งามอย่างแท้จริง (ธมฺมจรถ)
หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: งามอย่างแท้จริง (ธมฺมจรถ)  (อ่าน 996 ครั้ง)
kittanan_2589
.กลุ่มผู้มีน้ำใจงาม.
member
*

คะแนน630
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2363


NightBaron


เว็บไซต์
« เมื่อ: เมษายน 23, 2011, 07:18:48 PM »

งามอย่างแท้จริง


คนเราจะสวยสดงดงาม แต่เพียงสรีระร่างกายและเครื่องประดับนั้นยังไม่เพียงพอ
ต้องงดงามทางด้านจิตใจด้วย
คำกล่าวที่ว่า" ไก่งามเพราะขน คนงามเพราะแต่ง" เป็นคำกล่าวที่ถูกต้องโดยปราศจากข้อสงสัย
ถ้าไม่เชื่อลองหลับตานึกภาพของไก่ที่ถูกถอนขนวิ่งโทง ๆ
นอกจากจะดูไม่สวยงามแล้ว ยังดูน่าเกลียดพิลึก หรือดูแล้วกลายเป็นเรื่องน่าขบขันหรือน่าสังเวช
ทั้งนี้เพราะไก่นั้นมีขนเป็น อาภรณ์ปกปิดกายและป้องกันอากาศร้อนและหนาว

มนุษย์เราก็เหมือนไก่ คือ ต้องมีเสื้อผ้าอาภรณ์ประดับกายเพื่อความงดงาม
และปกปิดอวัยวะที่ไม่ควรเปิดเผย
อันเป็นที่ตั้งแห่งความละอาย และเสื้อผ้าอาภรณ์ที่นำมาตกต่างร่างกายนั้น
ยังเป็นเครื่องป้องกันความร้อนและหนาวได้อย่างดี ทำให้คนเราประกอบกิจการให้ลุล่วงไปได้
โดยไม่ต้องกังวลกับอากาศร้อนหนาว และการสัมผัสยุง มด แมลง ทั้งหลายที่จะมารบกวน

ดังนั้น มนุษย์เราจึงแสวงหาเครื่องประดับตกแต่งกันอย่างสุดความสามารถ
มีเสื้อผ้าแล้วยังไม่พอ ต้องมีเครื่องประดับอย่างอื่นเข้ามาเสริม เช่น สร้อยคอ ต่างหู เป็นต้น
นอกจากนั้น ยังมีเครื่องบำรุงผิวให้ดูงดงามตามยุคตามสมัย
แต่งแต้มสีสันกันจนกลายเป็น แฟชั่นยอดนิยม

ที่กล่าวมานี้เป็นการตกแต่งในทางร่างกายเท่านั้น แต่ไม่มีการตกต่างทางจิตใจ
และเครื่องประดับตกแต่งจิตใจนั้น ก็ไม่มีบริษัทห้างร้านใดผลิตออกมาขาย
เพราะฉะนั้นก้อยากจะบอกว่า คนเราจะสวยสดงดงามแต่เพียงสรีระร่างกาย
และเครื่องประดับนั้นยังไม่เพียงพอ ต้องงดงามทางด้านจิตใจด้วย
การที่จิตใจจะงดงามนั้น ท่านกล่าวถึงธรรมะ ๒ ประการ
ที่จะทำให้คนเรางดงามอย่างสมบูรณ์ นั่นคือ
๑. ขันติ - ความอดทน
๒. โสรัจจะ - ความสงบเสงี่ยม

ขันติ เป็นธรรมที่มีกล่าวไว้ในที่หลายแห่ง ในโอวาทปาติโมกข์ ในมงคลสูตร
แม้ในเรื่องพระเจ้าสิบชาติ หรือในบารมี ๑๐ ก็มีกล่าวเอาไว้
เพราะถือว่า เป็นธรรมสำคัญที่จะขาดไม่ได้
ใครจะปฏิบัติธรรมสูงเพียงใดก็ตามต้องมีความอดทนเป็นพื้นฐาน
และในชีวิตประจำวันยิ่งมีความสำคัญอย่างยิ่ง
เพราะคนเราต้องสมาคม สังคมกับคนรอบข้าง ซึ่งมีทั้งดีและไม่ดี

ความอดทนจำแนกออกเป็น ๓ อย่างคือ
๑. อดทนต่อความยากลำบากในการทำงานหรือประกอบกิจการ ในการดำเนินชีวิต
ที่ต้องอดทนต่อสู้กับดินฟ้าอากาศที่ร้อนและหนาว เป็นต้น
จนนำพากิจการงานนั้น ๆ ให้ผ่านพ้นลุล่วงไปด้วยดี

๒. อดทนต่อความเจ็บไข้ได้ป่วย
ทนต่อทุกขเวทนาไม่โอดโอยร้องครวญครางให้เป็นที่น่ารำคาญคนอื่น
เช่นพยาบาลและหมอ หรือคนใกล้ชิด ที่ให้การดูแลรักษา
ทั้งไม่บ่นจู้จี้จุกจิกจนกลายเป็นคนเอาใจยาก
ก็จะเป็นความงามที่ไม่ต้องอาศัยอาภรณ์ใด ๆ มาประดับ เป็นความงดงามของจิตอย่างแท้จริง

ในทางตรงข้าม ถ้าคนเราประดับตกต่างร่างกายสวยงามด้วยอาภรณ์อันมีค่า
แต่เวลาป่วยไข้แล้วไม่อดทนต่อทุกขเวทนา
ส่งเสียงโอดครวญให้เกิดความรำคาญแก่ผู้รักษาพยาบาล หรือผู้ใกล้ชิด
เครื่องประดับตกต่างเหล่านั้นก็ไม่สามารถจะทำให้คนคนนั้นน่ารักยินดีได้เลย
เพราะความงดงามทางจิต คือ ความอดทนนั้นไม่มีอยู่ในจิต
ซึ่งจะทำให้คนคนนั้นมีสภาพเหมือนเด็ก ๆ ที่ขาดการควบคุมตนเอง

๓. อดทนต่อความเจ็บใจ หรืออดทนต่อการกระทบกระทั่งทางจิตใจ
ในการอยู่รวมกันในสังคมของคนส่วนใหญ่
ย่อมมีอยู่บ้างที่จะต้องมีการกระทบกระทั่งทางกาย ทางวาจา
เพราะคนในสังคมนั้น บางคนเป็นคนดี บางคนเป็นคนไม่ดี
คนดีไม่จำเป็นต้องพูดถึง เพราะคนดีมีประโยชน์และทำในสิ่งที่ดีที่ไม่ทำให้ใครเดือดร้อน
แต่คนไม่ดีนี่สิก่อปัญหาความเดือดร้อนไม่สิ้นสุด
เพราะฉะนั้นเมื่อต้องเกี่ยวข้องกับคนไม่ดี ต้องมีความอดทนอดกลั้นอย่างยิ่ง
มิฉะนั้นตัวเราเองจะเป็นผู้ที่ทำอะไร ๆ ให้เสียมรรยาทในสังคม
รวมทั้งความเป็นผู้มีชื่อเสียงไปในทางติดลบได้ง่าย ๆ

คนบางคนแต่งตัวดี ดูดีไปหมด แต่พอถูกคนกระแหนะกระแหนเท่านั้น
ก็โกรธฉุนเฉียว อดกลั้นอารมณ์ไม่อยู่ แสดงอาการโกรธตอบทันที
ชุดเสื้อผ้าอาภรณ์เครื่องประดับต่าง ๆ ไม่ช่วยให้เกิดความงามขึ้นมาเลย

ครูบางคนลงโทษนักเรียนเกินกว่าเหตุ
ก็เพราะทนกิริยาท่าทางของเด็กนักเรียนที่แสดงออกต่อครูไม่ได้
เพราะครูตั้ง มาตรฐานตัวเองไว้ว่า เด็กทุกคนต้องเคารพครู
แต่ครูมีความรู้สึกว่า เด็กไม่เคารพและมีท่าทีก้าวร้าว ท้าทาย
ครูอาจทำอะไรรุนแรงแกนักเรียน
จนกลายเป็นผู้ร้ายของนักเรียนไปได้ในชั่วพริบตา ความงดงามในความเป็นครู
ในความเป็นผู้ให้ความรู้อบรมบ่มนิสัยที่ดีของเยาวชนก็จะหมดไป
เครื่องหมายความเป็นครู จะไม่มีอะไรเหลืออยู่
กลบความดีที่เกิดขึ้นช้า ๆ และสั่งสมเป็นเวลานาน
แต่ความชั่วเกิดแผล็บเดียว ทำลายความดีไม่ให้เหลืออยู่เลย

อีกอย่างหนึ่ง ความอดทน ต้องแยกออกมาให้ชัดเจน ในการควบคุมตัวเอง
เมื่อต้องเผชิญหน้ากับสิ่งยั่วยุที่ไม่ดี คือ อดที่จะไม่โกรธตอบ หรืออดต่อการที่จะนำเข้ามาไว้ในใจ
คือ ไม่นำเอาสิ่งที่ได้ยินได้เห็นที่ไม่ดีเข้ามาไว้ในใจเรา แล้วก็ทน คือ ทนต่อการเจ็บใจ
การเสียดแทงทางใจ ที่ต้องเผชิญกับสิ่งที่ไม่น่าพอใจเหล่านี้
หรือในบางครั้งเราพบ เห็นสิ่งที่น่ายินดี น่ารักใคร่ แล้วเกิดอยากได้
เช่น เดินไปในห้างสรรพสินค้า พบของที่ถูกใจมากมายอยากได้ไปหมด ก็ต้องใช้ความอด
คืออดใจไว้ไม่ให้สิ่งที่เราอยากได้เข้าอยู่ในใจเรา
แล้วก็ทนที่จะต้องไม่มีสิ่งเหล่านั้นให้ได้ เราก็จะได้ไม่ต้องจ่ายเงินออกไป
เพราะพอเราพ้นออกมาจากห้างสรรพสินค้าไม่นานเท่าไหร่
เราก็อาจลืมความอยากได้ไปแล้ว ใช่หรือไม่ ?

ความอดทนต่อการกล่าวร้ายป้ายสี การด่าว่าจากบุคคลอื่นนั้น
พระพุทธเจ้าทรงกระทำให้เป็นตัวอย่างมาแล้ว เรื่องของเรื่องมีว่า

พราหมณ์คนหนึ่งพบพระพุทธเจ้าทีไร แกก็จะด่าว่าพระพุทธเจ้าเสีย ๆ หาย ๆ อยู่ร่ำไป
เพราะโกรธที่พระพุทธเจ้าบวชน้องชายแก เพราะแกเป็นพราหมณ์ ไม่เลื่อมใสพระพุทธศาสนา
พระพุทธเจ้าเห็นว่าพราหมณ์ด่าว่าอยู่เสมอ ไม่เลิกราเสียที ก็เลยตรัสถามว่า

...พราหมณ์ ในเรือนของท่านนั้น มีแขกมาเยือนหรือไม่ ?...

พราหมณ์ก็ตอบว่า...ในเรือนของข้าพเจ้านั้นมีแขกมาเยือนเสมอ ...

จึงตรัสถามต่อไปอีกว่า ...เมื่อมีแขกมาเยือน ท่านต้อนรับอย่างไร ...

พราหมณ์ก็ตอบว่า
...ข้าพเจ้าก็ต้อนรับด้วยอามิสสิ่งของเครื่องบริโภคตามสมควรแก่ฐานะของแขกผู้มาเยือน...

พระองค์จึงตรัสว่า...พราหมณ์ เมื่อแขกที่มาเยือนท่าน ไม่รับของต้อนรับจากท่าน
สิ่งของเหล่านั้นจะตกเป็นของใคร...

พราหมณ์ก็ตอบว่า...ก็ตกเป็นของข้าพเจ้า...

ดังนั้นจึงตรัสว่า...พราหมณ์ การที่ท่านด่าเราทุกวัน ๆ
เราไม่ได้รับเอาไว้ คำด่าเหล่านั้นจะตกเป็นของใครเล่า ?...

พราหมณ์เลยจำนนต่อพระดำรัส แล้วหันมานับถือพระพุทธศาสนาแต่นั้นมา

เพราะฉะนั้น การอดทนก็คือ การไม่รับเอา
หรือการที่ไม่ให้สิ่งที่ไม่ดีนั้นมามีอำนาจอยู่เหนือใจตน อย่าไปรับเอา
เมื่อเราไม่รับสิ่งนั้นก็จะกลับไปหาเจ้าของนั่นเอง ทำใจให้สบาย ๆ

การที่เรามีความอดทนอดกลั้นเพียงอย่างเดียวนั้น
ไม่พอที่จะทำให้เป็นคนมีความงามอย่างแท้จริงได้ ต้องมีธรรมะอื่นเข้ามาร่วมเติมต่อ
ธรรมะที่คู่กับขันติ ก็คือ โสรัจจะ ความสงบเสงี่ยม

ความสงบเสงี่ยมคือความที่มีจิตชื่นบาน ประณีต มีจิตที่ราบเรียบ
ไม่ว่าจะเผชิญกับภาวะที่น่าพอใจรักใคร่หรือภาวะที่ไม่น่าพอใจอย่างใดอย่างหนึ่ง
ก็จะไม่แสดงอาการให้ผิดแผกไปจากเดิม

คนเรารู้จักอดทนอดกลั้น ไม่โกรธต่อผู้อื่นก็จริง
แต่ในความอดทนนั้นอาจจะมีสีหน้าที่บึ้งตึ้ง หรือสีหน้าที่แสดงความไม่พึงพอใจ
ต่อเมื่อมีโสรัจจะ คือความแช่มชื่นเข้ามากำกับ
ก็จะทำให้ผู้นั้นมีความอดทนที่งดงามปรากฏแก่ผู้พบเห็น
เป็นที่ศรัทธาเลื่อมใสของผู้อื่น
โสรัจจะจึงทำหน้าที่เสริมความอดทนให้งดงามเด่นชัดขึ้น

ขันติ ความอดทน และโสรัจจะ ความสงบเสงี่ยมนี้ เป็นธรรมคู่กัน
จะขาดอย่างใดอย่างหนึ่งไม่ได้
เพราะมีทั้งสองอย่างอยู่ร่วมกัน จึงเป็นธรรมที่จะทำให้บุคคลงดงามอย่างแท้จริง
งามยิ่งกว่าอาภรณ์ทั้งปวงที่มีในท้องตลาด

บอกต่อ ๆ กันไปด้วยว่า ขันติและโสรัจจะนั้น
ไม่มีใครทำขาย ถ้าอยากได้ต้องทำเอง
โรงงานก็อยู่ที่ใจท่านนั่นแหละ


จาก หนังสือธรรมลีลา ฉบับที่ 50 มกราคม 2548
โดย ธมฺมจรถ

http://www.kanlayanatam.com/sara/sara35.htm



บันทึกการเข้า

หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป: