ธรรมะสุขใจ
หน้า: 1 [2]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: ธรรมะสุขใจ  (อ่าน 27692 ครั้ง)
kittanan_2589
.กลุ่มผู้มีน้ำใจงาม.
member
*

คะแนน630
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2363


NightBaron


เว็บไซต์
« ตอบ #29 เมื่อ: เมษายน 22, 2011, 08:03:25 PM »

คนเรารู้จักแต่ผูกแต่ไม่รู้จักแก้
(หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี)

การรักษาศีล ฝึกหัดทำสมาธิและวิปัสสนา

ก็คือต้องการค้นคว้าหาเหตุและผล
สิ่งที่ควรทำและไม่ควรทำ ดีและชั่ว
สิ่งที่เป็นรูปธรรมและนามธรรมในสิ่งนั้นๆ
ให้เห็นรู้เห็นตามเป็นจริงของสิ่งนั้นๆ เท่านั้น
แต่สิ่งเหล่านั้นทั้งหมดมันก็ไม่เป็นจริงสักที

การพิจารณาของไม่เที่ยงแปรปรวนนี้
จึงต้องเป็นทุกข์ไม่รู้จักจบจักสิ้นสักที
การพิจารณาของภายนอกนอกจากตัวของเรา
ไม่ใช่ตัวของเราและไม่เห็นตัวของเรา
จึงรักษาตัวของเราให้อยู่ในอำนาจไม่ได้

นักปราชญ์ จึงปล่อยวางทิ้งสิ่งที่มิใช่ของตัวไม่มีแก่นสาร
วางสิ่งที่เป็นอดีตและอนาคตเสีย แล้ววางเฉย
บันทึกการเข้า

kittanan_2589
.กลุ่มผู้มีน้ำใจงาม.
member
*

คะแนน630
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2363


NightBaron


เว็บไซต์
« ตอบ #30 เมื่อ: เมษายน 22, 2011, 08:03:43 PM »

ทุกข์เพราะคิด
สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปรินายก

ใจ ของปุถุชน คือผู้ยังไม่บรรลุมรรคผลนิพพาน
ทุกคนย่อมมีกิเลสความเศร้าหมองมากบ้างน้อยบ้าง
กิเลส คือ ความโลภ โกรธ หลง เป็นเหตุทำความเศร้าหมองให้เกิดแก่ใจ
ที่ว่าให้ดูที่ใจตนเองและแก้ความทุกข์ที่ใจตนเอง ก็คือ
ให้แก้กิเลสที่ใจตนเองนั่นแหละ
ถ้ากิเลสคือ โลภ โกรธ หลง
มีอยู่ในความคิดมาก ก็จะเป็นเหตุให้ทุกข์มาก
ถ้ากิเลสคือ โลภ โกรธ หลง
มีอยู่ในความคิดน้อย ก็จะเป็นเหตุให้เป็นทุกข์น้อย
ท่านผู้ปราศจากกิเลสแล้ว
ท่านจึงมีความคิดที่ไม่เป็นเหตุให้เป็นทุกข์เลย

ขออย่าได้ลืมว่า
ก่อนจะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าหรือพระอรหันต์เจ้ากิเลสก็มีอยู่ในพระหฤทัย
และในใจของทุกพระองค์ทุกท่านเช่นเดียวกับปุถุชนทั้งหลาย
คือเราทั้งหลายนั่นเอง
แต่เพราะพุทธองค์ทรงใช้พระปัญญาอุตสาหะพากเพียรขัดกิเลสในพระหฤทัย
และพระอรหันต์สาวกท่านก็ใช้ปัญญาอุตสาหะพากเพียรขัดเกลากิเลสในใจ
ให้ลดน้อย ลงจนกระทั่งถึงหมดสิ้นไปอย่างสิ้นเชิง
จึงทรงเป็นและเป็นผู้พ้นทุกข์อย่างสิ้นเชิง
ไม่มีประเดี๋ยวสุขประเดี๋ยวทุกข์เช่นพวกเรา
ซึ่งยังเป็นปุถุชนทั้งหลาย

ทุกคนสามารถจะทำความทุกข์ของตนให้ลดน้อยจนถึงหมดสิ้นไปได้
ไม่ใช่ไม่ได้ ขอเพียงแต่ให้พยายามใช้ปัญญา
ใช้เหตุผลที่ถูกที่ควรมีมานะพากเพียรขัดเกลาจิตใจของตน
ให้ความคิดที่ไม่ชอบ ที่เป็นเหตุแห่งความทุกข์หมดสิ้นไป

เมื่อ ใดความคิดไม่ชอบหมดสิ้นไปจากใจ
ความทุกข์ความเศร้าหมองหมดสิ้นไปมากน้อยเพียงใด
ความคิดชอบก็จะเกิดขึ้นแทนที่ความสุขความผ่องใสก็จะเกิดขึ้น
เป็นใจที่มีความสุขความสุขความแจ่มใสมากน้อยเพียงนั้น
ถ้ายังทำความคิดผิดความคิดที่ไม่ชอบให้ลดน้อยถึงหมดสิ้นไปไม่ได้
ความคิดถูกความคิดชอบก็จะมีอยู่ไม่ได้ ต้องไล่ความคิดไม่ชอบออกจากใจเสียก่อน
เพื่อทำความคิดชอบให้เกิดขึ้นได้ เหมือนต้องการจะต้มน้ำให้เดือด
ก็จำเป็นต้องใช้ความร้อนขับไล่ความเย็นไปให้หมดจากน้ำก่อน
ต่อจากนั้นจึงจะสามารถทำความร้อนให้เกิดขึ้นในน้ำนั้นได้น้ำจึงจะเดือดได้
ฉะนั้น จึงควรระวังความคิดของตนเองให้ดีที่สุดอย่าได้ว่างเว้น
จะนั่ง นอน ยืน เดินระวังไว้ ร้อนมากร้อนน้อย
เพราะความคิดให้รู้ ให้ระงับยับยั้งในทันที
อย่าได้ลังเลสงสัยว่าความทุกข์ร้อนที่เกิดขึ้นในใจตนนั้น
มีทางจะเกิดเพราะ ผู้อื่นเพราะเหตุอื่น
ทางเช่นนั้นไม่มีเลย ไม่มีอย่างเด็ดขาด
จะมีก็เพราะหลงคิดกันไปเองอย่างไม่ใช้ปัญญาเท่านั้น

มี วิธีง่ายๆ อยู่อีกวิธีหนึ่งที่จะพิสูจน์ยืนยันว่า
เราเป็นทุกข์เพราะความคิด จริงหรือไม่
ก็คือให้นึกดูว่าเมื่อนอนหลับ แม้จะหลับไป
หลังจากได้รับฟังเสียงที่ไม่ถูกหูไม่ถูกใจมาแล้วอย่างมากก็ตาม
ความทุกข์คือความโกรธความไม่ชอบใจ มีอยู่หรือไม่ก็จะต้องยอมรับว่าไม่มี
ที่ไม่มีก็เพราะขณะหลับเราไม่ได้คิด
เมื่อไม่คิดด้วยกิเลสก็ไม่ทุกข์ความจริงเป็นเช่นนั้น

บันทึกการเข้า
kittanan_2589
.กลุ่มผู้มีน้ำใจงาม.
member
*

คะแนน630
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2363


NightBaron


เว็บไซต์
« ตอบ #31 เมื่อ: เมษายน 22, 2011, 08:03:56 PM »

แบ่งปันความสุข แบ่งเบาความทุกข์

เมื่อใดที่ใครเป็นทุกข์
จงช่วยเหลือแบ่งเบาความทุกข์
และทำให้เขาคิดได้ว่าความสุขยังมีอยู่

เมื่อใดที่มีความสุข
จงแบ่งปันให้ผู้อื่น

การให้ความเอื้ออาทร ความรักความเข้าใจ
เป็นการสร้างความสุขให้กับตนเองเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า
ยิ่งแบ่งปันความสุขที่มี
ก็ยิ่งทำให้มีความสุขแก่ตนเองเพิ่มขึ้น

และหากแบ่งเบาความทุกข์ของผู้อื่น
ก็จะลดความทุกข์ของตนเองได้ด้วยเช่นกัน
เพราะว่า "การแบ่งปันความสุขให้ผู้อื่น
เพิ่มความสุขให้กับตนเองเป็นสองเท่า

การแบ่งเบาความทุกข์ของผู้อื่น
ลดความทุกข์ของตนเองลงครึ่งหนึ่ง


ที่มา... http://psychology-of-articles.blogspot. ... _5223.html
บันทึกการเข้า
kittanan_2589
.กลุ่มผู้มีน้ำใจงาม.
member
*

คะแนน630
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2363


NightBaron


เว็บไซต์
« ตอบ #32 เมื่อ: เมษายน 22, 2011, 08:04:20 PM »

การเรียนรู้จากโลก
เมื่อโลกของเธอไม่ที่ให้ฉันยืน
ทุกๆคนมองฉันเป็นคนไร้สาระ
ถูกกระทำ ซ้ำ ซ้ำ แล้วย่ำยี
ไร้เรี่ยวแรง และพลัง
เดินย่ำเท้า ปาดเหงื่อ มองทางข้างหน้า

กับวันแรกที่ฉันหัดเดิน
กับความฝันของตัวเอง
สู้กับสิ่ง ลวง ปลอม มายา ..สู้กับความจริง

ชีวิตได้เรียนรู้ ถูก – ผิด
เส้นทางทอดยาว สูงชัน...ต้องฟันฝ่า
ฉันจะไม่แพ้...ฉันเกิดมาเพื่อเรียนรู้
แล้วชีวิตก็สอนฉัน
โลกนั้นกว้าง ทางนั้นแคบ
ฝึกผ่านจากการมีชีวิตอยู่บนโลก
เรียนรู้จากโลก ทั้ง โลก

กฤตบวรวิชญ์
บันทึกการเข้า
kittanan_2589
.กลุ่มผู้มีน้ำใจงาม.
member
*

คะแนน630
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2363


NightBaron


เว็บไซต์
« ตอบ #33 เมื่อ: เมษายน 22, 2011, 08:04:29 PM »

คำนินทา

อย่าไปสนว่าเค้า..จะนินทากันอย่างไร

......เพราะ......

มันไม่ได้ทำให้เราหรือใครๆ มีความสุขขึ้นมาเลย

ทุกคนเครียดและเหนื่อย เป็นกังวลมากพออยู่แล้ว

ชีวิตจะเลือกทำอะไร

เรารู้อยู่แก่ใจ เมื่อถึงเวลา

เราทุกคนไม่ชอบการเปรียบเทียบ

เพราะมันหมายถึง

ปมด้อยถูกกระชากให้เกิดขึ้น

อารมณ์ของมนุษย์เป็นพิษร้าย

ไม่รูปแบบใดก็รูปแบบหนึ่ง

เราต่างคนต่างเกิดมามีชีวิตเป็นของเราเอง

แต่หากเผอิญเราเข้ากันไม่ได้

มันไม่ใช่ความผิด แต่เป็นเพียงความไม่ลงตัว

หลายอย่างในชีวิต

เกิดขึ้นได้กับคนทุกคน

บางครั้ง...การเริ่มต้นชีวิตใหม่

คือ...การรู้จักยกโทษให้แก่กัน

กฤตบวรวิชญ์
บันทึกการเข้า
kittanan_2589
.กลุ่มผู้มีน้ำใจงาม.
member
*

คะแนน630
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2363


NightBaron


เว็บไซต์
« ตอบ #34 เมื่อ: เมษายน 22, 2011, 08:04:42 PM »

การอบรมใจให้คุ้นเคยกับความดี ความสงบ
เป็นสิ่งควรทำอย่างยิ่งด้วยกันทุกคน
ผลที่เกิดตามมานั้นมีค่าหาที่เปรียบมิได้
และความคิดก็เหมือนเด็กที่กำลังหัดว่ายน้ำ

สติ คือ ผู้สอนต้องหาหลักให้โผไปจับไปยึด
ไม่ปล่อยให้เด็กโผออกไปกลางน้ำตามลำพังไม่มีที่ยึดเหนี่ยว ก็จะจมน้ำตาย
เรื่องราวร้อยแปดคือกระแสน้ำเชี่ยวแรง
ใจที่ไม่ได้รับการอบรมให้สงบ คือ
ผู้ที่กำลังแหวกว่ายอยู่ในกระแสน้ำเชี่ยวแรงนั้น

สติ คือ ผู้กำลังสอนเด็กคือใจหรือความคิดให้ว่ายน้ำ
สติ ต้องหาหลักให้ใจเกาะ ถ้าปล่อยให้ผลุบโผล่อยู่กลางน้ำเชี่ยวแรงหมุนติ้วอยู่เช่นนั้น
ไม่น่าก็จะจมหายไปในกระแสน้ำ สิ้นชีวิต

ทุกคนที่ไม่คุ้นเคยกับการอบรมจิต
คือเด็กที่กำลังกระเสือกระสนผลุบโผล่อยู่กลางน้ำเชียว
ถ้าไม่มีหลักเกาะไว้ให้มั่นจักจมน้ำตาย
การตายเช่นนี้น่ากลัวน่าสลดสังเวชยิ่งกว่าการตายจริงๆ
คือน่าสลดสังเวชยิ่งกว่าการหมดลมหายใจ

อันเป็นกฎธรรมดาของทุกสิ่ง มีเกิดต้องมีดับ
จึงไม่ใช่เรื่องควรสลดสังเวช
แต่การตายแบบที่กล่าวว่าเหมือนผู้ที่กำลังแหวกว่ายอยู่ในสายน้ำเชี่ยว
ไม่หลักยึดเหนี่ยว
เมื่อหมดแรงสู้กับกระแสน้ำที่ไม่มีเวลาจะลดความแรงลง
ก็ย่อมจะจมลง หายไปในกระแสน้ำ

การตายเช่นนั้นเป็นการตายที่น่าสลดสังเวชที่สุด
ความจริงยังมีชีวิตจิตใจอยู่
แต่อยู่อย่างผู้พ่ายแพ้แก่กระแสกิเลสที่สกปรกและท่วมท้น

ผลคือสิ่งที่จมอยู่ในความสกปรกโสโครกนั้น
คือใจ ย่อมถูกความสกปรกปิดมิดสนิท
ไม่ปรากฏให้เห็นตามความเป็นจริงได้เลย
จะเห็นกันก็แต่ความสกปรกพ้นจะบรรยายได้ที่หุ้มใจอยู่เท่านั้น
นั่นคือความน่าสลดสังเวชของการตายแบบนี้

: แสงส่องใจ พระพรประทานปีใหม่ ๒๕๓๙
: สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก
บันทึกการเข้า
kittanan_2589
.กลุ่มผู้มีน้ำใจงาม.
member
*

คะแนน630
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2363


NightBaron


เว็บไซต์
« ตอบ #35 เมื่อ: เมษายน 22, 2011, 08:05:18 PM »

ความสงบ ที่ไม่วุ่นวาย

เป็นความสุขที่ลึกซึ้ง ลุ่มลึกเย็น และอิ่มเอิบ หาความสุขใดเทียบได้ยาก
 
ไร้ซึ่งปัญหาความเดือดร้อน ไร้ซึ่งปัญหาหนักหน่วงถ่วงจิตใจ ไร้ความขัดแย้ง

เป็นความสุข ที่ราบรื่น เย็นใจ ไม่เร่าร้อน ไร้การกดดัน

ความสงบเป็นความสุขที่มีอยู่ในตัวเรา ที่ทำได้ง่ายที่สุด..

"พระพุทธองค์ทรงสรรเสริญความสุขที่เกิดจากความสงบว่าเป็นสุดยอดแห่งความสุข"

บันทึกการเข้า
kittanan_2589
.กลุ่มผู้มีน้ำใจงาม.
member
*

คะแนน630
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2363


NightBaron


เว็บไซต์
« ตอบ #36 เมื่อ: เมษายน 22, 2011, 08:08:05 PM »

ข้อคิดดีๆ ...ก่อนจบท้ายเล่มครับ







บันทึกการเข้า
หน้า: 1 [2]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป: