กระทู้ธรรม
หน้า: 1 [2] 3 4 5 6 ... 9   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: กระทู้ธรรม  (อ่าน 154382 ครั้ง)
kittanan_2589
.กลุ่มผู้มีน้ำใจงาม.
member
*

คะแนน630
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2363


NightBaron


เว็บไซต์
« ตอบ #29 เมื่อ: ธันวาคม 30, 2010, 07:17:19 AM »

ในเมืองพาราณสี มีเศรษฐีท่านหนึ่ง มีนามว่าท่านจุลลกเศรษฐี เป็นผู้ฉลาดเฉียบแหลม เป็นบัณฑิตที่รู้จักปรากฏการณ์ต่าง ๆ รู้นิมิตต่าง ๆ ได้เป็นอย่างดี
วันหนึ่งจุลลกเศรษฐีไปเข้าเฝ้าพระราชา ในระหว่างทางเห็นหนูตายอยู่ตัวหนึ่ง ท่านเศรษฐีมองดูท้องฟ้าแล้วกล่าวขึ้นว่า

"กุลบุตรผู้มีดวงตา คือปัญญา อาจเอาหนูตัวนี้ไปกระทำการเลี้ยงดูภรรยา และประกอบการงานได้"

ขณะนั้น ชายผู้ยากไร้คนหนึ่งชื่อ จูฬันเตวาสิก ได้ยินท่านเศรษฐีกล่าวเช่นนั้น ก็คิดว่า ท่านเศรษฐีไม่รู้จริงคงไม่พูด จึงเอาซากหนูตายตัวนั้นไปขายคนเลี้ยงแมวเพื่อให้เป็นอาหารแมว ได้ทรัพย์จากคนเลี้ยงแมวมากากณึกหนึ่ง (กากณึก เป็นมาตราเงินอินเดียในสมัยนั้นที่มีค่าน้อยที่สุด เทียบมาตราเงินไทย ๑ สตางค์)
กากณึก [กา-กะ-หฺนึก] น. ทรัพย์มีค่าเท่าค่าแห่งชิ้นเนื้อพอกานำไปได้; เป็นชื่อมาตราเงินอย่างต่ำที่สุด.

จากนั้น จูฬันเตวาสิกก็นำทรัพย์หนึ่งกากณึกหนึ่งนั้น ไปซื้องบน้ำอ้อย (น้ำอ้อยที่เคี่ยวแล้วทำเป็นแผ่นเล็ก ๆ) แล้วนำหม้อใบหนึ่งตักน้ำ ไปยืนคอยพวกช่างดอกไม้ที่เดินทางกลับจากป่า ให้ชิ้นน้ำอ้อยชิ้นเล็ก ๆ กับช่างดอกไม้เหล่านั้น และให้ดื่มน้ำคนละกระบวย พวกช่างดอกไม้เดินทางมาเหนื่อย ได้งบน้ำอ้อยกับน้ำดื่มก็มีความพอใจ สดชื่น ชื่นกาย ชื่นใจ จึงต่างมอบดอกไม้คนละกำมือแก่เขาเป็นเครื่องตอบแทน

จูฬันเตวาสิก จึงเอาดอกไม้นั้นไปขาย ได้เงินกลับมามากขึ้น ก็นำเงินนั้นไปซื้องบน้ำอ้อย แล้วไปยืนคอยพวกช่างดอกไม้เช่นเดิม เขาทำเช่นนี้อยู่เป็นประจำ จนเขามีเงินถึง ๘ กหาปณะ (๔ บาทเท่ากับ ๑ กหาปณะ) "เริ่มรวยแล้ว"

วันหนึ่ง ฝนตก เกิดพายุหนัก กิ่งไม้แห้งบ้าง สดบ้าง ถูกพายุพัดหักหล่นลงมาในพระราชอุทยานเป็นอันมาก คนเฝ้าอุทยานไม่ทราบว่าจะดำเนินการอย่างไรดี จูฬันเตวาสิกได้พบเข้าจึงรีบไปบอกกับคนเฝ้าพระราชอุทยานว่า ถ้าให้ใบไม้ กิ่งไม้เหล่านั้นแก่เขา เขาอาสาจะขนออกไปให้เอง คนเฝ้าสวนดีใจที่ไม่ต้องเหน็ดเหนื่อยขนเอง จึงรีบบอกให้เขามาขนออกไปได้ในทันที

พอได้ความดังนั้น จูฬันเตวาสิกจึงรีบกลับไปที่สนามเด็กเล่น นำน้ำอ้อยเลี้ยงแก่เด็ก ๆ แล้วขอแรงเด็ก ๆ ให้ช่วยกันขนกิ่งไม้ออกมาจากพระราชอุทยาน ในเวลาไม่นานกิ่งไม้จำนวนมากก็ถูกขนมากองอยู่ที่หน้าประตูพระราชอุทยาน ก็พอดีกับช่างหม้อหลวงที่มาเที่ยวหาฟืน เพื่อนำไปเผาภาชนะดินของหลวงพบเข้า จึงขอซื้อกิ่งไม้เหล่านั้นจากจูฬันเตวาสิกในทันที


จากการขายไม้ ชายยากจนอย่างจูฬันเตวาสิก จึงมีทรัพย์เพิ่มขึ้นเป็น ๑๖ กหาปณะแล้ว
เมื่อมี ทรัพย์มากขึ้น เขาจึงจะขยายกิจการออกไป โดยการตั้งตุ่มน้ำไว้ไม่ไกลจากประตูเมือง เพื่อคอยให้บริการแก่คนหาบหญ้า ๕๐๐ คน เหล่าคนหาบหญ้าพอใจในบริการที่มีน้ำใจของเขา จึงเอ่ยปากว่า หากจูฬันเตวาสิกต้องการให้พวกตนช่วยอะไร ขอให้บอกได้เลย

นอกจากคนหาบหญ้าแล้ว จูฬันเตวาสิกยังได้ผูกมิตรกับคนมากหน้าหลายตา ทำให้เขาเป็นที่รู้จัก และมีเพื่อนฝูงมากมาย
วันหนึ่ง มีเพื่อนคนหนึ่งมาบอกข่าวแก่เขาว่า พรุ่งนี้จะมีพ่อค้าม้านำม้า ๕๐๐ ตัวมายังนครแห่งนี้ จูฬันเตวาสิกจึงไปพบคนหาบหญ้า และขอซื้อหญ้าจากคนหาบหญ้าทั้งหมดมาเตรียมเอาไว้

วันรุ่งขึ้น เมื่อพ่อค้าม้านำม้า ๕๐๐ ตัวมาถึง ก็พบว่ามีเพียงจูฬันเตวาสิกเท่านั้นที่มีหญ้าขาย จึงขอซื้อหญ้าทั้งหมดจากจูฬันเตวาสิก เขาได้กำไรจากการขายหญ้าในครั้งนี้ถึง ๑,๐๐๐ กหาปณะ

โอกาสต่อมา ก็มีเพื่อนมาแจ้งข่าวแก่เขาว่า จะมีพ่อค้านำเรือสำเภาขนาดใหญ่มาจอดเทียบท่า
จูฬันเตวาสิกไม่รอช้า รีบไปขอเหมาสินค้าทั้งลำเรือเอาไว้ เมื่อพ่อค้ารายอื่นมาถึง หาสินค้าไม่ได้จึงต้องมาขอซื้อสินค้าจากเขา สุดท้ายเขาได้ทรัพย์มาเป็นจำนวนถึง ๒๐๐,๐๐๐ กหาปณะ (กลายเป็นเศรษฐีไปแล้ว!)

เมื่อได้ทรัพย์เป็นจำนวนมากเช่นนี้ จูฬันเตวาสิกก็เกิดความคิดว่า "เรารวยขึ้นมาได้เพราะท่านจุลลกเศรษฐี เราควรเป็นคนกตัญญู นำทรัพย์ที่ได้ไปตอบแทนพระคุณท่านเศรษฐี"

เร็วเท่าใจคิด จูฬันเตวาสิกถือทรัพย์ ๑๐๐,๐๐๐ กหาปณะไปมอบให้เศรษฐีเพื่อเป็นการตอบแทน พอท่านเศรษฐีทราบเรื่องทั้งหมด เห็นสติปัญญา และความเฉลียวฉลาด จึงยกลูกสาวให้แต่งงานด้วย และเมื่อท่านจุลลกเศรษฐีล่วงลับไปแล้ว จูฬันเตวาสิกก็ได้เป็นเศรษฐีแห่งเมืองนั้นสืบต่อมา

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ครั้นตรัสพระธรรมเทศนานี้ ทรงเป็นผู้ตรัสรู้พร้อมยิ่งทีเดียว ได้ตรัสพระคาถานี้ว่า

"บุคคลผู้มีปัญญา รู้จักใคร่ครวญ ย่อมตั้งตนได้ด้วยทรัพย์อันเป็นต้นทุนแม้มีประมาณน้อย เหมือนคนก่อไฟกองน้อย ให้เป็นกองใหญ่ ฉะนั้น"

นิทานเรื่องนี้แสดงให้เห็นว่า การเชื่อฟังท่านผู้รู้ ไม่ดูเบาต่อคำสั่งสอน พยายามปฏิบัติตาม และทำอย่างมีปัญญา ใคร่ครวญพิจารณาให้ดี มีความคิดรอบคอบ และเมื่อได้ทรัพย์มาแล้วก็ระลึกถึงผู้มีพระคุณ บุคคลผู้มีคุณสมบัติเช่นนี้ ย่อมไม่ตกต่ำ มีแต่จะตั้งตนได้และเจริญรุ่งเรือง ความรู้ ความประพฤติ และการงานที่ดีย่อมเป็นที่พึ่งพิงของบุคคลได้ดีกว่าสิ่งอื่น ดังภาษิตที่ว่า "ไม่มีมิตรใดเสมอได้ด้วยวิชชา"

ชะตากรรมเป็นสิ่งที่ไม่สามารถหยั่ง ถึงได้ แต่ความเพียรพยายามเป็นสิ่งที่เรารู้ได้และอยู่ในอำนาจของเรา การทำความเพียรให้เป็นหน้าที่ของเรา การให้ผลเป็นหน้าที่ของกรรม

เมื่อหวังความสำเร็จผล ก็ต้องรู้จักรอคอย และควรคอยอย่างสงบ ไม่ใช่กระวนกระวายใจ อะไรที่ควรได้ ย่อมได้มาเองโดยผลแห่งกรรม หรือความเพียรชอบนั้นแล
บันทึกการเข้า

kittanan_2589
.กลุ่มผู้มีน้ำใจงาม.
member
*

คะแนน630
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2363


NightBaron


เว็บไซต์
« ตอบ #30 เมื่อ: ธันวาคม 30, 2010, 07:20:49 AM »

พระคุณพ่อ เลิศฟ้า มหาสมุทร
พระคุณแม่ สูงสุด มหาศาล
พระคุณพ่อ เลิศหล้า สุธาธาร
พระคุณแม่ เปรียบปาน มหานที


มาทำบุญแต่ไม่ละบาป มาสร้างความดีก็ไม่ละความชั่ว ตรงนี้น่าพิจารณาตัวเอง

จิตใจที่เป็นบุญคือความสุขอย่างยิ่ง


เราท่านทั้งหลาย ที่เรามาสร้างบุญกุศลที่เกิดมาในสัมปรายภพ มาปรารภบุญกุศลของท่าน ที่เรามาต้องการสร้างบุญให้แก่จิตใจ จิตใจที่เป็นบุญก็คือความสุข ท่านทั้งหลาย พี่น้องที่รัก ต้องการความสุข หรือว่ากลับไปต้องมีทุกข์เดือดร้อน เป็นหนี้สินกันไม่พัก อย่าลืมว่าโดนโกงนั้นก็อย่าไปคิดพิจารณาอย่างอื่น เราก็สร้างเวร สร้างกรรมมาหลายชาติหลายกัลป์มาแล้ว ลองพิจารณาตรงนั้น ถ้ามาเอาบุญจริง ๆ ท่านจะระลึกชาติได้ ท่านจะไม่วุ่นวาย เช่น จะไม่คุยกัน และท่านจะลุ่มลึกนึกถึงบุพการีท่านได้

สร้างกุศลทดแทนพระคุณมารดา บิดา

ท่านมานั่งกรรมฐานทั้งลูกเล็ก ถ้าทำได้จริงใช้ข้าวป้อนแทนค่าน้ำนมแม่ได้ ถ้าทำจริงนะ อย่างนี้เป็นทุกอย่าง กตัญญูกตเวทิตาธรรม ที่ท่านมาบวช บวชกายทำจิตใจเข้าถึงพระ มีพระประจำจิตใจท่านแล้ว ท่านจะประเสริฐ ท่านจะมีแต่ความสุข มันไม่มีทุกข์แต่ประการใด ท่านมาที่นี่อาตมายินดีต้อนรับทุกคน ต้องการให้ท่านมีความสุขความเจริญ ไม่ต้องการที่จะให้ท่านเป็นทุกข์ และต้องการให้ท่านมีความปลอดภัยในชีวิต ทรัพย์สิน มีท่านใดไม่ชอบหรือไม่ ถ้าท่านต้องเดือดร้อนแล้วมีที่พึ่งทางใจ...ไม่มีใครไม่ชอบนะ ถ้าท่านไม่ตั้งใจท่านจะหมดโอกาสอันดีงามของท่านไป ท่านอย่าประมาทนะ คิดว่าเรามาสร้างบุญกุศลขอให้เอาจริง ๆ ทุกสิ่งก็จะได้ผล

บันทึกการเข้า
kittanan_2589
.กลุ่มผู้มีน้ำใจงาม.
member
*

คะแนน630
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2363


NightBaron


เว็บไซต์
« ตอบ #31 เมื่อ: ธันวาคม 30, 2010, 07:22:05 AM »

การเจริญวิปัสสนาค้นคว้าในกาย ขั้นเหตุนั้นจงกำหนดคาดหมายเสียก่อนว่าเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ก็เราเคยเห็นมาแล้ว มนุษย์เพื่อนร่วมโลกร่วมสงสาร หญิงชายตายแล้ว เห็นแต่เป็นอย่างนี้ เอาไว้วัน ๒ วัน ไม่ฉีดยาก็เหม็น เหม็นเบื่อหน่าย เหม็นน่าเกลียด เหม็นมนุษย์ร้ายกว่าเหม็นหมานั่นแหละ ทำไมเหม็นเน่าขนาดนั้น

จึงว่า อสุภะ อสุภัง เป็นของเปื่อยเน่า เป็นของเหม็น น่าเกลียด เหม็นอย่างสุดยิ่ง นั่นแหละ ปฏิกูลน่าเกลียดสกปรกโสโครก มีหนังหุ้มอยู่ ภายนอกดูเกลี้ยงเกลาหลอกเรา หญิง ชาย หนุ่ม สาว ภายในนั้นมีอะไรบ้าง ดิน น้ำ ลม ไฟ หลายอย่าง เอ็น กระดูก ชิ้นน้อย ชิ้นใหญ่ ไส้น้อย ไส้ใหญ่ ทุกอย่าง อาการ ๓๒ ก็ล้วนแล้วแต่ของปฏิกูลทั้งนั้น

นั่นแหละ เมื่อเอาของภายในออกภายนอกแล้วเป็นอย่างไร ก็มีแต่ของเปื่อยเน่า มีแต่ของปฏิกูลน่าเกลียดทั้งนั้น นั่นแหละทีนี้ ก็เห็น ๆ กันมาอย่างนั้น ถึงแม้เรายังไม่เป็น ยังไม่ถึง คนอื่นก็เป็นมาให้เห็นอยู่ บางคนหญิงชายตายแล้ว เก็บไว้คืน ๒ คืน ก็ส่งกลิ่นเหม็นออกมาแล้ว คืนที่ ๓ เอาไปป่าช้าเปิดหีบออก มันขึ้นสีเขียวหมดแล้ว สีเขียว สีดำ หน้าเบ้ อะไรก็ไม่น่าดู เปลี่ยนสภาพหมด มีกลิ่นเหม็น น้ำเน่าไหลออกจมูก ไหลออกปาก หญิงชาย โอ๋...น่าเกลียด น้ำเน่านั้น เขาเลิกผ้าออกไปถึงทวารหนัก ทวารเบา น้ำเน่านั้นมันก็ไหลออกจากทวารหนัก ทวารเบา

แพทย์เขาบอกว่า ผู้หญิงมันเน่าทวารเบาก่อน เหม็นเน่า น่าเกลียด ผู้ชายเน่าที่ท้องก่อน เหม็นเน่าน่าเกลียด ปฏิกูลน่าเกลียด แสนที่จะไม่น่าปรารถนา นั่นแหละ เมื่อถึงสภาพนั้น อะไรเป็นเขา เป็นเรา ก็ถามจิตดู

เคยเห็นมาแล้ว หลายร้อยศพ ผลสุดท้ายก็เผาหรือฝัง เมื่อเผาแล้วเป็นอย่างไร ก็เหลือแต่ร่างกระดูกขาว ๆ นั่นแหละ อสุภะ อันละเอียด จากนั้นไฟก็สังหารเป็นเถ้าถ่านจนหมด ถ้าฝังถมดินไว้ ดินก็ดูดกลืนกินหมด เหลือแต่กระดูกธาตุแข็งเท่านั้น ไม่มีอะไรเป็นชิ้นดีหรอก ของเขา ของเรา เมื่อถึงสภาพนั้นแล้ว สิ่งทั้งปวงก็เป็นอย่างนี้

ผู้ใดมีสติอยู่ รู้จักกามและโทษของกามอย่างแท้จริงได้แล้ว เขาย่อมสลัดกามออกไปในทันทีอย่างไม่มีเยื่อใยใด ๆ อีก

เหมือนบุคคลผู้ได้สติรู้ซึ้งถึงความจริงว่าคนที่ตน หลงรักมานานตลอดทั้งชีวิตนั้น แท้ที่จริงแล้วไม่ได้รักตนเองเลยแม้สักนิด เขารักแต่ตัวของเขาเองต่างหาก

ซ้ำร้ายยังกลับหลอกให้ตนเองหลงทุกข์ หลงเป็นบ้าเศร้าโศก เพ้อพิไรรำพันต่าง ๆ นานามาตลอด เขาย่อมสลัดความรักนั้นได้อย่างไม่ใยดีใด ๆ อีก


อันว่ากามนั้น เป็นของเข้าใจได้ยาก รู้ตามได้ยาก
เพราะกามผูกพันกับมนุษย์มาตั้งแต่เกิด บุคคลผู้ไม่มีสติรู้เท่าทันกามและความเป็นไปอย่างแท้จริงแล้ว ย่อมยากที่จะสลัดกาม
บันทึกการเข้า
kittanan_2589
.กลุ่มผู้มีน้ำใจงาม.
member
*

คะแนน630
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2363


NightBaron


เว็บไซต์
« ตอบ #32 เมื่อ: ธันวาคม 30, 2010, 07:25:04 AM »



ความดับทุกข์มี เพราะความดับแห่งนันทิ


ปุณณะ ! รูปที่เห็นด้วยตาก็ดี เสียงที่ฟังด้วยหูก็ดี กลิ่นที่ดมด้วยจมูกก็ดี รสที่ลิ้มด้วยลิ้นก็ดี
โผฏฐัพพะที่สัมผัสด้วยกายก็ดี ธรรมารมณ์ที่รู้แจ้งด้วยใจก็ดี อันเป็นสิ่งที่น่าปรารถนา น่ารักใคร่
น่าพอใจ เป็นที่ยวนตา ยวนใจให้รัก เป็นที่ตั้งอาศัยอยู่แห่งความใคร่ เป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัดย้อมใจมีอยู่
ภิกษุย่อมไม่เพลิดเพลิน ไม่พร่ำสรรเสริญ ไม่เมาหมก ซึ่งอารมณ์มีรูปเป็นต้นนั้น
เมื่อภิกษุไม่เพลิดเพลิน ไม่พร่ำสรรเสริญ ไม่เมาหมกซึ่งอารมณ์มีรูปเป็นต้นนั้นอยู่ นันทิ(ความเพลิน)ย่อมดับไป

ปุณณะ ! เรากล่าวว่า ความดับไม่มีเหลือของทุกข์มีได้ เพราะความดับไม่เหลือของความเพลิน ดังนี้แล

อาการเกิดแห่งความทุกข์โดยสังเขป

มิคชาละ ! รูปทั้งหลายที่เห็นด้วยตา อันเป็นรูปที่น่าปรารถนา น่ารักใคร่ น่าพอใจ เป็นที่ยั่วยวนชวนให้รัก
เป็นที่เข้าไปตั้งอาศัยอยู่แห่งความใคร่ เป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัดย้อมใจมีอยู่ ถ้าภิกษุเพลิดเพลิน
พร่ำสรรเสริญ สยบมัวเมาในรูปนั้นอยู่ นันทิ(ความเพลิน)ย่อมมีขึ้น

มิคชาละ ! เรากล่าวว่า ความเกิดขึ้นแห่งทุกข์มีได้ เพราะความเกิดขึ้นแห่งนันทิ ดังนี้

(ในกรณีแห่งเสียงที่ได้ยินด้วยหู กลิ่นที่ดมด้วยจมูก รสที่ลิ้มด้วยลิ้น โผฏฐัพพะที่สัมผัสด้วยผิวกาย และธรรมารมณ์ที่รู้แจ้งด้วยใจ
ก็ได้ตรัสไว้โดยทำนองเดียวกันกับในกรณีแห่งรูปที่เห็นด้วยตา)
บันทึกการเข้า
kittanan_2589
.กลุ่มผู้มีน้ำใจงาม.
member
*

คะแนน630
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2363


NightBaron


เว็บไซต์
« ตอบ #33 เมื่อ: ธันวาคม 30, 2010, 07:27:32 AM »

เนื่องจากที่ได้สัมผัสมา ก็พบว่าหลาย ๆ ท่านมีความปรารถนาในพระโพธิญาณ คือ การได้ตรัสรู้อนุตรสัมมาสัมโพธิญาณเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ใดพระองค์ หนึ่งในอนาคต
จึงได้ขอนำเรื่องว่าด้วย"ศาสตร์แห่งการปรารถนาพระโพธิญาณ" อันคัดลอกและย่อใจความบางส่วนมาจากหนังสือ"มุนีนาถทีปนี" ของพระพรหมโมลี (วิลาศ ญาณวโร ป.ธ.๙) มาย่อให้ได้ทราบความตามสมควร เพื่อให้ผู้ที่ปรารถนาพระโพธิญาณได้ทราบ เพื่อเป็นแนวทางในการบำเพ็ญบารมีของตน ตามลีลาแห่งพระโพธิสัตว์เจ้าทั้งหลายในอดีต ปัจจุบัน และในอนาคตกาล

ป.ล.ในการเผยแผ่นี้ข้าพเจ้าขอยกคุณความดีแห่งการนี้ถวายบูชาคุณแห่งพระศรี รัตนตรัย คุณแห่งผู้รจนา พระพรหมโมลี (วิลาศ ญาณวโร ป.ธ.๙) คุณครูบาอาจารย์ และท่านผู้มีคุณทั้งหมด มีพระครูธรรมธรเล็ก สุธมฺมปญฺโญ เป็นที่สุด
แต่หากมีข้อผิดพลาดประการใดข้าพเจ้าขอน้อมรับไว้แต่เพียงผู้เดียว


มหาวิบัติ

ขึ้นชื่อว่าความวิบัติทั้งหลายที่มนุษย์เราต้องประสบกันอยู่เสมอในโลกนี้ ความวิบัติอื่นใดก็จงยกไว้ก่อนเถิด เพราะมิสู้จะสำคัญเท่าใดนัก แต่ความวิบัติหนึ่งนั้น เป็นความวิบัติอย่างใหญ่หลวงของสามัญสัตว์ ซึ่งจัดว่าเป็นยอดแห่งความวิบัติจริง ๆ
มีอยู่ ๖ ประการ คือ

๑.วิบัติกาล วิบัติกาลนี้ ได้แก่วิบัติเพราะกาลว่างจากพระพุทธศาสนา!
๒. วิบัติคติ วิบัติคตินี้ ได้แก่วิบัติเพราะไม่ได้คติที่ดี คือ ไปเกิดในอบายภูมิ!
๓. วิบัติประเทศ วิบัติประเทศนี้ ได้แก่วิบัติเพราะเกิดในประเทศที่ไม่มีพระพุทธศาสนา!
๔. วิบัติตระกูล วิบัติตระกูลนี้ ได้แก่วิบัติเพราะตระกูลที่ไม่เป็นสัมมาทิฐิ!
๕. วิบัติอุปธิ วิบัติอุปธินี้ ได้แก่วิบัติ คือร่างกาย เช่น ตาบอด หูหนวก พิการ เป็นใบ้!
๖. วิบัติทิฐิ วิบัติทิฐิ ได้แก่วิบัติเพราะมิจฉาทิฐิแห่งตน!


ดังนั้น ขึ้นชื่อว่าการเกิดเป็นมนุษย์ ก็เป็นสิ่งที่ยากยิ่ง การเกิดโดยการพ้นจากมหาวิบัติ ๖ นี้ก็ยากยิ่ง การเกิดมาในพระพุทธศาสนาก็ยิ่งยากยิ่ง การที่จะเป็นพระพุทธเจ้าก็ยากยิ่งกว่าอีกเป็นล้านเท่าทวีคูณ

น้ำใจพระโพธิสัตว์

หากมีความปรารถนาในพระโพธิญาณ ในเบื้องต้นควรวัดกำลังใจของตนในการเผชิญกับความทุกข์ยากในการบำเพ็ญบารมี โดยถามกับใจตนและยอมรับกับใจของตนตามความเป็นจริง ดั่งนี้

กาลเมื่อโลกจักรวาล อันมีเนื้อที่กว้างใหญ่สุดประมาณนี้มีถ่านเพลิงซึ่งร้อนรุ่มสุมคุ ระอุ จนเต็มไปหมด ผู้ใดมีน้ำใจองอาจเพื่อจะเดินฝ่าบุกไปโดยเท้าเปล่า ๆ ไปจนสุดหมื่นโลกจักรวาลก็ดี

ในเมื่อโลกจักรวาล อันมีเนื้อที่กว้างใหญ่สุดประมาณนี้มีเปลวไฟลุกแดงเป็นพืดยาวเต็มไปหมด ผู้ใดมีน้ำใจองอาจเพื่อจะเดินฝ่าบุกไปโดยเท้าเปล่า ๆ ไปจนสุดหมื่นโลกจักรวาลก็ดี

ท่านผู้มีน้ำใจองอาจเด็ดเดี่ยวกล้าหาญเห็นปานฉะนี้ จึงควรที่จะปรารถนาเป็นพระโพธิสัตว์ สร้างพระบารมีเพื่อจะได้ตรัสพระปรมาภิเษกสัมโพธิญาณได้
บันทึกการเข้า
kittanan_2589
.กลุ่มผู้มีน้ำใจงาม.
member
*

คะแนน630
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2363


NightBaron


เว็บไซต์
« ตอบ #34 เมื่อ: ธันวาคม 30, 2010, 03:50:14 PM »

มาร : ท่านเข้าไปยังโคนต้นไม้ที่ มีดอกบานถึงยอด ยืนอยู่แต่ผู้เดียวที่โคนไม้ แม้เพื่อนไร ๆ ของท่านก็ไม่มีเลย ท่านไม่กลัวความสามหาวของพวกนักเลงเจ้าชู้หรือ?

พระนางอุบลวรรณาเถรี : ต่อให้นักเลงเจ้าชู้นับแสนมารุมล้อม ขนของเราก็ไม่หวั่นไหว ดูก่อนมาร ท่านผู้เดียวจักทำอะไรเราได้.

เราหายตัวได้ เข้าท้องท่านก็ได้ ยืนอยู่หว่างคิ้วท่านก็ได้ ท่านไม่เห็นเราดอก เพราะเราชำนาญในจิต อบรมอิทธิบาทดีแล้ว อภิญญา ๖ เราก็ทำให้แจ้งแล้ว คำสอนของพระพุทธเจ้าเราก็ทำเสร็จแล้ว

กามทั้งหลาย เปรียบด้วยหอกและหลาว เป็นเครื่องบีบคั้นขันธ์ทั้งหลาย ท่านเอ่ยถึงความยินดีในกามอันใด บัดนี้เราไม่มีความยินดีอันนั้น ความเพลิดเพลินในกามทั้งปวงเราขจัดเสียแล้ว กองแห่งความมืด(อวิชชา) เราก็ทำลายเสียแล้ว

ดูก่อนมารผู้มีบาป ท่านจงรู้ไว้เถิด ดูก่อนมารผู้กระทำที่สุด ถึงตัวท่านเราก็ขจัดเสียแล้ว.
บันทึกการเข้า
kittanan_2589
.กลุ่มผู้มีน้ำใจงาม.
member
*

คะแนน630
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2363


NightBaron


เว็บไซต์
« ตอบ #35 เมื่อ: ธันวาคม 30, 2010, 03:51:18 PM »

อัปปมาณา ธัมมา

วันหนึ่ง เราได้รำพึงถึงอดีตในครั้งฆราวาส เพราะเราได้ยินคนเขาพูดถึงเรื่องที่ว่า คนเราเวลามีความรักกัน วันไหนก็ตาม ถึงไม่ได้เห็นหน้าคนรัก ขอให้ได้เห็นหลังคาบ้านสาวก็ยังดี เราก็เลยนึกถึงตัวเราว่า ในอดีตนั้น ของเราไม่ต้องได้เห็นหน้าบ้านสาวหรอกนะ ให้แค่เห็นปากซอยบ้านของผู้หญิงที่เรารักก็พอใจแล้ว พอมาถึงตรงนี้ มันก็เกิดปัญญาเห็นแจ้งลุกโพลงขึ้นมา ทำให้เข้าใจสภาพของอุปาทานว่าเป็นอย่างไร

หมายความว่า บุคคลผู้โง่มาก อุปาทานมันก็ยึดมั่นขยายวงยิ่งกว้างมากขึ้น ยิ่งขึ้นทุกที เมื่อความโง่น้อยลง อุปาทานมันก็ยึดในขอบเขตที่เล็กลง ปากซอยที่คนอื่นเห็นแล้วไม่รู้สึกอะไร แต่เวลาเราเห็นเกิดรู้สึกสดชื่น เพราะอุปาทานมาสมมุติขอบเขตให้ว่านี่เป็นปากซอยของบ้านคนที่เราชอบ นี่ถ้าเราโง่น้อยลง ขอบเขตมันต้องลดลงแค่ว่า เห็นปากซอยของบ้านเขายังไม่ตื่นเต้นต้องเห็นบ้านเขาจึงตื่นเต้น และถ้าเราโง่น้อยลงอีก เราต้องมายึดแค่กายเขาไม่สนใจบ้านเขา และถ้าเราโง่น้อยลงอีก เราต้องมาเห็นว่ากายก็ไม่ใช่ของเขาเป็นเพียงดิน น้ำ ไฟ ลม ของโลก และมายึดแค่ใจเขาว่าเขาเป็นคนใจดี มีความเรียบร้อยเป็นกุลสตรี มีคุณธรรม แต่ถ้าหากเราโง่น้อยลงไปอีก ก็จะต้องเห็นว่า แม้ใจเขาก็ไม่เที่ยง เป็นสังขารธรรมที่เกิดจากการปรุงแต่ง เป็นอนัตตา ไม่มีตัวตน ก็จะถึงสุญญตาความว่าง ไม่รู้จะยึดเอาอะไรอีกแล้ว คือต้องขาดอุปาทานอย่างสิ้นเชิงไปในสิ่งนั้น

บันทึกการเข้า
kittanan_2589
.กลุ่มผู้มีน้ำใจงาม.
member
*

คะแนน630
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2363


NightBaron


เว็บไซต์
« ตอบ #36 เมื่อ: ธันวาคม 30, 2010, 03:51:53 PM »

ฉะนั้นเมี่อคิดมาถึงข้อนี้แล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกที่คนทั้งหลายหลง จึงไม่มีอยู่จริง เป็นเพียงขอบเขตโดยสมมุติที่อุปาทานมันใส่มาให้เท่านั้น คนโง่มากขอบเขตก็ใหญ่มาก ต้องยึดมากทุกข์มากเดือดร้อนมาก ซึ่งก็เป็นเพียงถูกอวิชชา โมหะ อุปาทาน มันมาหลอกให้หลงเข้าไปยึดถือเท่านั้น ไม่มีอะไร

ฉะนั้นถ้าหากเราจะละอวิชชาจริง ๆ แล้ว จะต้องเพิกขอบเขต เขตแดนที่อวิชชา โมหะ อุปาทาน มันสมมุติมาให้ โดยทำลายให้แตกให้หมด โดยที่สุดแม้แต่ขันธ์ ๕ คือ กาย ใจ นี้ ก็ต้องถูกเพิกขอบเขต เขตแดนความยึดมั่น ถือมั่น เป็นตัวกูของกูออกให้สิ้นเชิง จึงจะพ้นจากความเดือดร้อนจากการถูกอุปาทานจูงจมูก ให้ไปเดือดร้อนได้อย่างสิ้นเชิงทีเดียว สภาวะธรรมทั้งหลายจึงจะเข้าสู่โลกุตตระ เป็นอัปปมาณา ธัมมา ไร้เขต ไร้แดน ที่ต้องยึดถือ ที่ต้องแบ่งแยกอย่างสิ้นเชิงเลย

สมกับกลอนของพระราชปริยัติสุธี (สอิ้ง สิรินนฺโท) วัดดอนเจดีย์ อ.ดอนเจดีย์ จ.สุพรรณบุรี ที่ว่า

อาณาจักรของใจไร้ขอบเขต
อุปาทานเป็นเหตุแบ่งเขตขันธ์
จึงตื่นเต้นหวาดกลัวอยู่ทั่วกัน
ไม่ยึดมั่น ทุกข์ภัย ก็ไม่มี
บันทึกการเข้า
kittanan_2589
.กลุ่มผู้มีน้ำใจงาม.
member
*

คะแนน630
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2363


NightBaron


เว็บไซต์
« ตอบ #37 เมื่อ: ธันวาคม 30, 2010, 03:54:25 PM »

อาดีให้เป็น
โดยหลวงปู่ครูบาชัยยะวงศา วัดพระพุทธบาทห้วยต้ม


หลวงพ่อมักมีญาติโยมจำนวนมากไปกราบไปไหว้ที่วัดอยู่มิได้ขาดจนหลวงพ่อแทบไม่มีเวลาพักผ่อน
หลวงปู่เล่าว่า “ใคร ๆ ได้ยินว่าหลวงปู่ดี อยากจะมาเอาดีอย่างหลวงปู่ ขอพระห้อยคอ ขอรดน้ำมนต์ เป่าหัว มาเอาของดีแต่เอาไม่ถูก ถูกไม่จริง”
เหมือนอย่างที่หลวงปู่บุดดา ถาวโร ท่านพูดว่า “ในโลกนี้เขาจะเอาวัตถุ ธรรมะไม่เอา ไม่เหมือนพระอริยะเจ้า ท่านเอาแต่ธรรมะ”
หลวงปู่จึงเมตตาสอนว่า “ขอของไปไม่เท่าเอาคุณงามความดีไปใช้ เอาความดีไปดีกว่าเอาพระรอด พระคงไป พระรอด พระคงยังนอกใจได้ เอาคุณงามความดีไว้ มันประจำอยู่ในตัว”
บันทึกการเข้า
kittanan_2589
.กลุ่มผู้มีน้ำใจงาม.
member
*

คะแนน630
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2363


NightBaron


เว็บไซต์
« ตอบ #38 เมื่อ: ธันวาคม 31, 2010, 07:00:29 AM »

สิ่งที่น่ากลัวที่สุด

บุคคลผู้อิ่มอาหารอย่างมาก ไม่ว่าใครจะนำอาหารไม่ว่าชนิดดีชนิดแพงแค่ไหนมาล่อก็ไม่สนใจ ส่วนบุคคลผู้หิวอาหารอยู่นั้น แม้แต่เห็นข้าวคลุกน้ำปลาก็ยังตาลุก น้ำลายสอเสียแล้ว ฉะนั้นเมื่อมาคิดดังนี้ ก็จะเข้าใจได้ว่า บุคคลผู้มีจิตอิ่มแล้ว ไม่ว่าใครจะเอาอะไรมาล่อลวงก็ไม่สนใจ เพราะจิตอิ่มแล้ว จึงไม่มีสิ่งใดมาเป็นมารได้ ส่วนบุคคลผู้มีจิตหิวอยู่ ไม่ว่าสิ่งใดมาผ่านหน้า ก็เข้าไปติดเข้าไปยึดทันที ทุกสิ่งทุกอย่างที่ผ่านหน้า จึงเป็นมารแก่บุคคลผู้มีจิตหิว

ฉะนั้น มารของเราก็คือจิตเรา ที่ยังหิวอยู่
สิ่งที่น่ากลัวที่สุดคือใจของเราเอง

วันที่ ๓๐ สิงหาคม พ.ศ.๒๕๓๖

    * เวลาปัญหาเกิดขึ้น อย่าคิดว่าโลกให้เราน้อยเกินไป ให้คิดว่าเราหวังจากโลกมากเกินไป
    * สิ่งใดก็ตาม แม้จะเป็นสิ่งที่ดีงามที่สุด แต่ถ้าเราไปยึดละก็ จะถูกกัดทันที ไม่ใช่สิ่งนั้นเป็นผู้กัด แต่การที่ไปยึดนั้น เป็นการตั้งจิตไว้ผิด การตั้งจิตไว้ผิดนั้นเอง จะกัดจิตเองอย่างไม่มีชิ้นดี
    * ติดในความดี กับติดในความสวย ก็โง่พอกัน
    * ราตรีนี้สั้นนัก ชีวิตคนมิใช่ยั่งยืนยาวไกล


วันที่ ๑๓ กันยายน พ.ศ.๒๕๓๖

หากการยอมตัวเป็นผู้แพ้ ช่วยให้คนอื่นมีความสุขได้ ก็ไม่ควรปฏิเสธเลย

วันที่ ๑๐ ตุลาคม พ.ศ.๒๕๓๖

บันทึกการเข้า
kittanan_2589
.กลุ่มผู้มีน้ำใจงาม.
member
*

คะแนน630
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2363


NightBaron


เว็บไซต์
« ตอบ #39 เมื่อ: ธันวาคม 31, 2010, 07:00:49 AM »

เธอเหงา

ผู้ไม่มีธรรมะ ถึงจะอยู่ท่ามกลางหมู่ญาติพี่น้อง ก็ยังรู้สึกว้าเหว่ เพราะว่าจิตยังหิว ยังหาตัวเองไม่เจอ หาเจอแต่คนอื่น หาตัวเองไม่เจอ ก็เลยต้องว้าเหว่เงียบเหงาอยู่ท่ามกลางวงล้อมของหมู่ชน หรือต้องว้าเหว่เงียบเหงาอยู่ในอ้อมกอดของหมู่ชน

ส่วนผู้มีธรรมนั้น สามารถอยู่เป็นสุขได้ เพราะจิตไม่หิว จิตไม่หวังต้องการให้ใครมาเติมให้เต็ม เพราะค้นเข้าไปหาตัวเอง ไปพบตัวเอง ฉะนั้นผู้มีธรรมะจึงรู้สึกอบอุ่นอยู่ท่ามกลางความโดดเดี่ยวเดียวดาย

ช่างน่าสงสารคนโง่ ที่รู้จักแต่การไปหาผู้อื่น ไม่รู้จักเข้ามาหาตัวเอง
เธอเหงา เพราะจิตเธอยังหิว
เธอว้าเหว่ เพราะคิดแต่จะไปหาคนอื่น ไม่รู้จักเข้าหาตัวเอง

วันที่ ๒๔ กันยายน พ.ศ.๒๕๓๖
บันทึกการเข้า
kittanan_2589
.กลุ่มผู้มีน้ำใจงาม.
member
*

คะแนน630
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2363


NightBaron


เว็บไซต์
« ตอบ #40 เมื่อ: ธันวาคม 31, 2010, 07:10:07 AM »

ความคุ้นเคยกับความรู้สึกอย่างใดอย่างหนึ่ง คือ มีความรู้สึกอย่างใดอย่างหนึ่งเสมอ ๆ หรือบ่อย ๆ เนือง ๆ เช่น การท่องพุทโธไว้ในใจเสมอ นั่นคือความคุ้นเคยกับพุทโธ หรือความคุ้นเคยกับบุคคลใดที่เคยให้ความเมตตาอุปการะช่วยเหลือ จะทำให้ใจนึกถึงบุคคลนั้นได้โดยอัตโนมัติเมื่อถึงคราวคับขัน

ความคุ้นเคยกับอารมณ์พุทโธ เมื่อถึงเวลาคับขัน ใจจะไม่ไปยึดมั่นเกาะเกี่ยวกับอะไรอื่่นที่ไม่คุ้นเคย แต่จะไปเกาะอยู่กับพระพุทโธ ที่เป็นยอดของสิริมงคลทั้งปวง ย่อมได้รับสิริมงคลนั้นอันจักนำให้พ้นพาลภัยใหญ่น้อย ความคุ้นเคยกับสิ่งดีมีมงคลจึงเป็นความสำคัญอย่างยิ่ง

ทุกคนผ่านชีวิตในอดีตชาติมาแล้วเป็นอันมาก นับภพชาติไม่ถ้วน มีความคุ้นเคยกับเรื่องราวหรืออารมณ์ต่าง ๆ มาแล้วมากมาย ใจคุ้นเคยยึดมั่นผูกพันข้องติดอยู่กับเรื่องใดอารมณ์ใดมากมาแต่อดีต ผลของความยึดมั่นผูกพันนั้นจะนำมาสู่ภพชาติปัจจุบัน ดูภพชาติของตนในปัจจุบันก็พอจะเข้าใจว่า อดีตตนผูกพันกับเรื่องใดอารมณ์ใดมามาก ดีหรือว่าไม่ดี

ผู้ที่มีใจผูกพันอยู่กับการเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ทำทานการกุศลมามากในอดีตชาติ ก็จะรู้ได้จากชาติปัจจุบัน คือ ปัจจุบันชาติจะสมบูรณ์พูนสุขด้วยทรัพย์สินเงินทอง

ผู้ที่มีใจผูกพันอยู่กับการระวังรักษากายวาจาใจของตนให้สุภาพอ่อนน้อม ไม่ล่วงเกินดูหมิ่น ผูกพันเช่นนี้มามากในอดีตชาติ ก็จะรู้ได้จากปัจจุบันชาติ คือ เป็นผู้อยู่ในตระกูลสูง อันผู้อยู่ในตระกูลสูงย่อมเป็นผู้ได้รับความเคารพอ่อนน้อม ไม่ถูกล่วงเกินดูหมิ่น เป็นไปเช่นเดียวกับที่ตนเองได้ปฏิบัติไว้ต่อผู้อื่นเป็นอันมากในอดีตชาติ

ผู้ที่มีใจผูกพันอยู่กับการช่วยประคับประคอง รักษาชีวิตผู้อื่นสัตว์อื่นมามากในอดีตชาติ ไม่เบียดเบียนตัดรอนทำลายชีวิตอื่น ก็จะรู้ได้จากปัจจุบันชาติที่เป็นผู้มีอายุยืน ไม่ถูกตัดรอนเบียดเบียนทำลายด้วยเหตุใดทั้งสิ้น ไม่ต้องเป็นผู้มีชีวิตน้อยมีชีวิตสั้น

ผู้มีใจผูกพันอยู่กับการปฏิบัติธรรมมามากในอดีตชาติ ก็จะรู้ได้จากปัจจุบัน จะเป็นผู้มีปัญญาเฉลียวฉลาด ศึกษาปฏิบัติธรรมเข้าใจง่าย เจริญดีในธรรม
บันทึกการเข้า
kittanan_2589
.กลุ่มผู้มีน้ำใจงาม.
member
*

คะแนน630
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2363


NightBaron


เว็บไซต์
« ตอบ #41 เมื่อ: ธันวาคม 31, 2010, 07:29:54 AM »

อัศจรรย์โลกใบนี้

ตามความประสงค์ของท่านพระครูธรรมธรเล็ก สุธมฺมปญฺโญ ได้ให้พิมพ์คัดลอกบทธรรม จากหนังสือ “อัศจรรย์โลกใบนี้” เพื่อเป็นความรู้ ธรรมทาน และได้รับอนุญาตจากท่านเจ้าของผู้เขียน คือ คุณฐานุพงศ์ สิรสุขสวัสดิ์ เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ท่านลุงยังได้เมตตามอบหนังสือให้ทั้งเล่มเพื่อจัดพิมพ์ โดยอนุญาต ให้สามารถนำเผยแพร่ต่อได้ โดยอ้างอิงแหล่งที่มาอย่างถูกต้อง ห้ามแอบอ้างหรือนำไปจำหน่าย หรือเพื่อหาประโยชน์เข้าตนแม้แต่ประการใด ๆ ทั้งสิ้น

หมายเหตุ

    * ๑. ขออนุญาตกราบโมทนาบุญในเมตตาของท่านพระครูธรรมธรเล็ก สุธมฺมปญฺโญ และท่านลุงจิตตพงศ์ ติถีสุขสวัสดิ์(ท่านเดียวกัน เปลี่ยนชื่อแล้ว) ที่ทำให้พวกเราทั้งหลายได้มีบทธรรมะดี ๆ ได้ศึกษาเพื่อเพิ่มเติมประสบการณ์ความรู้
    * ๒. ขอโมทนาบุญคุณอุตราที่ร่วมเดินทางไปเป็นเพื่อนกราบขออนุญาตท่านลุงด้วยกัน
    * ๓. ในการจัดพิมพ์เพื่อเป็นธรรมทาน ยิ้มได้มีการปรับเปลี่ยนเนื้อความบางส่วนไปบ้าง ตามความเข้าใจของตนเอง ซึ่งยิ้มจะทำเครื่องหมาย “*” กำกับไว้ด้านหน้าและด้านหลัง
    * ๔. หากยิ้มได้ทำการปรับเปลี่ยนเนื้อความบางส่วนไปเพราะความไม่เข้าใจของยิ้มเอง (คืออ่านแล้วยิ้ม งง นะคะ เพราะความรู้ของตนเข้าไม่ถึง) ทำให้เนื้อความผิดเพี้ยน หรือเสียหาย ไร้อรรถรสไป ก็ต้องกราบขอขมาโทษแด่องค์พระรัตนตรัย ขอความเมตตาต่อท่านพระครูธรรมธรเล็ก สุธมฺมปญฺโญ ได้โปรดเมตตาชี้นำ แนะนำ ในการแก้ไข ขัดเกลาเนื้อหาด้วยนะครับ
    * ๕. กราบโมทนาในเมตตาและบุญกุศลของท่านพระครูธรรมธรเล็ก สุธมฺมปญฺโญ อีกครั้งครับ



อัศจรรย์โลกใบนี้
ผู้เขียน นายฐานุพงศ์ สิรสุขสวัสดิ์
พิมพ์ครั้งที่ ๑ สิงหาคม ๒๕๕๐
จำนวน ๒๒๔ หน้า
เพื่อเป็นวิทยาทาน
สงวนลิขสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. ๒๕๓๗


อัศจรรย์โลกใบนี้

ยามมีความทุกข์ จงอ่านเนื้อหาสาระในหนังสือเล่มนี้จิตจะสงบ

ยามมีความสุข จงอ่านเนื้อหาสาระในหนังสือเล่มนี้ สันติสุขจะปรากฏในดวงจิต ด้วยสันติธรรมแห่งโลกุตรธรรม


คำนำ

หนังสือเล่มนี้ จัดทำขึ้นเพื่อเป็นธรรมวิทยาบารมี จากประสบการณ์ที่พบเห็น จึงได้เรียบเรียงแก่นธรรมจากการปฏิบัติธรรมตามรอยพระพุทธองค์ เพื่อยังประโยชน์แก่ผู้ได้พบเห็นได้อ่าน ได้เป็นแนวทางในการจะนำไปพัฒนาจิต ให้ได้เห็น ได้รู้ ได้กระทำ จึงได้เขียน "ธรรม" ให้ "ทำ" ไม่ใช่เขียนให้อ่าน ให้พูดตาม

แต่เขียนเพื่อ ให้ทำ ให้ปฏิบัติ ให้ฝึกฝน ให้สอนตนเอง ให้แก้ไข ให้ปรับปรุง ให้เปลี่ยนแปลง ให้หยุด ให้กระทำระงับจิตที่มุ่งไปในทางอกุศล ตามกระแสของตัณหาอย่างสุดเหวี่ยง จนไม่สามารถแยกแยะ ถูก ผิด ชั่ว ดี ออกจากจิตของตนเองได้ ทำให้มันคลุกเคล้าผสมกลมกลืนอยู่ภายในจิต เดี๋ยวดี เดี๋ยวร้าย เรียกว่า คุ้มดี คุ้มร้าย ตลอดเวลา

ไม่มีสติที่เข้มแข็ง ไม่มีปัญญาไปพิจารณายับยั้ง จำแนกจิตไม่ออกว่า อะไรสมควรกระทำ อะไรสมควรยับยั้ง อะไรสมควรทำลาย อะไรสมควรเก็บรักษา อะไรสมควรบำรุง อะไรสมควรศึกษาและปรับปรุงแก้ไข เพื่อเป็นหนทางแห่งการหยุดยั้ง ความทุกข์ ค้นให้พบความสงบ ความสุข สุขอันรื่นรมย์ในสันติธรรม สุขในสัมมาสุข ทำจิตให้สว่าง ทำจิตให้สะอาด จิตผ่องใสให้จิตเรืองปัญญาในสัมมาแห่งปัญญาอันบริสุทธิ์

ให้ทำลายจิตพาล อภิบาลจิตดี คือทำลายจิตที่พาลในตัวเรา ที่ทำให้เราเป็นคนพาล อันเป็นเหตุแห่งความเดือดร้อน ทำให้จิตร้อน ตกอยู่กับความเศร้าหมองในอารมณ์ มีความทุกข์ร้อนในจิต ให้นำออกจากจิตให้หมด พร้อมสกัดกั้นอย่าให้กลับเข้าไปเจริญในจิต อย่าให้อยู่ในจิต อย่าให้มีอำนาจในจิต อย่าให้อวดศักดาในจิต

กำราบให้หมด ตัดให้สิ้นเชื้อ ความดีก็จะบังเกิดในจิตของเรา จึงต้องบำรุงรักษา เก็บรักษา สร้างความชำนาญในการเก็บรักษา การบำรุงรักษา บำรุงให้เจริญอย่างต่อเนื่อง ให้มั่นคงอยู่ภายในจิตตลอดเวลา ตลอดไป มีความยั่งยืนถาวร ไม่แปรผันเป็นอย่างอื่น ไม่ย้อนกลับไปสู่จิตให้เป็นพาล สร้างความเดือดร้อนกับตนเองกับผู้อื่น อย่าให้จิตกลับไปกลับมา

บันทึกการเข้า
kittanan_2589
.กลุ่มผู้มีน้ำใจงาม.
member
*

คะแนน630
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2363


NightBaron


เว็บไซต์
« ตอบ #42 เมื่อ: ธันวาคม 31, 2010, 07:30:44 AM »

ธรรมชาติมันเป็นของมันเช่นนั้น มันอยู่ของมันแบบนั้น ทำใจให้กว้าง ยอมรับความจริง แล้วแก้ไขตนเอง กำจัดจิตพาลในตัวเราออกแล้ว อภิบาลจิตดี ความดีที่บังเกิดในจิตเรา ค้นให้พบ ความจริงในจิตของเรามีดีอยู่ หรือไม่มีแค่ไหน มีอยู่หรือ ไม่มีอยู่แค่ไหน อย่ามองแต่ความไม่ดีของผู้อื่น ให้ดูความไม่ดีที่อยู่กับเรา หรือเมื่อเห็นเขาโกรธมันไม่ดี แต่ความโกรธก็ยังอยู่กับเรา อย่าไปพิจารณาแทนคนอื่น วิจารณ์คนอื่น

ให้พิจารณาตัวเรา วิจารณ์ตัวเรา ความขุ่นเคืองจะได้ดับจากจิตของเรา ถ้าดับในจิตของผู้อื่น แต่คุกรุ่นอยู่ในตัวเรา ก็ไม่มีประโยชน์อะไรกับเรา เราต้องดับมันเสีย คนอื่นไม่ดับก็ไม่เกี่ยวกับตัวเรา เจ็บปวดก็เขา ทุกข์ระทมก็เขา สุขสบายก็เขา ส่วนเราต้องสุขตลอด เป็นคนดีอยู่ในธรรมที่เป็นอริยธรรม มีธรรมของคนดี มีปัญญาสถิตอยู่ในใจตลอด ทำได้ คิดได้ ปฏิบัติได้เช่นนี้ สันติธรรมของประชาคมก็บังเกิด ความสงบของสังคมโลกก็ปรากฏ

ต่างคนมุ่งทำดี มุ่งคิดดี มุ่งพูดดี เราต้องช่วยตัวเรา ถ้าทุกคนคิดเช่นนี้ ช่วยแก้พฤติกรรมที่ไม่ดีของตัวเรา จิตที่ประพฤติธรรมย่อมเปลี่ยนแปลงให้พ้นจากความมืดมัวในกาม พบความสว่างด้วยธรรมคำสอนของพระพุทธองค์ ที่ช่วยชี้ทางให้อยู่กันด้วยเมตตาธรรม ความวุ่นวายก็สงบ ความขัดแย้งก็ถูกสยบ การอยู่กับความวุ่นวายมันง่าย แต่จะออกจากความวุ่นวายมันแสนยาก

ต้องทนอยู่ในความวุ่นวาย โดยไม่มีวิธีการจะออกจากความวุ่นวาย เมื่อมีวิธีในการออก เมื่อออกแล้วต้องมีวิธีการไม่ให้กลับเข้าไปอีก ซึ่งมันแสนจะลำบากยากเย็น เพราะมันจะดิ้นรนที่จะเข้าไป มันมีตัวล่อมากระตุ้นจิตให้ส่าย ให้เอนเอียง ให้เข้าไปหาความวุ่นวาย ตัวสัญญาจำได้หมายรู้เป็นตัวเหตุสำคัญ ที่ชักนำจิตให้ลุ่มหลง จนเกิดอุปาทานยึดมั่นถือมั่น ไม่วาง

เชื่ออย่างนั้น คิดอย่างนั้น กำหนดเอาเองจริงจังอย่างนั้น ใครจะพูดไม่เชื่อ ไม่ยอม ไม่เข้าใจ ไม่สนใจ ไม่ยินยอม ไม่รับรู้ ไม่ต้องการรู้ ไม่อยากสนใจ บังเกิดความอึดอัดใจ รำคาญใจ ยุ่งยากใจ รุ่มร้อนใจ ขุ่นเคืองใจ แค้นใจ อัดอั้นตันใจ ว้าวุ่นใจ ใจฟุ้งซ่าน เกิดความเบื่อหน่าย จะบังเกิดอารมณ์โกรธเกลียดในที่สุด
บันทึกการเข้า
kittanan_2589
.กลุ่มผู้มีน้ำใจงาม.
member
*

คะแนน630
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2363


NightBaron


เว็บไซต์
« ตอบ #43 เมื่อ: ธันวาคม 31, 2010, 07:31:15 AM »

หากเราอยู่กับความมืดมัวในจิต เราก็ต้องไปกับความมืด หากเราอยู่กับความสว่างในจิต เราก็จะไปกับความสว่าง คงต้องเลือกเอาทางใดทางหนึ่ง นั่นก็สุดแท้แต่กรรมของเรา จะไปทางไหนได้อย่างนั้น พบอย่างนั้น ได้รับผลเช่นนั้น ตัวเรารองรับกรรมนั้นอยู่แล้ว เป็นความจริงที่เที่ยงแท้ ไม่เปลี่ยนแปลง ไม่ยกเว้น ไม่ละเว้น ไม่ต้องกราบกรานขอร้อง ร้องขอใด ๆ ทั้งสิ้น

ไม่ใช่แค่คิด แค่คนบอก แต่ต้องปฏิบัติ ต้องฝึก ต้องทำได้ ต้องรู้เข้าใจวิธีการกำกับ การกำหนด การหยุด การพิจารณา การออกจากสิ่งที่ไม่ต้องการในจิต อย่างชำนาญช่ำชอง คล่องแคล่ว รวดเร็ว ทันทีทันใด ถ้ากระทำอย่างนี้ได้ มั่นใจว่าเราเป็นผู้ชนะกิเลสมาร พ้นหนทางแห่งความทุกข์ ความสุขรอเราอยู่ เราพบแน่นอน

บนทางเส้นนี้กำลังรอผู้กล้าหาญ ปราบจิตของตัวเองให้สยบในความดี จะ บังคับจิตก็เหมือนนั่งบนหลังม้า แล้วบังคับให้ม้าวิ่งไปตามทางที่เราต้องการ จะให้หยุดก็ต้องหยุด จะให้ไปก็ต้องไป จะให้ยืนก็ต้องยืน จะให้นอนก็ต้องนอน จะให้เดินก็ต้องเดิน จะให้วิ่งเร็ววิ่งช้าก็บังคับได้ ให้กระโดดก็ต้องกระโดด ไปซ้ายไปขวาได้ทั้งสิ้น ทำให้จิตมันเชื่อง เราสั่งการได้ อยู่ภายใต้อำนาจของสติและปัญญาอันบริสุทธิ์ตลอดไป เท่า นี้ก็สบายเรา ไม่ใช่สบายเขา อย่างนี้เรียกผู้วิเศษ เป็นผู้ปราบอาชาพยศของจิตให้สงบราบคาบเหนือคนทั้งมวล เหนือธรรมชาติ คือ เอาชนะธรรมชาติ เดินสวนกระแสโลกจนพบดวงแก้วมณีอันล้ำค่า ได้จิตแท้ จิตเดิมที่สะอาดบริสุทธิ์

จิตที่ไม่ถูกห่อหุ้มด้วยตัณหา จิตที่ไม่มีทุกข์ จิตที่ไม่ต้องดิ้นรน จิตที่ไม่รุ่มร้อน จิตที่สำรอกกิเลสแล้ว มีแต่ความผ่องใส จิตมีพระพุทโธ จิตมีฤทธิ์กำจัดทุกอย่างที่ไม่ดีออกไป ถามว่า ทำได้ไหม ตอบว่าได้ เพราะมีผู้ทำได้ แสดงให้เห็นอยู่แล้วว่าทำได้ แต่ต้องทำ อย่าเพียงนึกคิด ถ้าเพียงนึกคิดอย่างนี้ทำไม่ได้ จนตายก็หาไม่พบ ค้นไม่เจอ มันเล่นซ่อนหากับเราตลอด ต้องสร้างสติสัมปชัญญะ โดยการเจริญกรรมฐานจนปรากฏฌาน บังเกิดญานทัศนะเท่านั้น ไม่มีทางอื่น ทางอื่นมีแต่ความวุ่นวายหนอ ทางนี้ไม่วุ่น

ทางที่พระพุทธเจ้าทรงชี้ไม่ผิดทาง เป็นเส้นทางตรงส่งความสุขนิรันดร์ สุขแท้ สุขจริง สุขสงบ สุขประณีต สุขเยือกเย็น สุขพ้นมลทินทั้งมวล คือ พ้นกิเลส อันเป็นเครื่องร้อยรัดความเศร้าหมองของจิต กิเลสมันกำเริบไม่ได้นั่นเอง

เมื่อเป็นเช่นนี้ตัวเราจะคิดอย่างไร ไม่ต้องมองใคร ตัวเราตัดสินใจ เหตุดีผลดี เหตุชั่วผลชั่ว ตัดสินใจแล้วอย่ามาเสียใจ หากผลออกมาไม่ดีก็อย่าร่ำไห้ อย่าเรียกร้อง อย่าคร่ำครวญ อย่าโอดครวญ อย่าอุทธรณ์ ร้องทุกข์ เราทำเอง ตัดสินใจเองทั้งสิ้น เราเลือกทางเดินของเราเอง ไม่มีใครเลือกให้ ไม่มีใครกลั่นแกล้ง อย่าโทษใคร โทษตัวเอง อย่าต่อว่าใครให้เสียค่าโง่ เสียรู้กรรมที่เราทำมา เราได้ตัดสินใจเลือกแล้ว เลือกด้วยตัวเราเอง ผลมาดีก็อย่าทะนงไป หากทะนงผลก็จะย้อนกลับมาไม่ดีอีก เพราะเหตุใหม่ไม่ดีนั่นเอง ผลใหม่จึงไม่ดี ทำเหตุใหม่ ให้ดีไปตลอด ผลออกมาใหม่ก็จะดีตลอดเช่นกัน

เมื่อยังไม่เสียรู้ก็อย่าเสียรู้ เมื่อเสียรู้แล้วก็แก้ไข สร้างเหตุใหม่ให้ดีเท่านั้น รู้แล้วไม่ทำก็คือไม่รู้ ไม่รู้แต่ทำก็คือรู้ เมื่อไม่สมหวังอย่าร้องนะ อย่าโอดครวญนะ อย่าร่ำไห้นะ อย่าคร่ำครวญนะ อย่าเสียใจนะ อายเขา อายตัวเอง อายนักปราชญ์ อายราชบัณฑิต อายเทวดาฟ้าดิน ปราชญ์รู้ ปราชญ์ก็ตำหนิ ราชบัณฑิตรู้ ราชบัณฑิตก็ตำหนิ ถ้าทำเช่นนั้นใคร่ครวญให้ดี เวลามีน้อยลงทุกขณะ ร่างกายมีแต่เสื่อมรอการแตกดับ ชีวิตเหมือนใบไม้ร่วง ร่วงเวลาใดไม่รู้

อย่าอุ้ยอ้ายอยู่ อย่ารีรอ อย่าขอเวลา อย่ารอเวลา อย่าให้ต้องเสียโอกาส เพราะจิตเรามันคับแคบ ไม่เชื่อในสิ่งที่เป็นจริง เชื่อในมายาโลก จึงวุ่นวาย ดังสุภาษิตจีนที่ว่า “ไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตา” แต่ผู้มีปัญญาไม่มีน้ำตาให้เห็น คนโง่เท่านั้นที่ต้องหลั่งน้ำตา
บันทึกการเข้า
kittanan_2589
.กลุ่มผู้มีน้ำใจงาม.
member
*

คะแนน630
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2363


NightBaron


เว็บไซต์
« ตอบ #44 เมื่อ: ธันวาคม 31, 2010, 07:31:46 AM »

จะมองดูอนาคตต้องดูปัจจุบันกรรม ในปัจจุบันจะส่งผลสู่อนาคต ความระทม ไม่ระทมรออยู่ที่เหตุ เหตุดีประตูแห่งความสุขสมบูรณ์รอเปิดรับอยู่ เหตุไม่ดีประตูแห่งความระทม ความผิดหวัง ความทุกข์ทรมานรอเปิดรับอยู่เช่นกัน

อย่าทำลายอนาคตของตัวเราด้วยน้ำมือของเราเลย มันทั้งเจ็บปวด ทั้งทรมาน ทั้งผิดหวัง ทั้งร้ายกาจ ทั้งจืดชืด ทั้งเศร้าโศก ทั้งรันทดใจ ทั้งโหยหวนครวญครางร้องขอ ทั้งร่ำไห้ ทั้งโอดครวญ ทั้งรำพัน ทั้งหมองหม่นในชีวิต ทั้งถูกกระทำย่ำยี ทั้งพิการทางร่างกาย ทั้งพิการทางจิตใจ ทั้งถูกรังแกเอารัดเอาเปรียบ ทั้งต้องสูญเสีย ทั้งมีมลทินชีวิต ทั้งถูกรังแก ทั้งถูกรังเกียจเดียดฉันท์ ทั้งถูกข่มเหง ทั้งถูกกลั่นแกล้งให้เดือดร้อน ทั้งถูกทอดทิ้ง ทั้งทุกข์ยากลำบาก ทั้งถูกติฉินนินทา ทั้งถูกลงโทษนานาประการ ทั้งอดอยาก ยากเย็นเข็ญใจ ทั้งมีแต่คนมุ่งร้าย ทั้งถูกทำร้ายทำลาย ทั้งเจ็บป่วย ทั้งเป็นโรคร้าย ทั้งต้องพลัดพราก ทั้งถูกกำจัด อีกมากมายนัก ผลจะมาบังเกิดในการกระทำของเราด้วยน้ำมือเรา อย่ากลัวทำดี ให้กลัวทำชั่ว ผลที่บังเกิดมันตรงข้ามเสมอ

เราต้องทำอย่างหนึ่งอย่างใดอยู่แล้ว ให้เลือกทำแต่กรรมดี มีคุณแก่ตัวเรา ต่อภูมิภพ ต่อชาติกำเนิด ต่อความสุขสบายของเรา จึงจะเรียกได้ว่าฉลาด รู้เท่าทันกิเลสที่เป็นเหตุให้ทำกรรมชั่ว จึงต้องละกิเลส ตัดเหตุแห่งกรรมชั่ว ทำให้หมดมลทินจากกิเลส เหตุก็ดี ผลก็ดี จิตเราเป็นผู้รู้เห็นเองทั้งหมด ผู้อื่นเห็นไม่ได้ เห็นไม่จริง เพียงแต่อย่าเห็นผิดเป็นถูก เห็นกงจักรเป็นดอกบัวเท่านั้น จงเป็นตัวอย่างของตัวเอง

เราอยู่อย่างเรา เราคิดแต่สิ่งที่ดี เราทำในสิ่งที่ดี เราพูดในสิ่งที่ดี ทำอย่างนี้เถิด สังคมจะได้เป็นสังคมประชาธรรม ประชาสันติก็จะบังเกิด มีผลต่อสันติสุขของประชาราษฎร์ ความร่มเย็นก็จะบังเกิดทั่วทุกส่วน

เวลาเรายังมีอยู่ ผิดแล้วแก้ไข อย่าจมอยู่ อย่าให้กลายเป็นเวลาของพญามาร ทำลายเราหมดสิ้น กายยังไม่แตกดับยังมีความหวังอยู่ตลอด รู้ แล้วอย่าช้า เร่งรีบทำ เร่งรีบศึกษา เร่งรีบทำความเข้าใจจิต ทำความรู้จัก “จิต” ของตัวเรา ทุกอย่างถูกผิดเกิดที่จิต ต้องแก้ที่จิต ต้องเป็นจิตของตัวเรา ไม่ใช่จิตของคนอื่น อย่ามัวคิดผิด หลงอยู่ ทำผิดซ้ำซาก ผิดแล้วผิดอีก ตัวเราให้อภัยตัวเราได้ร่ำไป คนอื่นไม่ได้ให้อภัยเราด้วย พึงจำไว้ว่าอย่าเสียรู้ จะเสียการ เสียโอกาสเหลือไว้แต่ความเสียใจภายหลัง เมื่อหมดเวลาแล้ว จะบอกว่าคิดผิด จะบอกว่าเสียใจ ก็ไม่มีค่าควรแก่คำพูดนั้น สายแล้วสายเลย แก้ไขไม่ได้ ต้องรับกรรมนั้น ตามเหตุที่ได้กระทำเหตุมีกำลังแรง ผลจะแรงตามเหตุเสมอ
บันทึกการเข้า
kittanan_2589
.กลุ่มผู้มีน้ำใจงาม.
member
*

คะแนน630
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2363


NightBaron


เว็บไซต์
« ตอบ #45 เมื่อ: ธันวาคม 31, 2010, 07:32:44 AM »

จิตก็เสมือนตำราเล่มใหญ่ ที่มีเนื้อหากว้างลึกทุกศาสตร์ ทุกสาขาถูกบรรจุไว้อย่างหนาแน่น แถมยังมีพื้นที่ว่าง ที่จะเขียนไม่มีสิ้นสุด จะอ่านเท่าไหร่ ไม่มีวันจบสิ้น คำว่า “ทำ” ให้ทำที่จิต ให้กายเป็นเครื่องมือ ใช้จิตกระทำได้ ให้เรียนรู้ ให้ระงับ ให้ละวางในจิตดวงนี้ ในตัวเรา มิใช่ในตัวเขา

เราเป็นทั้งผู้สร้างความเจริญรุ่งเรืองของโลก พร้อมกันเป็นผู้ทำลายล้างความเจริญรุ่งเรืองของชีวิต ให้สูญเสียทั้งชีวิตและทรัพย์สินอย่างต่อเนื่องกันมา เกิดสงครามแสวงหาอำนาจ ทำลายล้างเผ่าพันธุ์ของมนุษย์ มาทุกยุคทุกสมัยสืบกันมาจากอดีตจนถึงปัจจุบันก็ยังทำลายกัน เปลี่ยนเฉพาะยุทธวิธีการทำลายเท่านั้น ใช้ยุทธวิธีเครื่องมือในการทำลายล้างที่ทันสมัยรุนแรงมากขึ้น ใช้กลไกเครือข่ายมากขึ้น ใช้อาวุธยุทโธปกรณ์ที่มีประสิทธิภาพในการทำลายมากขึ้นเท่านั้น

ล้วนแต่เกิดจากจิตดวงเดียวนี้ที่มันสั่งการ ที่มันกำหนดทุก ๆ เรื่อง ตามกำลังของตัณหา ความทะยานอยาก ความอหังการ ความใคร่ ความอยากได้ความอยากเป็น ความไม่อยากได้ ความไม่อยากเป็นในตัณหา ๓ ประการ คือ กามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา อันเกิดในจิตเป็นอุปาทานในสัญญา ยึดมั่นถือมั่นในตัณหานั้น จิตไม่สงบ ไม่ละวางมันติดกินใจอยู่ทุกเวลา จิตจึงสร้างอุบาย เพื่อให้ได้มา จึงเป็นความลึกล้ำ จิตจึง

เป็นแหล่งรวมของสรรพวิทยาต่าง ๆ
เป็นแหล่งรวมของดีชั่ว
เป็นแหล่งรวมของสุข ทุกข์

เป็นแหล่งรวมของความฉลาดปราดเปรื่อง
เป็นแหล่งรวมของความรู้ ความไม่รู้
เป็นแหล่งรวมของคุณธรรม ศีลธรรม
เป็นแหล่งรวมของการเพาะปัญญา

เป็นแหล่งรวมของการคิดค้น
เป็นแหล่งรวมของขนบธรรมเนียมประเพณี
เป็นแหล่งรวมของการสร้างเสริม
เป็นแหล่งรวมของสันติธรรม

เป็นแหล่งรวมของการกำหนดชีวิต
เป็นแหล่งรวมของการกำหนดกฎเกณฑ์
เป็นแหล่งรวมของชาติ ภพ ภูมิ
เป็นแหล่งรวมของความเมตตา กรุณา

เป็นแหล่งรวมของแนวคิดปรัชญา
เป็นแหล่งรวมของนักปราชญ์ราชบัณฑิต
เป็นแหล่งรวมของความโง่ ความเก่ง
เป็นแหล่งรวมของความเอารัดเอาเปรียบ

เป็นแหล่งรวมของความโหดร้าย ทารุณ
เป็นแหล่งรวมของความรัก ความชัง
เป็นแหล่งรวมของสันติภาพ สันติสุข
เป็นแหล่งรวมของความโลภ โกรธ หลงฯ
บันทึกการเข้า
kittanan_2589
.กลุ่มผู้มีน้ำใจงาม.
member
*

คะแนน630
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2363


NightBaron


เว็บไซต์
« ตอบ #46 เมื่อ: ธันวาคม 31, 2010, 07:33:46 AM »

ยังมีอีกมากมายจนเขียนอย่างไรก็ไม่หมด ทุกรายวิชาบรรจุไว้ในจิตทั้งหมด ในแต่ละรายวิชาล้วนมีสาระในตัวเอง เรื่องดี สาระดี เรื่องไม่ดี สาระไม่ดี ทั้งมีทฤษฎีรองรับสาระนั้น ๆ อีกด้วย นี่เป็นเพียงตัวอย่างแห่งคลังความรู้เบื้องต้นเท่านั้น

ทั้งหมดจิตเป็นผู้กำกับพฤติกรรม ตัวเราจึงสมควรพิจารณาอย่างถ่องแท้ เรื่องของจิตจึงมีความยิ่งใหญ่ต่อสถานภาพของโลกและสัตว์โลก ต่อการสร้างหรือทำลายล้าง มีจิตเป็นนาย มีกายเป็นข้ารับใช้ ทำให้เกิดกรรมคือการกระทำ ยิ่งมากคนยิ่งมากเรื่อง เฉพาะเรื่องของเราก็รับไม่ไหวอยู่แล้ว

อันที่แท้จิตดวงนี้มีคุณอนันต์ มีโทษมหันต์ซ่อนอยู่ภายในจิตของทุกคน มีดำมีขาว มีมืดมีสว่าง ในถูกก็มีผิด ในจริงมีเท็จ ในเท็จมีจริง ผสมกลมกลืนอยู่ สุดแท้แต่ใครจะมีภูมิปัญญาอยู่ในทางใด อยู่ในโลกีย์หรืออยู่ในโลกุตระอันเป็นทางคู่ขนาน ทางหนึ่งพบแต่ความทุกข์เดือดร้อนตลอดเวลา อีกทางหนึ่งดับทุกข์พบสุขตลอด เรียกว่าทางแห่งความทุกข์ยากกับทางแห่งความสงบสุข จงเลือกเดินเอาเอง สร้างเอาเอง คิดเอาเอง นึกเอาเอง แสวงหาเอา จะเอาแบบไหน ได้กับตัวเราทั้งสิ้น

จงพิจารณาธรรมในธรรม ธรรมคือธรรมชาติ กิจทั้งมวลในจิตล้วนเป็นธรรมทั้งสิ้น ได้แก่ จิต อารมณ์ ล้วนเป็นธรรมที่บังเกิดในจิต ทั้งดีและร้าย คือการพิจารณาสภาวะแห่งความเป็นจริง ทำให้จิตมีสมาธิ สร้างสติสัมปชัญญะ

อะไรเกิดในจิต สติต้องรู้ สัมปชัญญะต้องพิจารณา ธรรมทั้งหลายซ่อนอยู่ในจิต ความสำเร็จทั้งหลายซ่อนอยู่ในความสำเร็จ ความไม่สำเร็จซ่อนอยู่ในความไม่สำเร็จ ความไม่สำเร็จซ่อนความสำเร็จเอาไว้ตลอดเวลา ค้นให้เจอ หาให้พบ นั่นคือ เราพิจารณาจิตในจิตของตัวเรา และสภาวะธรรมชาติของจิตให้ถ่องแท้

ให้พิจารณาว่ามันเป็นอย่างไร ภาวะของจิตเรานั้นเกิดอะไรขึ้น ค้นหาอกุศลและกุศลที่เกิดอยู่ภายในจิต ค้นให้พบ พิจารณาให้ได้ แล้วสิ่งใดต้องแก้ไข ก็ต้องทำการแก้ไข สิ่งใดไม่ต้องการแก้ไขก็รักษาประพฤติให้ได้ เราชำระจิตของเราให้ได้ อย่าชำระจิตของผู้อื่น จิตใครจิตมัน อย่ามัวห่วงผู้อื่น ให้ห่วงตัวเราเองก่อน แม้จิตของเรายังชำระได้ยากอยู่แล้ว หากเราคิดชำระจิตของผู้อื่นยิ่งยากลำบาก ยิ่งคนหมู่มากยิ่งยากเป็นทวีคูณ

แต่ถ้าทุกคนช่วยกันแก้ ไม่ยากเลยในการจะแก้ไขปัญหาภายในจิต ถ้าทุกคนช่วยกันแก้นิสัยของตนเอง ก็จะเป็นการสร้างชีวิตให้มีรากฐานที่ดี ก็หมายความว่า เราต้องมีความมั่นคงในดวงจิต ความมั่นคงจะมาบังเกิดอยู่ได้ ก็ต่อเมื่อมีสมาธิที่แน่นหนาไม่หวั่นไหว เสมือนบ้านที่มีรากฐานมั่นคง แม้จะมีอะไรมากระทบ บ้านก็ไม่สั่น บ้านก็ไม่คลอน จิตก็เช่นกัน ไม่หวั่นไหว จงสร้างรากฐานของจิตให้มั่นคง ทำทาน ศีล ภาวนา สำรวมกาย วาจา ใจ เจริญสมาธิ ให้บังเกิดสติสัมปชัญญะให้สถิตอยู่ในจิตตลอดเวลา

บุคคลที่ได้ออกปฏิบัติร่วมกันที่สมควรจะเอ่ยนาม
๑. นายอภิรัฐ ปานเทพอินทร์
๒. นายอภิวรรธน์ สงวนงาม
๓. นายบัญญัติ แสงประเสริฐ
๔. นางสาวศศมน ยงยุทธ

สุดท้ายนี้ ขอขอบพระคุณ ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกท่านในการจัดทำหนังสือเล่มนี้ ให้สำเร็จลุล่วงไปด้วยดี เพื่อเป็นธรรมทาน ขออำนาจคุณพระรัตนตรัยและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย จงอภิบาลประทานพรให้ท่านพบสัมมามรรคา เดินตามรอยพระพุทธองค์สู่นิพพาน ขออนุโมทนาผลบุญกุศลนี้โดยถ้วนหน้ากันทุกท่าน เทอญ

(นายฐานุพงศ์ สิรสุขสวัสดิ์)
ผู้ตรวจราชการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา
บันทึกการเข้า
kittanan_2589
.กลุ่มผู้มีน้ำใจงาม.
member
*

คะแนน630
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2363


NightBaron


เว็บไซต์
« ตอบ #47 เมื่อ: ธันวาคม 31, 2010, 07:34:23 AM »

บทนำ
ธรรมสาสน์บอกกล่าวเตือนสติ


ข้อเขียนของข้าพเจ้าได้เขียนจากประสบการณ์ส่วนตัว มีความมุ่งหมาย ดังนี้

๑. ไม่มีเจตนาจะโอ้อวดหรือแอบอ้าง เพื่อประโยชน์ของตนเองแต่อย่างใดทั้งสิ้น เป็นการแสดงผลของวิบากกรรมเท่านั้น เนื้อหาสาระไม่เกินจากความเป็นจริง มีแต่ขาด เพราะส่วนที่ไม่บังควรก็จะไม่เขียนไว้ จะบอกกล่าวเฉพาะส่วนที่เป็นประโยชน์ที่ได้พบเห็นจริง ได้พิสูจน์แล้ว และสมควรรู้เท่านั้น

๒. ขอให้อ่านคำนำให้จบก่อนจึงอ่านเนื้อความจาก “อัศจรรย์โลกใบนี้” เมื่ออ่านแล้ว “อย่าเชื่อ” อย่างสุดโต่ง (หมดใจ) จะทำให้ลุ่มหลงและอย่า “ไม่เชื่อ” อย่างสุดโต่ง (หมดใจ) จะทำให้ตำหนิติติง กลายเป็นวิบากกรรมและเสียโอกาสในการรับรู้

๓. ขอให้ท่านผู้อ่านใช้วิจารณญาณ พิจารณาอย่างเป็นกลาง เก็บส่วนที่เป็นประโยชน์ ละส่วนที่ไม่เกิดประโยชน์

๔. ขอให้ทำจิตเป็นอิสระมีเสรีภาพเป็นของตนเองก่อนจึงอ่าน แล้วมีความเป็นกลางไม่ปรุงแต่ง หรือมีจิตวิจารณ์ก่อนการพิสูจน์

๕. ข้าพเจ้า “ขอท้า” ทุกท่านที่สงสัยในข้อเขียนนี้ได้ “พิสูจน์” แต่ ให้พิสูจน์ด้วยตนเอง ให้เห็นด้วยตนเอง ให้รู้ด้วยตนเอง ด้วยการตั้งมั่นที่จะรู้ แล้วลงมือเจริญกรรมฐาน ทำให้ศีลบริสุทธิ์ ให้เกิดสมาธิจิตที่เป็น “สัมมาสมาธิ” จนบังเกิดฌาน(ที่ตั้งแห่งความสงบเพื่อการหยั่งรู้) ได้ญาณ(การ หยั่งรู้) แล้วท่านจะพบความจริงที่อยากรู้ ข้อเขียนของข้าพเจ้าเป็นเพียงแนวทาง ให้ผู้อยากรู้ได้พิสูจน์ด้วยตนเองเท่านั้น ท่านอย่ามัวสงสัยอยู่เลย เอาตัวเอาใจเข้าไปสิ จะพบกับความจริง

๖. ข้อเขียนนี้ถือเป็นปัจจัย เพื่อนำไปสู่ข้อเขียนที่ข้าพเจ้ากำลังลงมือบันทึก เรื่องการสร้างฌานหรือคู่มือการสร้างพลังอำนาจจิต เพื่อสร้างพลังอำนาจจิต อันเป็นปัจจัยแห่งความสุขของชีวิต เป็นการบอกกล่าวว่า ทำไมข้าพเจ้าจึงสนใจศึกษาด้วยเหตุผลอะไร มีแรงดลใจมาจากไหน มีผลอย่างไร จากการเจริญกรรมฐาน

๗. ข้อเขียนของข้าพเจ้าไม่ต้องการให้ใครมาหลงงมงาย เพียงแต่บอกกล่าว อย่าหลงผิดคิดว่า โลกใบนี้มีแต่สิ่งที่เรารู้ แต่มีอีกมากที่เราไม่รู้ “ในที่นี้ไม่มีใครเป็นผู้วิเศษ หลักธรรมคำสอนของพระพุทธองค์เท่านั้นเป็นของวิเศษ หากใครปฏิบัติให้เข้าถึงกฎธรรมชาติ” แม้แต่ตัวของข้าพเจ้า ก็เป็นคนธรรมดาคนหนึ่งเหมือนทุก ๆ คน เพียงแต่ได้โคจรไปพบความเร้นลับเพียงบางส่วนบนโลกใบนี้ ยังมีอีกมากที่ยังไม่ได้พบ

เหมือนนักวิทยาศาสตร์กำลังทดลองค้นคว้า ที่พบมีเพียงน้อยนิด ยังมีอีกมากมายที่ต้องค้นต่อ เราอย่ารู้แต่ภาษาโลก เราควรรู้ภาษาใจด้วย ภาษาใจคือภาษาธรรม

๘. อย่าทุกข์กับการอ่านเรื่องราว อย่าหยุดอ่านกลางคัน ฝืนอ่านให้จบ จะพบความจริง พบสุข เมื่อพิจารณาส่วนที่เป็นประโยชน์ นำไปปฏิบัติ ทดลอง แก้ไขภาวะจิตของตนเองด้วยตนเอง ถ้าจะถามว่าจริงหรือ ? ต้องตอบว่าลองดูสิ ! แต่ละประโยคในแต่ละหน้า มีความหมายที่สำคัญ จงพิจารณาให้เข้าใจถ่องแท้ จดจำ นำเป็นแนวทางในการฝึกอบรมจิต
บันทึกการเข้า
kittanan_2589
.กลุ่มผู้มีน้ำใจงาม.
member
*

คะแนน630
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2363


NightBaron


เว็บไซต์
« ตอบ #48 เมื่อ: ธันวาคม 31, 2010, 07:35:05 AM »

โลกใบนี้

เป็นพิภพที่เป็นแหล่งกำเนิดสัตว์ที่มา เวียนว่ายตายเกิดอยู่ในวัฏฏะ เป็นที่อยู่ของสิ่งมีชีวิตหลายแสนชนิด ที่มีนาม รูป และยังเป็นที่สถิตของนามรูปละเอียด เป็นมิติเร้นลับ บุคคลธรรมดาเข้าไม่ถึง สัมผัสไม่ได้ เรียกว่าพิภพของโอปปาติกะวิญญาณ ซึ่งอยู่ปะปนกันในโลกนี้

เป็นโลกที่ดีที่สุด เป็นสถานที่ก่อให้บังเกิดมหาบุรุษเอกของโลก พระองค์แล้วพระองค์เล่า คือ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทั้งบังเกิดอริยบุคคล อริยสงฆ์เป็นจำนวนมาก บังเกิดนักปราชญ์ราชบัณฑิตอีกเหลือคณานับ พร้อม ๆ กับเกิดคนพาลสันดานหยาบ คนถ่อยทรชนอีกมหาศาลสืบต่อกันมา ไม่มีสิ้นสุด

เป็นดินแดนที่เพาะเมล็ดพันธุ์ของสัตว์โลกทั้งดีชั่วอยู่ปะปนกัน เป็นเครื่องคานอำนาจต่อกัน ตามโอกาสแล้วแต่บุญกุศลของแต่ละบุคคล หรือที่เรียกว่า ตามวิบากกรรม ที่ทำมาแต่อดีตเป็นเครื่องกำหนดวิถีชีวิตของแต่ละบุคคล

ยุคใดมีผู้มีบุญวาสนามาปฏิสนธิ มีอำนาจ บ้านเมืองจะสงบร่มเย็น ทวยราษฏร์มีสันติสุขกันทั่วหน้า การปกครองบ้านเมืองจะอยู่ด้วยคุณธรรม

ยุคใดไม่มีผู้มีบุญวาสนามามีอำนาจ ยุคนั้นจะบังเกิดทุกข์ยากกันทุกหย่อมหญ้า ประชาราษฏร์เศร้าหมอง เต็มไปด้วยความทุกข์ แก่งแย่ง ชิงดีชิงเด่น มีความอำมหิต ประทุษร้ายต่อกัน ก็จะบังเกิดทุกข์ยากเย็นเข็ญใจ อยู่ร่วมกันด้วยความหวาดระแวง หวาดกลัว หาความสงบไม่ได้

สิ่งมีชีวิตแบ่งเป็นสองสถานะ คือ สิ่งมีชีวิตที่มีจิตวิญญาณเข้าครอง ได้แก่ สัตว์มนุษย์ สัตว์เดรัจฉานตัวเล็กตัวน้อย จากมองเห็นจนมองไม่เห็น กับสิ่งมีชีวิตที่ไม่มีจิตวิญญาณเข้าครอง ได้แก่ พืชพันธุ์ธัญญาหารทั้งมวล

โลกใบนี้ จึงสร้างทุกสิ่งทุกอย่างไว้ให้อย่างสมบูรณ์ และสมดุลย์ตามธรรมชาติในตัวของมัน เพื่อให้สัตว์โลกค้นหา ศึกษาค้นคว้า แสวงหาสังคมสันติ อย่างมีอิสระตามวิถีแห่งกรรม

ทุกคนเกิดมามีกรรมเป็นเครื่องพิพากษากำหนด ตามแรงแห่งกรรมจากอดีตในการเวียนว่ายตายเกิด ทุกคนจึงมีความเสมอภาคที่การเกิด แต่ต่างสภาพในการดำรงชีวิต มั่งมี ยากจน แตกต่างกันไป มีสุข มีทุกข์ในการดำรงชีวิต ผิดแผกแตกต่างกันโดยสิ้นเชิงตามวาระของกฎของกรรม

บ้างเกิดเป็นสัตว์ที่ประเสริฐ บ้างเกิดเป็นสัตว์ขั้นต่ำ สัตว์เล็กสัตว์น้อย ล้วนมาเกิดตามคำพิพากษาในกฎแห่งกรรมทั้งสิ้น ไม่ละเว้น เรียกว่ากรรมที่ได้กระทำมาทั้งกุศลและอกุศลมากำหนดสถานภาพ บอกความจริงในกฎของกรรม หรืออาจเรียกได้ว่า กรรมมาบอก กระแสกรรมทำให้เกิดสติสัมปชัญญะ รับรู้แก้ไข สำนึกผิดถูก แสวงหาความจริงแท้ ทรงชี้หนทางแห่งชีวิตที่ประเสริฐแก่สัตว์โลกที่อยู่ในโลกใบนี้มาแต่อดีต ซึ่งยังคงเป็นอมตะปรากฎอยู่จนถึงปัจจุบันและในอนาคต

ผู้ใดปฏิบัติได้ตรงตามธรรมชาติตามคำสอนผู้นั้นจะ พบความจริงแท้แน่นอน ไม่เปลี่ยนแปลง แต่ต้องกระทำด้วยตนเอง มิใช่จากคำบอกเล่า ใช้วิธีเข้าทดลอง พิสูจน์ ค้นหา จึงจะพบ จึงจะเห็นตามความเป็นจริงทุกประการ
บันทึกการเข้า
kittanan_2589
.กลุ่มผู้มีน้ำใจงาม.
member
*

คะแนน630
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2363


NightBaron


เว็บไซต์
« ตอบ #49 เมื่อ: ธันวาคม 31, 2010, 07:38:33 AM »

ข้าพเจ้าได้ปฏิสนธิมาในโลกใบนี้เช่น เดียวกับคนอื่น ๆ มีนามรูปหรือปฏิสนธิจิตวิญญาณ มีความรู้สึกนึกคิด มีความหิว มีความรู้สึกร้อนหนาว มีความทะยานอยาก มีชีวิตจิตใจ มีความเจ็บ มีความปวด มีความต้องการปัจจัยพื้นฐานเหมือนกับทุก ๆ คน ไม่มีอะไรแตกต่างกัน นอกจากกระแสแห่งกรรม ที่กำหนดให้ดำเนินไปตามที่กรรมกำหนด จึงต้องดำเนินชีวิตที่ทั้งสุขและทุกข์ สมหวัง ผิดหวัง เศร้าโศก เสียใจ ดีใจ ปะปนกันไป เฉกเช่นทุก ๆ คน แต่หนักเบาแตกต่างกันไป

ข้าพเจ้าได้เขียนเรื่องชีวิตของข้าพเจ้า ไม่ใช่โอ้อวด ทะนงตนหรืออวดอ้าง ยกตนข่มผู้อื่นก็หาไม่ เพียงแต่จะบอกกล่าว เตือนตน กันลืมในประสบการณ์ที่ประสบพบเห็นมา ท่านที่ได้อ่าน โปรดทำใจให้เป็นกลาง อย่าเชื่อหรือไม่เชื่อ อย่าตำหนิให้เป็นวิบากกรรม เรื่องนี้บังเกิดเฉพาะตน ทุกคนมีประสบการณ์ที่มีความแตกต่างกัน เหมือนกันเพียงบางส่วน ขอให้ท่านจงใช้สติปัญญาพิจารณาเนื้อความเหล่านี้ ก็อาจจะเกิดประโยชน์กับท่านอยู่บ้าง

อาจทำให้ท่านที่ได้อ่าน เกิดแรงบันดาลใจให้ได้ศึกษาทดลอง เพื่อความกระจ่างสว่างในจิตใจ อาจเป็นเหตุที่ทำให้ค้นพบความจริงในชีวิตของตนเอง ค้นพบตนเอง ข้าพเจ้าได้เขียนขึ้นมาด้วยแรงบันดาลใจจากการรำพึงในจิตสำนึกที่อยากรู้ว่า

“โอ้..เราเป็นใครหนอ? เรามาจากไหนหนอ? มาทำไมหนอ? มาทำอะไรหนอ? มาเพื่ออะไรหนอ? แล้วเราจะไปไหนหนอ? จะไปอย่างไรหนอ?"


โอ้ อนิจจัง! ชีวิตไม่เที่ยงหนอ
โอ้ ทุกขัง! ชีวิตนี้มีแต่ทุกข์หนอ
โอ้ อนัตตา! ชีวิตไม่มีตัว ไม่มีตนหนอ

ข้าพเจ้าขอเน้นไว้ ณ ที่นี้อีกครั้งว่า ท่านที่ได้พบ ได้อ่าน จะโดยจงใจหรือด้วยความบังเอิญ หรือด้วยกระแสอันใดก็ตาม ขอให้ท่านอย่าเชื่อจนสุดโต่ง เพราะจะทำให้ลุ่มหลงในสิ่งที่ท่านมิได้พบเห็น หรืออาจกล่าวได้ว่า ท่านไม่อาจกลับมาจากสถานที่ที่ท่านมิได้ไป ท่านจะไม่รู้จริงแท้ในสิ่งที่ท่านไม่ได้พบเห็นด้วยตนเอง แต่ท่านย่อมจะพบเห็นได้ หากท่านได้ปฏิบัติตามหลักคำสอนของพระพุทธองค์ ทำจิตใจให้เป็นกลาง ลงมือทดลอง ความจริงก็จะค่อย ๆ ปรากฏ

หากท่านปฏิเสธตั้งแต่ต้น ท่านจะเสียโอกาสอันงามที่จะได้พบความจริงทั้งมวล และทำให้ชีวิตนี้ ท่านจะมีแต่ “วิจิกิจฉา” คือ ความลังเลสงสัยอยู่เป็นเนืองนิตย์ตลอดไป และท่านจงอย่าได้ปฏิเสธจนสุดโต่ง เพราะจะทำให้ท่านไม่ได้คิดศึกษาทดลอง ได้เพียงแต่คิดว่าไม่จริง ๆ งมงาย ๆ แล้ว ตำหนิติติงจนเกิดวิบากกรรมเป็นอกุศลวิบาก เป็นโทษ มีความขัดแย้งในจิต เป็นทุกข์กับสิ่งที่ไม่สมควรนำมาเป็นทุกข์

เมื่อสงสัย บัณฑิตย่อมต้องศึกษา ค้นคว้าหาความจริง ตามแนวทางที่ถูกต้อง ทดลองด้วยการเอาชีวิตทั้งชีวิต คือ เอาทั้งกายและใจเข้าทดลองเสียก่อน ถ้าทำไม่ได้จริง ๆ จึงค่อยปฏิเสธ ข้าพเจ้าจะเขียนเฉพาะที่ข้าพเจ้าพบเห็น และแม่ผู้ให้กำเนิดได้บอกเล่าบางส่วนเท่านั้น นอกจากนั้น มาจากประสบการณ์ของผู้อื่นที่ท่านได้บอกเล่า ตามที่ท่านทั้งหลายได้ศึกษา แต่ไม่ได้เขียนไว้ อาจ จะตรงกันหรือขัดแย้งกัน ย่อมเป็นสาระของแต่ละประสบการณ์ ย่อมไม่ถูก ย่อมไม่ผิด ขอท่านจงใช้ปัญญาพิจารณาเอาเองเถิด เพียงแต่ขอให้ท่านที่ได้อ่านแล้ว ยังคงประโยชน์ค้นหาความจริงเอาเองด้วยตัวของตัวเอง เท่านี้ก็เพียงพอต่อเจตนาของข้าพเจ้าแล้ว
บันทึกการเข้า
kittanan_2589
.กลุ่มผู้มีน้ำใจงาม.
member
*

คะแนน630
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2363


NightBaron


เว็บไซต์
« ตอบ #50 เมื่อ: ธันวาคม 31, 2010, 07:39:42 AM »

แม่เล่าว่า


แม่เป็นผู้หญิงชาวบ้านธรรมดาคนหนึ่ง เหมือนผู้หญิงทั่วไปที่ได้ปฏิสนธิขึ้นมาในโลกนี้ มีรูปร่างพร้อมจิตวิญญาณสามัญทั่วไปอย่างคนทั้งหลาย แม่ได้ปฏิสนธิในครรภ์ของผู้เป็นยาย และยายได้ใช้ผนังหน้าท้องรองรับทารกน้อยเพศหญิงอยู่ ๙ – ๑๐ เดือน จึงลืมตาดูโลก เห็นแสงสี มีการปรุงแต่งด้วยอายตนะทั้งภายในและภายนอก เจริญวัยตามปกติ

แม่เกิดในสกุลของคนจีนแต้จิ๋ว ที่เราเรียกท่านว่า “ก๋ง” และหญิงไทย (ยาย) ที่เราเรียกว่า “แม่เฒ่า” เกิดในตำบลเฉียงพร้า อำเภอบ้านนาสาร จังหวัดสุราษฏร์ธานี แม่เป็นลูกคนแรกในจำนวนพี่น้อง ๓ คน มีน้องเป็นเพศชายทั้งคู่ ก๋งเป็นเจ้าของเหมืองดีบุก แม่บอกว่า(เนื่องจากข้าพเจ้าเกิดไม่ทัน)....

ก๋งและแม่เฒ่าเป็นคนใจบุญ มีกงสีในเหมือง เลี้ยงชาวบ้านในละแวกนั้นทุกวัน หุงข้าวเป็นกระทะให้คนงานเหมือง ชาวบ้านคนใดที่ต้องการกินก็ไปกินได้โดยไม่ห้าม ในกงสีจะมีการทำบุญเลี้ยงพระทุกอาทิตย์ไม่ขาด ทั้งสองท่านจึงเป็นที่รักและเคารพของชาวบ้านโดยทั่วหน้า

ท่านเป็นคนใจบุญ มีน้ำใจโอบอ้อมอารีกับทุก ๆ คน กิจการเหมืองมีความเจริญด้วยดีมาตลอด ท่านได้เลี้ยงดูเด็กชายกำพร้าคนหนึ่ง ตั้งแต่เล็กจนโตด้วยความรักเหมือนลูกหลาน จะเห็นว่าข้าพเจ้าไม่เอ่ยนามในที่นี้ เพื่อจะได้ไม่เป็นวิบากต่อกันต่อท่านผู้อ่านทุกท่าน (เด็กคนนี้จะมีบทบาทต่อการเปลี่ยนแปลงในครอบครัวของข้าพเจ้าต่อไป)
บันทึกการเข้า
kittanan_2589
.กลุ่มผู้มีน้ำใจงาม.
member
*

คะแนน630
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2363


NightBaron


เว็บไซต์
« ตอบ #51 เมื่อ: ธันวาคม 31, 2010, 07:40:12 AM »

แม่ในวัยสาวเป็นคนสวยสง่างามกว่าหญิงชาว บ้านทั่วไป จึงเป็นที่หมายปองของบุรุษเพศทั้งหลาย แต่ก๋งกับแม่เฒ่าได้ตกลงให้แม่ได้แต่งงานกับชายจีนไหหลำเป็นช่างทอง ในที่สุดแม่ก็อยู่กับพ่อจนมีลูกทั้งสิ้น ๗ คน รวมทั้งข้าพเจ้าเป็นคนสุดท้อง แม่เล่าให้ข้าพเจ้าฟังว่า ในการปฏิสนธิของลูกทั้ง ๗ คน บางคนบังเกิดเหตุอัศจรรย์มาบอกกล่าวล่วงหน้า บางคนก็ไม่มี

พี่คนแรก ขณะที่แม่หลับไปได้มีเสียงผู้หญิงมาเรียกแม่ว่า “คุณหญิง ๆ ขอฝากเด็กผู้หญิงไว้ในครรภ์สักคนได้ไหม ?” แม่บอกว่าได้ “แต่มีข้อแม้ว่า เด็กคนนี้มีของคู่บารมีติดมาด้วย ให้เก็บรักษาไว้ให้ดี ไม่เช่นนั้น เด็กคนนี้จะอยู่ไม่ได้” แม่ก็รับปากรับคำ

จากนั้นแม่ก็ตั้งท้องอยู่เก้าเดือนเศษ วันหนึ่งขณะที่แม่ไปอาบน้ำที่บ่อน้ำแบบชาวบ้านอันเป็นกิจประจำวัน แม่เกิดปวดท้องขึ้นมา คลอดทารกเพศชายตัวเล็กมีอาการครบ ๓๒ ประการ ที่แปลกคือ ทารกน้อยมีท่อนบนเป็นสีเหลือง ท่อนล่างเป็นสีเขียวตัวเล็กมาก แม่ตกใจเลยเอากิ่งไม้ไปแตะตัวทารก ปรากฏว่าทารกน้อยใช้มือเกาะกิ่งไม้นั้น แม่เลยเอากิ่งไม้ปักไว้ที่ปากบ่อ (เป็นบ่อดินแบบโบราณ)

เมื่อแม่อาบน้ำเสร็จก็กลับบ้าน โดยลืมหยิบเอากิ่งไม้ที่มีเด็กทารกเกาะอยู่กลับไปด้วย เมื่อถึงบ้านพัก ก็เล่าให้แม่เฒ่า(ยายของข้าพเจ้า)ฟัง แม่เฒ่าบอกให้แม่รีบกลับไปเอามา แต่เมื่อแม่กลับไปที่บ่อน้ำก็ไม่พบทารกเพศชายเสียแล้ว คงเหลือแต่กิ่งไม้เท่านั้น

อีกสามวันต่อมา แม่ปวดท้องคลอดทารกหญิงที่มีผิวพรรณงดงาม เป็นที่ปลื้มปีติของทุกคน เป็นลูกคนแรก เป็นหลานคนแรกของครอบครัว จึงได้รับการดูแลเป็นอย่างดี อยู่มาเจ็ดวัน แม่ได้ยินเสียงเรียกจากผู้หญิงคนเดิมว่า “คุณหญิง ๆ ! จะเอาลูกที่เกิดมากลับไปแล้ว ให้ของดีคู่บุญ(ทารกเพศชาย)มาแล้วเอาไว้ไม่ได้ ขอเอากลับไปก่อน” แม้ว่าแม่จะขอร้องประการใด ตลอดจนรับผิดก็แล้ว แต่ก็ไม่ได้รับความยินยอม พี่ของข้าพเจ้าเสียชีวิตในวันรุ่งขึ้น จึงเป็นที่เศร้าโศกเสียใจกับทุกคน ทารกเพศชายที่หายไปนั้น เรียกกันว่า “ลูกกรอกคู่บารมี"
บันทึกการเข้า
kittanan_2589
.กลุ่มผู้มีน้ำใจงาม.
member
*

คะแนน630
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2363


NightBaron


เว็บไซต์
« ตอบ #52 เมื่อ: ธันวาคม 31, 2010, 07:40:45 AM »

พี่คนที่สองก็ เช่นกัน ขณะที่แม่นอนอยู่ก็มีเสียงผู้หญิงมาเรียกเช่นเดิม “คุณหญิง ๆ ! จะขอฝากทารกชายไว้ในครรภ์ จะเอาไหม ?" แม่ตอบว่า "เอา" "แต่มีเงื่อนไขว่า จะมีของดีติดตัวมา เก็บไว้ให้ดี ไม่เช่นนั้นจะขอกลับเหมือนเดิม.." ตอนสิบเดือน แม่ปวดท้อง ได้คลอดทารกเพศชายหน้าตาดี ผิวพรรณงาม ใน ขณะที่ทารกเพศชายคลอดออกมาหรือที่เรียกว่าตกฟากนั้น ไก่ที่เลี้ยงไว้เกิดขันขึ้นพร้อม และได้ออกไข่มาฟองหนึ่ง ที่น่าประหลาดคือเป็นไข่ฟองใหญ่กว่าปกติ ไข่ไก่ฟองนั้นมีขนาดเท่าไข่ห่าน

*แต่ด้วยบุญหรือบาปอย่างไรก็สุดที่จะคาดคิด* ครบเจ็ดวัน ตามประเพณีจะต้องโกนผมไฟของเด็กชายผู้เป็นพี่ของข้าพเจ้า พ่อไม่ทราบเพราะแม่ไม่ได้บอกพ่อไว้ พ่อจึงเอาไข่ใบนั้นมาต้มทำการรับขวัญบุตรชาย เสร็จพิธีตกกลางคืนก็มีเหตุการณ์เช่นเดิม แม่ขอร้องด้วยความรักลูก จนได้รับความยินยอม หญิงผู้นั้นบอกว่า "เด็กจะลำบากทุกข์ยากจะเอาหรือไม่ ?" แม่ตอบว่า "เอา" พี่ชายคนโตจึงมีชีวิตอยู่ เป็นเด็กฉลาด แต่ตกทุกข์ยากแสนสาหัส จนกระทั่งจบชีวิตเมื่อไม่นานมานี้

พี่คนที่สาม คนที่สี่เป็นผู้หญิง พี่คนที่ห้าเป็นผู้ชาย ไม่มีอะไร เป็นไปตามปกติ มีชีวิตอยู่ทุกคน

พี่สาวคนที่หก เป็นพี่ที่ต่อจากข้าพเจ้า ก่อนจะปฏิสนธิลงครรภ์ คืนหนึ่งได้มีผู้หญิงมาเรียกแม่เช่นเดิม “คุณหญิง ! ขอฝากเด็กไว้ในครรภ์สักคนได้ไหม ?" แม่บอกว่า "ได้" ผู้หญิงท่านนั้นยื่นแหวนทองคำหัวเป็นพลอยประดับเพชรให้ แม่รับแหวนวงนั้นมาแต่กลับทำหลุดมือ หัวพลอยหลุดออกจากวงแหวน ผู้หญิงท่านนั้นจึงบอกว่า "เด็กอายุจะสั้นนะ อายุ ๓๕ ปีก็จะเสียชีวิต.."” แม่บอกว่าไม่เป็นไร พี่สาวมีอายุ ครบ ๓๕ ปีก็เสียชีวิตจริงตามที่บอกไว้ พี่คนนี้สวยน่ารัก มีจิตใจงดงาม เสียสละ เป็นที่พึ่งให้กับพี่ ๆ น้อง ๆ ทุกคนจนกระทั่งเสียชีวิต
บันทึกการเข้า
kittanan_2589
.กลุ่มผู้มีน้ำใจงาม.
member
*

คะแนน630
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2363


NightBaron


เว็บไซต์
« ตอบ #53 เมื่อ: ธันวาคม 31, 2010, 07:41:22 AM »

คนที่เจ็ดคือตัวข้าพเจ้า คืนหนึ่งมีผู้หญิงมาเรียกแม่เช่นเดิม "คุณหญิง ! จะฝากเด็กชายให้จุติลงครรภ์สักคนได้ไหม ?" แม่ตอบด้วยความดีใจว่า "ได้" ผู้หญิงท่านนั้นก็หยิบลูกแก้วใส ส่องประกายสว่าง ยื่นมาให้แม่ แม่ยื่นมือไปรับ แต่ผู้หญิงท่านนั้น ยังไม่มอบให้ บอกให้ "ไปเอาพานทองพร้อมด้วยผ้าขาวมาปูพานเสียก่อน" แม่ได้ยินเช่นนั้นก็ไปหาพานทองมา แต่กลับหาผ้าขาวมาปูรองพานไม่ได้ ได้แต่ผ้าขนหนูสีเหลืองผืนเล็กที่ยังไม่ได้ใช้ แม่ถามว่า "ผ้าขาวไม่มีจะใช้ได้ไหม ?" มีคำตอบว่า "ใช้ได้ แต่เกิดมาจะลำบากนะ จะเอาไหม ?" "เขามาบำเพ็ญบารมี"

แม่ตอบว่า "เอา" พร้อมยื่นพานไปรับลูกแก้วลูกนั้น แต่ผู้หญิงท่านนั้นก็ยังไม่วางลูกแก้ว ได้บอกแม่ต่อไปว่า "มีเงื่อนไขอีกข้อหนึ่งคือ ขอเพียงฝากไว้ในครรภ์ เมื่อจุติแล้วจะมาเลี้ยงเอง คุณหญิงไม่ต้องให้ดื่มนมจากเต้าของคุณหญิงนะ" เมื่อแม่รับปากแล้ว ผู้หญิงท่านนั้นก็วางลูกแก้วลงในพาน แม่เลยถามว่า "แล้วจะเอาลูกแก้วไปวางไว้ที่ไหน ?" ได้รับคำตอบว่า "หน้าพระ" พร้อมชี้มือไปยังโต๊ะหมู่ที่วางพระพุทธรูป แม่ก็เอาไปวาง ก็มีแสงสว่างเจิดจ้าอยู่ที่หน้าพระ

จากนั้นแม่ก็ตั้งครรภ์ ๙ – ๑๐ เดือน ก็ได้จุติเด็กชายขาวสวย ผิวพรรณมีน้ำมีนวล มีราศี เป็นที่ยินดีแก่แม่ พ่อและพี่ ๆ เป็นอย่างยิ่ง ด้วยความรักที่มีต่อลูก ถึงเวลาแม่ก็ให้น้ำนมเพราะกลัวลูกหิว แม่ได้ลืมคำบอกกล่าวว่าอย่าให้นม ผู้หญิงท่านนั้นจะมาให้นมเอง เลี้ยงเอง

บันทึกการเข้า
kittanan_2589
.กลุ่มผู้มีน้ำใจงาม.
member
*

คะแนน630
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2363


NightBaron


เว็บไซต์
« ตอบ #54 เมื่อ: ธันวาคม 31, 2010, 07:41:51 AM »

แม่สองภพ

ข้าพเจ้ามีแม่สองภพ จะจริงหรือไม่ เป็นอย่างไรก็ตาม ได้บังเกิดกับข้าพเจ้าแล้ว โดยเหตุผลกลใดก็ตาม ปรากฏว่าน้ำนมจากเต้านมของแม่แห้งสนิท ต่างกับแม่ลูกอ่อนทั่วไปที่คลอดลูกใหม่ เต้านมจะเต่งตึงมีน้ำนมเต็มเต้า เพื่อให้ลูกได้ดื่มกินประทังความหิวโหย

แม่ไม่มีน้ำนมให้ข้าพเจ้าได้ดื่มกินแม้แต่หยดเดียว แม่บอกว่ามีอยู่สองสามหยดก็มีกลิ่นเหม็นบูด แต่ข้าพเจ้ามีชีวิตสมบูรณ์ตลอดหกเดือนก่อนให้อาหารหยาบได้ แม้แม่จะพยายามทุกวิถีทางจะให้อาหาร กลัวลูกตายเพราะไม่ได้กินนม จึงไปซื้อนมกระป๋อง (สมัยก่อน) นำมาชงใส่ขวดให้ดื่ม ข้าพเจ้าก็ไม่ยอมดื่ม

แต่ได้มีผู้หญิงผมยาวคนหนึ่ง ผิวขาว มีกลิ่นหอมกรุ่น สวยสง่างามมาก มาให้นมข้าพเจ้ากินจนครบหกเดือน เป็นนมที่หอมหวาน เด็กแรกเกิดจะรู้สึกรับรู้กลิ่นรสได้อย่างไร นี่แหละเป็นสิ่งที่น่าแปลก เหนือเหตุเหนือผล

ข้าพเจ้าเหมือนจำความได้ตั้งแต่เกิดและก่อนเกิด ตามปกติย่อมเป็นไปไม่ได้ แต่นี่คงเป็นเรื่องไม่ปกติธรรมดา จึงบังเกิดเหตุการณ์ประหลาดเช่นนี้กับตัวข้าพเจ้า ดวงวิญญาณที่มาฟูมฟักเลี้ยงดูข้าพเจ้า ตั้งแต่แรกเกิดจนเจริญวัย ไม่ได้ห่างกายข้าพเจ้าเลย คือ แม่ในภพก่อน ติดตามมาดูแลด้วยความรักความห่วงใย เฝ้าอบรม ให้กำลังใจยามท้อแท้ต่อชีวิต พร่ำสอนสั่ง บังคับให้อยู่ในเส้นทางปฏิบัติตามคำสั่งสอนขององค์พระผู้มีพระภาคเจ้า ไม่ให้ออกนอกเส้นทาง แม้จะลำบากแค่ไหนก็ตาม มาตอนหลังข้าพเจ้าจึงทราบว่า ผู้หญิงท่านนั้นที่เลี้ยงดูข้าพเจ้าคือ สมเด็จพระเทพมารดรนามว่า “พระแม่อทิติ” หรือ “อทิติพระเทพมารดร” พระมารดาแห่งองค์เทพทั้งมวล

ข้าพเจ้าจึงมีแม่สองภพ คือ แม่ในภพปัจจุบันและแม่ในภพอดีตที่ตามมาเลี้ยงดู ข้าพเจ้านับเป็นผู้พอจะมีบุญวาสนาอยู่บ้าง ที่เกิดมาแล้วมีเทวดาชุบเลี้ยง ซึ่งจะเป็นคำตอบส่วนหนึ่ง และต้องค้นหาต่อไปอีก จากคำรำพึงของข้าพเจ้าที่ว่า ข้าพเจ้าเป็นใคร ? มาจากไหน ? มาทำไม ? แล้วจะไปไหนหนอ ?
บันทึกการเข้า
kittanan_2589
.กลุ่มผู้มีน้ำใจงาม.
member
*

คะแนน630
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2363


NightBaron


เว็บไซต์
« ตอบ #55 เมื่อ: ธันวาคม 31, 2010, 07:42:27 AM »

แม่ตายไป ๕ วันแล้วฟื้น

ก่อนข้าพเจ้าจะมาปฏิสนธิในครรภ์ของแม่ หลังจากแม่ได้ให้กำเนิดพี่ ๆ สามคนแล้ว แม่ก็เจ็บออด ๆ แอด ๆ มาตลอด จนถึงวันหนึ่งแม่ได้เสียชีวิตลงอย่างกระทันหัน

แม่เป็นลูกผู้หญิงคนเดียวของครอบครัว จึงเป็นที่รักและหวงแหนของทุกคน ทำให้เกิดความเศร้าโศกเสียใจเป็นอย่างยิ่ง แม่ถูกผูกตราสังนำเข้านอนในโลง สมัยก่อนไม่มีการฉีดยาเพื่อกันไม่ให้ศพเน่าเหม็นเหมือนปัจจุบัน เพียงแต่ใช้ผ้าขาวห่อหุ้มร่างกายของแม่ แม่เฒ่า(ยาย) ทำใจยังไม่ได้ จึงไม่ให้ปิดฝาโลงศพ เพียงแต่ให้ใช้ผ้าขาวคลุมปากโลงเอาไว้ ได้ทำบุญสวดอภิธรรมตามประเพณี

*ในงานศพคืนที่ห้า ภายในโลงศพมีเสียงดังเหมือนการขยับตัวและเคาะโลง จึงทำให้หลายคนไปเปิดผ้าคลุมโลงศพดู ปรากฏเห็นแม่กำลังดิ้นเพราะมือถูกผูกตราสัง ตัวถูกห่อด้วยผ้าขาว เป็นที่ตกอกตกใจทั้งพระและผู้ช่วยงานเป็นอย่างยิ่ง เมื่อเห็นดังนั้น ทุกคนจึงช่วยกันแก้มัดและยกแม่ขึ้น นำร่างแม่ออกมาจากโลงศพ*

แม่ขอน้ำดื่มเพราะกระหายน้ำมาก เมื่อแม่ได้ดื่มน้ำแล้ว จึงถามว่าพระท่านมาทำอะไร ? คนมากันมากมายเพื่อมาทำอะไร ? ทุกคนตอบว่ามางานศพ แม่ถามว่าศพของใคร แม่ได้รับคำตอบว่าศพของแม่ แม่จึงร้องไห้เป็นที่น่าเวทนา ทุกคนพากันปีติยินดีที่แม่ฟื้นขึ้นมา
บันทึกการเข้า
kittanan_2589
.กลุ่มผู้มีน้ำใจงาม.
member
*

คะแนน630
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2363


NightBaron


เว็บไซต์
« ตอบ #56 เมื่อ: ธันวาคม 31, 2010, 07:44:48 AM »

แม่เล่าว่าแม่นอนหลับไป มีคนเอาวอมารับ (วอ คือ คานหาม) มีเครื่องดนตรีดีดสีตีเป่า มีคน ๔ คนหามวอ พวกเขาให้แม่ขึ้นไปนั่ง คนเหล่านั้นแต่งตัวสวย แม่ถามว่าจะพาไปไหน ก็ไม่มีใครให้คำตอบ ต่างพาเดินไปเรื่อย ๆ พร้อมเครื่องมโหรีตีนำ แม่บอกว่า แม่รู้สึกเหมือนเป็นเจ้าหญิงอย่างนั้น

เมื่อพาเดินไปถึงที่แห่งหนึ่งเป็นแม่น้ำ มีไม้กลม ๆ พาดทอดข้ามฝั่ง คนหามจึงให้แม่ลง คนหามข้ามกันหมดแล้ว แต่แม่ข้ามไม่ได้ พอเหยียบไม้ที่ทอดข้ามฝั่ง ไม้ก็จะหมุนอยู่ตลอดเวลา จนคนที่ข้ามไปแล้วต้องมาช่วยกันประคองข้ามไปจนได้ ก็ขึ้นวอเดินทางไปเรื่อย ๆ สองข้างทางสวย จนเพลิดเพลินกับการเดินทาง ถึงไหนไม่อาจรู้ได้

ไปถึงสถานที่แห่งหนึ่ง มีคนนั่งอยู่มากมาย รู้จักบ้าง ไม่รู้จักบ้าง ทักทาย ถามไถ่ ก็ไม่มีใครพูดด้วย ทำเหมือนไม่ได้ยิน ต่างคนต่างอยู่กับการกินอาหารของตน จัดเป็นสำรับ ๆ เฉพาะตน แม่รู้สึกหิว ไปขอคนรู้จักกิน แต่ก็กินไม่ได้ จับไม่ได้ มันร้อน ผู้ที่นำแม่มาบอกว่า *"เป็นของคนอื่น กินไม่ได้ เพราะเป็นของที่เขาเคยทำบุญไว้* เขาได้ทำบุญกุศลกับสมณะชีพราหมณ์ ทำทานกับคนตกทุกข์ได้ยากมาเมื่อมีชีวิต" คนพวกนั้นบอก แล้วชี้ให้แม่ไปกินส่วนที่เป็นของแม่ แม่เดินไปเห็นมีแต่น้ำขันเดียว แม่จึงถามว่า "ทำไมมีแต่น้ำขันเดียว" คนนำแม่มาบอกว่า "เพราะตอนที่อยู่ในโลกมนุษย์เมื่อยังไม่ตาย ไม่เคยทำบุญด้วยตนเอง มีแต่คนอื่นทำให้ทั้งสิ้น เราเคยถวายน้ำให้พระเดินทางมาขอดื่ม ๑ ขัน จึงมีแค่นี้" "เราตายแล้วไม่รู้หรือ?" แม่เถียงว่าไม่จริงแม่ยังไม่ตาย ใจหนึ่ง แม่ก็คิดว่าเราตายแล้วจริง ๆ

เมื่อได้ดื่มน้ำ ๑ ขันแก้กระหายแล้ว คนที่นำแม่มาก็พาแม่ไปพบคน ๆ หนึ่ง แต่งตัวแปลก มีคนนั่งอยู่ข้าง ๆ ที่นั่งเป็นบัลลังก์ มารู้ภายหลังว่าเป็นยมบาล ผู้ตัดสินความเมื่อตายจากโลกมนุษย์ ชายผู้นั้นถามชื่อ นามสกุล แม่บอกชื่อสกุลแล้ว ชายผู้นั้นหันไปถามชายผู้ที่นั่งอยู่ทางขวามือให้ตรวจดูรายชื่อ ชายผู้นั้นได้ตรวจดูรายชื่อไม่พบในบัญชีตาย ยมบาลบอกว่าเอาตัวผิดมา จึงสั่งให้รีบเอาแม่กลับมาส่งด่วน เดี๋ยวร่างถูกทำลายเสียก่อน

แล้วสั่งว่าให้ไปดูบัญชีตายของมนุษย์ ให้ดูคนที่รู้จักสามคนที่ต้องตายตามวัน เวลา สถานที่ และเหตุที่ตาย เดี๋ยวจะไม่เชื่อว่าได้ลงมาในยมโลกซึ่งเป็นที่ตัดสินผลกรรมของมนุษย์ ก่อนส่งวิญญาณไปสู่ภูมิของกรรมที่ได้ทำมา แม่ได้ดูชื่อคนที่จะต้องตายในไม่นานนี้สามคน (ขอไม่เอ่ยชื่อให้เป็นวิบากกรรม) จากนั้นมีคนนำทางพาแม่ ไปดูคนที่ทำกรรมชั่ว ที่ได้รับการทรมานเพราะผลของการกระทำ แม่บอกว่ามันน่ากลัว น่าเวทนา น่าสงสารยิ่ง ถูกทรมานต่าง ๆ กัน เป็นกลุ่ม ๆ เป็นเหล่า ๆ ตามผลของการกระทำชั่ว

คนทั้งสามได้ตายตามที่แม่ได้ดูจากบัญชีรายชื่อทุกคน ทั้ง ๆ ที่แม่ได้บอกกับเจ้าตัว ลูกหลานให้ระวัง แต่กฎแห่งกรรมไม่มีใครอาจหลีกเลี่ยงได้ ทั้งไม่ปรานีใคร จากนั้นมาแม่เป็นผู้กลัวบาป แม่จะไม่กระทำกรรมชั่ว แม่ถือศีลทำแต่กรรมดี ทำบุญ ทำแต่ความดีตลอดจนสิ้นชีวิตของแม่ แม่เป็นคนกลัวบาป แม่จะสอนอยู่เสมอ เล่าให้ลูก ๆ ฟังตลอดเวลา เพราะแม่ไม่ต้องการให้ลูกของแม่เป็นอย่างที่แม่ได้เห็น ข้าพเจ้าเขียนเล่าเรื่องนี้จากคำบอกเล่าของแม่ เพื่อเตือนสติแก่ผู้คิดประพฤติทำกรรมชั่ว ผู้ที่ไม่กลัวบาป
บันทึกการเข้า
kittanan_2589
.กลุ่มผู้มีน้ำใจงาม.
member
*

คะแนน630
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2363


NightBaron


เว็บไซต์
« ตอบ #57 เมื่อ: ธันวาคม 31, 2010, 07:45:23 AM »

วิบากกรรมของครอบครัว

ก่อนข้าพเจ้าเกิดลืมตาดูโลก ข้าพเจ้าได้กล่าวมาแล้วแต่ข้างต้นว่า ครอบครัวของข้าพเจ้าอยู่ในฐานะดี แต่ด้วยบาปเคราะห์ของคนในครอบครัว ที่ได้กระทำมาจากอดีตชาติหนไหนไม่อาจรู้ได้ มาดลจิตดลใจให้ก๋งเกิดความเบื่อหน่ายในธุรกิจเหมืองแร่ จึงคิดขายเหมือง แล้วอพยพครอบครัวเข้ากรุงเทพฯ

เมื่อตกลงกันแล้วจึงขายเหมือง เมื่อดำเนินการขายสิ้นสุด รับเงินค่าเหมืองแร่เสร็จ ได้แบ่งที่ดินจำนวน ๗๐ ไร่ให้กับเด็กผู้ชายที่เลี้ยงไว้เหมือนลูกหลาน เพราะกลัวจะทุกข์ยากลำบาก แบ่งสมบัติเป็นที่เรียบร้อย ตกกลางคืนวันนั้น เด็กคนนี้ได้นำพรรคพวกมาปล้นเอาเงินที่ขายเหมืองไปหมดสิ้น ทำให้สิ้นเนื้อประดาตัว ก๋งเสียใจมาก ตรอมใจจนเสียชีวิตหลังจากนั้น ๗ วัน

ครอบครัวต้องเสียหัวเรือหลัก ระส่ำระสายทำอะไรไม่ถูก หลังจากจัดงานศพของก๋งเสร็จสิ้น แม้ที่ดินจะฝังร่างตามประเพณีก็ไม่มี จึงต้องเผาตามประเพณีไทยในที่สุด เป็นที่สงสัยว่า ตอนต้นได้เกริ่นไว้ว่า ก๋งเป็นผู้มีใจบุญสุนทาน สร้างกุศลไว้มากมาย เป็นผู้มีน้ำใจอันประเสริฐ เป็นรากฐานอันดีให้กับทางญาติ ลูกหลาน ทั้งเป็นผู้มีฐานะมั่นคง ในการดำรงชีวิตชั่วลูกชั่วหลานก็ใช้ไม่หมด ทำไมจึงประสบเคราะห์กรรมเช่นนี้

ได้เขียนยกเรื่องนี้ขึ้นมาเพื่อแสดงว่า กฎแห่งกรรมจากอดีตจนถึงปัจจุบัน มีจริงตอบสนองจริง ตามกฎของการทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว อันเป็นสัจธรรม เป็นความจริงอันเที่ยงแท้แน่นอน ไม่ว่าจะเกิดในชาติภพใด ผลกรรมที่ได้กระทำมาในอดีต ก็จะตามมาแสดงตัวพิพากษาได้ในทุก ๆ ภพ ทุก ๆ ชาติ และมีความเที่ยงธรรม เที่ยงตรงเสมอ ไม่ยกเว้น แม้ในภพนี้จะทำแต่ดี แต่ในอเนกชาติอาจทำไม่ดีไว้ ในชาติปัจจุบันจึงต้องมาใช้หนี้กรรมนั้น ทุกผู้ทุกคนที่เวียนว่ายตายเกิด ไม่เลือกชั้นวรรณะ

ไม่เว้นแม้แต่ก๋งผู้ทำแต่กรรมดีในชาตินี้ เราจึงพึงสังวรไว้เสมอ เพื่อความไม่ประมาทในกรรม การกระทำทุกอย่างย่อมไม่มีวันเสื่อมสูญ ไม่สิ้นกระแส เมื่อมีการเวียนว่ายตายเกิดของสัตว์โลก จะเกิดในโลกใบนี้หรือโลกใบไหน ๆ ก็หนีไม่พ้น กรรมดี กรรมชั่ว ทำกรรมดีย่อมสุขสบายในทุกภพทุกชาติ ทำความชั่วย่อมได้รับทุกข์เช่นกัน เขียนบอกไว้เพื่อเตือนสติตนเองและผู้ได้พบอ่านว่า อย่าประมาท อย่าหลงผิดคิดชั่ว อย่าทรนงต่อกระแสกรรม
บันทึกการเข้า
หน้า: 1 [2] 3 4 5 6 ... 9   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป: