ผมจะซื้อรถกะบะมือสองครับ
LSVคลังสมองออนไลน์ "ปีที่21"
เมษายน 17, 2024, 12:57:09 AM *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
   หน้าแรก   ช่วยเหลือ เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก  
หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: ผมจะซื้อรถกะบะมือสองครับ  (อ่าน 4002 ครั้ง)
tumcpall
member
*

คะแนน0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2


อีเมล์
« เมื่อ: ธันวาคม 14, 2010, 12:50:54 AM »

ที่ผมดูไว้เป็นดีแม็กแค็ปครับปี2003แต่กลัวจะถูกทางเต้นยอมแมวขายครับเลยจะขอความรู้วิธีการดูรถครับว่ารุ่นนี้ต้องดูจุดไหนบ้างครับ ขอบคุณที่แนะนำครับ


บันทึกการเข้า

หลอดไฟ
วีไอพี
member
***

คะแนน246
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1550


อีเมล์
« ตอบ #1 เมื่อ: ธันวาคม 14, 2010, 09:40:14 AM »

//1. ดูเครื่องยนต์และอุปกรณ์เสริมต่างๆ เปรียบเทียบ กับข้อมูลที่คุณมีครับ ถ้าไม่ตรงกันก็ลองถามผู้ขายดู ถ้าไม่ได้คำตอบที่ชัดเจนก็ไม่ควรซื้อครับ
ระบบ เครื่องยนต์ สังเกตุดูรอยรั่วซึมบริเวณรอบเครื่องยนต์ สตาร์ทเครื่องยนต์ ติดง่ายหรือยาก ดูความนิ่ง หรืออาการสะดุดของเครื่องยนต์ เครื่องยนต์เดินเรียบหรือไม่ รอบเดินเบาเครื่องยนต์อยู่ระดับปกติหรือไม่ ท่อไอเสียมีควันออกมาหรือไม่ เหยียบคันเร่งเพิ่มรอบเครื่องยนต์ ฟังเสียงเครื่องขณะรอบเครื่องยนต์ขึ้นสูงและลดลง มีเสียงผิดปกติมากน้อยแค่ไหนอย่างไร
//2. รถบางคันก็จะติดเครื่องเสียงมาใหม่ และมักจะอ้างราคาเครื่องเสียง เพื่อเพิ่มราคารถ ตรงนี้ต้องพิจารณาให้เองว่า คุ้มหรือเปล่า เช่น ติดมา 1 แสน จะมาบวก 1 แสนก็เกินไปครับ

//3. ดูใต้ท้องรถครับ เช่น คัดซี มีการตัดต่อหรือเปล่า ยางหุ้มต่างๆ และรอยน้ำมันที่อาจจะรั่วหรือซึม ครับ ปกติ ใต้ท้องรถนี่อาจจะไม่ค่อยได้ดูกัน เพราะไม่สะดวก วิธีง่ายๆอีกอย่างคือ ดูสถานที่ที่รถจอดว่ามีรอยน้ำ หรือ น้ำมัน ที่พื้นหรือเปล่าครับ

//4. ดูว่ารถเคยเกิดอุบัติเหตุมาหรือไม่ วิธีดูก็ใช้หลักง่ายๆครับ คือ “ ดูที่ตะเข็บ ” ครับ รถที่ออกจากโรงงานรอยตะเข็บต่างๆจะดูเป็นระเบียบ แต่ถ้าชนมา และมีการซ่อม รอยตะเข็บจะดูไม่เรียบร้อย สามารถดูรูปประกอบได้ครับ

โดยบริเวณที่รถมักจะชนคือ
ด้านหน้า เปิดฝากระโปง หน้า แล้วดูรอยตะเข็บ ตามแนว ขอบรถด้านข้าง ตามลักษณะการชนคือ
1. ชนมุม รอยตะเข็บที่มุม จะไม่เรียบร้อย

2. ชนตรงๆ รอยตะเข็บที่มุมทั้ง 2 ฝั่ง จะไม่เรียบร้อย
3. ชนด้านข้าง ให้ดูรอยตะเข็บด้านข้าง จะไม่เรียบร้อย

4. ถ้าชนหนักจนยุบมาถึงห้องเครื่อง ให้ดูรอยตะเข็บตามรูป จะไม่เรียบร้อย

5. ถ้าชนไม่แรง ให้สังเกตุกันชน จะไม่พอดีการโครงรถ เช่น มีช่องว่างเกิดขึ้น

ด้านหลัง เปิดกระโปงหลัง และเปิดผ้าคลุมขึ้น แล้วดูรอยตะเข็บที่เรียกว่า “ รอยแปรงปัด ”

วิธีการดูการเหมือนกับด้านหน้า ทุกอย่าง แต่ถ้าชนหนัก ให้ดูที่รอยแปรงปัด ครับจะไม่เป็นระเบียบ

ด้านข้าง ทั้ง 2 ฝั่ง เปิดประตูออก ให้หมด แล้วดูความเรียบร้อยของโครงสร้างครับ

โดย ปกติจะดูยากครับ เพราะจะไม่มีรอยตะเข็บให้ดู ถ้าไม่แรงมาก ความเสียหายมักจะไม่ถึงตัวโครงรถ จะเสียหายเพียงประตู สำหรับความคิดของผม ถือว่า ไม่เป็นเรื่องใหญ่ครับ แต่ถ้าต้องการดูก็ลองดูรอยตะเข็บบริเวณขอบประตูและตัวบานพับครับ


หลังคา (เกิดจากการพลิกคว่ำ) เปิดประตูออกแล้วดูรอยตะเข็บ บริเวณ คานหน้ารถ เพราะปกติ ถ้ารถพลิกคว่ำแล้ว มักจะยุบบริเวณคานหน้ารถ

ตรวจ ดูสีรถ ดูรอยตะเข็บ ดูรอยอาร์ค ดูรอยต่อ ดูรูปทรงรถ ดูแชสซีส์ หัวแชสซีส์ รอบคัน ทั้งภายนอก ภายใน หากยังไม่พบร่องรอยการชน จะเน้นดูบริเวณตำแหน่งที่ซ่อนเร้น เพราะปัจจุบันนี้มีการนำเข้าอะไหล่ หัวเก๋ง ท้ายเก๋ง หรือทั้งคัน จากญี่ปุ่น โดยผู้ค้าอะไหล่เก่าเซียงกง นำเข้ามาขายกันหลายรุ่น หลายยี่ห้อ

 
รถ บางคันอาจเคยเปลี่ยนหัวเก๋งมาแล้ว บางคันเคยเปลี่ยนท้ายเก๋งมาแล้ว และบางคันเปลี่ยนทั้งหัวและท้ายเลย จะหารอยชน ดูความบอบช้ำบริเวณคานรับฝากระโปรง คานใต้หม้อน้ำ ดูแชสซีส์ รอยตะเข็บ รอยต่อ รอยอาร์ค ในห้องเครื่อง คานใต้ฝากระโปรงหลัง ฝากระโปรงหน้า-หลัง บังโคลนหน้า-หลัง คงไม่เพียงพอ อาจถูกตบตาได้
 
ใน ยุคนี้ มีการทำตะเข็บเทียม รอยต่อเทียม (เนียนเหมือนโรงงาน) รอยอาร์คเทียม (เนียนเหมือนโรงงาน) ต้องใช้ประสบการณ์มากพอสมควร คนมีประสบการณ์เคาะ-พ่นสี กับการทำรถชนหนักๆ มาเป็นจำนวนมาก จะมองเห็นรายละเอียดของการซ่อมได้ชัดเจน รถบางคันซ่อมมาเนียน จนเต้นท์รถดูไม่ออกก็มี ให้จะอธิบายในรายละเอียดค่อนข้างยาก เพราะเป็นเรื่องเกี่ยวกับประสบการณ์ ความชำนาญโดยตรง

การตรวจสอบภายในห้องโดยสารให้ตรวจเช็กอย่างละเอียดว่าระบบ ไฟฟ้าทั้งหลาย ระบบไฟสัญญาณต่างๆ บนหน้าปัดขณะที่บิดกุญแจไปยังตำแหน่ง ON สัญญาณเครื่องหมายต่าง ๆบน หน้าปัดจะต้องมีโชว์ขึ้นมาทั้งหมด

เมื่อ เครื่องยนต์สตาร์ทติดแล้วไฟต่าง ๆ เหล่านี้จะต้องดับหมด ซึ่งถ้าดวงไหนยังไม่ดับแสดงว่า ระบบนั้นต้องมีปัญหา เช่น ไฟ ABS ถ้าติดอยู่แสดงว่าระบบ ABS มีปัญหาอย่างใดอย่างหนึ่งแน่ และอาจจะต้องเสียเงินค่าซ่อมเป็นเงินหลายตังค์แน่ๆ หรือถ้าไฟ AIR BAG ติดอยู่แสดงว่าระบบ ถุงลมนิรภัยมีปัญหาแน่ส่วนในบางทีถ้าบิดสวิตช์กุญแจแล้วไฟสัญญาณบางดวงไม่ โชว์ทั้งที่มีระบบนั้น ก็แสดงว่า มีการถอดหลอดออกเพื่อไม่ให้ไฟโชว์ แบบนี้ให้ระวังให้ดี

และอีกอย่างสำหรับรถรุ่นใหม่ๆ ก็อย่าลืมตรวจเช็กกระจกไฟฟ้า สวิตช์ไฟระบบไฟส่องสว่าง ต่างๆ ว่าทำงานหรือไม่ ระบบเครื่องเสียงยังคงใช้ได้อยู่ไหมไม่ใช่มีไว้แค่ประดับรถให้เจ้าของที่จะ ซื้อเอาไว้ดูเล่นตรวจเบาะนั่งทุกตัวต้องอยู่ในสภาพสมบูรณ์ พร้อมทั้งดูอุปกรณ์อื่นๆ ประกอบด้วย
//5. ทดลองขับครับ ส่วนที่ต้องดูคือ

1. ลองขับแล้วปล่อยพวงมาลัยดูว่ามีการกิน ซ้าย หรือ ขวา หรือเปล่า ถ้ามีลองเข้าศูนย์ ตรวจสอบดู เพราะอาจจะเกิดการชนแล้วทำให้ศูนย์เสียได้
ระบบ พวงมาลัย ตรวจดูช่วงฟรีของพวงมาลัย พวงมาลัยหนัก-เบาเกินไปหรือไม่อย่างไร เมื่อเลี้ยวซ้าย-ขวา หมุนพวงมาลัยจนสุดหรือไม่สุดก็ได้ พวงมาลัยมีการคืนตัวดีหรือไม่ เวลาหักเลี้ยวมีเสียงหรือไม่
วิ่งบนถนนที่ขรุขระ ให้สังเกตด้วยว่ามีเสียงผิดปกติของช่วงล่างไหม การบังคับเลี้ยวเป็นอย่างไร รถวิ่งเอียงหรือเฉไปเฉมาไหม หรือเบรกไม่อยู่ และลองเหยียบเบรกดูด้วยว่ามันอยู่ในสภาพพร้อมใช้งานหรือไม่ ไม่ใช่วิ่งๆ ไปพอเบรกทีรถแฉลบลงข้างทางไปเลยและรถขับเคลื่อน ล้อหน้าให้ทดสอบเพลาขับหน้าด้วยโดยหักเลี้ยวซ้ายสุด ขวาสุดว่ามีเสียงดัง แกร็กๆ เวลาออก ตัวหรือไม่ ถ้าเสียงดังแสดงว่า เพลาขับหน้าชำรุดแล้ว

 ให้ดูสภาพของยางที่ติดอยู่กับรถว่า มีการสึกหรอเพียงใด โดยสามารถสังเกตได้อย่าง ง่ายๆ คือให้ลองเอาเล็บจิกไปที่ดอกยาง ถ้ายางแข็งมากจนเล็บจิกไม่เป็นรอย หรือเวลาที่วิ่งแล้วมีเสียงของยางกระทบพื้นถนนที่ดังมากก็แสดงว่ายางนั้น เสื่อมสภาพแล้ว แต่ต้องแยกให้ออกด้วย ว่าเป็นเสียงยางหรือเสียงลูกปืนล้อกันแน่ ถ้ายางนั้นสึกไม่เท่ากันทั้งหน้ายางก็แสดงว่าศูนย์ล้อนั้นมีปัญหาแล้วเรื่อง ของศูนย์ล้อก็ต้องระวังเอาไว้ด้วย เพราะถ้าแค่ศูนย์ล้อคลาดเคลื่อนธรรมดานั้นสามารถแก้ไขได้ แต่ถ้าเคลื่อนจนไม่สามารถตั้งได้แสดงว่ารถคันนี้ต้องประสบอุบัติเหตุมาแน่ นอน
2. ดูว่าเครื่องมีปัญหาหรือเปล่า หลัก ง่ายๆ คือ ไม่ควรสั่น , เดินเรียบ และควันที่ออก ไม่ควรดำ (สำหรับรถดีเซล) หรือ ขาว (สำหรับรถเบนซิล)
3. สังเกตเกียร์ ถ้าเกียร์ Auto เวลาเปลี่ยนมีการกระตุก หรือเปล่า ส่วนเกียร์ ธรรมดา ให้ลองว่า เข้าเกียร์ยากหรือเปล่า
ระบบเกียร์นั้นมีวิธีการตรวจเช็กแบบง่ายๆ รถจอดอยู่กับที่ก็สามารถตรวจได้ ถ้าเป็น เกียร์อัตโนมัติให้ลองเข้าเกียร์ D ดูว่ามีการกระตุกที่รุนแรงไหม โดยใช้เท้าซ้ายเหยียบเบรกเอาไว้แล้วใช้เท้าขวาเหยียบคันเร่งลงไปเรื่อยๆ ถ้ารอบอยู่ที่ประมาณ 2,000 รอบ/นาที ก็ถือว่าใช้ได้ แต่ถ้ารอบเลยขึ้นไปถึง 2,500-3,000 รอบขึ้นไป ก็แสดงว่าชุดคลัตช์เริ่มลื่นแล้วซึ่งค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซมนั้นสูงมาก ตั้งแต่ 20,000 ถึง หลักแสนแล้วแต่อาการ
เกียร์ธรรมก็เช่นกัน ให้ติดเครื่องและเข้าเกียร์หนึ่งโดยใช้เท้าขวาเหยียบเบรกเอาไว้และค่อยๆ ปล่อยคลัตช์ดู ถ้าเครื่องดับแสดงว่าคลัตช์ยังดีอยู่แต่ถ้าเครื่องยังไม่ดับก็เป็นอันว่าชุด คลัตช์กลับบ้านไปแล้ว
4. สังเกตระบบปรับอากาศว่า ใช้งานได้ดีหรือเปล่า
5. ระบบไฟต่างๆ เช่น ไฟเลี้ยว ไฟเบรก ไฟหน้า ไฟหลัง และไฟในห้องโดยสาร
6. เบาะนั่งทุกตัว โยก หรือเปล่า
7. เข็มขัดนิรภัย ยังใช้ได้หรือเปล่า โดยการดึงแรงๆ ถ้าดึงแล้วติด ถือว่าใช้ได้

ขั้นสุดท้ายจ่ายเงิน โอนรถ ไม่ ควรใช้วิธีโอนลอย คือ จ่ายเงิน แล้วก็จบ ไม่ไปโอนเปลี่ยนชื่อเจ้าของรถ สละเวลาเพียงครึ่งวัน หรือให้บริษัทที่รับโอนแทน จัดการ เพื่อความถูกต้องและไม่เกิดปัญหาทีหลังครับ


http://beelovejc.multiply.com/journal/item/8
บันทึกการเข้า

ทำวันนี้ให้ดีที่สุด
tumcpall
member
*

คะแนน0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2


อีเมล์
« ตอบ #2 เมื่อ: ธันวาคม 14, 2010, 07:41:33 PM »

ขอขอบคุณท่าน zero มากครับผมที่ให้คำแนะนำ
บันทึกการเข้า
หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1 RC2 | SMF © 2001-2006, Lewis Media

lsv2555Please follow the new website at https://www.pohchae.com

Valid CSS!