กระทู้ธรรม
หน้า: 1 2 3 4 5 [6] 7 8 9   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: กระทู้ธรรม  (อ่าน 155534 ครั้ง)
kittanan_2589
.กลุ่มผู้มีน้ำใจงาม.
member
*

คะแนน630
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2363


NightBaron


เว็บไซต์
« ตอบ #145 เมื่อ: ธันวาคม 31, 2010, 08:34:04 AM »

ข้าพเจ้าได้พบท่านอย่างไม่รู้ตัว คนอยากพบก็ไม่ได้พบ เดินทางไปแสวงหาก็ไม่พบ ส่วนข้าพเจ้าได้พบแต่ไม่รู้ อยู่ด้วยกันตั้ง ๑๑ วัน หลวงปู่ใช้อุบายอันแนบเนียนอบรมจิตของข้าพเจ้า สอนธรรม สอนปฏิบัติ เป็นอาจารย์ทางกรรมฐานต่อจากหลวงพ่อริม รัตนมุนี และตรงตามที่หลวงพ่อท่านบอกไว้ก่อนมรณภาพ ตอนนั้นเราไม่เอาใจใส่จดจำเองเท่านั้น

สาย ๆ ก็เดินลงจากเขา ข้าพเจ้าคิดว่าขาลงเขาคงจะง่าย แต่ความคิดนั้นผิดถนัด ลงเขาช่วงแรกสบายมาก แต่พอเดินไปได้ไม่ไกลนัก เริ่มปรากฏความไม่จริงตามที่ได้คิดไว้ มันเริ่มเมื่อย กำลังขาเริ่มอ่อนเพราะต้องพยุงตัวลงจากที่สูงชันตามขั้นบันไดแรงกระแทกทำให้ เข่าเริ่มเจ็บ ขาเริ่มสั่น มันเพิ่มเป็นทวีคูณเกือบลงไม่ถึงตีนเขา มันเจ็บระบมไปหมดโดยเฉพาะตรงหัวเข่า ถึงตีนเขาหลวงปู่ให้ศีลแล้วเดินหายไป เพื่อลดความข้องใจของท่านที่ได้อ่าน ท่านอาจถามอยู่ในใจว่า มีใครไปด้วย ไปรู้ ไปเห็นด้วย ขอเรียนว่าไม่มี ท่านไม่ให้ใครติดตาม

ข้อเขียน ได้ตัดตอนในส่วนที่ไม่จำเป็นอีกมากมาย ดังได้บอกกล่าวไว้แล้วว่ามีแต่ขาด ไม่เกินจากที่ได้พบเห็น จะ เห็นได้ว่าอุบายธรรมของท่านให้รู้ด้วยตนเองเพื่อสร้างกำลังใจให้ปฏิบัติ การเข้าปฏิบัติธรรมได้นั้นต้องมีศรัทธา มีวิริยะ มีสติ มีสมาธิ มีสัมปชัญญะ จึงจะนำความสำเร็จมาให้ ที่เรียกว่าต้องมีพละห้าประการนั่นเอง

จากนั้นมาข้าพเจ้าเอาจริงเอาจังกับการเจริญกรรมฐาน ศึกษาค้นคว้าหาความรู้ ความเข้าใจ ศึกษา จิตของตนเองตามคำบอกกล่าวของหลวงปู่และหลวงพ่อริม รัตนมุนี ต่อสู้กับอำนาจความเกียจคร้าน ความเจ็บปวดเมื่อยล้า ความง่วงเหงาหาวนอน ชนะบ้างแพ้บ้าง เห็นจิตของตนเองตะคอกตัวเองให้เลิกทำบ้าง ให้ไปหลับนอนยกเหตุผลต่าง ๆ นานามาบอกให้เลิก ให้อยู่สบาย ๆ ไม่เอา จะเห็นว่ากิเลสมารมาทำลายล้างความวิริยะของเรา ทำลายขันติ ทำลายความขยันมุ่งมั่นในความเพียรของเราให้หมดสิ้น เราจึงต้องสร้างขันติธรรมมาตั้งรับต่อสู้อยู่ตลอดเวลา
บันทึกการเข้า

kittanan_2589
.กลุ่มผู้มีน้ำใจงาม.
member
*

คะแนน630
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2363


NightBaron


เว็บไซต์
« ตอบ #146 เมื่อ: ธันวาคม 31, 2010, 08:34:43 AM »

อำนาจพลังจิต พิชิตโรคร้าย

ลงจากเขาวงพระจันทร์ จากการบำเพ็ญอย่างเอาจริงเอาจัง ทดลองคำสอนของหลวงปู่ในการสร้างพลังจิตให้บังเกิดจิตตานุภาพ ให้มีอิทธิฤทธิ์ ด้วยความอยากรู้ อยากเห็น ขอเรียนให้ท่านผู้อ่านได้พบอ่านได้ทราบว่า ความรู้ทั้งหลายที่ข้าพเจ้ารู้และท่านรู้ตามประสบการณ์ไม่ถูกไม่ผิด วันนี้อาจถูกและอาจไม่ถูกในอนาคต ขึ้นอยู่กับอุปาทานในสัญญาของแต่ละบุคคล ตลอดจนภูมิจิต ภูมิปัญญาในขณะนั้น วันนี้เราบอกว่าใช่ แต่พรุ่งนี้อาจจะบอกว่าไม่ใช่เสียแล้ว ทุกคนต้องตัดสินใจเอง ใครก็ตัดสินใจให้ไม่ได้ ใครตัดสินใจให้ก็จะเกิดความขัดแย้ง ความเป็นศัตรูก็จะเกิดขึ้น

ท่านทั้งหลายลองหลับตา นึกย้อนอดีตสัญญาความจำได้หมายรู้ทั้งหลาย ย้อนไปก็จะพบว่าท่านเคยยอมรับกับตนเองมาแล้ว หลายเรื่องที่เข้าใจผิดพลาด อย่างเช่นที่ข้าพเจ้าได้ประสบมาแล้ว หลวงพ่อ หลวงปู่จึงได้มาปราบพยศ แก้ความสำคัญผิดทั้งหลายในอารมณ์ในจิต ความยึดมั่นถือมั่นในสัญญาผิด ๆ เบื้องต้น เมื่อไม่รู้ก็บอกถูกต้องแล้ว แต่พอรู้สึกละเอียดขึ้น เห็นตามความเป็นจริงมากขึ้น เห็นกฎธรรมชาติมากขึ้น อาจเป็นเพราะจิตเข้มแข็งมากขึ้น มีสติสัมปชัญญะมากขึ้นกระมัง แต่ยังไม่สิ้นสุด
บันทึกการเข้า
kittanan_2589
.กลุ่มผู้มีน้ำใจงาม.
member
*

คะแนน630
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2363


NightBaron


เว็บไซต์
« ตอบ #147 เมื่อ: ธันวาคม 31, 2010, 08:35:07 AM »

หากจิตของเรายังถูกห่อหุ้มด้วยกิเลส ย่อมจะค้นพบความผิดในจิตของตัวเองได้ยากเพราะจิตไม่อิสระ พลังจิตก็จะเสื่อมพลังอำนาจ พลังอำนาจจิตก็จะถูกขวางกั้น เหมือนเมฆที่บดบังดวงจันทร์ แสงจันทร์ก็ไม่ส่องหล้า

การสร้างพลังจิตนั้นต้องสร้างภาวะจิต ให้จิตอิสระจากพันธนาการของกิเลสตัณหา สร้างองค์ฌานให้เกิดองค์ฌานอันบริสุทธิ์ จนจิตนั้นพ้นจากกามที่มาห่อหุ้ม *ต้อง สำรอกกิเลสออกจากจิตจนหมดสิ้น หมดจดอย่างแท้จริง เรื่องฌานนั้นข้าพเจ้าได้เขียนไว้ในวิธีเจริญฌานไว้แล้ว ซึ่งเขียนเป็นโครงสร้างง่าย ๆ อ่านง่าย ๆ ปฏิบัติได้ก็จะเกิดองค์ฌานในจิต แล้วทรงฌานให้ทรงอยู่โดยการสร้างวสีฌาน*

ในพุทธศักราช ๒๕๓๐ ข้าพเจ้าถูกย้ายให้ไปดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการวิทยาลัยพลศึกษาจังหวัด สมุทรสาคร ก็ได้เจริญจิตภาวนาจนสามารถใช้พลังจิตรักษาโรคร้ายต่าง ๆ ได้ โรคอะไรก็หายโดยเฉพาะโรคร้ายแรงอย่างเช่น มะเร็งต่าง ๆ ที่หมอก็รักษาไม่หาย ช่วงนั้นมีคนป่วยมากมายมารักษาจนเกือบไม่มีเวลาพักผ่อน จะทำการรักษาตอนกลางคืนเพราะไม่ให้เสียเวลาราชการ สนุกมาก ภูมิใจมากที่ช่วยเขาได้และก็ไม่ได้เอาอะไรใคร ทั้งยังต้องเลี้ยงอาหารเขาด้วย เงินเดือนไม่เหลือเลย ไม่พอใช้ต้องกู้มาใช้

ที่เล่าเรื่องนี้ เพื่อให้รู้ว่าจิตนั้นมีพลังอำนาจเหนือเหตุผลหากกำกับได้ แต่ขอเรียนว่าขณะนี้ไม่ได้รักษาให้ใคร เพราะผลของการกระทำครั้งนั้น มีผลกระทบต่อสุขภาพของข้าพเจ้าจนถึงปัจจุบันนี้ ทำให้สุขภาพของข้าพเจ้าทรุดโทรม เพราะไปทำผิดกฎแห่งกรรมเข้า พระพุทธองค์ทรงตรัสไว้เรื่องกฎแห่งกรรมว่า “บุคคลใดทำกรรมนั้นไม่ให้ศักดิ์สิทธิ์ บุคคลนั้นจะต้องชดใช้กรรมนั้น” เช่นกัน
บันทึกการเข้า
kittanan_2589
.กลุ่มผู้มีน้ำใจงาม.
member
*

คะแนน630
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2363


NightBaron


เว็บไซต์
« ตอบ #148 เมื่อ: ธันวาคม 31, 2010, 08:35:31 AM »

ข้าพเจ้าไปขวางกรรมของบุคคลอื่นไม่ให้เป็นไปตามกรรมที่บุคคลนั้นได้กระทำไว้ เราได้ใช้พลังอำนาจจิตบำบัดรักษาไปขวางกรรมนั้น ทำให้ไม่เป็นไปตามกฎแห่งกรรม เราจึงต้องชดใช้กรรมบางส่วน ทั้ง ๆ ที่ข้าพเจ้าพยายามแก้ด้วยการบำเพ็ญบารมี ทำบุญสืบทอดพระพุทธศาสนา ทำคุณงามความดี ทอดผ้าป่า ทำกฐิน สร้างอุโบสถ สร้างพระประธานในอุโบสถ เป็นต้น ก็เพียงทุเลาเท่านั้น กินยาอะไรก็ไม่ถูกกับโรคต้องใช้พลังจิตเข้ารักษาอยู่ตลอดเวลา

จึงขอเตือนไว้ให้เป็นข้อคิด เตือนสติตนเองไม่ให้หลงผิด สมควรใช้พลังจิตที่ฝึกได้ให้ถูกทาง ใช้บำบัดกิเลสของตนเองที่เป็นโรคร้ายเกาะกินใจเราให้เศร้าหมองอยู่ตลอดเวลา ใช้ เป็นพลังอำนาจควบคุมจิต อารมณ์ให้อยู่ในกุศล จิตที่มีอารมณ์แน่วแน่ คือ อารมณ์กุศลเรียกว่า การสร้างสัมมาสมาธิจิตนั่นเอง ทำได้แค่นี้อย่าคิดว่าเราเก่งแล้ว ไม่มีอะไรเลย กามตัณหา ความอยากได้ยังไม่จางเลย ภวตัณหาความอยากเป็น ยังไม่จางหาย วิภวตัณหาความไม่อยากได้ ก็ยังไม่จางไปจากจิตเช่นกัน ยังลุ่มหลงอยู่และจะเพิ่มมากขึ้นเสียด้วยซ้ำ เพราะทำให้จิตมันเหิมเกริม ทะเยอทะยาน ทะนงตน โอ้อวด ล้วนเป็นโทษแก่ตนเองทั้งสิ้น

หากไปติดยึดกับสิ่งเหล่านี้ ถ้าทำให้เขาไม่ได้ เขาก็ตำหนิ เหยียดหยามเรา ทำให้เราเสื่อมเสียในที่สุด ได้แล้ว รู้แล้ว สมควรละวาง แล้วเดินต่อไป ข้างหน้ามีอะไรอีกมาก ไม่ไปข้างหน้า มัวเมาติดอยู่ ก็ไปไม่ได้ อย่างที่เรียกว่า “มัวพายเรือวนอยู่ในอ่าง จะไปไหนได้”
บันทึกการเข้า
kittanan_2589
.กลุ่มผู้มีน้ำใจงาม.
member
*

คะแนน630
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2363


NightBaron


เว็บไซต์
« ตอบ #149 เมื่อ: ธันวาคม 31, 2010, 08:36:02 AM »

พระพุทธองค์จึงไม่สรรเสริญการ ใช้อิทธิฤทธิ์ พระองค์ท่านจะสรรเสริญการสร้างปัญญารู้เห็นมากกว่า พระองค์ท่านส่งเสริมให้ใช้ปัญญา มากกว่าการใช้ฤทธิ์ทั้งที่มีอยู่

*นักปฏิบัติจะ ต้องพบ จะต้องผ่านตรงนี้ทั้งนั้น เพราะในขั้นของสมถะกรรมฐานอันเป็นอุบายทำให้จิตสงบ จะต้องผ่านจุดนี้ก่อนที่จะถึงวิปัสสนากรรมฐาน วิปัสสนากรรมฐานเป็นอุบายให้เกิดปัญญากันทั้งนั้นไม่มีเว้น สมถะกรรมฐานเป็นฐานของวิปัสสนากรรมฐาน จึงต้องผ่านขั้นตอนของรูปฌานสี่ บังเกิดอิทธิฤทธิ์ ซึ่งส่วนใหญ่จะติดหลงอยู่ คิด ว่าได้แล้ว เก่งแล้ว ที่แท้แค่ตุ๊กตาเด็กเล่น ไม่เว้นแม้แต่ตัวข้าพเจ้าเอง กว่าจะเข้าใจและหลุดได้ จิตมันก็เกาะติด หลงเข้าใจผิดเรียกว่าติดวัตถุธรรม อวดศักดาไปเรื่อย ๆ ทะนงตน จิตอหังการจนบังคับไม่อยู่ หากไม่ละวาง ฌานจะค่อย ๆ เสื่อมจนเป็นปกติจิตในที่สุด*
บันทึกการเข้า
kittanan_2589
.กลุ่มผู้มีน้ำใจงาม.
member
*

คะแนน630
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2363


NightBaron


เว็บไซต์
« ตอบ #150 เมื่อ: ธันวาคม 31, 2010, 08:36:26 AM »

เข้าเมืองลับแลนคร

ในปีเดียวกัน ถูกคำสั่งย้ายไปอยู่ที่วิทยาลัยพลศึกษาจังหวัดชุมพร (อยู่จังหวัดสมุทรสาครได้ ๙ เดือน) อยู่จังหวัดชุมพรได้ผจญอะไรมากมายทั้งคน ทั้งวิญญาณ ต้องพบความทุกข์ยาก แต่ด้วยพลังของครูบาอาจารย์ได้ช่วยปัดเป่าให้ผ่านพ้นไปได้ เหมือนเอาเราไปฝึกจิตให้แข็งแกร่ง เรียนรู้อะไรอีกมากมาย

การปฏิบัติของข้าพเจ้าก็ยังมั่นคงอยู่ ครูบาอาจารย์ทุก ๆ รูป ทุก ๆ นามในอเนกชาติได้มาสอนวิชาให้ ได้มาฝึกอบรม สั่งสอนในสมาธิฌานให้รู้จักกำกับจิต ให้รู้จักเดินฌานให้เข้าใจในการขับเคลื่อนจิต ใกล้วิทยาลัยมีภูเขาอยู่ลูกหนึ่ง ชาวบ้านเรียกว่า “เขาขุนกระทิง” อยู่ติด ๆ กับถนนหน้าเขา มีวัดตั้งอยู่เรียกว่า "วัดขุนกระทิง"

เขาลูกนี้มีอะไรแปลก ๆ หินที่ย้อยลงมาจะเป็นรูปกระโหลกหน้าคน เมื่อมองขึ้นไปน่ากลัวมาก เคยมีบริษัทได้สัมปทานระเบิดหินจำหน่าย มีผู้ต่อต้านแต่ต่อต้านไม่ได้ บริษัทจึงทำการระเบิดหินจำหน่าย แต่ก็ทำให้บริษัทนี้พบความวิบัติล่มจม ครอบครัวพลัดพรากตายจากกันไป การค้าที่เคยรุ่งเรืองก็พบความยุ่งยาก ประสบความขาดทุน มีคดีความ จนล่มสลายในที่สุด
บันทึกการเข้า
kittanan_2589
.กลุ่มผู้มีน้ำใจงาม.
member
*

คะแนน630
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2363


NightBaron


เว็บไซต์
« ตอบ #151 เมื่อ: ธันวาคม 31, 2010, 08:36:52 AM »

มีอยู่ครั้งหนึ่ง คนงานขึ้นไปวางชนวนระเบิดอยู่ ๓ ถึง ๔ คน ขณะต่อสายชนวนอยู่นั้นประมาณ ๑๓ นาฬิกา แดดกำลังจ้าอยู่ ไม่มีเมฆฝน ท้องฟ้าสว่างหมดจด ไม่มีเค้าว่าฝนจะตก แต่เหตุเกิดขึ้นมาอย่างไรไม่คาดคิด มีสายฟ้าฟาดลงมาใส่ชนวนระเบิด ที่คนงานกำลังฝังลงในหินเพื่อระเบิดเอาหิน เกิดระเบิดขึ้นมาทำให้คนงานตายหมด จะเกิดจากอะไร? ขอให้ท่านผู้รู้พิจารณาเอาเอง ใช้วิจารณาญาณเอาเอง ข้าพเจ้าไม่กล้าพอที่จะบอก ไม่กล้าวิจารณ์ลงไป ขอเป็นความลับในโลกต่อไป ว่าเกิดอะไรขึ้น !!!

*ที่ด้านหน้าภูเขาลูก นี้ มีถ้ำไม่ใหญ่มากนัก มีพระพุทธรูปปางปรินิพพานอยู่ ๑ องค์ เป็นพระพุทธรูปองค์ไม่ใหญ่ไม่เล็ก สร้างเมื่อไหร่ไม่ทราบ มีแต่คำบอกเล่ากันมาหลายชั่วคนว่า “ก็เห็นอยู่อย่างนี้ สันนิษฐานว่าน่าจะสร้างตั้งแต่สมัยศรีวิชัย อายุประมาณ ๑,๒๐๐ – ๑,๕๐๐ ปีเก่าแก่มาก เป็นที่เคารพของพระพุทธศาสนิกชนเป็นอย่างมาก มีความศักดิ์สิทธิ์ตามคำร่ำลือ*
บันทึกการเข้า
kittanan_2589
.กลุ่มผู้มีน้ำใจงาม.
member
*

คะแนน630
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2363


NightBaron


เว็บไซต์
« ตอบ #152 เมื่อ: ธันวาคม 31, 2010, 08:37:21 AM »

*ข้าพเจ้า ได้ขึ้นไปสักการะ ไปสวดพระพุทธมนต์อยู่หลายครั้ง พร้อมทั้งขึ้นไปนั่งปฏิบัติธรรมเมื่อมีเวลาว่าง ส่วนใหญ่จะเป็นวันเสาร์ วันอาทิตย์ ข้าพเจ้าจะขึ้นไปนั่งอยู่บนนั้นเกือบทั้งวัน ขึ้นเช้าลงมาเย็น จิตสงบดีไม่มีอะไรมารบกวน คนทั่วไปก็ไม่ค่อยขึ้น ส่วนใหญ่จะขึ้นเฉพาะมีเทศกาลเท่านั้น*

อยู่มาวันหนึ่งได้เจริญภาวนาตามปกติ แล้วออกมานั่งพักผ่อนอยู่ที่ปากถ้ำ เมื่อหายเมื่อยแล้วก็จะได้ปฏิบัติต่อ ขณะนั้นมีชายรูปหนึ่งร่างสูงใหญ่แต่งตัวแบบกษัตริย์มาจากไหนไม่รู้!!! เดินมาถามข้าพเจ้าว่า “มาทำไม?” ข้าพเจ้าตอบว่า “มาปฏิบัติธรรม แล้วท่านมาจากไหน? แต่งตัวแปลก ๆ มาอย่างไร? ไม่ทันเห็น” ชาย ผู้นั้นตอบว่า “อยู่ที่นี่แหละ อยู่ในเมืองลับแล ข้าพเจ้าเป็นเจ้าเมืองชื่อสิงหล ออกมาดูว่าท่านอยากได้อะไร? จะได้หามาให้ เห็นว่าเป็นคนดี” เขาชมเชย ข้าพเจ้าได้ตอบไปว่า “ไม่เอาอะไรทั้งนั้น มาหาความสงบ ไม่ปรารถนาอย่างอื่น ขอจับมือหน่อยได้ไหม?” เขายื่นมือมาให้จับ จับดูก็เป็นเนื้อหนังอย่างเรา ๆ นี่เอง เราไม่ได้ตาฝาดไปแน่ คิดอยู่ในใจ

เจ้าเมืองลับแลได้ถามข้าพเจ้าว่า “อยากไปเที่ยวเมืองลับแลไหม? เขาชี้ไปที่ผนังถ้ำอยู่ด้านปลายพระบาทของพระพุทธรูป เห็นแต่หินผนังถ้ำ จึงบอกว่าไม่เห็น เขาบอกว่า “อยากเข้าไปไหม? อยากได้อะไร? สมบัติมากล้นเหลือ เอาเท่าไหร่ก็ไม่หมด” จึงตอบไปว่า “อยากเข้าไป แต่ไม่เอาอะไร อยากเห็น แต่กลัวออกมาไม่ได้” เขาตอบว่า “เข้าได้ ก็ต้องออกได้ ไม่ต้องกลัวจะพามาส่ง ถ้าจะเข้าไปก็จับมือข้าพเจ้า จะพาไปดู จะได้รู้เห็นเป็นบุญ” ตรึก ตรองอยู่พักหนึ่ง ใจหนึ่งก็อยากเข้าไป ใจหนึ่งก็กลัวออกมาไม่ได้ กลัว ๆ กล้า ๆ ในที่สุดจึงตัดสินใจ เข้าก็เข้า เลยเอามือจับมือเจ้าเมืองลับแล จับไว้ที่ข้อมือ เขาพาเดินไปที่ผนังถ้ำ แปลก !!! ผนังหินแท้ ๆ แต่เดินผ่านเข้าไปได้ พอผ่านเข้าไปหันกลับมาดู ก็เป็นหินเหมือนเดิม เหมือนมิติซ้อนมิติอย่างไรก็อย่างนั้น
บันทึกการเข้า
kittanan_2589
.กลุ่มผู้มีน้ำใจงาม.
member
*

คะแนน630
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2363


NightBaron


เว็บไซต์
« ตอบ #153 เมื่อ: ธันวาคม 31, 2010, 08:37:45 AM »

ข้างในสว่างไสวเหมือนกลางวัน มีบ้านเรือน มีผู้คน แต่ละคนล้วนผิวพรรณดี ทุกคนมองดูสุภาพเรียบร้อยทั้งหญิงทั้งชาย มีปราสาทราชวังสวยงามเต็มไปด้วยเพชรพลอย เงินทองเต็มไปหมด ใครเห็นเข้าคงจะเพลิดเพลินกับทรัพย์สินที่มีอยู่ดาษดื่น ละลานตา

เจ้าเมืองพาตรงไปยังปราสาทหลังหนึ่ง พาเข้าไปดู เขาบอกวังของเขา ทำด้วยทองคำทั้งหลัง ข้างในสวยงามด้วยเครื่องประดับนานาชนิด แล้วพาชมเมืองจนทั่ว ใช้เวลานานพอสมควร ก่อนจะออกมาส่งที่ปากถ้ำ เขาถามข้าพเจ้าว่า “จะเอาอะไรบ้าง? จะให้” ข้าพเจ้าบอก “ไม่เอาอะไร ได้ให้สัญญาไปแล้ว” แต่ เขาหยิบเหรียญทองคำขึ้นมาเหรียญหนึ่ง เหมือนเหรียญหนึ่งสตางค์สมัยก่อน แต่เหรียญใหญ่กว่าเล็กน้อย ด้านหนึ่งเป็นรูปกงจักร ด้านหนึ่งเป็นตัวหนังสือแต่อ่านไม่ออก เขาให้เอามาจะได้เป็นหลักฐานว่าได้มาเที่ยวเมืองนี้ เดี๋ยวจะไม่เชื่อ จึงรับเหรียญอันนั้นใส่กระเป๋าไว้

ได้จับมือกับเจ้าเมือง เขาพาเดินมาทางเดิม พาผ่านผนังถ้ำออกมาข้างนอกเกือบค่ำพอดี ได้กล่าวขอบคุณและร่ำลากัน ก่อนจะแยกจากกันนั้น เขายังสั่งไว้ว่า “หากต้องการอะไรให้ไปบอก เขาจะช่วยทุกอย่าง" แต่จนบัดนี้ก็ยังไม่เคยไปขออะไร ถ้าไปขอแล้วจะได้ไหม? นั่นก็ยังไม่รู้ !!!

กลับถึงบ้านก็เอาเหรียญที่ได้ขึ้นมาดู เป็นทองสุกเปล่งปลั่งทั้งอัน นำเก็บไว้ในห้องพระ ย้ายไปย้ายมาเลยหายไป ขณะนี้ไม่มีให้ดูแล้วก็น่าเสียดาย จากเหรียญอันนั้น ทำให้รู้ว่าได้เข้าไปในเมืองลับแลจริง ๆ เมืองลับแลมีจริง ไม่ใช่เป็นเรื่องเล่ากันเพราะได้เข้าไปแล้วด้วยตนเอง เอากายหยาบเข้าไป ไม่ได้หลอกลวงตัวเอง มีหลักฐานออกมาเป็นเหรียญทองอันที่หายไป ข้าพเจ้าไม่แปลกใจอะไรเลยว่า โลกใบนี้มีอะไรเร้นลับที่ท้าทายให้ศึกษาอีกมากมาย เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในปีพุทธศักราช ๒๕๓๐
บันทึกการเข้า
kittanan_2589
.กลุ่มผู้มีน้ำใจงาม.
member
*

คะแนน630
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2363


NightBaron


เว็บไซต์
« ตอบ #154 เมื่อ: ธันวาคม 31, 2010, 08:38:27 AM »

พบวิญญาณขอส่วนบุญ

ขอย้อนกลับไปพุทธศักราช ๒๕๒๖ เพื่อไม่ให้สิ่งที่ได้พบเห็นตกหล่นไป เรื่องนี้อาจเป็นประโยชน์ให้แก่ผู้ไม่กลัวบาป หันมาเกรงกลัวต่อการสร้างกรรมอันเป็นอกุศลกรรม ได้เกรงกลัวงดกระทำกรรมชั่ว กลับมาทำคุณงามความดี จะได้ทำประโยชน์ให้กับสังคมได้ในเบื้องต้น ได้กล่าวไว้แล้วว่า “มาก็ไม่ได้เอามา ไปก็ไม่ได้เอาไป” แต่สิ่งที่เอามาคือกรรม สิ่งที่เอาไปคือกรรม เป็นสิ่งที่เที่ยงแท้

กรรมดีกรรมชั่วเราเอามาแล้วก็ไปกับเราแน่แท้ ไม่อยากเอามาก็มา ไม่อยากเอาไปก็ต้องเอาไป ไม่เว้นแม้แต่คนเดียว ต้องเอาไปแน่ ต้องตอบสนองแน่ต้องอยู่กับเราตลอดไป เป็นเพื่อนยามสุขเพื่อนยามทุกข์ ยามสุขก็ส่งเสริมให้สุขมากขึ้น ยามตกทุกข์ก็ให้ทุกข์มากขึ้น ซ้ำเติมอยู่ตลอดเวลา นี่แหละกรรม จำ ไว้ให้ดีแยกแยะให้ได้ อยากสุขในทุก ๆ ภพ ทุก ๆ ชาติให้ทำกรรมดี อยากทุกข์ในทุก ๆ ภพ ทุก ๆ ชาติก็ให้ทำกรรมชั่ว เราได้ทำของเราเองทั้งนั้น

ดังตัวอย่างที่ได้พบมา พุทธศักราช ๒๕๒๖ ได้ไปอุปสมบททดแทนคุณบิดามารดาที่วัดเวียงสระ จังหวัดสุราษฎร์ธานี ประเพณีทางภาคใต้บุคคลที่อุปสมบทเป็นพระ จะต้องท่องบทขานนาคให้คล่องแคล่ว ก่อนบวชนาคผู้ที่จะบวชต้องไปนอนวัด เพื่อซ้อมการขานนาคให้ถูกต้องตามขั้นตอนอุปัชฌาย์จะเคร่งครัดเรื่องนี้มาก
บันทึกการเข้า
kittanan_2589
.กลุ่มผู้มีน้ำใจงาม.
member
*

คะแนน630
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2363


NightBaron


เว็บไซต์
« ตอบ #155 เมื่อ: ธันวาคม 31, 2010, 08:39:06 AM »

รูปสวยๆแทนตัวหนังสือครับ






บันทึกการเข้า
kittanan_2589
.กลุ่มผู้มีน้ำใจงาม.
member
*

คะแนน630
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2363


NightBaron


เว็บไซต์
« ตอบ #156 เมื่อ: ธันวาคม 31, 2010, 08:59:49 AM »

ก่อนบวชสองวันข้าพเจ้าไปนอนวัดเช่นคน อื่น แต่ข้าพเจ้าบวชนอกพรรษา บวชด้วยกันสามคน เมื่อซ้อมขานนาคเสร็จก็เข้านอนในกุฏิกำลังจะหลับ มีวิญญาณที่อยู่ในวัดได้มาหามากมาย มากันเป็นระเบียบ มา ขอร้องให้แผ่อานิสงส์ไปให้พวกเขาด้วยเมื่อบวชเสร็จแล้ว พวกเขาทนทุกข์ทรมานมานานนักหนา ให้ช่วยปลดปล่อยทุกข์ให้พวกเขาด้วย พวกเขาสำนึกผิดที่ได้กระทำไว้ ตอนมีชีวิตอยู่ได้ก่อกรรมทำเข็ญไว้มากมาย วิญญาณแต่ละคนมารู้สำนึกบาปเมื่อสายเสียแล้ว รูปกายแตกดับทำอะไรไม่ได้ ต้องทนทุกข์รับกรรมที่ได้กระทำมาอย่างแสนสาหัสอยู่จนถึงบัดนี้

วิญญาณบางคนต้องทนทุกข์มาหลายร้อยปี บางคนก็ไม่นานนัก เขาบอกว่าเห็นท่านมาบวช และพอติดต่อประสานขอส่วนบุญได้จึงได้มากัน คอยมานานแล้ว จะมีใครสามารถประสานให้รู้ทุกข์ของพวกเขา ไม่มีเลย บวชแล้วพวกเขาได้รับอานิสงส์น้อยเพราะไม่ได้อุทิศเจาะจงให้พวกเขา ขอท่านจงเมตตาเถิด

ทำให้คิดถึงคำตรัสขององค์พระผู้มีพระภาคเจ้าได้เขียนไว้ตอนต้น ขอยกมาอีกครั้งเพื่อเตือนใจ กระตุ้นความจำทรงตรัสไว้ว่า “บุคคล ทำกรรมชั่ว มักไม่รู้ว่าตนนั้นทำกรรมชั่ว เพระผลของกรรมชั่วยังไม่ปรากฏ ต่อเมื่อผลของกรรมชั่วนั้นปรากฏ จึงรู้ว่ากรรมชั่วนั้นเหมือนดั่งยาพิษ”

เหมือนดวงวิญญาณผู้น่าสงสารเหล่านั้น ถ้าท่านได้เห็นได้สนทนาด้วย ก็จะเกรงกลัวการทำกรรมชั่วเพราะมันน่าสะพรึงกลัวเสียจริง ๆ แม้คนเคยเก่งกล้า เคยกล้าหาญ ก็ยังต้องขยาดไม่กล้าทำในสิ่งผิดศีลธรรมอย่างแน่นอน ข้าพเจ้าไม่ได้เขียนเสือให้วัวกลัว เขียนบอกเล่าจากการได้พบได้เห็น
บันทึกการเข้า
kittanan_2589
.กลุ่มผู้มีน้ำใจงาม.
member
*

คะแนน630
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2363


NightBaron


เว็บไซต์
« ตอบ #157 เมื่อ: ธันวาคม 31, 2010, 09:00:08 AM »

สนทนากับดวงวิญญาณที่ตกทุกข์ได้ยาก ลำบากถูกทรมานต่าง ๆ นานา จะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ไม่ว่า กรรมนั้นเป็นของแต่ละคนอยู่แล้ว จะแบ่งปันให้ผู้อื่นไม่ได้ ใครทำกรรมใดคนนั้นต้องรับกรรมนั้น อย่างวิญญาณที่ต้องทนทรมาน นี่คือสิ่งที่เมื่อตายไปแล้วเอาติดตัวไปทุก ๆ คน บางคนไปดี บางคนไปในที่ไม่อยากไปแต่ต้องไป ที่อยากไปก็ไปไม่ได้ เข้าไปไม่ได้เพราะกรรมดีกรรมชั่ว นี่แหละอย่าประมาท

พึงระวังไว้ทุกขณะ ให้มีสติสัมปชัญญะตลอดที่มีลมหายใจ ไม่เช่นนั้นท่านอาจเป็นอย่างดวงวิญญาณเหล่านั้นก็ได้ เมื่อรู้ย่อมป้องกันได้เมื่อยังมีชีวิตอยู่ รู้ตอนไม่มีชีวิตแล้วหมดโอกาสจะป้องกัน หมดโอกาสจะแก้ตัว ทั้งสองคืนที่นอนวัดได้พบวิญญาณที่ตกทุกข์ระกำลำบากมากมายหลายร้อยหลายพันคน จึงได้รับปากจะช่วยวิญญาณเหล่านั้นวันบวชเป็นพระ

เป็นนาคเข้าอุโบสถจนสำเร็จเป็นพระ แม่ดีใจปีติมาก เป็นลูกชายคนเดียวที่ได้บวช นอกนั้นไม่ยอมบวช ข้าพเจ้าภูมิใจที่ได้ทดแทนค่าน้ำนมของแม่ และได้ปฏิบัติตามสัญญาที่ให้ไว้กับดวงวิญญาณ ได้อุทิศอานิสงส์ให้ตามสัญญา อุปัชฌาย์ได้จัดที่พักให้ ตกตอนเย็นก็ลงอุโบสถทำวัตรเย็น เสร็จกิจข้าพเจ้าขออนุญาตอุปัชฌาย์ไปนั่งปฏิบัติธรรมในป่าช้าในคืนนั้น

ครั้งแรกอุปัชฌาย์ไม่อนุญาต แต่ได้ทำความเข้าใจกับท่านว่าได้เคยปฏิบัติมาแล้ว มีครูอาจารย์อบรมสั่งสอนด้านการเจริญกรรมฐานตอนเป็นฆราวาสอยู่เป็นประจำ ท่านจึงอนุญาตตามที่ขอ เวลาประมาณ ๓ ทุ่มได้เข้าไปในป่าช้า หาที่เหมาะสมแล้วขออนุญาตเจ้าที่ ขอนั่งปฏิบัติธรรมอย่ารบกวน ขณะที่นั่งอยู่วิญญาณที่ได้รับส่วนบุญได้มาขอบคุณที่แผ่บุญกุศลให้เขา
บันทึกการเข้า
kittanan_2589
.กลุ่มผู้มีน้ำใจงาม.
member
*

คะแนน630
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2363


NightBaron


เว็บไซต์
« ตอบ #158 เมื่อ: ธันวาคม 31, 2010, 09:01:42 AM »

ครั้งนี้มีวิญญาณที่น่าสนใจเพิ่มมาอีก ขอยกตัวอย่างโดยไม่เอ่ยนามของวิญญาณนั้น และได้ไปพิสูจน์มาแล้ว

ก่อนหน้านั้น วิญญาณนั้นมีตัวตนเคยมีชีวิตเป็นคนมาก่อน วิญญาณตนแรกน่าแปลก ตัวผอมหัวโต ลำตัวเน่าเหม็น ตัวมันเหม็นมากจริง ๆ จมูกเหมือนงวงช้างดูดกินแต่ของเน่าเหม็น ได้ถามชื่อสกุล บ้านเลขที่ ตำบล ได้ความว่าตายมา ๘๔ ปี ได้มาทนทุกข์อยู่ในวัดนี้ จึงถามว่าไปทำอะไรมาจึงมีรูปร่างดังที่เป็นอยู่

วิญญาณตนนั้นตอบ “เป็นมโนกรรมเจ้าค่ะ คือได้เดินผ่านกุฏิพระผู้ปาราชิก ท่านแอบมีภรรยาขณะดำรงสมณเพศนั่งฉันอาหารอยู่ ได้นึกโกรธอยู่ในใจแล้วคิดว่า "ให้มันยัดห่าเข้าไปทำไม พระแบบนี้" แล้วถ่มน้ำลายลงพื้น

เพียงเท่านี้ไม่คิดว่าจะตกระกำลำบากเช่นนี้ ได้แบ่งกรรมของพระรูปนั้นมาใส่ตัวโดยแท้ เพราะเราไม่รู้จึงได้กระทำลงไป ต้องทนทุกข์เช่นนี้ จะไปก็ไม่ได้ ต้องทนเจ็บปวดทรมานมานานเหลือเกิน พระคุณเจ้าโปรดเมตตากระผมด้วย กระผมเข็ดแล้ว ต่อไปจะไม่ยุ่งเรื่องคนอื่นอีก”
บันทึกการเข้า
kittanan_2589
.กลุ่มผู้มีน้ำใจงาม.
member
*

คะแนน630
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2363


NightBaron


เว็บไซต์
« ตอบ #159 เมื่อ: ธันวาคม 31, 2010, 09:02:05 AM »

อยากบอกใครก็บอกไม่ได้ น่าคิดนะ แม้พระจะหมดสภาพแล้วตามพระวินัย แต่ไปตำหนิเข้าแม้จะไม่ได้เปล่งวาจาก็ตาม ก็ปรากฏผลกรรมตอบสนองทั้ง ๆ ที่ตัวไม่ได้ทำ เพียงไปยุ่งเรื่องคนอื่น ไปแบ่งกรรมเขามา ถ้าหากอยู่เฉย ๆ กรรมนั้นก็เป็นของผู้กระทำแต่ผู้เดียว นับเป็นอุทาหรณ์เตือนใจว่าอย่าตำหนิพระภิกษุสงฆ์ หากเราไม่ชอบก็เฉยเสีย ไม่ใช่เรื่องของเรา

“นี่แหละที่ว่า เรามาแล้วจะไปไหน” อยู่ที่กรรมที่เราได้กระทำเป็นเครื่องกำหนด เป็นผู้พิพากษา เราจะไปภูมิภพใดก็สุดแต่กรรมของบุคคลนั้น เมื่อได้กรวดน้ำให้ สภาพร่างกายของวิญญาณนั้นกลับสู่สภาพเดิม ใบหน้าก็เป็นใบหน้าเดิมตอนเป็นมนุษย์

วิญญาณอีกตนหนึ่ง น่าเวทนายิ่งกว่าดวงแรกเสียอีก มีรูปร่างเหมือนคนเราแต่บนศีรษะมีไฟลุกโชนอยู่ ร้องด้วยความเจ็บปวดแสนสาหัส นั่งคุกเข่าร้องขอความช่วยเหลือ ปากก็ร้องบอกตลอดเวลา "เจ็บปวดเหลือเกิน ร้อนเหลือเกิน ช่วยด้วยเถิดพระคุณเจ้า ช่วยด้วยเถิด มันเจ็บเวทนาเหลือเกิน เมตตาเถิดพระคุณเจ้า ช่วยสงเคราะห์ด้วย"

ข้าพเจ้าจึงบอกให้ดวงวิญญาณดวงอื่น ๆ หลบไปก่อน เมื่อเข้ามาอยู่ตรงหน้าได้ถามชื่อสกุล บ้านเลขที่ ตำบลในตอนที่มีชีวิตอยู่ วิญญาณนั้นได้บอกชื่อ สกุล บ้านเลขที่และตำบลที่อยู่ เขาบอกบ้านอยู่คลองหนวน ได้เสียชีวิตมาแล้วร้อยกว่าปี ต้องทนทุกข์ทรมานมานาน
บันทึกการเข้า
kittanan_2589
.กลุ่มผู้มีน้ำใจงาม.
member
*

คะแนน630
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2363


NightBaron


เว็บไซต์
« ตอบ #160 เมื่อ: ธันวาคม 31, 2010, 09:02:30 AM »

ข้าพเจ้าจึงถามไถ่การกระทำกรรมของวิญญาณตนนี้ว่า ที่เป็นเช่นนี้เพราะเหตุจากการทำกรรมอะไร? ไฟบนหัวร้อนไหม? เขา ตอบว่า “ร้อนมาก ร้อนกว่าถ่านที่อยู่ในเตา นี่มันไฟนรก กรรมที่ได้กระทำ ข้าพเจ้าชอบกินเหล้า เมายา เมาทุกวัน คืนหนึ่งเมามาไม่รู้ใครเป็นใคร เกิดไปปล้ำได้เสียกับแม่ผู้บังเกิดเกล้า เมื่อเสียชีวิตมาก็เป็นเช่นพระคุณเจ้าเห็น กรุณาช่วยด้วยเถิด”

ข้าพเจ้าจึงกรวดน้ำให้ แต่ที่น่าแปลกน้ำจากกาน้ำที่เทลงไป น้ำหยดลงไม่ถึงพื้นดิน!!! มันระเหยเสียก่อน!!! วิญญาณตนนั้นยิ่งเจ็บปวดมาก นอนดิ้นทุรนทุราย ร้องขอให้หยุดกรวดน้ำเพราะทนไม่ไหว จึงบอกกับวิญญาณได้ช่วยแล้ว แต่ช่วยไม่ได้จนใจจริง ๆ

แต่ด้วยความเมตตาขณะนั้นคิดจะช่วยหากสามารถช่วยได้ จึงกำหนดจะใช้เลือดภายในกายกรวดน้ำให้แทนการใช้น้ำ จึงบอกวิญญาณดวงนั้นว่าจะใช้เลือดกรวดน้ำ จะได้ผลหรือไม่ก็สุดแล้วแต่เวรกรรม

ข้าพเจ้าจึงใช้นิ้วหัวแม่มือจิกนิ้วชี้โดยกำหนดจิตในองค์กรรมฐาน เลือดก็ไหลออกมาแต่เลือดก็ตกไม่ถึงพื้นแม่ธรณีเช่นกัน!!! กลับทำให้วิญญาณตนนั้นดิ้นทุรนทุรายเจ็บปวดมากกว่าเดิมเสียอีก จึงต้องหยุด อาการเจ็บปวดของวิญญาณนั้นจึงค่อยเบาลง

จึงถามเขาว่ามารดาชื่ออะไร? เขาบอกชื่อมารดาของเขา ข้าพเจ้าจึงกำหนดจิตไปตามผู้เป็นมารดามา ได้ถามว่าวิญญาณตนนี้เป็นลูกใช่ไหม? ผู้เป็นมารดาตอบว่า “ใช่” โกรธเขาไหม ผู้เป็นมารดาตอบว่า “ไม่โกรธให้อภัยแล้ว” จึง บอกให้กรวดน้ำให้อโหสิกรรมเสีย ลูกจะได้พ้นทุกข์ ผู้เป็นมารดาร้องไห้ พร้อมกับกรวดน้ำด้วยความสงสารลูก แต่ก็มีผลเช่นเดิม ยิ่งเจ็บปวดทรมานมากกว่าเดิม จนต้องร้องขอให้ผู้เป็นแม่หยุดกรวดน้ำให้
บันทึกการเข้า
kittanan_2589
.กลุ่มผู้มีน้ำใจงาม.
member
*

คะแนน630
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2363


NightBaron


เว็บไซต์
« ตอบ #161 เมื่อ: ธันวาคม 31, 2010, 09:02:51 AM »

นี่แหละบทเรียนอันสำคัญ ใครก็ตามที่ได้กระทำวิบากกรรมกับบิดามารดา ย่อมเป็นอนันตริยกรรมเป็นกรรมอันยิ่งใหญ่ แก้ไม่ได้จะต้องชดใช้อกุศลวิบากที่ได้กระทำ ตามกฎแห่งกรรมที่ได้ลงทัณฑ์ต่อการกระทำนั้น แม้จะพยายามช่วยแต่ไม่ได้ผล ในทางตรงกันข้าม หากได้ทำกุศลกรรมกับบิดามารดาก็จะมีผลวิบากไปในทางที่ดี ช่วยให้มีความสุข ความเจริญรุ่งเรือง จึงขอให้ถือเป็นบทเรียน

กรรมที่ทำกับผู้มีพระคุณโดยเฉพาะบิดามารดานั้น หากได้กระทำไปทางอกุศลกรรม มีโทษมหันต์ หากได้กระทำไปทางกุศลก็จะมีคุณอนันต์ ขอให้อย่าประมาทในการกระทำ จงรักษาสติในการทำความดีให้มั่นคง ยิ่งได้กระทำความดีกับผู้มีพระคุณ ย่อมส่งผลดีต่อชีวิตทั้งในปัจจุบันทั้งในอนาคต จงเร่งปฏิบัติให้ได้ก็จะเป็นคุณต่อตนเองอย่างยิ่ง

เรื่องที่เขียนเล่ามานี้ได้ผ่านการพิสูจน์ความจริงมาแล้ว *เมื่อไม่สามารถช่วยได้จึงได้โปรดวิญญาณอื่น ๆ ในป่าช้าอีกมากมายต่อไป* ได้เวลาก็กลับเข้ากุฏิ เช้าวันรุ่งขึ้นได้ออกบิณฑบาตเพื่อให้แม่ได้ใส่บาตร ได้อาหารแล้วก็กลับวัด ฉันอาหารเสร็จก็ได้ขออุปัชฌาย์ออกไปข้างนอก แต่ไม่ได้บอกเหตุผล


บันทึกการเข้า
kittanan_2589
.กลุ่มผู้มีน้ำใจงาม.
member
*

คะแนน630
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2363


NightBaron


เว็บไซต์
« ตอบ #162 เมื่อ: ธันวาคม 31, 2010, 09:03:18 AM »

พิสูจน์ความจริง

ออกจากวัดก็ได้เดินทางไปยังบ้านหัวสะพาน ไปยังบ้านของวิญญาณดวงแรก ตามบ้านเลขที่ที่ได้จดจำเอาไว้ตามคำบอกเล่าตอนอยู่ในป่าช้า ได้เข้าไปในบ้านหลังนั้น พระเข้าไปในบ้าน ก็ได้รับการดูแลต้อนรับเอาใจใส่ตามหน้าที่ของพุทธมามกะที่ดี ได้ถามไถ่ทุกข์สุขกันพอสมควร

ข้าพเจ้าก็เข้าใจเรื่องที่มาในวันนี้ ได้ไปถามว่ามีปู่ย่าตาทวดชื่อสกุลนี้ไหม? เขาตอบว่า “มีและย้อนถามกลับมาว่าทำไมหรือ? รู้ได้อย่างไร?” ข้าพเจ้าไม่ตอบ กลับถามต่อว่าได้เสียชีวิตไปเมื่อ ๘๔ ปีที่แล้ว ในวันที่ เดือน ปีนี้ใช่ไหม? พวกเขาตอบว่า “ใช่”

พวกเขาเริ่มสนใจ จึงถามต่อไปว่ามีรูปภาพให้ดูไหม? พวกเขาไม่ขัดข้องไปหยิบรูปภาพบานใหญ่มาให้ดู มีเขียนบอกไว้ใต้รูปภาพ ชื่อ สกุล วัน เดือน ปีเกิด ตายวันที่ เดือน ปี ตรงตามที่วิญญาณนั้นบอกทุกประการ ทั้งใบหน้าไม่ผิดเพี้ยนอีกด้วย

นั่งนึกอยู่ในใจ เหตุการณ์ที่พบในป่าช้าเป็นเรื่องจริงหนอ พวกลูกหลานรุมกันซักไซ้ จึงบอกว่าไม่มีอะไร ใช้อุบายธรรมบอกว่าเมื่อคืนฝันไปว่าวิญญาณของคนในรูปภาพนี้ ให้ช่วยมาบอกลูกหลานให้ช่วยทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้บ้าง กำลังลำบากตกทุกข์ได้ยากอยู่ เสร็จธุระที่อยากรู้แล้วได้ลากลับ

เพื่อให้แน่ใจก็ได้เดินทางไปบ้านคลองหนวน ต่อไปยังบ้านเลขที่ที่อยู่ของวิญญาณที่มีไฟลุกโชนอยู่บนหัว ได้สอบถาม ลูกหลานเขาบอก "คนชื่อนี้มีจริง ได้ตายไปนานแล้วตั้งแต่พวกเขายังไม่เกิด" ได้คำตอบในสิ่งที่อยากพิสูจน์ความจริงที่พบวิญญาณ และได้มาขอส่วนบุญเป็นเรื่องเหลวไหลหรือเรื่องจริง

ได้ไปพิสูจน์ย้อนรอยอดีตในการมีตัวตน มีชีวิตอยู่จริงในอดีต และมีผลกรรมปรากฏจริงตามกฎแห่งกรรม ตอบสนองจริงตามผลของกรรมดี กรรมชั่ว ทำดีไปดีจริง ๆ ทำชั่วไปชั่วจริง ๆ ตามที่พระพุทธองค์ทรงตรัสสอนไว้
บันทึกการเข้า
kittanan_2589
.กลุ่มผู้มีน้ำใจงาม.
member
*

คะแนน630
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2363


NightBaron


เว็บไซต์
« ตอบ #163 เมื่อ: ธันวาคม 31, 2010, 09:03:50 AM »

เหตุการณ์ครั้งนั้น ข้าพเจ้าหมดความสงสัยในจิตโดยสิ้นเชิง ทั้งเป็นเครื่องเตือนจิตของตนตลอดเวลา กลัวผลที่ออกมา อย่างที่ได้พบเห็นที่ได้พิสูจน์ความจริงมาแล้ว มันน่ากลัวจริง ๆ มันน่าสยอง มันทรมานนานาประการ ช่วยตัวเองก็ไม่ได้

ต้องเที่ยวขอส่วนบุญเหมือนขอทานก็ไม่ผิด เพราะจิตที่มืดมัว ไม่เชื่อ ไม่กลัวกรรม เอาแต่คึกคะนองจองหองพองขน อวดตัวเมื่อยังดำรงชีวิตอยู่ ไม่คิดทำแต่สิ่งดี ชอบเบียดเบียนผู้อื่น หาแต่ผลประโยชน์ให้ตัวเองและพรรคพวก ไม่คำนึงถึงผิดถูก ขอเพียงแต่ให้ได้มาด้วยวิธีการต่าง ๆ นานา ใครจะเดือดร้อนแค่ไหน ไม่สนใจ กลับมาสมคบกันเหยียดหยามเสียอีก ชอบฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ทั้งกลั่นแกล้งเอารัดเอาเปรียบ ลักขโมยทรัพย์สินของผู้อื่น ประพฤติผิดศีล ฉ้อฉลคดโกง

พูดรวม ๆ แล้ว มนุษย์เราเหมือนดอกบัวสี่เหล่า เหล่าหนึ่งอยู่ในโคลนตมเป็นเหยื่อของปูปลาไป ไม่มีโอกาสจะโผล่จากโคลนตม เหล่าที่สองพ้นจากโคลนตมแต่อยู่มาอยู่แค่กลางน้ำ ไม่มีโอกาสจะขึ้นปริ่มน้ำปูปลาก็กินเสียก่อน เหล่าที่สามพ้นจากโคลนตม พุ่งขึ้นมาแค่ปริ่มน้ำแต่ไม่ขึ้นพ้นน้ำ ได้พบแสงสว่างแต่ไม่มีโอกาสจะได้บาน เหล่าที่สี่พ้นจากโคลนตม พุ่งขึ้นเหนือน้ำ รอแสงอาทิตย์ส่องก็จะเบ่งบาน

จะเห็นได้ว่าบัวทุกดอกล้วนแต่ขึ้นมาจากโคลนตมทั้งสิ้น คนเราทุกคนมาจากความไม่รู้มาก่อน หากไม่สกัดกั้นตนเองเสียก่อน ก็ควรทำการศึกษา ค้นคว้าสิ่งไม่รู้ไม่เห็น ฉันใดก็ฉันนั้น เมื่อรู้แล้วจะปฏิบัติอย่างไร? สุดแท้แต่บุญบาปของแต่ละบุคคล บางคนยากจะแก้ไข บางคนง่ายจะแก้ไข หากมีบุญหนุนนำ ไม่ยากที่จะแก้เหตุเพราะบุญนั้นจะนำไปเอง หากขาดบุญหนุนนำจะพูดจะบอกจะชี้อย่างไรก็ไม่เอา ไม่เข้าใจ ไม่เล่นด้วย ไปทำสิ่งที่เป็นโทษแก่ตนเอง เป็นโทษในภูมิภพในชาติของตน เหมือนดวงวิญญาณข้างต้น ไม่พบเองไม่น่ากลัวอะไร “เวลาที่พระยายมยังให้โอกาส ไม่เร่งให้ทัน เร่งแล้วอาจไม่ทันก็ได้ อย่ารีรออยู่เลย เวลาไม่มี ไม่คอย"
บันทึกการเข้า
kittanan_2589
.กลุ่มผู้มีน้ำใจงาม.
member
*

คะแนน630
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2363


NightBaron


เว็บไซต์
« ตอบ #164 เมื่อ: ธันวาคม 31, 2010, 09:04:17 AM »

ท่องไปในโลกกว้าง

ไม่ได้ไปท่องเที่ยวที่ไหน? ท่องเที่ยวอยู่ในประเทศไทยนี่แหละ ได้ไปมาทั่ว มีสถานที่สำคัญซ่อนเร้นอยู่มากมาย ทั้งเร้นลับ ซ่อนเงื่อน ปกปิด หวงห้าม หวงแหน ห้ามเฉพาะ ทั้งปิดบังห้ามเข้ามีอยู่ทั่วประเทศ ท้าทายให้ไปค้นหา เอาตัวไปทดสอบ แสวงหา พิสูจน์ ศึกษาหาความจริง ดินแดนที่ เรียกว่า “สุวรรณภูมิ” หรือสยามประเทศ ดินแดนอันสมบูรณ์ด้วยทรัพยากร ดินแดนแห่งอารยธรรม ดินแดนแห่งความลี้ลับ ดินแดนแห่งความสงบความสะอาด เป็นแดนแห่งอารยชน แดนสุวรรณภูมิ เป็นดินแดนของผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ผู้เรืองปัญญา ผู้มีบุญวาสนา ผู้มีบุญบารมี ผู้มีบุญญาธิการที่ได้มาปฏิสนธิรูปตรงนี้

มาแล้วอย่าทำลายโอกาส อย่าทำลายบุญวาสนาของตนเอง รีบฉกฉวย รีบไขว่คว้า รีบแสวงหา รีบค้น รีบเข้ามา รีบทำ รีบพิจารณา รีบสร้างศรัทธา รีบสร้างหนทาง รีบสั่งสม รีบเพิ่มพูน รีบเพิ่มเติม รีบตักตวง รีบเดินทาง รีบสร้างความพร้อม เดินในเส้นทางอันถูกต้อง ให้คุณค่าอันประเสริฐแก่ชีวิตตั้งแต่บัดนี้ เดี๋ยวนี้ วินาทีนี้

วันนี้ไม่ใช่คำตอบ แต่พรุ่งนี้ เดือนหน้า ปีหน้า มีคำตอบให้เรา คำตอบมีให้กับคนที่เข้าไปหาเท่านั้น มีให้สำหรับผู้ฉลาดรู้ ฉลาดคิด ฉลาดทำ ฉลาดพูดเท่านั้น

มันอยู่ที่การตัดสินใจ อย่ามัวโอดครวญอยู่ เข็มวินาทีที่กระดิกมันเหมือนมัจจุราชมากระชากชีวิตเราไปด้วย มันไม่มีเวลาจริง ๆ รอช้าไม่ได้ เวลาไม่มีให้รอ เวลาเป็นสมบัติของทุกคนที่ฉกฉวยเอา เก็บเกี่ยวประโยชน์เอา แสวงหาเอา เขาให้เราแล้ว เขามอบสิทธิ์ให้กับเรา มอบอำนาจให้กับเราที่จะใช้เวลาที่มีอยู่ให้คุ้มค่า คุ้มประโยชน์อย่างแท้จริง

อย่ารั้งรอ อย่ารีรอ อย่ารอใคร ไม่มีเวลาจะให้รอ ตัวเราเป็นผู้สร้างและผู้ทำลาย จะดีจะชั่วอยู่ที่ตัวเรา ทั้งสร้างภูมิภพก็อยู่ที่เรา
บันทึกการเข้า
kittanan_2589
.กลุ่มผู้มีน้ำใจงาม.
member
*

คะแนน630
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2363


NightBaron


เว็บไซต์
« ตอบ #165 เมื่อ: ธันวาคม 31, 2010, 09:04:37 AM »

พระพุทธองค์ทรง ตรัสว่า “เหตุเกิดที่ไหน ให้ไปดับที่เหตุตรงนั้น” เหตุเกิดที่จิตของเราก็ต้องไปแก้ที่จิตของเรา ไม่ได้เกิดขึ้นที่จิตคนอื่น

หากเราเข้าใจศึกษาจิต (ใจ) ของตนเองให้ละเอียด ให้รู้จักจิต การทำงานของจิต การบังคับจิต การควบคุมจิต การหยุดจิต การพิจารณาจิต การระแวดระวังจิต การกำหนดจิต การพุ่งจิต การเจริญจิต ให้มีสติมีความระลึกรู้ได้ รู้สึกตัวตลอดเวลา ทุกอย่างจะปกติสุข บังเกิดสามัคคีสันติ และสันติภาพจะบังเกิดขึ้นกับตัวเราและทุกคน โลกก็จะน่าอยู่ น่ารื่นรมย์

พุทธศักราช ๒๕๓๐ ได้ย้ายไปอยู่ที่จังหวัดชลบุรีอยู่ที่นั่น ๖ ปี ก็ถูกย้ายไปอยู่จังหวัดสุพรรณบุรีเป็นรอบที่สอง อยู่ได้ไม่นานมีคำสั่งให้เข้ามาเป็นผู้ช่วยอธิบดีกรมพลศึกษา ช่วงนี้มีเวลาว่างมาก ภาระจากงานเกือบจะไม่มีอะไร มีเวลาศึกษาธรรม พัฒนาจิตมากมาย ได้ท่องไปตามสถานที่ต่าง ๆ ตามป่าเขา ตามถ้ำ ตามสถานที่สำคัญ ๆ หลายที่ ได้พบ ได้เห็น ได้อบรมจิต ได้สร้างสมาธิจิตเจริญกรรมฐาน

การเจริญกรรมฐานอันเป็นที่ตั้งแห่งความสงบของดวงจิต ใช้เวลาเกือบทั้งชีวิตเข้าทดลอง ให้รู้ ให้เห็น เข้าใจจิต รู้จักจิตจนเกิดวสีธรรม มองเห็นคุณค่าของชีวิต เข้าใจแก่นของชีวิต และเห็นทุกข์ได้ในระดับหนึ่ง ไม่ยึดติดอยู่กับโลกธรรมอันเป็นเครื่องเศร้าหมองของจิต
บันทึกการเข้า
kittanan_2589
.กลุ่มผู้มีน้ำใจงาม.
member
*

คะแนน630
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2363


NightBaron


เว็บไซต์
« ตอบ #166 เมื่อ: ธันวาคม 31, 2010, 09:04:59 AM »

พบเหตุให้บวชเป็นครั้งที่สอง

พุทธศักราช ๒๕๓๘ ในช่วงหนึ่งไปปฏิบัติธรรมที่ภูพระ จังหวัดชัยภูมิกับพรรคพวก ๓-๔ คน ที่นั่นเป็นวัดอยู่บนเนินเขา มีพระพุทธรูปที่แกะสลักบนหินองค์ใหญ่ ชาวบ้านเรียกว่าพระเจ้าองค์ตื้อ และยังสลักบนหินอีกก้อนหนึ่งอีกแปดองค์ รวมแล้วเป็นเก้าองค์ สร้างแต่สมัยใดไม่มีใครทราบ แต่เป็นที่เคารพของพุทธศาสนิกชนทั่วสารทิศ ถือเป็นพระพุทธรูปอันศักดิ์สิทธิ์

ได้ปักกลดอยู่สามวันสามคืน ขณะเจริญกรรมฐานได้ปรากฏนิมิต เรื่องราวในอดีตกาล เห็นพระพุทธองค์เคยเสด็จผ่านมาพักค้างคืน ณ บริเวณนี้ พร้อมด้วยเหล่าพระอรหันต์ติดตามอีกจำนวนมาก (เรื่องนี้ไม่สามารถพิสูจน์ได้) ได้เห็นแค่รูปนิมิตเท่านั้น

เป็นนิมิตในอดีตที่ยาวนาน ไม่สามารถหาร่องรอยพิสูจน์ มีแต่พระพุทธรูปทั้งเก้าองค์เท่านั้น แต่ก็มีเรื่องแปลกคือ ขณะที่ปฏิบัติธรรมตลอดสามวันสามคืน ทุกคนไม่ได้นอนกันเลย นั่งปฏิบัติ นั่งสนทนาธรรมตลอดทั้งวันทั้งคืน

ไม่รู้จักคำว่าเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า หรือง่วงเหงาหาวนอน จิตมันสว่างตลอดเวลา ไม่อ่อนเพลีย ธรรมดาร่างกายคงทนต่อความง่วงไม่ได้ ต้องอ่อนเพลียเมื่อยล้าอ่อนแรง อาการดังกล่าวไม่ปรากฏเลยแม้แต่คนเดียว คิดว่าคงเกิดด้วยอำนาจทิพย์ของสถานที่อันทรงศักดิ์สิทธิ์อย่างแน่นอน รังสีของพุทธานุภาพคงเสด็จคุ้มครองให้สามารถอยู่ได้ทั้งสามวันสามคืน

ครบกำหนดก็ได้เดินทางกลับ วันหนึ่งขณะข้าพเจ้าได้ไปสนทนา สอนธรรมอาจารย์ที่สนใจหลักธรรม ที่วิทยาลัยพลศึกษาจังหวัดสมุทรสาคร มีอาจารย์ท่านหนึ่งถามว่า “ป้าของเขาเป็นมะเร็งในตับระยะสุดท้ายอยู่โรงพยาบาลศิริราชจะหายไหม ?”

ได้กำหนดจิตดูแล้ว บอกอาจารย์ท่านนั้นว่า “ให้ไปบอก ป้าให้จุดธูป ๑๘ ดอก ระลึกถึงพระพุทธองค์ หากคืนนี้พระพุทธองค์เสด็จมา ก็จะหายได้ด้วยอำนาจพระพุทธคุณ พระพุทธเมตตา” อาจารย์ท่านนั้นได้นำความไปบอกแล้วได้จุดธูป ๑๘ ดอก
บันทึกการเข้า
kittanan_2589
.กลุ่มผู้มีน้ำใจงาม.
member
*

คะแนน630
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2363


NightBaron


เว็บไซต์
« ตอบ #167 เมื่อ: ธันวาคม 31, 2010, 09:05:20 AM »

คืนนั้นป้าคนนั้นได้ เห็นพระพุทธรูปลอยลงมา บอกว่า “ขอให้ไปสร้างพระประธานในอุโบสถ ณ วัดกลางโนนขาว อำเภอบ้านผือ จังหวัดอุดรธานีได้ไหม? แล้วโรคจะหาย” ป้าคนนั้นยกมือไหว้รับจะสร้างให้ พระพุทธรูปองค์นั้นเสด็จลงมาสวมกายของป้า


วันรุ่งขึ้นอาการของป้าคนนั้นดูดีขึ้น ได้บอกกับอาจารย์ผู้เป็นหลานชาย ได้โทรศัพท์ไปถามที่วัด ทางวัดบอกว่าอุโบสถได้สร้างเสร็จนานแล้ว แต่ยังขาดพระประธาน กำลังอยากได้อยู่ ถ้าจะสร้างให้ก็ขอหน้าตัก ๖๙ นิ้ว น่าแปลกแต่จริง !!!

พระอุโบสถสร้างเสร็จมีแท่นพระประธาน แต่ไม่มีพระประธานเพียงเอาพระองค์เล็ก ๆ วางไว้เท่านั้น ลูกนิมิตก็ฝังแล้ว ป้าคนนั้นก็หายวันหายคืนอย่างประหลาด จนออกจากโรงพยาบาลกลับบ้าน ครั้นบอกให้ลูก ๆ สร้างพระประธาน ลูก ๆ ก็ไม่เชื่อ ไม่ยอมสร้าง อาจารย์ผู้เป็นหลานมาปรึกษาข้าพเจ้า

ข้าพเจ้าจึงรับปากจะสร้างให้เอากุศล ใช้เวลา ๗ วันเตรียมการ เงินก็ไม่มีขอยืมพรรคพวกสองแสนบาทไปเช่าพระปางสมาธิหน้าตัก ๖๙ นิ้ว พร้อมเครื่องอัฐบริขารต่าง ๆ รวมทั้งเครื่องบวชนาค ๑๐ ชุด ระฆัง ๑ ใบ โต๊ะหมู่เก้า ๑ ชุด เชิงเทียน แจกัน กระถางธูปพร้อม ข้าพเจ้านำเกศพระไปทำพิธีบรรจุพระบรมสารีริกธาตุที่เสด็จมาตอนอยู่ที่ จังหวัดอ่างทอง เรื่องนี้ไม่ได้เขียนไว้ ได้ลงรักปิดทองเกศพระ
บันทึกการเข้า
kittanan_2589
.กลุ่มผู้มีน้ำใจงาม.
member
*

คะแนน630
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2363


NightBaron


เว็บไซต์
« ตอบ #168 เมื่อ: ธันวาคม 31, 2010, 09:05:45 AM »

คืนหนึ่งนั่งคุยกันถามพรรคพวกว่า ใครจะบวชพร้อมเอาพระพุทธรูปองค์นี้ขึ้นเป็นประธานบ้าง มีผู้สมัครอยู่ ๕ คน ต้องการ ๑๐ คน ได้ให้ทุกคนเสี่ยงทายกับเกศพระ มีน้ำหนักประมาณ ๑ กิโลกรัม ใครยกไม่ขึ้นก็ให้บวช ยกไม่ขึ้นอยู่ ๗ คน มี ๕ คนพร้อมบวช อีก ๒ คนไม่ยอมบวช

ได้บังเกิดเหตุกับ ๒ คนที่ไม่ยอมบวช ลุกขึ้นนั่งคุกเข่าเอาหน้าผากจรดพื้น แล้วใช้หน้าผากไถไปกับพื้นไปมาเหมือนถูบ้านอย่างไรก็อย่างนั้น จนหน้าผากถลอกเลือดไหล ทั้งสองคนทนเจ็บไม่ไหวจึงยอมบวช ได้อาสาสมัคร ๗ คน หาอีก ๓ คนไม่ได้

ข้าพเจ้าเองไม่คิดจะบวชเพราะเคยบวชพระมาแล้ว ก็คิดว่า ๗ คนก็ ๗ คน ถึงวันนัดก็ได้เดินทางไปที่วัด ๗ คนที่จะบวชก็ปลงผมนาค

ข้าพเจ้าปลงผมให้ทุกคนแล้ว ข้าพเจ้านั่งพูดเล่น ๆ ว่าจะบวชด้วยเท่านั้นแหละ ทุกคนเอากรรไกรตัดผมข้าพเจ้าทันที จึงต้องยอมบวชด้วย ขาดอีก ๒ คนจึงจะครบ ๑๐ คน ช่างอัศจรรย์มีผู้ชายมาจากไหนไม่ทราบมาขอบวชด้วย ๒ คน จึงครบ ๑๐ คนตามที่ได้เตรียมเครื่องบวชไว้ เมื่อบวชเสร็จพระ ๒ รูปก็หายไปไหนไม่ทราบ ไม่ได้อยู่ด้วยกัน ถามเจ้าอาวาสก็ไม่ทราบว่าไปตอนไหน เข้าใจว่าเทวดามาขอบวชด้วย ๒ รูป

ได้อยู่ปฏิบัติในพระอุโบสถ ๓ วัน จึงพากันลาอุปัชฌาย์ขอเดินทางไปวัดต่าง ๆ แล้วไปสึกที่จังหวัดสมุทรสาคร บวชได้ ๗ วัน ใน ๗ วันนั้นได้พบสิ่งแปลก ๆ มากมายเป็นเหตุที่เสริมศรัทธาของข้าพเจ้าให้มั่นคงต่อการบำเพ็ญตามรอยบุญ ที่พระพุทธองค์ที่ทรงเมตตาต่อสัตว์โลก
บันทึกการเข้า
kittanan_2589
.กลุ่มผู้มีน้ำใจงาม.
member
*

คะแนน630
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2363


NightBaron


เว็บไซต์
« ตอบ #169 เมื่อ: ธันวาคม 31, 2010, 09:06:09 AM »

ไปถ้ำวัวแดงตามรอยหลวงปู่เทพโลกอุดร

จากคำบอกเล่าของหลวงปู่ได้บอกไว้ อยากพบปู่ให้ไปพบที่ถ้ำวัวแดง แต่ข้าพเจ้าก็ไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหน? หลวง ปู่มาให้นิมิตบอกถึงเวลาแล้วให้ขึ้นเขาวัวแดง แต่ไม่ใช่ถ้ำที่เขาเล่าลือกัน ให้ไปที่อำเภอหนองบัวแดง จังหวัดชัยภูมิแล้วจะมีคนนำไป

จึงได้ชวนผู้ชอบปฏิบัติ ชอบผจญภัยที่เคารพเราร่วมเดินทางไป ได้เตรียมข้าวของที่จำเป็นในการเดินป่า ทั้งอาหาร เครื่องครัวเท่าที่จำเป็นที่อยู่ได้ ๕ วัน ๕ คืน ประสานพรรคพวกที่อยู่จังหวัดชัยภูมิ ได้ออกเดินทางเป้าหมายไปยังถ้ำประทุน ที่ลือกันว่าเป็นถ้ำวัวแดง

มีผู้นำทางไปยังถ้ำประทุนเป็นเทือกเขาที่ติดต่อจังหวัดเพชรบูรณ์
เส้นทางทุรกันดารใช้เวลาเดินทางหลายชั่วโมง รถวิ่งได้ช้ามาก ทั้งหลุมทั้งฝุ่น กว่าจะถึงตีนเขาก็กินฝุ่นแทบแย่ เพราะเราเดินทางด้วยรถสองแถว ถึงตีนเขาก็แบกสัมภาระ เดินตามทางสูงขึ้นไปเรื่อย ๆ ขณะที่ถึงตีนเขา

มีนกสีขาวตัวหนึ่งมาบินวนเวียนพวกเราทั้ง ๔ คน ส่งเสียงร้องตลอดเวลา แล้วบินนำหน้าพวกเราขึ้นตามเส้นทาง เราเดินทางตามไปเรื่อย ๆ โดยไม่รู้ว่า นกตัวนั้นมานำทาง มานึกฉงนใจ !!! นกตัวนี้จะหยุดคอยพวกเราเป็นระยะ ๆ ส่งเสียงร้องตลอดทางการเดินขึ้นเขาแสนลำบาก ข้าวของก็มาก จึงต้องพักเหนื่อยเป็นช่วง ๆ จนถึงถ้ำประทุน

เข้าไปในถ้ำประทุน มีพระภิกษุอยู่รูปหนึ่ง ได้กราบแล้วบอกเจตนาที่มา ตอนนั้นเย็นมากแล้วใกล้มืดได้เข้าไปในถ้ำ แล้วก็รู้ว่าไม่ใช่ถ้ำวัวแดงที่ต้องการไปแน่ นกที่นำทางก็หายไป

จึงถามพระภิกษุว่ามีถ้ำอื่นอีกไหม? ท่านบอกว่า “มีอยู่สูงขึ้นไปอีก อยู่เขาอีกลูกหนึ่ง จะไปตอนนี้คงไปไม่ทัน ทางลำบากมากคงไปไม่ไหว ใช้เวลาเดินทางอีกประมาณ ๗-๘ ชั่วโมง อันตรายมากด้วย เดี๋ยวหลงทางกลับไม่ได้ อย่าเสี่ยงเลย ถ้ำนั้นเรียกว่า ถ้ำแสงจันทร์ กันดารด้วย น้ำก็ไม่มี ถ้าอยากไปให้นอนที่นี่ก่อน คิดดูให้ดี พรุ่งนี้ถ้าอยากไปค่อยว่ากันใหม่ มีแต่พวกหาของป่า พวกล่าสัตว์เขาไปกัน”
บันทึกการเข้า
kittanan_2589
.กลุ่มผู้มีน้ำใจงาม.
member
*

คะแนน630
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2363


NightBaron


เว็บไซต์
« ตอบ #170 เมื่อ: ธันวาคม 31, 2010, 09:06:34 AM »

ตกลงคืนนั้น พักค้างคืนที่ถ้ำประทุน ทำวัตรสวดมนต์ เข้ากรรมฐานกันตามปกติ ได้เวลาก็พักผ่อนเอาแรง เราเหนื่อยกันทั้งวัน ก่อนนอนได้ปรึกษากันว่า เราจะขึ้นต่อหรือพักที่นี่ ทุกคนตอบเป็นเสียงเดียวกันว่า “พวกเราจะไปต่อ อยากรู้อยากเห็น” เมื่อตัดสินใจแล้วก็ให้ทุกคนพักผ่อนเอาแรงไว้ พรุ่งนี้ค่อยว่ากันใหม่ คืนนั้นหลับสนิทภายในกลดที่นำกันไป

วันรุ่งขึ้นทำวัตรเช้าเสร็จ พระท่านก็ให้ไปกินอาหารเช้า นึกขอบพระคุณที่ท่านมีน้ำใจต้อนรับพวกเราเหมือนรู้จักกันมานาน กินข้าวจนอิ่ม พระท่านพูดว่า “จะขึ้นไปถ้ำแสงจันทร์หรือไม่?” พวกเราบอกว่า “จะไป”

ท่านถามว่า “ไม่กลัวนะ” พวกเราตอบว่า “ไม่กลัว” ท่านก็เลยบอกโยมผู้ชาย ๓ คนให้นำทางไปส่ง ขณะนั้นเวลาเกือบสามโมงเช้า นกสีขาวก็บินมาส่งเสียงร้องเหมือนเรียกพวกเรา แต่พระรูปนั้นบอกให้ไปดูถ้ำน้ำเสียก่อน จากปากถ้ำเลี้ยวไปทางขวามือ ๕๐ เมตร จะพาไปดู ได้เดินทางตามท่านไปถึงปากถ้ำน้ำ มีบันไดไม้ลงไปสัก ๒๐ เมตร ลงไปถึงพื้น

น่าแปลกมาก !!! เป็นถ้ำใหญ่มีแต่น้ำเหมือนทะเลสาบอันกว้างใหญ่ พระท่านบอกว่าเข้าไปไกลมาก ถ่อแพไป ๗ วันก็ไม่สิ้นสุด จะ จริงอย่างไรไม่ทราบ ไม่ได้ไปดูเพราะไม่มีแพ ส่องไฟฉายไปสุดลำแสงก็เห็นน้ำอยู่ ใครอยากพิสูจน์ ต้องไปดูเอง เขียนบอกเท่าที่เห็น เท่าที่พระท่านเล่า แต่ไม่ได้ไปพิสูจน์เพราะไม่กล้าเสี่ยง ถึงจะต้องการจะพิสูจน์แต่มีความกลัวมากกว่าความกล้า ทุกคนแค่ได้เห็นก็เป็นบุญตา (ถ้ำนี้มีเรื่องลึกลับ !! จะเขียนเล่าตอนหลัง)
บันทึกการเข้า
kittanan_2589
.กลุ่มผู้มีน้ำใจงาม.
member
*

คะแนน630
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2363


NightBaron


เว็บไซต์
« ตอบ #171 เมื่อ: ธันวาคม 31, 2010, 09:07:00 AM »

นกตัวนั้น คอยพวกเราเตรียมการเดินทางพร้อมคนนำทาง พระท่านให้เอาถุงพลาสติกใบขนาดย่อมติดไปด้วย ท่านบอกไว้ใส่น้ำ น้ำมีอยู่ที่เดียว แล้วสั่งผู้นำทางพาไปดูแหล่งที่จะเอาน้ำ ไม่เช่นนั้นจะอดน้ำอยู่ไม่ได้

เมื่อออกเดินทางนกตัวนั้นก็บินนำ คนนำทางพูดว่า “นกอะไรขาวดี ไม่เคยเห็น” ข้าพเจ้าก็มีสงสัยอยู่ในใจเช่นกัน คิดว่าหลวงปู่คงให้มานำทาง ได้แต่คิดไม่ได้พูด กลัวว่าพูดไปแล้วจะหาคำตอบให้ผู้ร่วมเดินทางไม่ได้ ทุกคนเห็นไม่มีใครพูด

เดินไปเรื่อย ๆ สูงขึ้นไปเรื่อย ทั้งแบกของสัมภาระต่าง ๆ มันเหนื่อยเกือบท้อหยุดมากไม่ได้ คนนำทางบอกเดี๋ยวมืดจะลำบาก
กัดฟันเดินกันไปทั้งต้องปีนที่สูงชัน ทั้งต้องลอดต้นไม้ที่ล้มตามทางเดิน แต่พวกเราตั้งมั่นไม่กลัว ขอบารมีหลวงปู่คุ้มครอง

ทำให้นึกถึงพระธุดงค์คงลำบากมากกว่าพวกเรา เพราะท่านไปทั่ว พบอันตรายก็มากมาย กว่าจะมาเป็นหลวงปู่ให้เรากราบไหว้ขอพร ขอให้ท่านเล่าเรื่องต่าง ๆ ให้ฟัง แล้วตื่นเต้นกับเหตุการณ์ที่ท่านได้ไปผจญมาในที่ต่าง ๆ แต่ก็ไม่ตื่นเต้นเหมือนเราไปผจญเองแน่นอน ที่เราได้พบขณะเดินทางเป็นเพียงเหตุการณ์น้อยนิดเท่านั้น

เดินทางประมาณ ๗ ชั่วโมงก็ถึงตีนเขาประมาณ ๔ โมงเย็น คนนำทางบอกว่าถ้ำอยู่ข้างบนต้องปีนขึ้นไป ชี้ทางเดินให้พวกเราดู มันสูงชัน พวกเราชวนให้ผู้นำทางพักค้างคืนด้วยกัน พวกเขาบอกว่าไม่นอนจะกลับเลย แสดงกิริยากลัว ๆ ให้เห็นบ้าง

นึกตกใจเหมือนกัน แต่จะแสดงออกก็กลัวว่าพวกที่มาด้วยจะกลัว จึงวางเฉย ให้อาหารแห้งพร้อมทั้งไฟฉาย ๑ กระบอกให้ผู้นำทางกลับไป ก่อนเดินทางกลับก็บอกว่า “อย่าลืมแหล่งที่เอาน้ำ ได้ทำเครื่องหมายไว้แล้ว”
บันทึกการเข้า
kittanan_2589
.กลุ่มผู้มีน้ำใจงาม.
member
*

คะแนน630
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2363


NightBaron


เว็บไซต์
« ตอบ #172 เมื่อ: ธันวาคม 31, 2010, 09:07:24 AM »

พวกเราค่อย ๆ ลำเลียงสัมภาระขึ้นถ้ำ อันตรายมาก ทั้งชันต้องเกาะแง่หินรากไม้ค่อย ๆ ปีนป่าย ไต่ขึ้นสูงราว ๔๐๐ เมตร ค่อย ๆ ลำเลียงของขึ้นถึงถ้ำ ขึ้นถึงก็สำรวจเพื่อปักกลดอยู่บนนั้น

มีถ้ำ ๒ ถ้ำ ทั้งทางขวาและซ้ายมือ ถ้ำทางซ้ายไม่ใหญ่แต่ก็ไม่เล็ก ถ้ำทางขวากว้างใหญ่ลึกมืด เวลาไม่มีให้สำรวจมาก ต้องเตรียมที่ปรุงอาหารและปักกลด

หน้าถ้ำทางขวามือมีหลุมใหญ่พื้นเรียบปักกลดได้ ๔ กลดพอดี จึงตัดสินใจปักกลดในนั้น ได้ปักธูปกำหนดจิตขออนุญาตเพื่อสร้างพลังอำนาจจิตคุ้มครองป้องกันอันตรายตาม ที่ครูอาจารย์ได้สอนมา โดยใช้ไม้เท้าขีดลงบนพื้นล้อมรอบที่ปักกลด เตรียมที่พักให้เรียบร้อย

พบอภินิหารครั้งแรกขณะที่เตรียมทำอาหาร ปากทางขึ้นมีโขดหินเรียบพอเหมาะกับจะทำเตาไฟหุงอาหาร ปรากฏว่าจุดไฟเท่าไหร่ก็ไม่ติดทั้งที่ไม้แห้งสนิท เก็บเอาบริเวณถ้ำนั่นเอง จุดอย่างไรก็ไม่ได้ผลเหมือนจะบอกพวกเราว่า สถานที่ศักดิ์สิทธิ์มีคนเฝ้าอยู่ อย่าทำอะไรง่าย ๆ หรืออย่าทำสกปรก ข้าพเจ้านั่งพักอยู่ที่ลานแผ่นหินกว้างหน้าหลุมที่ปักกลด

พวกที่เตรียมอาหารร้องบอกว่าจุดไฟไม่ติด จะทำอย่างไร? จึงถามว่าไม้ฟืนเปียกหรือไม่ เขาบอกว่า "แห้ง" จึงถามว่าใช้อะไรจุด เขาบอกว่า"ใช้เทียนและฝอยไม้เล็ก ๆ" จึงบอกว่าให้จุดธูปบอกเขาเสียก่อน เมื่อพวกเขาจุดธูปขอก็จุดไฟติดลุกตามปกติ !!!

เกิดอะไรขึ้น !!! คงต้องคิดกันเอง ไม่ขอวิจารณ์ว่าอะไร? ทำไม? เหตุเกิดจากอะไร? รู้แต่ว่าไม่ปกติเท่านั้น !!! เพราะมันรู้จากในจิต จึงให้จุดธูปขอเสียก่อน ถ้าจะพยายามจุดต่อไป โดยไม่จุดธูปขอ ไฟจะติดหรือไม่ ไม่ทราบได้ เหตุการณ์มันไม่เกิด
บันทึกการเข้า
kittanan_2589
.กลุ่มผู้มีน้ำใจงาม.
member
*

คะแนน630
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2363


NightBaron


เว็บไซต์
« ตอบ #173 เมื่อ: ธันวาคม 31, 2010, 09:07:54 AM »

เมื่อขอเจ้าถ้ำแล้ว ไฟก็ติด หุงข้าวกินกันแล้วก็มีน้ำเหลือเล็กน้อย จึงตกลงว่าพรุ่งนี้จะต้องไปเอาน้ำ ทุกคนตกลงให้ข้าพเจ้าเฝ้าถ้ำอยู่คนเดียว ทั้ง ๓ คนจะออกเดินทางไปเอาน้ำเพราะข้าพเจ้าอายุมากกว่าทุกคน อีกประการหนึ่งไม่มีใครกล้าอยู่คนเดียว หากข้าพเจ้าไปเอาน้ำจะต้องมีคนเฝ้าถ้ำ จะเฝ้าของอยู่ ๒ คน ไปเอาน้ำ ๒ คน น้ำก็จะไม่พออยู่ครบ ๔ วัน

เขียนเรื่องนี้ละเอียดนิดหนึ่งเพื่อให้มองเห็นกฎเกณฑ์ในการออกเดินป่า ต้องรู้พอสมควร แรกก็ไม่รู้เหมือนกัน ไม่คิดว่าตัวเองจะต้องออกเดินป่าแสวงหา ค้นหาแนวทางปฏิบัติธรรม เพื่อฝึกจิตให้มีวิริยะธรรม ขันติธรรม สัจธรรม ทั้งฝึกฉันทธรรมให้บังเกิดในจิตของเรา เพื่อละพยศลดมานะ ทั้งละกามฉันท์ ๕ ประการ ที่คิดติดอยู่ในรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัสแข็ง อ่อน ร้อน หนาว รักความสะดวกสบาย ติดอยู่ในลาภยศ สรรเสริญ ให้คลายความกำหนัดลง อันเป็นการทำลายกำแพงที่ขวางกั้นความสงบของจิต

นั่งพักผ่อนเพื่อย่อยอาหาร แล้วก็พากันสวดพระพุทธมนต์ บอกกล่าวผู้ดูแลถ้ำไม่ได้มาลองดีหรือลบหลู่ใด ๆ ไม่ได้มาค้นหาสมบัติ มาตามหาหลวงปู่ แต่ก็ไม่เห็นท่าน ขอค้นหาโมกขธรรมสัก ๔ คืน หวังว่าคงอนุญาต

แต่ในจิตนั้นคิดว่าหลวงปู่ท่านคงดูพวกเราอยู่ ปลอบใจตนเองไม่ให้กลัว (เข้าป่าเข้าถ้ำครั้งแรก) แต่ที่แปลกอยู่อย่างหนึ่งที่ทุกคนมีความเห็นเหมือนกันหมด คือถ้ำทั้งสองเป็นที่อาศัยของค้างคาวจำนวนมาก หลายแสนหลายล้านตัวเต็มไปหมด ดูจากมูลของมันหนาไม่น้อยกว่า ๓ เมตร เดินบนมูลของมันเหมือนเดินบนพรม ที่สำคัญคือไม่มีกลิ่นเลย กลิ่นสาบมูลค้างคาวปกติจะเหม็นมาก แต่นี่เราปูผ้ายางนอนบนมูลของมันอยู่ทั่ง ๔ คืน ไม่มีกลิ่นติดตัวแม้แต่น้อย

อีกประการหนึ่ง ตอนขึ้นไปถึงครั้งแรกค้างคาวบินเข้าออกกันอยู่ แต่พอปักกลดตลอด ๔ คืน ไม่เห็นบินเข้าออกอีก ไม่เห็นมารบกวนเรา น่าสนเท่ห์จริง ๆ ท่านใดสงสัยลองขึ้นไปดูด้วยตนเอง แต่จะเป็นอย่างที่ข้าพเจ้ากับพวกเห็นหรือไม่นั้น ไม่ทราบ ต้องลองดูหาคำตอบเอาเอง
บันทึกการเข้า
หน้า: 1 2 3 4 5 [6] 7 8 9   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป: