแล้วก็พากันลง
จากภาชีไปบ้านม้า ไม่ใกล้-ไม่ไกล เดินไปก็แค่ ๒๕ กิโลเอง!
ที่ผมเอาเรื่องนี้มาเล่า เพราะไม่มีอะไรจะคุยน่ะ...........
ดูสังคมข่าวสารออนไลน์ หวังหาอะไรเป็นกระสายยาซักเรื่อง
ก็เจอซ้ำๆซากๆอยู่เรื่องเดียว จนอดนึกเปรียบเทียบในลีลาเดียวกันไม่ได้
โซเชียลมีเดีย กับ ดรามามีเดีย .......
มัน"ครือกัน"อย่างนั้นจริงๆ!
ตอนนี้ ทั้งโซเชียลมีเดีย พรึ่ดด้วย"โจ๋ ม.๔ กับลุงวิศวะ"
มาแรงมาก มากจนกลบดรามา"แลมโบกินี่คันนี้ เจ้าได้ แต่ใดมา"ของเบนซ์ เรซซิ่ง
และฝังดรามา"จอมทรัพย์ครูแพะ"ชนิดโบกปูนทับไปเลย!
ดูๆแล้ว"สื่ออินเตอรเน็ต"ยุคนี้ ......
เป็นอาวุธมหาประลัยในสังคมโลกออนไลน์ มาเร็ว-มาแรง
และไปเร็วน่ากลัวกว่านิวเคลียร์ของท่านผู้นำ"คิม จอง อึน"เป็นร้อยเท่า!
สินค้าขายดีตอนนี้ ผมว่าต้องยกให้"กล้องติดหน้ารถ"ยิ่งมีเรื่องโจ๋ม.๔กับลุงวิศวะ ขาดตลาดไปแล้วมั้ง?
ผมไม่มีรถ คุยไม่ออก หลบไปคุยเรื่องที่เขาเบื่อกันแล้วดีกว่า เรื่อง"ครูแพะ"หรือ"ครูจอมทรัพย์"นั่นแหละ
สดับตรับฟังข่าวการรื้อคดีใหม่ มีการสืบพยานผู้ร้อง คือฝ่ายครูจอมทรัพย์ กับผู้ถูกร้อง
คือฝ่ายอัยการ ที่ศาลจังหวัดนครพนม ระหว่าง ๘-๑๐ กพ.

วันนี้"๑๐ กพ.๖๐"ตามตารางกำหนด เสร็จสิ้นวันนี้
แต่ถ้าสืบพยานไม่เสร็จ ก็ต้องฟังว่า ศาลท่านจะนัดต่อวันไหน?
แต่ถ้าเสร็จ"ก็เสร็จ"!
หมายถึงเสร็จขั้นตอน"รับฟังการสืบพยาน"จากทั้งสองฝ่าย ไม่ใช่คดีเสร็จ แล้วจะตัดสินเลยว่า........
ครูจอมทรัพย์ ทำผิดจริงตามคำพิพากษาศาลฎีกา
หรือ ไม่ได้ทำผิดตามคำพิพากษา มีสิทธิ์เรียกร้องค่าชดเชย?
ตรงนี้่สำคัญ .......
ผมจึงอยากนำมาคุยเพื่อทำความเข้าใจกัน เพราะเท่าที่สังเกต มักนิยมเอาประเด็นฉาบฉวยไปกระเดียดเป็นดรามา
แต่ละเลยประเด็นเนื้อหาและไม่ชอบค้นหาเหตุผล-ข้อมูลและขั้นตอนตามกฎกติกามากนัก
อย่างเรื่องนี้ บางคนอาจเข้าใจว่า ศาลสืบพยานจนครบทุกปากแล้วจะตัดสินวันนี้-พรุ่งนี้เลยนั้น

โปรดเข้าใจให้ถูกต้อง.....

๑.ยังเป็นแค่ขั้นตอน เปิดศาลรับฟังปากคำพยานจากทั้ง ๒ ฝ่าย ในคำร้องรื้อฟื้นคดีใหม่เท่านั้น
๒.สืบพยานเสร็จวันไหน ศาลจังหวัดนครพนม จะทำความเห็นในคดีพร้อมสำนวนการสืบพยานส่งไปยังศาลฎีกา
๓.ศาลฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว จึงจะทำคำวินิจฉัยว่า .......
-ครูจอมทรัพย์ไม่ได้กระทำความผิดตามคำพิพากษาศาลฎีกา


หรือ...........

-ครูจอมทรัพย์กระทำความผิด เป็นไปตามคำพิพากษาศาลฎีกาที่ได้วินิจฉัยแล้ว
๔.เมื่อศาลฎีกาทำคำวินิจฉัยอย่างใด-อย่างหนึ่งแล้ว จะส่งคำวินิจฉัยนั้นมาที่ศาลจังหวัดนครพนม
๕.ศาลจังหวัดนครพนม ก็จะนัดวันให้มาฟังคำวินิจฉัย โดยศาลจังหวัดนครพนมจะเปิดอ่านให้ฟัง
การตัดสินของศาลฎีกาครั้งนี้ ไม่ว่าผลจะออกมาแบบไหน
ถือว่า"การรื้อฟื้นคดีใหม่"ของคดีนี้ เป็นอันสิ้นสุด
การรื้อฟื้น"ทำได้ครั้งเดียว"จะขอรื้อฟื้นอีกไม่ได้แล้ว!


สรุปว่า ยังไม่มีการตัดสิน.........
ต้องรอ"ด้วยระยะเวลา"อีกพอสมควร!

เข้าใจให้ตรงกันตามนี้นะ ครูจอมทรัพย์จะเป็นแพะหรือเป็นแกะ
หมดช่วงโปรแล้ว งดดรามา อดใจรอผลอย่างเดียว
และท่านที่ติดตามฟังการสืบพยาน

"อย่าฟังความข้างเดียว"เป็นอันขาด

ไม่ใช่ฟังปากคำพยานฝ่ายครูจอมทรัพย์แล้วฟันธง
ต้องฟังปากคำพยานผู้คัดค้าน คือฝ่ายอัยการ
มาเป็นน้ำหนักประกอบการพิจารณาด้วย
ดูเหมือนทีมฝ่ายครูจอมทรัพย์ โดยกระทรวงยุติธรรม

"พยานปากเอก"กลายเป็น"

พยานวัตถุชิ้นเอก"คือ

"รถยนต์โตโยต้า รุ่นไฮลักซ์ 89 HP บรอนซ์ทอง ทะเบียน บค 56 สกลนคร"
ขนใส่รถบรรทุกมาลงหน้าศาล ยื่นคำร้อง
ขอให้ศาลเดินลงมาเผชิญสืบกันเลยทีเดียว
มาพร้อมผู้เชี่ยวชาญด้านรถยนต์ ม.เทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี
ผู้เชี่ยวชาญ บริษัท โตโยต้า และเจ้าหน้าที่กรมการขนส่งทางบก

เรียกว่าฝ่ายผู้ร้องมั่นใจพยานวัตถุชิ้นนี้มาก ทนายบอกต่อศาลว่า
"เครื่องที่ทำมาตรวจสอบ ผู้ร้องใช้เทคโนโลยีใหม่ในการตรวจ
สามารถตรวจย้อนหลังได้มากกว่า ๑๐ ปี ........."

แต่ปรากฏว่า.........

ศาลไม่ลงเดินเผชิญสืบ ด้วยเหตุผลว่า"ศาลไม่มีความเชี่ยวชาญ"
ในประเด็นใช้"พยานวัตถุ"เป็นทีเด็ดนี้

พ.ต.อ.ดุษฎี อารยวุฒิ รองปลัดยุติธรรม บอกนักข่าวที่กระทรวงว่า

"ทางกระทรวงนำพยานทั้งหมด ๑๐ ปาก ไปเบิกความ ซึ่งทั้ง ๑๐ ปาก
จะไม่มี"นายสับ วาปี"เพราะได้มุ่งเน้น"พยานหลักฐานทางวิทยาศาสตร์"
ว่ารถยนต์ของนางจอมทรัพย์ ไม่เคยเกิดอุบัติเหตุมาเลย
ยืนยันได้ รถยนต์ถึงแม้ได้ขายต่อไปแล้ว ก็ยังไม่ได้เกิดอุบัติเหตุ
รวมถึงแผ่นป้ายทะเบียน ความสูงของป้ายทั้งขอบล่างและขอบบน
ไม่สัมพันธ์กับสีที่ไปติดรถจักรยานคันเกิดเหตุ

ประเด็นที่สำคัญที่สุดก็คือ
ไม่มีประจักษ์พยานเห็นว่า นางจอมทรัพย์เป็นคนขับรถ
และถ้าเราสามารถพิสูจน์ได้ว่า รถยนต์คันนี้ ไม่เคยเกิดอุบัติเหตุขึ้นมาก่อน
นางจอมทรัพย์ก็ค่อนข้างจะมีน้ำหนัก หลุดพ้นจากมลทินต่างๆ ได้

สำหรับนายสับ ทีมงานที่ได้ทำก่อนหน้าที่จะมีการไต่สวน
และก็ให้มีการพิจารณาใหม่ ได้มาวิเคราะห์ดูแล้วในมาตรฐาน
ในขั้นตอนการทำงาน คือ
๑.เรื่องการจับเท็จ และ
๒.ขั้นตอนที่สำคัญคือ ให้ผู้เสียหายไปดำเนินการฟ้องร้องนายสับ
ในคดีอาญา กรณีประมาทขับเฉี่ยวชนผู้อื่นให้ถึงแก่ความตายและหลบหนี
ก็ต้องรอให้ศาลได้พิพากษาว่า นายสับเป็นผู้กระทำผิดตัวจริงก่อน
ถึงจะมีการยื่นรื้อฟื้น"

แต่การที่ศาลปฏิเสธลงเดินเผชิญสืบ
ความมั่นใจฝ่ายผู้ร้องจะเพิ่มขึ้นหรือลดลง ผมไม่มีเทคโนโลยีตรวจสอบ

เหตุเกิดเมื่อปี ๒๕๔๘ วันนี้ก็ปี ๒๕๖๐ ห่างกัน ๑๒ ปี
ถึงยืนยันด้วยเทคโนโลยีว่า ป้ายแท้ สีเดิม ไม่มีรอยถลอก ก็จริง

แต่ไม่ได้ยินฝ่ายผู้ร้องยืนยันว่า.........

ป้ายที่นำมาพิสูจน์ว่า"ของแท้"นี้ เป็น"ของแท้"อันดั้งเดิม ที่ติดรถในปี ๒๕๔๘ หรือไม่?

ตั้ง ๑๒ ปี แถมขายเปลี่ยนมือไปแล้ว เห็นในโทรทัศน์ เก็บรักษาได้ดีจัง สียังสดใส ใหม่แจ๋ว
แถมนายสับ วาปี พยานเอกทีแรก ถึงตอนนี้ กลับ"สับเข้า-สับออก"

และพยานที่เห็นเหตุการณ์ ๒ คน ก็ยืนยันเพียงว่า

"เห็นคนลงจากรถเป็นผู้ชาย จำป้ายทะเบียนได้แค่ อักษร"ษ 56"ตัวอื่นๆจำไม่ได้
นี่...ตรงประเด็นเหล่านี้ จะทำให้ฝ่ายครูจอมทรัพย์หนักใจหรือเบาใจ ก็ไม่ทราบ
อีกทั้งครูจอมทรัพย์ก็ไม่มีพยานบุคคลมายืนยันว่า

"ในวัน-เวลาเกิดเหตุ ตัวครูจอมทรัพย์ นอนดูโทรทัศน์อยู่กับสามีที่บ้าน"จริงตามที่กล่าวอ้างไว้แต่ต้น

เพราะอย่างนี้ ผมจึงว่า เมื่อฟังพยานฝ่ายครูจอมทรัพย์แล้ว จะปักใจ-ไม่ปักใจอย่างใด
ควรรอฟังปากคำฝ่ายผู้ค้านคืออัยการในวันนี้ก่อน
ว่าเขามีอะไรมาหักล้างที่น่ารับฟังบ้างหรือไม่?
เพราะเห็นพักหลัง ตำรวจทำอมภูมิผิดสังเกต เมื่อวาน(๙ กพ.)มืดค่ำเสียก่อน
 "ผู้ค้าน คือฝ่ายอัยการเพิ่งเบิกพยานไปแค่ ๓ ปาก

วันนี้แหละ เวทีเป็นของตำรวจ น่าสนใจกว่าดรามา

"โจ๋ม.๔ กับลุงอัยการ"เยอะเลย.

Cr: คนปลายซอย เปลว สีเงิน


บันทึกการเข้า

หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1 RC2 | SMF © 2001-2006, Lewis Media

lsv2555Please follow the new website at https://www.pohchae.com

Valid CSS!